Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: Pan Paitoonpong ที่ มิถุนายน 06, 2009, 17:27:49
-
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีทุกท่านที่กำลังอ่านบทความนี้นะครับ
เพื่อเป็นการแชร์ความเห็นและประสบการณ์ในการใช้งานรถส่วนตัว ผมเห็นจะต้องเขียนถึงรถของตัวเองบ้างแล้วหลังจากที่เพื่อนๆตั้งหลายท่านระดมทำกันไปตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เลยเกิดความรู้สึกอย่างทำมาเล่นด้วยกันมั่ง แต่บทความต่อไปนี้เนื้อหาหลายส่วนจะนำมาจากตัวต้นฉบับที่ทาง Tiida-Club.net ซึ่งผมได้ทำเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และเคยเปรยเอาไว้กับพี่ๆในคลับแล้วว่าจะขอนำมาลงในเว็บของผมเองเพื่อช่วยกระจายประสบการณ์การใช้รถ รวมถึงไขเรื่องที่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าของจริงมันเป็นยังไง มันจุกจิกพังง่ายชิบหายวายวอดแบบที่ดังเป็นข่าวตามหน้าเว็บหรือเปล่า หรือที่ว่ากว้าง สบาย สบายจริงแค่ไหน หลังจากผ่านมา 1 ปี กับ 15,000ก.ม. ผมคิดว่านี่ถือเป็น Long-Term Test ที่ได้ลองหลายต่อหลายอย่างมาจนรถนั้นอยู่ตัวแล้ว จึงนำมาเล่าให้ฟังกัน
Tiida 1.6G คันที่ท่านเห็นอยู่ในภาพนี้ เป็นสมาชิกใหม่ในบ้านผม และอยู่กินกับพี่น้องคันอื่นในบ้านมาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ปี 2008
-
รถคันเดิมที่ใช้อยู่คือ Mercedes-Benz W124 6สูบ ซึ่งใช้มานาน 19 ปี ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจอยากจะขายจนกระทั่งหลายเหตุผลรุมเร้าให้ผมต้องตัดใจจากมัน
อย่างแรกเลยคือราคาเชื้อเพลิงที่ทะยานขึ้นสูงกว่าสมัยผมเรียนอยู่มหาลัยเกินกว่าเท่าตัว แม้จะใช้แกสโซฮอล์เป็นเชื้อเพลิงก็ช่วยประหยัดไปได้ไม่มากเนื่องจากธรรมชาติของรถ 6 สูบเทคโนโลยียุคกลไก เกียร์อัตโนมัติหนัก 1.4 ตันที่วิ่งในเมืองยังไงก็ต้องมี 5-6กิโลลิตร ต่างจังหวัดวิ่งได้ 9 กิโลลิตรเมื่อใช้ความเร็ว 120 ครั้นจะติดแก๊ส คุณพ่อผมไม่เห็นด้วย และค้นเจอมาว่าเครื่อง M103 นี้ติดแก๊สแล้วพบเคสที่มีปัญหาเยอะมาก มีความเสี่ยง
อย่างที่สองคืออายุของรถซึ่งตามมาด้วยการทยอยซ่อมบำรุงในหลายจุด แม้จะไม่เคยตายกลางทางมาหลายปีแล้ว แต่ในครอบครัวผมไม่มีใครกล้าขับรถคันนี้นอกจากตัวผมเลย และมันสร้างความวิตกในการใช้งานเช่นวันดีคืนดีวิ่งๆอยู่พัดลมไฟฟ้ารีซิสเตอร์พัง หรือจู่ๆไฟหน้าปัดติดๆดับๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของรถอายุสองทศวรรษควรเจอ แต่มันเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตแบบผมซึ่งเดินทางไกลไม่บ่อย แต่ไปทีก็วิ่ง 500-600โล และทำงานเช้าถึงดึก ไม่ต้องการใช้เวลาในวันหยุดอันมีน้อยนิดไปกับการทยอยซ่อมรถ ที่สำคัญเวลาพ่อหรือแม่ผมต้องยืมรถไปใช้ เขาจะยืมไปด้วยความหวาดกลัว ถ้าเป็นของแม่ผมนี่ถึงกับบอกเลยว่า “แม่ยอมขึ้นแท็กซี่ดีกว่า”
ท้ายสุดคือผมมีรถอยู่สองคัน ซึ่งอายุ 16-19 ปี คันนึงเป็นรถที่ขับสนุก คล่อง ใช้น้ำมันคุ้ม แต่เล็ก นั่งได้สบายสุดก็สองคน เสียงดังเพราะทำมาไว้ขับระบายอารมณ์ ส่วนอีกคันนึงเป็นรถที่นั่งสบายใช้ดีแต่กินน้ำมันและไม่คล่องตามจังหวะเท้าเมื่อใช้ในเมืองนัก ผมเลยคิดว่าผมไม่มีรถที่จะตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายให้ใช้เลยสักคัน
-
ดังนั้นโจทย์ที่ผมตีไว้สำหรับการหารถคันใหม่ จึงเริ่มต้นที่คุณสมบัติดังนี้
- ต้องมี 4 หรือ 5 ประตู และผมสามารถนั่งขับได้สบาย ส่วนเบาะหลังนั้นขอให้ผู้ชายหุ่นปกติที่สูง 180ซ.ม.โดยสารทางไกลๆได้ (นี่คือขนาดตัวของเพื่อนผมส่วนมาก)
- ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ เกียร์อัตโนมัติ ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2.0ลิตร เน้นให้ขับใช้งานในเมืองคล่อง และอัตราเร่ง 60-120 ต้องพึ่งพาได้ไม่หงุดหงิด ส่วนตีนปลายและอัตราเร่งช่วงหลัง 160 ผมไม่นับ
- ประมาณการอัตราการกินน้ำมัน ในเมืองควรได้ 8กิโลลิตร และต่างจังหวัดควรได้ 13กิโลลิตรที่ความเร็ว 110เป็นขั้นต่ำ
- มีศูนย์บริการและ support อะไหล่ให้ใช้อย่างสบายใจไปได้อีก 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ใหญ่เองหรืออะไหล่เซียงกงก็ได้ทั้งนั้น
- ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ รถคันนี้จะต้องสามารถรับใช้ผมต่อไปได้จนถึงปี 2018
- ราคาไม่เกิน 7 แสนบาท มือหนึ่ง ถ้าเป็นมือสองอนุโลมให้รถมีอายุได้ไม่เกิน 4 ปี
อันดับแรกที่ไปดู เป็นรถมือสอง ตั้งใจไว้ว่าจะเอา New Lancer 2.0Sei ซึ่งเปิดๆดูตามเว็บรถเต๊นท์ืมือสอง
พบว่าราคาแค่ 500,000 กลางๆ ประกอบกับชอบใจในแรงเครื่อง และมีน้องในคลับเดียวกับผมที่ใช้รถรุ่นนี้อยู่ และขับมาได้ 2 ปี โดยไม่มีปัญหาอะไร ลองนั่งลองคลำดูแล้วก็ถูกใจทุกอย่าง แต่ผมกับน้อง Tee@Abuser ตระเวนดูรถกันตั้งแต่เช้าจนค่ำ ไม่เจอรถที่สภาพน่าไว้ใจแม้แต่คันเดียว ส่วนรถคันที่สภาพดีเยี่ยมอย่าง Ralliart Edition ของน้องเอ๋นั้น เจ้าตัวบอกว่าหนูไม่ขายค่ะพี่
อันดับที่สองคือ New Jazz ตัวท้อป ที่เล็งไว้เพราะชอบในรายการอุปกรณ์ที่มีทุกอย่างที่ผมต้องการ ผมชอบสเป็คของเครื่องยนต์และเกียร์ บวกกับช่วงล่างสไตล์แข็งๆที่ทำให้มันขับสนุก แต่ติดกับปัญหาขนาดตัวที่ผิดมนุษย์ทั่วไปของผม แถมเรื่องมากในเรื่องสรีระ ไหล่ขวาโดนประตูเบียด ไหล่ซ้าย แค่เอาคนกึ่งอ้วนอย่างJ!MMY นั่ง ก็ชนกันแล้ว ทำให้นั่ง Jazz แล้วรู้สึกว่ายังไม่ใช่ และยังไม่okกับรูปทรงในภาพรวมที่ดูแล้วยังดูเด็กไปหน่อย อันนี้เป็นรสนิยมส่วนตัวที่ชอบอะไรที่ไม่เด็กเกินไป แต่ก็ต้องไม่แก่เกินไป
อันดับที่สามคือ New Vios ซึ่งเลือกมาด้วยความเชื่อมั่นเรื่องการซ่อมบำรุงและแนวโน้มการใช้งานในระยะยาว สามารถตอบโจทย์พื้นฐานผมได้เกือบทุกข้อยกเว้นเรื่องความสบายในการโดยสารบนเบาะที่ขนาดเล็กไปนิด ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาที่ตูดและตัวของผม แต่ไปๆมาๆ หลายคนที่ไซส์ปกติก็บอกว่ารู้สึกว่ามันเล็กเหมือนกัน และถ้าไม่นับเรื่องดีไซน์ที่ทันสมัย ผมยังรู้สึกอยู่ดีว่าถ้านั่งเดินทางไกล 4 คนกับเพื่อนๆ มันต้องมีการต่อสู้แย่งชิงเบาะหน้ากันแน่ๆ
ส่วน Altis, Civic, Focus หรืออย่างอื่นๆถามว่าทำไมไม่มอง เหตุผลหลักจริงๆคืองบประมาณครับ และที่กล่าวมาทุกคันนั้นก็เคยลองขับหมดแล้ว ก็ไม่ได้คิดว่าพวกนั้นเป็นรถที่แพงเกินราคา เพียงแต่มันเกินงบของเราเท่านั้นเอง
-
Why Tiida??
ในที่สุด Tiida ซึ่งผมไม่ได้สนใจตั้งแต่แรก กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาบ้าง เพราะผมเคยขับตัว 1.8 E10 มาแล้ว และประทับใจในการจัดพื้นที่ภายในจนสามารถจุหมีบ้าๆ 4 ตัวพร้อมกันได้สบาย แต่ติดข้อสงสัยที่ว่ารุ่น 1.6 จะเป็นอย่างไร เพราะยังไม่เคยได้ลอง ผมเคยอ่านรีวิวจิมมี่มาก่อนก็พอเดาออก แต่ก็ยังอยากลองกับตัวเองอยู่ดีเพราะรู้ตัวว่างบที่มีเอื้อมได้ถึง 1.6 ตัวล่างสุดเท่านั้น ผมจึงขอทางศูนย์กรุงไทยลองขับรถ 1.6 แต่ทางเซลส์แจ้งว่าไม่มีรถรุ่นนี้ให้ทดลอง ผมเลยยื่นคำขาดว่าผมต้องการลองให้ได้ ถ้าไม่งั้นคงตัดสินใจซื้อไม่ได้ครับ
วันต่อมา เซลส์โทรมาบอกว่าหารถ 1.6ให้ลองได้แล้ว แต่เป็นรุ่น 4 ประตูและเป็นรถของน้องสาวของเจ้าของศูนย์เอง ผมแค่อยากลองเครื่องอย่างเดียวก็เลยโอเค แล้วก็พาคุณพ่อไปด้วย เราทั้งคู่กำลังอยู่ระหว่างลาป่วยเพราะติดไข้หวัดงอมทั้งคู่แต่ก็มีแรงไปด้วยกันได้ล่ะน่า
แค่ถึงโชว์รูมแล้วชี้ให้พ่อดูรถ 5 ประตูที่จอดโชว์อยู่ ก็เริ่มมีสัญญาณดีแล้วครับ พ่อชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่เด็กขับก็ดูเด็ก ผู้ใหญ่ขับก็ดูเป็นผู้ใหญ่ และเมื่อเปิดเข้าไปดูภายใน ให้เขาลองนั่งเบาะหลังซึ่งเลื่อนถอยหลังจนสุดและปรับเอนได้ด้วยแล้ว นี่ล่ะครับถือเป็นไม้ตายพิชิตใจเขาเลย แต่ทั้งนี้คุณพ่อไม่ลืมเช็คเนื้อที่ฝากระโปรงท้ายว่าสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้หรือไม่ แม้จะไม่แน่ใจนัก แต่พ่อก็บอกว่าเอาเหอะ ถ้าพับเบาะลงมันก็ใส่ได้วะ
สาเหตุที่ต้องให้พ่อมาดูด้วย..ไม่ใช่แค่การขอความเห็นอย่างเดียว แต่เพราะรถคันนี้จะต้องแชร์กันใช้ได้ทั้งบ้านจึงอยากให้คุณพ่อได้มีส่วนในการเลือก ส่วนคุณแม่ผมท่านยังไงก็ได้อยู่แล้ว
หลังจากพาออกไปลองขับ ลองอัตราเร่งตอนออกตัว ลองวิ่งเอื่อยๆแล้วกดครึ่งคันเร่งหรือเต็มคันเร่งบ้าง ดูการทำงานของเกียร์ และลองเร่ง 60ไป100 กับ 80 ไป 120 ดู ก็พบว่าเครื่อง 1.6 เจอน้ำหนัก 4 คนบนรถก็มีหนืดๆให้เห็นมากกว่ารุ่น 1.8 แต่ยังอยู่ในระดับที่พึ่งพาได้ และค่อนข้างใกล้เคียงกับ Civic Dimension ของแม่ผม
โดยที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน พ่อผมบอกว่าจองไปเลยลูก แถมได้ขยับจาก 1.6S เป็น 1.6G เพราะคุณพ่ออยากให้มี ABS เงินดาวน์ก็มาจากการขายเบนซ์ และผ่อนเดือนละเก้าพันกว่าๆต่อไปอีก 48 เดือน
เพียงราว 7 วันหลังจากนั้น เซลส์ก็ติดต่อมาหาผมโดยแจ้งว่า
"คุณแพนคะ รถมาถึงแล้วค่ะ ยังไม่ได้ติดฟิล์ม ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่บอกไว้ เผื่อคุณแพนอยากมาดู"
จะพลาดเรอะ!!!
-
สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Tiida รุ่นนี้ถ้าถามความเห็นแบบผู้ไม่เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบรถอย่างผม ผมคิดว่า Tiida ก็คือน้ำปั่นแก้วกำลังดีที่มีส่วนผสมมาจาก Honda Jazz รุ่นแรก, Renault สักสองสามรุ่น, มูราโน่ และ 350Z มันเป็นรถที่ออกแบบมาเน้นความสบายในห้องโดยสาร ดังนั้นจึงถูกบังคับด้วยรูปทรงให้สูง รถคันนี้มีหน้าตาที่ออกจะเป็นมิตร มีเพียงไฟท้ายเท่านั้นที่ส่งอารมณ์แอบดุออกมาให้เห็น
เมื่อจับไปถ่ายรูปในมุมต่างๆ ก็หาจุดหล่อเหลาเพื่อถ่ายได้ไม่ยาก แต่มุมที่ไม่สวยก็คือหน้าตรง กับหลังตรง เพราะความโย่งแต่ลำตัวแคบ 1.695เมตร ทำให้มันดูโหยงๆ ขาดความบึกบึนมีมัดกล้ามอย่างที่ Mazda 3 หรือ Focus มี
ในรูปถ่ายข้างหลังเนี่ย ถ้าคุณๆสังเกตกันให้ได้ จะเห็น WRX สีขาวจอดอยู่ข้างท้าย อย่าให้บอกนะว่าใครเอามาขับ
รูปนี้ถ่ายมาประมาณกลางปีที่แล้ว
-
ส่วนที่ผมชอบในรถคันนี้อยู่ที่ประตูหลัง ซึ่งถ้ายกชิ้นประตูออกมาดูเดี่ยวๆมันจะดูไม่สวยเลย แต่พอลงไปอยู่บนรถแล้วกลับลงตัว การออกแบบส่วนหูช้างหลังที่เกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมนั้นสวยได้แบบฟลุ๊คๆ และได้ประโยชน์ในการเข้านั่งและลุกออกโดยที่แทบไม่ต้องก้มหัวหลบความโค้งของขอบประตูเลย
นอกจากนี้ผมยังขอของแถมจากเซลส์เป็นชุดสเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หน้าและหลัง ซึ่งช่วยให้ Tiida เดิมๆดูมีความเป็นวัยรุ่นและดูบึกบึนขึ้นมา แต่ลิ้นหน้าที่รักนั่นก็เป็นส่วนที่โดนครืดคราดบ่อยจนตอนนี้รอยเต็มไปหมดแล้ว และกันสาดขอบประตูสเป็คที่ผมสั่งนั้นเป็นของ Nissan Accessories แท้ ซึ่งราคาแพงกว่าของแถมทั่วไปแค่ไม่กี่ร้อย แต่กันสาดมีขนาดใหญ่ บางท่านจึงไม่ชอบ ส่วนเนื้องานพลาสติก ของ Accessories แท้นั้นหนาเหนียวและปึ้กกว่ามาก
-
การออกแบบภายในของ Tiida นั้น ผมคิดว่ามันยังขาดความโดดเด่น เมื่อเทียบกับภายนอก มันก็ยังดูจืดตาถ้าจะเทียบกับคู่แข่ง เป็นสาเหตุที่ผมชอบเรียกมันว่า “แกงจืด” ยิ่งถ้าเป็นในยามค่ำคืนล่ะก็ การก้าวลงจาก Mazda 3 ตัวท้อป มาขึ้น Tiida ของผมนั้นเปรียบได้กับการที่เราอยู่ใน Las Vegas อยู่ดีๆแล้วก็มาโผล่อยู่ที่แม่ฮ่องสอน คนที่รักความแพรวพราวอาจจะผิดหวังครับ
ในความเห็นผม ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ลองขับ ก่อนซื้อ หรือหลังซื้อ ผมก็ยังมีความเห็นเหมือนเดิมว่ามันเหมือนแกงจืดที่ใช้เครื่องปรุงดีๆทำ
ยังไง..ก็คุณรู้ ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกทำมาอย่างใส่ใจ แต่กระนั้น ยังไงๆมันก็จืดอยู่ดีนั่นล่ะ มันดูแล้วไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเอาซะเลย
บนคอนโซลกลางไม่มีอะไรมากไปกว่าแอร์ลูกบิดหน้าตาธรรมดา และวิทยุ ผมอยากให้นิสสันช่วยเอาปุ่ม A/C On กลับมาใส่หน่อยได้ไหมครับ จริงอยู่ว่าผมสามารถปิดคอมแอร์ได้โดยการบิดสวิทช์ไปซ้ายสุด มันก็off ได้ แต่ระหว่างบิดกับกด ผมว่ากดมันสะดวกกว่า
-
และก็ขอบ่นหน่อยว่าทำไม Nissan ไม่เลือกวิทยุติดรถรุ่นที่ดีกว่านี้มาให้
ในยุคที่รถราคาไม่เกิน 7แสน ให้วิทยุซีดีที่สามารถเล่น MP3ได้ และมีคุณภาพเสียงที่เกือบดี Tiida ไม่ว่าจะรุ่นถูกหรือแพง(ยกเว้นรุ่นLatio B) ก็จะนำเสนอคุณด้วย เครื่องเสียงแบบเล่น CD แผ่นเดียวที่ไม่มี MP3 ครับ แผ่นเดียว! ทั้งๆที่ดูหน้าตาตอนแรกนึกว่าน่าจะมี 6 แผ่นข้างใน
เสียงที่ได้จากลำโพง 4 ตัว ที่ขับขานโดยวิทยุ Clarion ตัวนี้ ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้ ผมคิดว่าภาคเบสหนักแน่นดีพอแล้ว แต่ภาคเสียงแหลมใส ยังต้องปรับปรุงอีกนิดครับ ผมพบว่าเสียงจะเพราะที่สุด ถ้าเบสถูกลดลงจนต่ำสุดๆ และเสียงแหลมถูกเร่งจนสูงสุดๆ มันไม่น่าจะขนาดนั้น จริงๆมันอยู่ที่ลำโพงส่วนหนึ่งครับ เพราะสมาชิก Tiida บางท่านลองเอาแอมป์และลำโพงใหม่ใส่และปรับจูนเสียงอีกนิด ดีจนไม่น่าเชื่อ ผมฟังมาแล้วจากรถพี่ tvee พ่อลูกอ่อนแห่งTiida Club
และนี่คือหน้าตาของวิทยุตัวเดิม ตอนอยู่นอกรถแล้ว ผมขายต่อไป 1,500
-
ดังนั้น ด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าต้องมีรายการเปลี่ยนกันแน่ ผมจึงค้นหาข้อมูลในคลับจนพบว่าเครื่องเสียง Navara รุ่น LE ตัวท้อป สามารถใส่กับ Tiida ได้ลงล็อคพอดี ดังนั้นผมจึงค้นหาวิทยุนี้ในบอร์ด Tiida และ Navara และก็ได้พบคนประกาศขาย ผมจึงตกลงซื้อก่อนที่จะได้รับรถเสียด้วยซ้ำ
เพียงแค่ 10 วันหลังจากรับรถมา เครื่องเสียง Panasonic จาก Navara ก็ได้มาอยู่ในรถผม ในราคา 4,000บาทถ้วนครับ
-
ส่วนการติดตั้ง ก็ได้ติดแบบเบลอๆเหมือนกัน คือวันนั้นเป็นวันที่ศูนย์นิสสันกรุงไทยจัด Event อบรมความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งผมก็ไปร่วมด้วยทั้งๆที่ไม่เคยออกงานกับ Tiida Club มาก่อน ก็พอดีได้เจอช่างอนันต์ ที่เค้าเรียกว่าเป็นช่างในตำนานของ Tiida นั่นล่ะครับ พี่อนันต์คุยกับผมแล้วเขาเลยถามว่า ซื้อมาน่ะจะใส่รถตัวเองหรือเปล่า ผมก็บอกว่าใช่ครับ
15นาทีต่อมาช่างอนันต์ก็จัดการเอาวิทยุใส่ให้ผมเรียบร้อย ขอบคุณครับ ลืมให้ค่าตอบแทน ขอจ่ายเป็นเบียร์ละกันนะพี่
หลังจากที่ใส่เสร็จก็ลองฟังมาสักพัก ผมได้ลองให้ J!MMY ฟังดูแล้วเหมือนกัน เราทั้งคู่ลงความเห็นกันว่าคุณภาพเสียงจากเครื่องเสียง Panasonic ตัวนี้ดีกว่า Clarion ติดรถของเดิม แต่ไม่มากนักและยังห่างชั้นกับเครื่องเสียงพรีเมียมราคาปานกลางในตลาดแน่นอน ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เจอคือภาครับวิทยุไม่ค่อยชัดในหลายคลื่น
แต่ก็มีคนคนนึงแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อผมค้นเจอกระทู้นี้
http://www.tiida-club.net/smf/index.php?topic=6630.0
รวมถึงคุณเคี้ยง @Note@ ซึ่งเข้าเป็นสมาชิกคลับพร้อมผม และยังสนิทกันอยู่ทุกวันนี้ เขาก็ได้ลองทำกับรถเขาเองแล้ว เราสองคนเอารถมาจอดข้างกันในศูนย์กรุงไทย เปิดวิทยุคลื่นเดียวกัน ผมลุกเข้าลุกออกฟังสลับกันแค่รอบเดียวก็เห็นความต่างชัดเจนมากครับ
-
เมื่อตอนที่เปลี่ยนจากรุ่น E10 มาเป็นรุ่น E20นั้น ถ้าเป็นรุ่น 1.6G จะมีบางรายการที่ตัดออกไป อย่างเช่นพวงมาลัยหุ้มหนัง และกระปุกที่เขี่ยบุหรี่ ทางด้านลิ้นชัก เห็นว่ากันว่ารุ่น E10 เวลาเปิดจะลงมาแบบนุ่มๆ แต่ E20 จะไม่มีระบบหน่วงลิ้นชัก เวลาเปิด ก็จะแปะแป้กลงมาเลย ส่วนเบาะยังเป็นลายเดิมอยู่ และแผงบังแดดพร้อมกระจกและไฟแต่งหน้า ยังคงมีอยู่ และนอกจากนั้นไป เท่าที่สำรวจด้วยสายตาคิดว่ามันก็เหมือนกับรุ่น E10 ทั้งหมดนะครับ
-
ตรงคอนโซลกลางเป็นที่สิงสถิตย์ของเบรคมือ ที่จุดบุหรี่ และที่เท้าแขนบุหนังเทียมนุ่ม ที่ขนาดเหมาะเอาไว้ใช้เท้าแขนได้จริง ไม่ใช่เป็นกระบองท่อนๆยื่นออกมาซึ่งเท้าแขนไม่ค่อยได้เต็มเม็ดนัก ของ Tiida นี้สามารถเปิดฝาเพื่อใส่ของกระจุกกระจิกได้โดยที่ข้างในบุผ้าบางๆไว้ ไม่ได้ปล่อยให้เป็นพลาสติกเปลือยนะครับ
ที่เท้าแขนนี้สำหรับคนตัวสูงไม่เกิน 170 น่าจะอยู่ในตำแหน่งที่สบายพอดี ออกแบบให้ลาดลงไปข้างหน้าเพื่อให้ข้อศอกอยู่ในลักษณะที่ผ่อนคลายที่สุดในยามเท้าแขน แต่สำหรับผมซึ่งสูง 183 และลำตัวหนากว่าชาวบ้าน พบว่าที่เท้าแขนนี้จะลาดลงมากเกินไปสักหน่อยและอยู่ในตำแหน่งที่เตี้ยไปแค่นิดเดียวเท่านั้น
จริงๆถ้าศึกษาคู่แข่งรอบด้าน เค้าสามารถทำที่เท้าแขนให้เลื่อนหน้า-หลัง(Civic) หรือปรับล็อคตำแหน่งก้ม-เงยได้(New Lancer) ถ้า Tiida ทำได้แบบนี้บ้างก็จะดีมากครับ เพราะไหนๆ จุดแข็งที่สุดของภาพลักษณ์ Tiida คือการโฟกัสที่ความสบายในการนั่งไม่ใช่หรือ?
และที่เห็นก็จะมีก้านสำหรับปรับเบาะที่ย้ายที่อยู่ จากริมนอกของเบาะมาอยู่ริมในแทน ทำให้สามารถขยายความกว้างของเบาะจนชิดแผงประตูได้เกือบแน่น เพราะไม่ต้องเผื่อที่ไว้สำหรับก้านดึงหรือลูกบิดปรับเบาะอีกต่อไป
แต่การดึงหรือกดคันโยกเหล่านี้ ไม่ได้ใช้แค่ปลายนิ้วเกี่ยวนะครับ ต้องใช้หลายนิ้ว และใช้แรงมากกว่าที่คิดไว้ ในโฆษณาของ Latio ที่เห็นคุณพ่อสุดหล่อปรับให้คุณแม่สุดสวยที่มันดูเหมือนง่ายและเบาแรงนั้น จริงๆถ้ากล้องส่องใบหน้าคุณพ่อจากอีกด้านนึงจะเห็นคุณพ่อเส้นเอ็นป่องหน้าเหมือนซุปเปอร์ไซย่า
-
ในส่วนของข้อดีที่พบได้ใน Tiida ก็คือการออกแบบภายในมีการจัดวางอุปกรณ์อย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อยและมีการแบ่งกลุ่มสวิทช์ต่างๆออกอย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการใช้งานโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนข้างหน้า
แอร์อยู่กับแอร์ด้วยกัน ล่างสุด จำตำแหน่งลูกบิดได้ ก็ใช้งานได้โดยที่ไม่ต้องลืมตาด้วยซ้ำ
การจัดโซนนิ่งให้สวิทช์เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของความปลอดภัยในการใช้งานรถยนต์ ซึ่งแม้รถในทุกวันนี้
จะมีอุปกรณ์และสวิทช์มากมายก่ายกอง แต่ค่ายรถก็มีวิธีในการทำให้มันใช้งานได้ง่าย ของวอลโว่ใช้รูปร่างปุ่มในการสื่อความหมาย ของหน้าที่การทำงานของปุ่มนั้นๆเป็นต้น ส่วนถ้าเป็นตัวอย่างที่ไม่น่าเอาอย่าง..ลองดูคอนโซลของ Accord 2.4 Navi ตัวใหม่ครับ นี่คือคอนโซลที่จะทำให้กระแส Minimalism ลุกเป็นไฟได้
Detail เล็กๆบางอย่าง ก็มีให้เห็นเพื่อพยายามแสดงตัวเองว่าเป็นรถที่ไม่ได้ตัดต้นทุนขนาดหนัก ที่เท้าแขนตรงประตูมีการบุหนังมา ให้สัมผัสที่นุ่มใช้ได้ ขอบประตูด้านบนก็บุวัสดุแบบเดียวกัน ส่วนการที่เบาะของรุ่น 1.6G เป็นหนังเทียมสลับผ้านั้นผมมองว่าเป็นเรื่องของการพยายามเล่นกับสไตล์ที่ทำให้ดูเป็นวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องลดต้นทุน เพราะ Tiida 1.6 4ประตูก็ใช้เบาะผ้าล้วนกันตั้งแต่รุ่น B ขึ้นมาเลย
-
ภายในตอนกลางคืน เน้นโทนสีส้มโทนเดียวทั้งคัน ยกเว้นสวิทช์แอร์บางจุด และใต้สวิทช์แอร์ลงมา ถ้าคลำๆดูจะพบไฟหรี่ๆสีส้ม ที่จัดให้แสงส่องมาบริเวณฝาปิดที่วางแก้ว สร้างบรรยากาศให้รู้สึกดีได้อีกแบบ
ที่ไม่มีในรุ่น 1.6 แต่สามารถพบได้ในรุ่น 1.8 ก็คือไฟ flood light ที่ส่องจากเพดานช่วงกล่องเก็บแว่นตา ลงมาแถวกลางๆระหว่างเบาะนั่งคู่หน้า แต่ถ้าใครอยากได้ล่ะก็ สามารถเบิกอะไหล่ห้าง และให้ช่างที่ศูนย์ทำการติดตั้งเพิ่มได้ครับ
หน้าปัดจะเรืองแสงเมื่อสวิทช์กุญแจบิดไปที่ตำแหน่ง ON หรือสตาร์ทเท่านั้น และจะเรืองแสงอยู่ภายใต้ความสว่างระดับเดียวทั้งกลางวันและกลางคืน ผมเคยเจอสาวน่ารักคนนึง เอารถเข้ามาที่ศูนย์กรุงไทย เพราะว่าเธอสงสัยว่าไฟหน้าปัดรถของเธอค้าง ไม่ยอมปิด (ตั้งแต่รับรถมา เธอแทบไม่ได้ขับตอนกลางวันเลย)
เท่าที่ใช้งานก็พบว่าการพยายามอ่านค่าต่างๆบนหน้าปัดทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนนั้นสามารถทำได้ง่าย
เพราะนี่ไม่ใช่หน้าปัดมืดๆที่เรืองแสงเพื่อให้อ่านค่าได้ชัดและสวยงามแบบพวกจอ “หน้ามืด” ทั้งหลาย
แต่มันคือหน้าปัดธรรมดาที่ต่อให้ไม่เรืองแสงก็ยังมองเห็นได้ดีในเวลากลางวัน
แต่ถูกนำมาทำให้มีไฟเรืองแสงจากข้างหลังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเกือบตลอดเวลา
ไม่ว่าสภาพแสงข้างนอกจะเป็นอย่างไร นี่เป็นอีก1ตัวอย่างของ user friendliness ที่พบใน Tiida
ถ้าให้ดี ผมก็คงขอแค่อยากให้ปรับความสว่าง/มืดได้บ้าง เพราะบางทีวิ่งกลางคืนผมอยากลดความสว่างลงเล็กน้อย Sentra จาก 15ปีก่อนมีปุ่มปรับแสงแบบนี้ ดังนั้นเรื่องของการตัดสวิทช์นี่ออกน่าจะเป็นเรื่องการลดต้นทุนในส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้มากกว่า (สรุปแล้วดูเหมือนว่า Tiida มันก็มีจุดลดต้นทุนของมันเหมือนกันแหละ)
-
การโดยสารและจัดพื้นที่ใช้สอยภายใน
หลายคนที่ชื่นชอบTiida มักบอกคุณว่า Tiida กว้าง แต่จริงๆแล้วขนาดของตัวรถก็บ่งบอกอยู่ว่าความกว้างของตัวถังนั้นก็แค่ 1.695เมตร ซึ่งจัดอยู่ในพิกัดรถลำตัวแคบในขณะที่ Altis, 3, และ Civic ตอนนี้ความกว้างของลำตัวทะลุ 1.7 เมตรไปกันหมดแล้ว และ Honda Jazz ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งขนาด Sub compact ตอนนี้ก็มีความกว้าง (เฉพาะลำตัว) เท่ากับ Tiida ในปัจจุบัน
ฉะนั้นคำว่ากว้างอาจจะตีความมาจากการที่นั่งสบาย ..ระวังการแปลความหมายตรงนี้ให้ดี
สำหรับที่นั่งเบาะหน้านั้น หายห่วงครับ สบายถึงแม้ตัวรถจริงๆจะไม่ได้กว้างอะไร เพราะแผงประตูของ Tiidaนั้นค่อนข้างจะบางกว่ารถรุ่นอื่นๆในสมัยนี้ ที่พูดถึงนี่คือแผงประตูที่เป็นบ้านให้กับบรรดาคันโยกเปิดประตูกับที่เท้าแขนนะครับ..ไม่ใช่ความหนาของเหล็กที่มีส่วนต่อการปกป้องผู้โดยสาร
เบาะนั่งคนขับสามารถปรับเลื่อนสูง-ต่ำได้ แต่ส่วนที่รองรับก้นนั้นจะไม่สามารถปรับเทหน้า หรือยกเฉพาะสันรับช่วงใต้หัวเข่าขึ้นได้ ถ้าจะเลื่อนขึ้นหรือลง ก็จะไปแบบทีเดียวทั้งเบาะ ข้อดีก็คือเวลาจะปรับ ปรับง่าย ไม่เสียเวลามาก แต่ในเรื่องของความละเอียดในการปรับ บางท่านก็อาจจะยอมเสียเวลาปรับเบาะเพิ่มอีกหน่อย แล้วปรับให้ได้ความสูงช่วงตำแหน่งเบาะรองก้น หรือรองใต้หัวเข่าให้พอดีๆมากกว่า
ยังดีที่ตัวเบาะมีขนาดใหญ่ และถ้าเทียบกับรถหลายๆรุ่น เบาะรองขานั้นถือว่ายาวและสามารถสร้างความสบายในการขับได้ดีแม้จะขับนานต่อเนื่องเกินชั่วโมง ตำแหน่งการวางเบาะที่สูง บวกกับหลังคาที่สูงโปร่งทำให้มีความรู้สึกเหมือนนั่งเก้าอี้ทำงานดีๆสักตัว เพราะขานั้นอยู่ในตำแหน่งที่ให้อิริยาบทเป็นธรรมชาติต่อการนั่ง
-
ส่วนพนักพิงหลังนั้น ผมรู้สึกว่าขาดช่วงดุนไหล่ไปนิดเดียวครับที่จะทำให้นั่งสบาย นอกนั้น support ส่วนแผ่นหลังและด้านข้างจัดว่าให้ความสบายได้มาก พนักพิงศรีษะ ปรับสูงต่ำได้ แต่ปรับเอนหน้า-หลังไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับรถจากฟากอาทิตย์อุทัยที่จะให้พนักพิงศรีษะแบบนี้ หารู้ไม่ว่าบางทีการปรับจุดเล็กๆน้อยๆพวกนี้ทำให้ดุนต้นคอได้พอดี เวลาขับทางไกลมันช่วยให้เมื่อยหลังได้น้อยลงด้วยนะครับ
สำหรับพื้นที่ช่วงเข่า การที่ยกคอนโซลส่วนที่เป็นแผงควบคุมขึ้นสูง และเคลียร์พื้นที่ส่วนล่างให้เล็กแบบนี้ แม้ในโบรชัวร์มันอาจจะดูไม่สวยเท่าคอนโซลที่ยาวตรงติดกันตลอดเป็นแนวสวยแบบ Mazda 3 หรือ Ford Focus แต่พอนั่งในชีวิตจริง คุณสามารถแหกขาเกาไข่ได้อย่างสบายกว่ามากๆ เพราะเข่าคุณสามารถเลื่อนสไลด์เข้าไปอยู่ข้างใต้คอนโซลได้แบบพอดิบพอดี
ลองเอาคนหุ่นปกติมานั่งให้ดูเบาะหน้า นี่คือคุณพีระ เพื่อนสนิทของผมซึ่งถ้าเป็นคนในวงการ BB Gun เมืองนครพิงค์น่าจะเคยเห็นหน้าค่าตากันมาบ้าง และความที่อาหารการกินครบห้าหมู่แถมยังออกกำลังกายเล่นมวยไทย แกเลยน่าจะเป็นหุ่นแบบอย่างที่ดีสำหรับผู้ชายไทยยุคใหม่ที่ตัวสูงระดับ 6 ฟุต
(รูปเอามาจากเดือนสิงหาคม 2006 ที่นิวตั้น ตลิ่งชัน)
-
แล้วก็มาถึงพื้นที่ของเบาะหลังจนได้
ผมคิดว่านี่น่าจะเป็น highlight ของ Tiida อย่างนึง กับการที่มีเบาะหลังที่สามารถปรับเพื่อเอาใจคนนั่งหลังได้มาก โดยสามารถเลื่อนเดินหน้าถอยหลังเป็นระยะ 24 ซ.ม.ได้ แถมยังสามารถปรับเอนเพื่อความสบายในการโดยสารเดินทางไกลได้อีกด้วย
นิสสันเคลมว่า หากปรับเบาะหลังให้ถอยไปจนสุดเมื่อไหร่ ความยาวของห้องโดยสารนั้นเกือบจะเทียบได้กับรถซาลูนหรูยาวทะลุ 5 เมตรของค่ายนิสสันเองอย่าง Nissan Cima V8 เลยล่ะครับ เมื่อบวกกับหลังคาสูงโปร่งแล้วทำให้เป็นพื้นที่สำหรับโดยสารที่โล่งยิ่งกว่ารถรุ่นพี่อย่าง Nissan Teana ซะอีก เห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องของพื้นที่ว่างเหนือศรีษะ ซึ่งถ้านั่งใน Tiida ผมสามารถนั่งหลังชิดใน หัวตรงหลังตึงได้อย่างสบาย มีที่เหลือให้เอามืออ้วนๆสอดผ่านระหว่างหัวและเพดานรถได้ แต่ถ้าเป็น Teana นั่งแบบเดียวกัน ผมจะลงเอยด้วยการที่ต้องก้มหัวหรือเอียงคอเพื่อหลบความลาดของหลังคา
-
โปรดสังเกตพื้นที่ช่วงวางขา คิดว่าเป็นไง โอเคไหมครับ..? ถ้าไม่โอเค ผมคงต้องบอกเสริมว่าตำแหน่งที่เบาะหน้าได้ถูกปรับตั้งไว้นั้น คือตำแหน่งการปรับเบาะสำหรับการนั่งขับของผมเอง
พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าผมมีน้องชายฝาแฝดที่ตัวเท่ากัน ผมสามารถให้น้องชายนั่งขับข้างหน้า โดยมีผมนั่งอยู่ข้างหลังเขาได้ โดยไม่รู้สึกว่าถูกบีบอัดพื้นที่แต่อย่างใด แต่อาจจะไขว่ห้างไม่ได้เท่านั้นล่ะ
ที่ใต้เบาะนั้นโล่งมากจนสามารถเอาเท้าสอดเข้าไปได้อย่างลึก อันที่จริงผมเพิ่งค้นพบว่ามันโล่งขนาดไหน ก็ตอนที่วางขวดน้ำขนาด2ลิตร ไว้ที่พื้นเบาะหลัง แล้ววันหนึ่งผมโดนรถอีกคันตัดหน้า ต้องเบรค ตอนเบรคนี่ขวดน้ำกลิ้งพรวดเดียวลอดใต้เบาะมาอยู่ข้างหน้าเลย และมันก็เป็นปัญหามากๆเวลาผมเบรคกระทันหันแรงๆ ผมมักพบสิ่งของอะไรก็ตามที่เคยอยู่บนเบาะหลัง มาโผล่อยู่ตรงเท้าผมอย่างมึนๆ
หิวน้ำเรอะ? อยากกินน้ำ น้ำอยู่ไหน อ๋อ อยู่เบาะหลัง หลังตัวกรูเนี่ยล่ะ ฮึบ ฮึบ จะหยิบ เอี้ยวไม่ถึง อ้อ! ไม่มีปัญหา นี่ไง กรูก็เบรคคคค แล้วกรูก็เบรคคค แล้วกรูก็เบรคคคค
เบรคไปเหอะ เดี๋ยวมันก็กลิ้งหลุนๆมาอยู่ใต้เท้าผมเอง
แต่มองอีกแง่นึง อันตรายนะครับ เพราะบางทีมันกลิ้งมากวนๆเท้าผมบริเวณคันเร่งกับเบรค ผมยังไม่เคยมีปัญหาแบบนี้นะครับ แต่เดาว่ามันยังมีความเสี่ยงให้เห็น ถ้าให้ดีขวดน้ำน่ะควรจะเสียบไว้ตรงไหนสักแห่งที่ปลอดภัยดีกว่า หรือไม่งั้นก็ควรหาอะไรสักอย่างมาขึงกันไว้ใต้เบาะสักนิด
-
สำหรับท่านไหนที่ชอบพาเพื่อนๆเดินทางไกล 3-4 คนบ่อยๆ ปัญหาเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งเบาะหน้า ก็ไม่มีอีกต่อไป
แต่ถ้านั่งโดยสาร 5 คน การแย่งชิงที่ว่าอาจจะกลับมาอีกครั้ง!
เพราะแม้ช่วง Legroom และ Headroom ของ Tiida จะเหนือกว่าคู่แข่งทุกรายอย่างเห็นได้ชัด แต่ในเรื่องความกว้างภายในห้องโดยสารนั้น ถึงแม้จะออกแบบให้ใช้เนื้อที่ให้คุ้มที่สุดยังไง ท้ายที่สุดมันก็ไม่ใช่ห้องต้องประสงค์แบบที่จะพบได้ในนวนิยายแฮรี่พอตเตอร์หรอกครับ
ความที่ทุกอย่างต้องมาอยู่ภายในบอดี้รถที่กว้าง 1.695เมตร ทำให้เบาะหลังที่เคยเป็นสวรรค์เมื่อมีผู้นั่งสองคน เริ่มไม่ใช่สวรรค์ ถ้าต้องมีใครสักคนมาแทรกกลาง โอเค๊ มันก็ยังพอไปได้สำหรับสาวนางร่างชะลูด ถ้าแบบนั้นนั่งสามคนได้แน่นอนครับ ไม่บ่นด้วย แต่ถ้าเป็นผู้ชายร่างปกติสามคน จะมีการบ่นกันเกิดขึ้นแน่ๆ ผมเคยถูกบังคับโดยสถานการณ์ให้โดยสารไปบนเบาะหลังของ Honda Jazz กับชายสองคนที่คนนึงหนัก 70 อีกคนหนัก 84 บอกตรงๆว่าเมื่อมาอยู่ใน Tiidaนั้น สภาพของชายทั้งสามคนดีกว่าใน Jazz นิดเดียวจริงๆครับ
ลองดูรูปนี้จะเห็นว่าผมลองนั่งโดยเอาที่วางแขนลง ปรากฏว่าล็อคตัวผมได้แบบพอดีเด๊ะ
-
ส่วนพื้นที่บรรทุกด้านท้ายรถนั้น ผมเคยได้ยินอย่างน้อยประมาณ 4-5เสียงที่เถียงกันว่า Tiida 5 ประตูใส่ถุงกอล์ฟได้จริงหรือไม่
"ใส่ได้สิวะ"
"ไม่ได้หรอก กว้างไม่พอ"
"ในโบรชัวร์ยังเห็นใส่ได้เลย"
"มันแต่งภาพเอาตะหากล่ะ"
งั้นก็พิสูจน์ให้เห็นกันจั๋งจั๋งล่ะกันครับว่าใส่ได้หรือไม่ได้ ดูตามภาพข้างล่างนี้เลย
จะเห็นว่าใส่ได้พอดีแบบเด๊ะๆ ถุงกอล์ฟในภาพนั้นมีหัวไม้ 1 ใส่อยู่ด้วยนะครับ แต่การใส่มันไม่สามารถเปิดท้าย
แล้วโยนโครมใส่ได้เลยแบบเบนซ์ S-Class แต่ต้องเอาท้ายถุงเข้าก่อน แล้วเอาหัวถุงเข้าทีหลัง มีการเบี่ยงหลบไฟท้ายนิดหน่อย แต่สามารถยัดเข้าไปได้ทั้งถุงแน่นอนครับ
และเมื่อใส่ถุงกอล์ฟแล้ว เนื้อที่ที่เหลืออยู่จะสามารถให้คุณใส่กระเป๋าเดินทางใบแข็งขนาดเล็กได้สองใบ
การใส่ถุงกอล์ฟนี้มีข้อแม้อย่างเดียวว่าต้องเป็นถุงแบบที่หัวคลุมถุงไม่สูงยาวนัก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็จะใส่ไม่ได้ ต้องใช้วิธีพับเบาะใส่เอา
-
ช่วงล่างและการขับขี่
วินาทีแรกที่ผมเลี้ยวรถคันนี้ออกจากศูนย์ในวันแรก ผมรู้สึกประหลาดใจมาก
จะไม่ให้มากได้ยังไง ในเมื่อช่วงล่างที่ผมเคยชื่นชมว่าเป็นช่วงล่างที่เซ็ตมาได้อย่างเป็นกลาง เด็กขับซ่าพอได้ ผู้ใหญ่ขับแล้วไม่บ่น เก็บซับแรงกระแทกได้ดี
กลายเป็นช่วงล่างที่เก็บรายละเอียดผิวถนนมาซะหมด ภาษาชาวบ้านเรียกว่ากระด้างนั่นแหละครับ
อุแม่เจ้า..นี่ขนาดยาง185/65 ยังสะเทือนขนาดนี้ รถเรามีอะไรผิดปกติหรือเปล่าวะเนี่ย ด้วยความสงสัยเลยต้องจอดรถแล้วต่อสายโทรศัพท์ไปถามคนสนิทที่ทำงานคนนึงที่ใช้ทีด้าอยู่ เค้าผู้นั้นได้ทำการเปลี่ยนโช้คมาแล้วสองครั้งเพื่อแก้ปัญหาเรื่องเสียงดังตึงตังที่โช้คหลังเวลากระแทกช่วงล่างแรงๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดใน Tiida รุ่นแรกๆ การแก้ปัญหานั้นจบลงด้วยโช้คใหม่แบบเดียวกับรุ่น E20 ซึ่งมีความหนืดและหนึบกว่าของเดิมแบบรู้สึกได้ในทันที
เมื่อสอบถามจนมั่นใจแล้วว่า มันเป็นของมันอย่างนี้แหละ เลยขับรถต่อมาด้วยความเซ็ง ยังดีที่ระหว่างคุยกันนั้น พี่เขาได้บอกมาด้วยว่าช่วงแรกๆมันจะแข็ง แต่หลังๆมันจะเริ่มอ่อนนุ่มขึ้นนิดหน่อย ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
บางคนก็บอกว่า ให้พาเพื่อนนั่งรถเยอะๆแล้วจั๊มเนิน ลงหลุม หรือทำอะไรก็ทำไปตามใจเลย แล้วสักพักมันจะนุ่มขึ้นเอง ผมก็เลยทำตามนั้น และก็เหมือนตลกเบลอๆ เพราะนับมาจนวันนี้ 1 ปี กับ 15,000 โลที่วิ่งมา เห้ย มันนุ่มขึ้นจริงๆว่ะ
ตอนแรกผมก็นึกว่า เอเป็นเพราะความชินหรือเปล่า เพราะผมขับมันทุกวัน ผมเลยลองไปให้เพื่อนคนอื่นที่แทบไม่ค่อยได้ขับรถผมเลยมาลองดู ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า
“สงสัยโช้คมันแตกเพราะน้ำหนักมึงอ่ะ”
ไอ้บ้า....แต่สรุป มันนุ่มขึ้นจริง และแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับที่นุ่มเท่า Nissan Cube แต่ก็อยู่ในระดับที่พอรับได้มากขึ้น โดยที่ยังขับสนุกเท่าเดิม คิดดูละกันว่าช่วงป้ายแดงที่ผมรับมันมา ผมพาพ่อไปนครนายก แล้วผ่านช่วงนึงที่กระเทือนมากๆ พ่อผมบอกว่า “ไอ้นี่มันกระเทือนเหมือนรถซิ่งเลยนะ” แต่เมื่อเดือนก่อน พ่อผมยืมรถไปขับ ผมถามพ่อเรื่องช่วงล่าง คราวนี้พ่อกลับบอกว่า “มันเฟิร์มนะ แต่พ่อว่าไม่ได้กระเทือนอะไรขนาดนั้น”
เทียบกับรถคันอื่นในบ้านล่ะเป็นไง Tiida 1.6 ยาง Bridgestone B250 กับ Civic Dimension 1.7 ยาง AR10
ในสภาพถนนเรียบ มันก็คล้ายๆกัน Civicจะไม่มีปัญหากับลมตีข้างมากเท่า แต่พอ 130 ขึ้นไปก็มีช่วงล่างหวิวๆบ้าง ส่วน Tiida น่ะช่วงล่างหนึบ แต่หวิวเพราะแรงลมตีตัวถัง ส่วนถนนขรุขระเช่นลูกรัง หรือถนนซีเมนต์ Civic ประเสริฐกว่ามาก อาจจะเพราะยางดีกว่าด้วยแต่ยางอย่างเดียวคงไม่ได้ช่วยได้มากขนาดนั้น
พอลองมาเป็นลูกระนาดหรือจั๊มสะพาน Civic ท้ายเด้งจนน่ารำคาญมาก ส่วน Tiida จะมีอาการกระแทกให้รู้สึกชัดเจน แต่ตัวรถไม่ได้โยนหรือเด้ง พูดง่ายๆคือ Civic น่ะ เด้งหัวชนเพดาน แต่ Tiida ตัวติดเบาะ แต่เจ็บตูด เลือกเอา
-
การขับขี่บนทางตรง แบบทางไกล นิ่ง แน่น และไว้ใจได้ในระดับที่ดีกว่ารถญี่ปุ่นจากยุค 15 ปีก่อนแบบคนละเรื่อง (ซึ่งรถค่ายอื่นเค้าก็ปรับปรุงดีขึ้นในแนวทางเดียวกัน) ถ้าไม่ใส่ใจมองเข็มวัดความเร็วให้ดีระวังจะเผลอไหลขึ้นไปอยู่ 145 ก.ม./ช.ม. จนโดนด่านพระรามเก้าออกใบสั่งแบบผม
จุดอ่อนของรถคันนี้บนการวิ่งบนทางยกระดับคือลมปะทะข้าง เพราะรูปทรงของรถที่มีด้านข้างเป็นแบบตัดดิ่งตรง บวกกับหลังคาที่ค่อนข้างสูง การวิ่งในที่ที่ลมพัดแรงตัวรถจะมีอาการวูบวาบให้รู้สึกได้ หรือการวิ่งตัดผ่านท้ายรถทัวร์ อาการจะออกมากหน่อย จะทำให้ผู้ขับรู้สึกระแวงได้ แม้ว่าจริงๆแล้วรถไม่ได้เฉออกนอกทางอย่างที่คิด ถ้ามือจับพวงมาลัยอยู่ก็ไม่มีปัญหา แก้กันนิดหน่อย แต่ถ้าเล่นปล่อยมือจากพวงมาลัย
แล้ววิ่งผ่านรถทัวร์..ก็ระวังรถเปลี่ยนเลนเองละกันครับ อันนี้เป็นข้อได้ข้อเสียจากดีไซน์ของรถซึ่งต้องแลกกันบ้าง
แต่ถ้าไม่มีลมปะทะด้านข้าง Tiida จะวิ่งตรงได้ฉิวอย่างกับลูกดอกครับ สบายหายห่วง ที่ 180ก.ม./ช.ม. ถ้าไม่มีลมตีข้างรถล่ะก็บอกได้ว่าไม่มีส่ายไม่มีร่อน ให้ความมั่นใจชนิดที่น่าฉงนมาก
พวงมาลัยที่เคยเบาจนแทบเอานิ้วก้อยเกี่ยวเพื่อหมุนได้ในช่วงความเร็วต่ำ จะกลายเป็นหนักและฝืดขึ้นแบบคนละเรื่องในความเร็วสูง ถ้ามองในแง่ของรถสำหรับการใช้งาน นี่เป็นพวงมาลัยที่คุณจะรักมันไปจนกว่ามอเตอร์ไฟฟ้าขับชุดพวงมาลัยจะเสีย ที่ความเร็ว 160ก.ม./ช.ม. คุณอาจมีความรู้สึกมั่นใจจนกระทั่งรู้ตัวอีกที คุณขับโดยเอามือซ้ายกุมมือคนข้างๆ และมือขวาหนีบพวงมาลัยไว้ด้วยนิ้วสองนิ้ว ซึ่งทำได้ แต่ไม่ปลอดภัย
แต่ถ้าขับแบบหุนหันรุนแรง ผมพบว่า Tiida มีลักษณะการตอบสนองตามธรรมชาติการเซ็ตพวงมาลัยของรถบ้านสไตล์นิสสัน ซึ่งจะไม่ทดไวนัก ทำให้หักไปหักมาได้นิดหน่อยโดยที่รถยังไม่เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว และเมื่อต้องการหักซ้ายแล้วต่อด้วยขวาอย่างเร็ว หรือพูดภาษาธรรมดาว่า "มุด"แบบที่พวกวัยรุ่นชอบทำ Tiida จะต้องหมุนไปมากองศาสักหน่อย ในขณะที่ฮอนด้าหมุนซ้ายนิด ขวาหน่อย ก็บังคับรถแทรกไปตามรูต่างๆได้อย่างคล่องตัว
เรื่องแบบนี้ ต้องแล้วแต่ความชอบของผู้ใช้ครับ
-
ในความเห็นเจ้าของรถอย่างผมก็คือ การเซ็ตช่วงล่างดีสำหรับคนชอบขับเที่ยวภูเขาครับ แต่ถ้ากระด้างน้อยกว่านี้โดยทำให้เกาะถนนเท่าๆเดิมได้ยิ่งดี แม้จะไม่ใช่สไตล์แบบที่คุณจะได้รับจากเปอโยต์ 406 EA9 หรือ ฟอร์ด โฟกัส พวกนั้นทำได้ดีกว่าในการพยายามบาลานซ์ระหว่างความนุ่มและความเกาะถนน ส่วน Tiidaตัว E20นี้ ผมคิดว่ากระด้างไปนิดครับถ้าต้องขับผ่านถนนขรุขระบ่อยๆ..ฟีลลิ่งบนถนนขรุขระคล้ายคลึงกับ BMW 320d ตัวปัจจุบันนี่มาก (เฉพาะบนถนนขรุขระนะ ไม่ใช่บนไฮเวย์ที่ความเร็ว200)
ดังนั้น ถ้าที่บ้านต้องให้คุณตา คุณยายโดยสารเป็นประจำ .จะเป็นความคิดที่ดีถ้าให้พวกเค้าได้ลองนั่งไปกับคุณตอนทดลองขับครับ
-
ขออีก 1 ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องยาง
ยาง Bridgestone B250 ที่ติดรถมานั่น น่าจะถอดออกแล้วจับไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เก้าอี้นั่งซะดีกว่า เพราะสิ่งแรกที่ยกธงขาวยอมแพ้ในโค้งก็คือยางตัวนี้แหละครับ แถมพอฝนตก ผมแตะเบรคแค่ครึ่งเดียวที่ความเร็ว 60 ปรากฏว่า ABS ทำงานแบบกระต่ายโดนไฟดูดเลย แถมไม่มีการเตือนใดๆทั้งสิ้น เวลาวิ่งผ่านน้ำน่ะมันไม่เหินน้ำเพราะหน้ายางกว้างแค่ 185 แต่ลองแตะๆเบรคดูเถอะครับ แล้วจะเห็นเองว่าผมพยายามบอกอะไร
โอเค บางคนบอกว่าใช้แล้วก็ไม่เห็นมีอะไร วิ่งๆไปมันไม่ระเบิดก็บุญแล้ว ผมบอกได้เลยว่างั้นไว้คุยกันอีกรอบตอนคุณเปลี่ยนยางครั้งต่อไปละกันนะครับพี่ แล้วพี่จะเข้าใจอะไรๆมากขึ้น
เสียดายว่าช่วงนี้จนเป็นบ้า เลยได้แต่ขับ B250 ทนใช้ไปก่อน โดยใช้ความระวังเป็นอย่างยิ่งบนถนนเปียก
-
การเก็บเสียง
สิ่งหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่าเป็นจุดเด่นของ Tiida ก็คือความสามารถในการเก็บเสียงจากภายนอกรถไม่ให้เข้ามาทำลายความสุนทรีย์ภายในห้องโดยสาร
จริงอยู่ว่าคุณคงไม่ได้ความเงียบประหนึ่ง Lexus LS ราคาหลายล้าน แต่สำหรับ Tiida Hatchback นั้น ผมยอมรับว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ แม้ว่ารถผมจะติด weather guard ที่ประตูทั้ง 4 บาน เสียงลมน่าจะดังชัดเจนมากกว่านี้ แต่ที่ความเร็ว 110 กลับมีให้ได้ยินแค่เบาๆชนิดที่ไม่ต้องปรับความดังของเครื่องเสียงเพิ่มแม้แต่1บิด เพื่อให้ได้เสียงเข้ารูหูเท่าเดิม เสียงลมกรีดผ่านกระจกส่องข้างที่คาดว่าต้องเจอแน่ๆ ก็ยังไม่ดังเท่าเสียงลมที่ตี weather guard ด้วยซ้ำ ต้องวิ่งกันประมาณ 140 ขึ้นไป ผมถึงรู้สึกว่าต้องปรับเพิ่มเสียงวิทยุหน่อยละ
เสียงจากเครื่องยนต์ หรือเสียงจากยาง Bridgestone เอื้ออาทร ก็ถูกกั้นเอาไว้ภายนอกโดยมีเล็ดรอดเหลือเข้ามาภายในเพียงเล็กน้อย ยิ่งถ้าพูดถึงเสียงเครื่องยนต์ล่ะก็ แม้แต่เพื่อนผมท่านนึงซึ่งไม่เคยใยดียี่ห้อนิสสันเลย ยังแปลกใจ และถึงกับขอให้ผมปิดวิทยุและแอร์ทั้งหมด เพื่อฟังเสียงเครื่องเบิ้ลอยู่กับที่
เพื่อนผมคิดว่าที่รอบเดินเบานั้น เดินได้นิ่งมาก ถ้าไม่ได้จอดอยู่ในที่แคบๆสะท้อนเสียงดีๆ ไม่มีทางรู้ว่าเครื่องยนต์ทำงานอยู่ สำหรับคนที่ใช้รถเครื่อง 6 สูบเรียงมาก่อน ผมบอกได้เลยว่าดีกรีของความสั่นสะเทือนที่รู้สึก มันน้อยเท่ากันเลย Tiida จะสั่นกว่านิดหน่อยเวลาคอมแอร์ทำงาน ถ้าเทียบกับเบนซ์ที่เป็น 4 สูบ พูดได้เลยว่าเสมอกัน
เรื่องคอมแอร์ทำงาน จะบอกว่าการจัดการระบบไฟด้วยแบตลูกเล็กนิดเดียวก็จริง แต่อาการไฟวูบชัดๆเวลาคอมแอร์ต่อ Tiida แทบไม่มีให้รู้สึก ต้องสังเกตเข็มวัดรอบไม่ก็ฟังเสียงคอมเอา
และในการเดินทางที่ความเร็ว110 หรือต่ำกว่า เสียงเครื่องยนต์โดนเสียงอย่างอื่นกลบหมด แต่ถ้าเพิ่มเป็น 120 ก็จะมีเสียงเครื่องยนต์เข้ามาบ้างละ ..
แต่.....
-
การเก็บเสียงจากอวัยวะต่างๆที่อยู่ภายในห้องโดยสาร เป็นเรื่องที่ทำผมหงุดหงิดมากครับ
สมัยผมรับรถมาใหม่ๆป้ายแดง ก็เสียงดัง เต้ด เต้ด คล้ายกับเหล็กดีดจะดังมาจากขอบประตูด้านคนขับ เคยลองเอากล่องเหล็กแบบฝามีบานพับมาเปิดฝา คว่ำลง แล้วเขย่าไปมาไหมครับ มันได้อารมณ์นั้น แต่ดังกว่ามาก ผมเอาเข้าศูนย์ไปตั้งประตูใหม่ อาการนี้ก็หายไปและไม่เคยกลับมาอีกเลยจะครบปีแล้ว..โอเค
แต่ยัง..ยังก่อน...ยังมีฝาท้ายเจ้ากรรม ที่พอถนนขรุขระเข้าหน่อย ..ไม่ต้องลูกรังหรอกครับ เอาแค่ถนนปูนที่ใช้งานมา 10 ปีที่พบได้ตามชานเมืองก็พอ มันจะสั่นฝาท้ายเสียงกรุ๊รรง กรุ๊รงง เป็นอย่างนี้มาตลอดทาง และผมจะบอกเลยว่าผมไม่พอใจกับเจ้าฝาท้ายนี้มากถึงมากที่สุด นับตั้งแต่ซื้อมาได้พันห้าร้อยโล จนทุกวันนี้ 15,000 โล ผมเข้าศูนย์เพื่อแก้มาเฉลี่ยแล้วเกือบจะเดือนละครั้ง และแต่ละครั้ง ก็จะวนอยู่แค่ปรับตั้งกลอน ทาจารบี ทำอยู่แค่นี้ แล้วพอวิ่งไปสัก 5-6 ร้อยโล มันก็กลับมาดังใหม่ ล่าสุดนี้กลับเข้าไปเป็นครั้งที่ 9 ออกมาก็ยังดังอยู่ แต่ไม่ได้ดังสุรุ่ยสุร่ายบ้าบอเหมือนก่อนทำ...แต่เชื่อเหอะ เดี๋ยวมันก็ดัง พี่อนันต์บอกว่ารอบนี้ถ้าดังอีกไม่ตั้งกลอนแล้ว เคลมกลอนใหม่มันทั้งชุดเลย เสียดายว่าครั้งที่ 9 ที่เข้าไปพี่อนันต์ไม่อยู่ และผมเองก็ชอบที่จะเดินเรื่องกับคนแค่คนเดียวให้จบเป็นเรื่องๆรายๆไปมากกว่า
ในกรณีคันอื่นๆที่เขาเล่ากันมา ยังจะมีเสียงที่ดังจากคอนโซลหน้าตรงช่วงที่แผงแดชบอร์ดบรรจบกับเสา A Pillar อีก ผมลองเอามือไปกดๆตรงนั้นดูพบว่าโครงสร้างการยึดแดชบอร์ดกับขอบเสาตรงนั้นมันดูโหลยโท่ยมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงดัง รถผมเองก็มีเสียงดังตอนหมื่นกว่าโลขึ้นมา แล้วก็ได้เข้าไปแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ไม่เรื้อรังเหมือนปัญหาฝาท้าย
มันเป็นปัญหาของผมคนเดียวหรือเปล่า? ก็อาจจะใช่ เพราะไม่ว่าคุณจะใช้รถแฮทช์แบ็คประกอบในประเทศรุ่นใด ไม่ช้าก็เร็วก็เลี่ยงพวกเสียงเหล่านี้ไม่พ้น เผอิญผมมันเป็นคนกลัวแมลงสาบ ..คนกลัวแมลงสาบเหมือนผมจะรู้ดีว่าหูพวกเรานั้นจะไวต่อเสียงกรอบแกรบนิดๆหน่อยๆมากขนาดไหน และจะรู้สึกรำคาญประสาทกินกับเสียงพวกนี้มากแค่ไหน แล้วยิ่ง Tiida มันเป็นรถที่เก็บเสียงข้างนอกดี ภายในมันเงียบ พอมีเสียงพวกนี้มา
มันเลยมีบรรยากาศ เหมือนคุณอยู่ในห้องทำงานคนเดียวตอนตีสาม แล้วมีแมงสาบเดินอยู่ในห้องสักแห่งแต่คุณไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน!
สำหรับคนที่ไม่มีปัญหา (ไม่เรื่องมาก)อย่างที่ผมเป็น ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ตา RhinoMango ทีมงานของเราก็นั่งรถผมแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันมีปัญหาอะไร เงียบดีจะตายชัก มีแต่เจ้าของรถเองล่ะที่ประสาทกิน
เอาเป็นว่าโดยสรุป รถมันเงียบละกัน ถ้าไม่มีเสียงพวกนี้นะครับ แต่อย่าเพิ่งคิดว่ามันจะเงียบแบบ Teana 250XV หรือ Lexus นะครับ มันแค่เก็บเสียงดีกว่า Jazz หรือ Yaris จนรู้สึกได้ เก็บเสียงลมได้ดีเท่า Mini Cooper S แต่เก็บเสียงเครื่องยังไม่เงียบเท่า Mazda 3 2.0 นะครับ
-
อัตราเร่ง และการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เรามาลองดูการเทสต์ของผม แต่ทำในสไตล์เดียวกับคุณ JIMMY ดูละกันครับ
เลียนแบบเหรอ ? ใช่ แต่ก็ไม่เหมือนเด๊ะหรอกครับ
เพราะในขณะที่คุณ JIMMY เจาะจงที่จะใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในการทดสอบรถเครื่องเบนซินเสมอมา
ในครั้งนี้ผมตัดสินใจที่จะเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 แทน
เหตุผลหรือครับ ? เพราะตอนนี้น้ำมันเบนซิน 95 สุดที่รักของเรา นับวันยิ่งหาปั๊มเติมยากขึ้นเข้าไปทุกที หลายปั๊มที่ผมคุ้นเคยทยอยปิดหัวจ่ายเบนซิน 95 และแทนที่ด้วยน้ำมันชนิดอื่นกัน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเติมเจ้า E10 นี่ล่ะครับ แต่เป็น E10 ออคเทน 95 ซึ่งในพ.ศ.นี้ ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีขายทั้งนั้น และด้วยราคาน่าดึงดูดใจที่ถูกกว่า 91 อยู่ราว 7-8 บาทต่อลิตร ทำให้มีความคุ้มค่าน่าสนเพิ่มขึ้นอีกโข
ทำไมไม่เติม E20? ผมคิดว่าความแพร่หลายของน้ำมันประเภทนี้ยังไม่มากพอครับ และราคาก็ถูกลงกว่า E10 จึ๋งเดียว ในชีวิตจริงของผมก็เติม E10 สำหรับคันนี้และยึดถือเป็นเชื้อเพลิงหลัก ดังนั้นจึงขอใช้ตัวนี้ละกันครับ
การวัดอัตราการสิ้นเปลืองแบบเดินทางไกลความเร็วคงที่ ผมเลือกเติมปั๊ม Esso ที่พระราม 6 และใช้เส้นทางด่วน พระราม 6 ลงบางปะอิน เส้นทางเดียวกับที่คุณ JIMMY ใช้ทดสอบรถทุกคันของเขา เพื่อจะดูความแตกต่างว่าเมื่อเปลี่ยนเป็นโซฮอล์95 จะเป็นอย่างไร
ขอแจ้งเพิ่มว่าในการทดสอบ รถคันนี้จะบรรทุกน้ำหนักผมคนเดียว ซึ่งนั่นก็เท่ากับน้ำหนักคุณJIMMY บวกกับน้ำหนักตัวน้องชายคนเล็กอยู่แล้ว จึงไม่หาคนมาเพิ่ม และรถคันนี้ตอนทดสอบเพิ่งวิ่งมายังไม่ถึง 2,000กิโลเมตร ดังนั้นเมื่อเครื่องเคราต่างๆเข้าที่ อาจมีโอกาสได้เห็นตัวเลขที่ดีกว่านี้ครับ แต่ก็จะเอาตัวเลขมาบอกกัน เพราะเลขที่ได้ มีโอกาสที่จะเป็นค่าตัวเลขอย่างแย่ ซึ่งถ้าท่านได้ซื้อTiidaมาขับเองและใช้ไปผลระยะรันอิน ตัวเลขที่ได้จะดีกว่านี้
-
ก่อนอื่นก็ต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อน..ตรงนี้เลยมีโบนัสแถมให้ผู้อ่านอีกหนึ่ง เพราะก่อนหน้าการเติมน้ำมันถังนี้ ผมได้ทำการเติมเต็มถัง และวิ่งใช้งานในเมืองแบบรถติดล้วนๆ แถมด้วยการพามันไปทดสอบอัตราเร่ง 0-100และ80-120 กับพยายามทำท้อปสปีดอีก 2 ครั้ง
น้ำมันถังนี้เติมไป 29.92 ลิตรครับ
-
และระยะทางที่วิ่งได้บนหน้าปัด 301.8 กิโลเมตรต่อลิตร
กดเครื่องคิดเลขออกมาได้ 10.08 กิโลเมตรต่อลิตร
อาจจะฟังดูสะท้านทรวงพิลึก คงต้องลองไปเทียบกับเจ้าอื่นๆที่เจ้าของเค้าบอกเล่ามาเองว่ากินกันมากน้อยเพียงไร แต่ 301กิโลกับการใช้งานแบบรถติด เช้าไป เย็นกลับ ระยะทาง 25กิโลเมตรต่อวันแถมมีซัดเล่นอีก ได้แบบนี้ก็โอเคแล้ว
ถ้าใช้ในเมืองอย่างเดียว และพยายามไม่กระแทกคันเร่งเกินจำเป็น และไม่มีการทดสอบอัตราเร่งใดๆ ผมสามารถพามันขึ้นไปได้ถึง 11 กิโลเมตรต่อลิตรครับ แต่จะให้ได้ 13 กิโลลิตรและขับในเมืองแบบนี้ เส้นทางนี้เวลา 7โมงครึ่งแบบนี้เด๊ะ ผมคงยอมแพ้ครับ
-
เมื่อเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว ก็จ่าย 40 บาท แล้วก็มุ่งหน้าไปลงบางปะอิน
ในการพยายามทำให้ Tiida วิ่งให้ได้ 110 นิ่งๆ ช่วงแรกๆนั้นผมมีปัญหากับเจ้าคันเร่งไฟฟ้าพอสมควร
ผมอยากจะวิ่ง 110 มันวิ่ง 100 พอกดคันเร่งเพิ่มหน่อย เหลือบตาลงมาดูไมล์อีกที กลายเป็น 120
ผมวิ่งไปจนเกือบถึงด่านเก็บเงินงามวงศ์วานนั่นแหละครับ พอออกจากด่านลองพยายามเกร็งเท้าดูใหม่ คราวนี้ได้ผล ผมขับ 110 นิ่งๆได้ไปจนจบทริป
เมื่อกลับมาที่ปั๊ม Esso เจ้าเดิม ระยะทางบนหน้าปัดขึ้นเท่านี้ครับ
-
และพอเติมน้ำมันกลับ มีเรื่องเสียใจนิดหน่อย
คือพอผมพูดกับเด็กปั๊มว่า "น้องชายพอหัวจ่ายตัดแล้วไม่ต้องฉีดเพิ่มนะ"
ก็มีเสียงน้ำมันโดนฉีดเข้าไปอีกปึ้ดส์นึงตามมา
เวรกรรมแท้
ผมถามเค้าว่าเมื่อกี้เลขมันขึ้นกี่บาท? หนุ่มคนนั้นบอกว่าประมาณ 170 แต่ 170เท่าไหร่ ไม่ทันสังเกต
เอาไงดีวะเนี่ย
เอาเป็นว่าผมให้ตัวเลขไว้เป็นสองสมมติฐานละกันครับ
ถ้าสมมติว่าจะยึดถือตัวเลขที่มีรูปถ่ายอ้างอิงเป็นหลัก ก็จะได้เท่านี้ครับ ถ่ายมาจากหัวจ่ายเลยคือ 185 บาท และคิดเป็นน้ำมัน 5.95 ลิตร
เมื่อหารกับเลขที่ได้บนหน้าปัด
ก็จะได้ 14.8 กิโลลิตรครับ รถทดสอบของคุณ JIMMY รุ่น 1.6G ที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว และใช้น้ำมันเบนซิน 95 ถ้าผมจำไม่ผิด ทำได้ 15.94กิโลเมตรต่อลิตร
-
แต่ถ้าเชื่อจากหนุ่มคนนั้นบอก ว่า170 เท่าไหร่ ไม่ได้ ผมลองตีเป็น 179บาทเลยละกัน
179 หาร ราคาน้ำมันต่อลิตร 31.09 บาท จะได้เป็นน้ำมัน 5.7574 ลิตร และเมื่อนำไปหารเลขกิโลที่วิ่งไป 88.1 กิโลเมตรแล้ว
ก็จะได้ออกมา 15.3 กิโลเมตรต่อลิตร
ทีนี้ก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะพิจารณาครับ ถ้าจะเอาเลขทั้งสองมารวมกันแล้วหารค่าเฉลี่ยก็จะได้ 15.05
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามก็คือกินจุกว่าสมัยที่เติมเบนซิน 95 แต่ค่าเชื้อเพลิงที่ต่างกันมาก มันทำให้ภาพรวมแล้ว E10 คุ้มกว่า
-
แล้วก็ลองมาดูพวกอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการใช้งานชีวิตจริงเพิ่มอีกหน่อยละกันครับ
ผมขับมาคนเดียว สัมภาระไม่มากนัก วิ่งเชียงใหม่ ลงกรุงเทพ ใช้ความเร็ว 110-120 มีช่วงเดียวที่บ้าซัดไป 160 แต่ไม่นานนัก นอกนั้นก็กลับมาทำความเร็ว 120 ปกติ แล้วก็มาเจอรถติดที่กิโลหนึ่งช่วงที่จะมาบรรจบกับพหลโยธิน ติดแบบเขยื้อนๆทีละนิดอยู่ 30-35นาที แต่กระนั้นผมวิ่งทริปจากสนามบินเชียงใหม่ถึงปั๊มน้ำมันเชลล์ที่ดินแดงได้ด้วยน้ำมันถังเดียว (ไฟแดงขึ้น ที่หน้าสนามบินดอนเมือง)
คิดออกมาได้ 16.2 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
-
ส่วนการเดินทางไปเที่ยวโคราช และขอนแก่นกับครอบครัว โดยบรรทุก 4 คน (1ในนั้นก็คือผมซึ่งหนักเท่า 2 คน) พร้อมสัมภาระเช่นกระเป๋าเดินทาง ต้นไม้ และแพ็คหนังสือสวดมนต์จำนวนมาก และใช้ความเร็วกัน 110-120 แบบนี้ผมทำได้ 14.7 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
-
มาดูกันต่อที่สมรรถณะและลักษณะนิสัยของเครื่องยนต์
ช่วงออกตัวหากกระทืบเต็มแรง รถจะมีอาการห้อยเล็กๆ และค่อยๆสร้างกำลังมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แรงดึงที่เกิด จะชัดเจนตั้งแต่ 4000 รอบต่อนาทีขึ้นไป และต่อเนื่องไปจนถึง 6200 รอบต่อนาที
รอบเครื่องยนต์สามารถลากต่อได้จนตัดที่ 6800รอบต่อนาที แต่ที่รอบหลังจาก 6200นั้น แรงบิดของเครื่องลดลงอย่างฮวบฮาบจนไม่รู้สึกจำเป็นว่าต้องลากไปถึงขนาดนั้น มันก็ไปได้เร็วเกือบเท่ากัน
สำหรับการเร่งแซง ช่วง 60 ไป 100 เป็นช่วงที่ผมโปรดปรานที่สุด เพราะเป็นช่วง Powerband ของเครื่องพอดี ทำให้เร่งได้ทันใจ เดินทางต่างจังหวัดไม่ลุ้นจนเหนื่อยหรอกครับ
รถหนัก 1.16ตัน ยาง 185/65/15 เครื่องแค่พันหก ม้าแค่ 109 ตัว สเป็คบนกระดาษทุกอย่างไม่น่าสู้ Sunny NEOได้ ยกเว้นแรงบิดซึ่งมากกว่า และมีมาให้รู้สึกได้ชัดเจน
หน้าตาของเครื่องยนต์ที่สร้างผลงานในครั้งนี้ครับ HR16DE
-
มาดูด้านอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม.
ผมทดสอบอัตราเร่งทั้งหมด 6 ครั้ง แต่มีครั้งนึงที่ตัวเลขไวผิดปกติ จึงขอนำออกครับ เหลือ 5 ครั้ง
ครั้งที่ 1 - 11.91 วินาที
ครั้งที่ 2 - 11.87 วินาที
ครั้งที่ 3 - 11.74 วินาที
ครั้งที่ 4 - 11.66 วินาที
ครั้งที่ 5 - 11.79 วินาที
ค่าเฉลี่ย 11.79 วินาที
เมื่อเทียบกับคันที่เติมเบนซิน 95 ในบททดสอบของคุณ JIMMY จะพบว่าช้ากว่า
คันนั้นทำไว้ 11.51 วินาทีครับ
ส่วนอัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. มี surprise นิดหน่อยครับ
ครั้งที่ 1 - 9.11 วินาที
ครั้งที่ 2 - 8.96 วินาที
ครั้งที่ 3 - 9.03 วินาที
ครั้งที่ 4 - 9.01 วินาที
ครั้งที่ 5 - 9.22 วินาที
ในอัตราเร่งครั้งที่ 2 นั้นดูเหมือนไวผิดปกติไปหน่อย ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอตัดเอามาใช้เฉพาะ 4 ครั้งที่ขึ้นต้นด้วยเลข 9 นะครับ
ค่าเฉลี่ยก็จะได้เท่ากับ 9.09 วินาที
ซึ่งคันของตาจิม ทำไว้ 9.28 วินาที เห้ย ทำไมเติมโซฮอล์แล้วเร็วขึ้น!
ต้องมานั่งคิดกันหน่อยล่ะครับ
คันของ JIMMY นั้นเป็นรุ่น 4 ประตู แต่คันที่ผมทดสอบนี้ เป็น 5 ประตู จริงอยู่ว่าน้ำหนักตัว 5 ประตูจะหนักกว่าอยู่ แต่ก็แค่ 11 กิโลกรัมเท่านั้น หรือว่าผมไม่ควรเชื่อโบรชัวร์ดี
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัวนั้น ผมหนัก 147 กิโลกรัม ส่วนคันที่คุณJIMMY ทดสอบนั้นมีน้ำหนักเจ้าตัว บวกกับของคุณน้องชายคนเล็ก ได้ 138 กิโลกรัม รวมกับความต่างในน้ำหนักตัวรถ ก็ 20กิโล..ใช่อันนี้หรือเปล่าที่ทำให้ 0-100ของผมช้ากว่าอยู่เกือบ 0.3วินาที
แล้วทำไมอัตราเร่ง 80-120 ของผมกลับไวกว่าล่ะ? อันนี้สุดความสามารถที่จะอธิบายจริงๆครับ แต่ผมยังสงสัยเรื่องหลักอากาศพลศาสตร์อยู่บ้างว่าตัว 5 ประตูมันแหวกผ่านอากาศได้ดีกว่าหรือเปล่า?
พื้นที่หน้าตัด ขนาดยางและความสูงของตัวรถ 4 กับ 5 ประตูนั้นเท่ากัน แต่ค่าแรงเสียดทานอาการต่อตารางนิ้ว 5 ประตูจะได้ค่า Cd0.29 ในขณะที่ 4 ประตูจะอยู่ที่ Cd0.31
แต่บางคนก็ว่า ที่ความเร็วแค่80 ความเสียดทานอากาศยังไม่น่าจะส่งผลได้ขนาดนั้น เรื่องแบบนี้นานาจิตจะคิดกันครับ ไอ้ผมก็ขาดแคลนความรู้วิชาอากาศพลศาสตร์ซะด้วย
ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น ทำได้ที่ 186 ก.ม./ช.ม.
ส่วนมากผมมักให้ระยะในการวิ่งประมาณไม่เกิน 5ก.ม.ในการทดลองความเร็วสูงสุดและ Tiida 1.6G ก็ทำได้ไม่เร็วไปกว่านี้แล้วครับ ถ้าเปลี่ยนมาเติมเบนซิน 95แทน ผมก็ไม่คิดว่าจะไหลไปกว่านี้เท่าไหร่หรอกครับ อาจจะได้ 190 อย่างที่คันของ J!MMY ซึ่งเติมเบนซิน 95 ทำเอาไว้นั่นแหละครับ
[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=Udg2I9Bw0qU[/youtube]
-
สรุป : แรงพึ่งพาได้ สบายเท่ากันทุกที่นั่ง เงียบสงบในห้องโดยสาร ของเล่นไม่หวือหวา ช่วงล่างคุณตาอาจไม่ชอบ แต่ตอบโจทย์ให้คนขับโหดๆได้ดีขึ้น
แต่ถ้าคุณเคยชินกับภาพลักษณ์ของนิสสันว่าทั้งอืด ทั้งซด ซึ่ง JIMMY ก็เคยบอกเล่าให้คุณฟังว่าถึงเวลาที่คุณควรจะล้างภาพลักษณ์นั้นออกไปได้แล้ว อัตราเร่ง การเร่งแซง และอัตราการกินน้ำมัน เมื่อเปลี่ยนจากเบนซิน 95 มาลองใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ถือว่าทำได้ดี ไม่ได้อืดลงชนิดแตกต่างจนน่าใส่ใจ
จุดเด่นที่ยังคงอยู่สำหรับ Tiida 1.6G E20 นี้ก็คือเรื่องการจัดพื้นที่ในห้องโดยสารที่สบาย โดยที่รถให้โอกาสคุณในการเลือกเองว่าจะจัดพื้นที่เพื่อ maximize ให้กับคน หรือว่าให้กับสัมภาระ การเก็บเสียงที่ยังทำได้ดีเหมือนรถรุ่นที่แล้ว ซึ่งน่าจะดีที่สุด เท่าที่งบประมาณ 670,000-800,000จะนำพามาให้คุณได้ในรถป้ายแดง แต่เสียงที่รบกวนกลับมาจากภายในรถเอง น่ารำคาญมากๆๆ
ช่วงล่างของรุ่น E20 ที่ได้ปรับใหม่ให้แข็งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นดาบสองคม ที่ทำให้รถขับได้สนุกขึ้น ตอบสนองดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็สะเทือนก้นกบมากขึ้น แม้จะไม่เด้งก็เหอะ ผู้ใหญ่ส่วนมากที่ไม่ได้ขับรถรวดเร็วรุนแรงคงไม่แฮปปี้เท่าไหร่ แต่วัยรุ่นน่าจะยกนิ้วให้เลยโอเค
รูปข้างล่างนี่ไม่ต้องแปลกใจ แค่เปลี่ยนกระจังหน้าเอาของรุ่น P (ที่เป็นรุ่นทำแท็กซี่มาใส่)
-
พวงมาลัยหุ้มหนัง และฝาครอบเครื่องที่หายไปในรุ่น E20 ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต้นทุนมันเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่ได้ ผมก็อยากให้ใส่เอาไว้เหมือนเดิมมากกว่าครับ ราคามันคงไม่แพงขึ้นอีกหมื่นนึงหรอกครับ ส่วนเครื่องเสียงแบบ 2DIN เล่นแผ่นเดียวไม่มี MP3 ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าไมเนอร์เชนจ์คงได้อะไรที่ดีกว่านี้ครับ ยางติดรถ B250 ก็เปลี่ยนเถอะครับ แล้วชีวิตจะดีขึ้น
ส่วนเรื่องเทียบกับคู่แข่งนั้น..เอางี้ดีกว่า
ถ้าเปรียบคู่แข่งอย่าง Jazz เป็นเสมือนเด็กมหาลัย ปี 2 เค้าเป็นคนที่..พก IPOD ติดตัวตลอด ใช้ชีวิตอยู่ในโลก IT เรียน breakdance
ไปไหนมาไหนบนสเก็ตบอร์ดได้คล่อง ฉลาด ไหวพริบเร็ว ฟัง Jamiroquai ชอบสันทนาการ ชอบอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ
-
Tiida จะเหมือนพี่ปี 4 ที่มักใช้เวลาว่างนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในห้องอาหาร มีเพื่อนเฉพาะคนที่สนิท มีเครื่องดนตรีโปรดเป็นsaxophone และในยามว่าง ชอบไปออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน หรือไม่ก็ฝึกคาราเต้!! เพลงโปรดของเค้าคือ Songbird ของ Kenny G
คุณชอบแบบไหนมากกว่า..ผมชอบผู้ชายปี 4
...ไม่ใช่สิ... ผมชอบผู้หญิงปี 4 ครับ
จบแล้วครับ
ปิดท้ายด้วยรูปกวนๆหน่อย ถ่ายตอนไปแม่สลองปลายปีที่แล้ว
-
ส่วนเรื่องที่มีคนชอบถามว่า
"ซื้อแล้วจะรุ่งหรือวะ"
"ซื้อทำไมวะ มึงไม่เห็นเค้าโพสท์กระทู้ด่ากันท่วมบ้านท่วมเมืองหรือ"
"นิสสันใช้ไป อืด แดก ผุ ซื้อไปก็โง่"
ผมยกนิ้วกลางให้ก่อนตอบทุกคำถามเลยว่า ไอ้บ้า!!!รถทุกคันซื้อไปมันมีจุดเด่นจุดด้อยของมันทั้งนั้นแหละ
ถ้ารถแม่งไม่มีอะไรดีเลย ใครเขาจะไปซื้อ ไอ้ซื้อแล้วรุ่งหรือไม่รุ่งน่ะ ถ้าเป็นราคาขายต่อมันก็ไม่รุ่งแน่นอน
แต่เงินตรงนั้น ผมมองว่าผมจ่ายเพื่อรถที่นั่งแล้วสบายตูดไป 10 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น รถที่ราคาขายต่อดี
กับราคาขายต่อไม่ดี มันต่างกันอย่างมากก็ไม่ถึงแสน ผมรับได้นะ และโอเคด้วย
ส่วนเรื่องที่มีรถเจ้าปัญหา ฟ้องกันอะไรน่ะ ผมก็ทราบ และทราบก่อนซื้อแล้วด้วย แต่เราไม่ได้มองอยู่คันเดียว
เราต้องดูหลายๆคัน ผมสนใจว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่คนซื้อไปมากกว่า 5 ใน 10 เจอ ผมจะสนใจปัญหานั้น
ไม่งั้นป่านนี้บ้านผมคงผูกคอตายหมดบ้านแล้ว เพราะไอ้ด้านี่ก็มีคนด่า ไอ้ซีวิคไดเมนชั่น จำได้ไหม? ออกทีวีเลย
ไอ้ CR-V Gen 2 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฆ้อนนารีพิฆาตออกสื่อครบทุกสื่อ รถทุกคันที่ว่ามา..ผมมีหมด
ส่วนเรื่อง อืด แดก ผุ ..อืดน่ะลองแล้วครับ ไม่เห็นมันอืดตรงไหน แดก..ก็โอเคนะไม่ได้กินกว่าใคร
ส่วนเรื่องผุนี่ยังต้องรอดู แต่กลัวเหมือนกัน เพราะรถ NX ที่บ้านอีกคัน หลังคาผุ ท้ายผุ Cefiro เพื่อนหลังคาผุ ท้ายผุเหมือนกัน
ดังนั้น ไอ้เจ้านี่ผมก็ยังห่วงๆอยู่นะ
การซื้อรถมันก็คือความเสี่ยง ผมคิดแค่ว่า เราทำการบ้านมาดีก่อนซื้อ ซื้อโดยไม่ปิดหูปิดตา แล้วเปิดรูหูฟังข้างเดียว
และฟังจากคนเดียว มันก็จะได้รู้อะไรที่มากขึ้น และผมก็บอกได้ว่าต่อให้ย้อนเวลาไปได้ ผมก็ไม่เปลี่ยนทางเลือกของผมครับ
แต่ผมก็ไม่เปลี่ยนอารมณ์เซ็งที่มีต่อไอ้ฝาท้ายบ้าลั่นแก้ 8-9ครั้งไม่จบ
และก็ไม่เปลี่ยนความคิดที่ว่าภายในมันน่าจะดีไซน์ทันสมัยเข้ากับภายนอกกว่านี้
ไม่เปลี่ยนความคิด ว่าวิทยุแผ่นเดียวไม่มี MP3ในรถราคา 7 แสนน่ะ เป็นอดีตไปซะเถอะ
แล้วก็ยังยืนยันว่า ผมไม่ประทับใจที่ผมจ่ายเงินแพงกว่าคนซื้อ Jazz แต่ผมได้ออพชั่นหลายอย่างน้อยกว่าเค้า
พวงมาลัยรถผมยืดเข้าออกไม่ได้ ฉะนั้นในไมเนอร์เชนจ์ที่จะมาเร็วๆนี้ ผมแนะว่า
รุ่นเดิมๆที่มีเอาไว้ทำราคา..ก็มีต่อไป แต่รุ่นสูงๆน่ะ อย่าเหนียวอุปกรณ์นักเลย เลิกยึดติดกับไอ้แนวคิด Value Table
ที่คุณใช้บ้างก็ดี มันเป็นแนวคิดที่ฉลาด แต่มันเป็นการคิดแบบคอมพิวเตอร์ บางครั้งมันก็ต้องคิดแบบอารมณ์คนจ่ายเงินบ้าง
ถ้าคุณซื้อรถ 740,000 แต่ขาดบางอย่างที่คู่แข่งราคาถูกกว่าเขามีให้...ถ้ามีคนมีชี้นิ้วรถผมแล้วด่า ผมก็จะโกรธไอ้คนที่ตัดออพชั่นนี้ออกจากรถผม
ส่วนเรื่องศูนย์บริการ ผมยึดติดอยู่กับที่เดียวคือกรุงไทยรามอินทรา ซึ่งใกล้บ้าน และมีช่างกับบุคลากรที่คุยกันรู้เรื่อง
ผมไม่มีความจำเป็นต้องไปเข้าที่อื่น ซึ่งถ้าเข้าที่อื่น ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีรายการด่าแถมมะเขือเทศกันบ้างหรือเปล่า
จบจริงๆละนะ
-
เข้ามาดูคร้าบ ตัดสินใจไม่ผิดเหมือนกันที่เลือก 1.8 G แหล่มมากๆ เสียอย่างเดียวไอ้เสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ ในรถนี่แหละจ้า ;D
-
ขอบคุณครับ
-
-ขอบคุณครับ สนุกดี ชอบอยู่เหมือนกัน
-
ขอบคุณครับ สำหรับรีวิวดีๆอย่างนี้
ผมชักเริ่มชอบ ทิด้าซะแล้วสิครับ คุ้มสุดๆเลยครับ
-
ละเอียดยิบเลยครับ ยิ่งตอนนี้ก้ยิ่งลังเลว่าจะเลือก Jazz ตัว Top หรือ Tiida 1.6G ดีเพราะว่าโปรที่ได้มา Tiida ราคาเท่า Jazz เลย
-
ขอบคุณสำหรับบทความมากครับ อ่านแล้วได้ความรู้ขึ้นอีกเยอะ (เพื่อนผมฝากบอกมานะครับ)
-
เขียนได้แจ่มมากเลยครับ
นับถือๆ
-
เขียนเยี่ยมสมเป็นพี่แพนครับ :)
ตอนนั้นที่ดู Tiida ไว้ก็ไ้ด้อ่านที่พี่โพสท์ไว้ใน Tiida club เหมือนกัน
อ่านอันนี้ก็แตกต่างไปเล็กน้อย update มากขึ้น มี 10 ให้ 9.9997 เลยครับ ;D
-
ขอบคุณทุกท่านครับ อันนี้ผมทำมาแชร์อย่างที่บอก เพราะเห็นหลายคนทำมาแล้วดีมาก เราเองก็เลยอยากมีส่วนร่วมกับเขาบ้าง ซึ่งถ้ามีใครอยากขอข้อมูลTiida แบบละเอียดๆก็สามารถให้ดูกระทู้นี้ไ้ด้ครับ
แต่อันนี้ กับอันใน Tiida-Club ก็จะไม่เหมือนกัน 100% เหมือนกับอันที่ Pantip ก็ไม่เหมือนกับใน Tiida 100%
อย่างอันที่อยู่ใน Tiida นั้นจริงๆจะมีข้อมูลเยอะกว่าเพราะในกระทู้หน้าหลังๆ ผมอัพเดทข้อมูลเพิ่มเรื่อยๆ
อันนั้นคือเหมาะสำหรับคนที่ซีเรียสจะซื้อจริงๆ เพราะจะมีความเห็นของหลายคนร่วมกันแชร์ครับ
-
Review ดีมากเลยครับ ชอบ
-
อ่านแล้วรู้สึกอยากได้ขึ้นมาทันที
;D
-
พี่แพน ขอรบกวนช่วยอำนวยความสะดวกหน่อย
เดี๋ยวผมอาจจะสมัครTiida-Club.net ภายในอาทิตย์นี้ เพื่อหาข้อมูล คืออาจจะออกรถTiidaแบบ5ประตูในอนาคต(แต่กี่เดือนนั้นผมไม่รู้นะ)
ช่วยหน่อยนะครับ
น้องโชค (Vaio man)
-
พี่แพน ขอรบกวนช่วยอำนวยความสะดวกหน่อย
เดี๋ยวผมอาจจะสมัครTiida-Club.net ภายในอาทิตย์นี้ เพื่อหาข้อมูล คืออาจจะออกรถTiidaแบบ5ประตูในอนาคต(แต่กี่เดือนนั้นผมไม่รู้นะ)
ช่วยหน่อยนะครับ
น้องโชค (Vaio man)
ให้ช่วยยังไงได้บ้างล่ะครับ
จริงๆไม่ต้องห่วงหรอกครับเพราะพี่ปิงท่านรองประธานของเราก็แวะมาแถวๆนี้เป็นประจำอยู่แล้วครับ
-
ขอบคุณมากครับ
เห็นด้วยนะครับ รถแต่ละรุ่นย่อมมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน
แล้วแต่คนพอใจมากกว่า ผมยังชอบไทรทันเลยทั้งๆที่หลายคนถามว่าทำไมไม่ใช้วีโก้
แต่สำหรับผมไม่ผิดหวังครับ ถูกใจมากๆ ;D
-
อ่านเพลินดีครับ ;D
-
เคยอ่านใน pantip แล้วรอบนึง คราวนี้ก็ยังเยี่ยมเหมือนเดิมครับ
ว่าแต่ rewind คันต่อไปคือรถอะไรครับ
จะมีตระกูลนิสสันมาบ้างรึเปล่า
-
อ่านแล้วตอนนั้นที่ซื้อรถอยากได้ทีด้าขึ้นมาอีกครับ ตอนนั้นดู Tiida 1.8 5 doors อยู่ ชอบเบาะนั่งหลังมากกก นั่งสบายเอนหลับได้ ที่วางขามากเกินตัวรถเมื่อมองจากภายนอก เครื่องยนต์จี๊ด เงียบ เกาะ เกียร์ขึ้นชื่อว่าทน เรื่องผุผมไม่ห่วงเพราะน่าจะขายก่อนผุอยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดไปลงที่ FD1.8 เพราะแม่ชอบ พูดถึงมันก็ดีมากครับ แต่ผมยังติดกับภาพเกียร์เปราะกับ ES คันเก่าอยู่ที่พังตอนพึ่งแสนโลนิดๆเอง
-
Nissan .... product ไม่ใช่ปัญหาครับ
รถทำออกมาดี มีคุณภาพที่ดี (โดยเฉลี่ยจะดีกว่าโตโยต้าด้วย)
แต่ศูนย์บริการนี่ซิครับ คือ ปัญหา ของ Nissan จริงๆ
ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้
ถึง รถ จะดียังไง...ถ้าศูนย์บริการส่วนใหญ่ยังเป็นแบบนี้
ไม่รอดแน่ๆครับ 8)
-
เคยอ่านใน pantip แล้วรอบนึง คราวนี้ก็ยังเยี่ยมเหมือนเดิมครับ
ว่าแต่ rewind คันต่อไปคือรถอะไรครับ
จะมีตระกูลนิสสันมาบ้างรึเปล่า
Rewind คันต่อไป คือ Subaru ครับ หาเอกสารตั้งนานเจอแต่พวกเวอร์ชั่นยุโรปครับ
โชคดีมี J!MMY เอาเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมาให้ ตอนนี้กำลังทยอยเขียนอยู่ครับ
ว่าแต่ถ้าอยากได้รถตระกูลนิสสัน จะเอารุ่นไหนเหรอครับ อยากเก็บไว้เป็นไอเดีย
ขอเป็นรุ่นเดียว โมเดลปีเดียวนะครับ เพราะถ้าเป็นการเขียนแบบรวบหลายโมเดลพร้อมกัน
อันนั้นจะเป็นหน้าที่ของ J!MMY's Lubrica เอ้ย ไม่ใช่..J!MMY's Library ครับ
-
ยังคงความฮาและมันส์เช่นเดิม
อ่านแล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้นสำนวนพี่แพน แน่นอน ฟันธง!!!
-
ผมก็อ่านมาตั้งแต่ใน ทีด้าคลับ แล้วสนุกดีครับเพลินดี จะอ่านกี่ที่ก็ยังสนุก ;D
-
อ่านแล้วทำให้อยากซื้อ tida ขึ้นมาทันทีเลยครับนี้
ไว้แฟนเปลี่ยนรถคราวหน้า จะลองเชียร์ดู .... ชักติดใจซะแล้ว
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะครับ
==========================
ขึ้นมาทางเหนือบ่อย มีโอกาส เจอกันที่เชียงใหม่นะครับ ;D
-
ผมก็อ่านมาตั้งแต่ใน ทีด้าคลับ แล้วสนุกดีครับเพลินดี จะอ่านกี่ที่ก็ยังสนุก ;D
ขอบคุณครับ ผมขอเขียนแบบนี้ หยาบ บ้า ฮาฝืดๆ เอาแบบนี้ล่ะครับ เลยไม่มีใครเขาไปจ้างเขียนลงหนังสือ เพราะส่วนมากเขารับภาษากันไม่ได้ ก็เอามันบนเว็บนี่ล่ะครับ กันเองดี
อ่านแล้วทำให้อยากซื้อ tida ขึ้นมาทันทีเลยครับนี้
ไว้แฟนเปลี่ยนรถคราวหน้า จะลองเชียร์ดู .... ชักติดใจซะแล้ว
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะครับ
==========================
ขึ้นมาทางเหนือบ่อย มีโอกาส เจอกันที่เชียงใหม่นะครับ ;D
ระวังเชียร์แล้วเจอรถมีปัญหานะครับ งานเข้าแน่ๆ ทุกวันนี้เวลาผมเชียร์ใครซื้อผมต้องถามก่อนว่า
มันมีเคสต่างๆนาๆแบบนี้ที่เจอ คิดว่ารับได้หรือเปล่า แต่เท่าที่ผ่านมา มีคนที่ซื้อ Tiida เพราะผมไปแล้ว
ประมาณ เ่อ่อ 15 คน เฉพาะที่ทำงานผมก็ 3 ท่านแล้วครับ ..ลองคิดดูสิครับถ้าเกิดว่ามันมีปัญหาทั้ง3คันนั่น
3 คน 6 ส้นเท้า ผมก็ตายได้เหมือนกัน
อยู่เชียงใหม่เหรอครับ...ยินดีด้วย จังหวัดที่คุณอยู่ เป็นที่ที่ผมรักมากที่สุดแห่งนึง เมืองอะไรก็ไม่รู้ อากาศดี ที่กินเยอะ ของอร่อยแยะ คนก็น่ารักเยอะ มีกาแฟวาวีกินอีกต่างหาก
เราคงได้เจอกันครับ ผมดูก่อนว่าช่วง 24-25-26 นี้อาจจะขึ้นไป แต่ถ้าติดงาน ก็จะมีเดินทางไปที่นั่นปลายปีครับ
-
แหร่มค้าบบ
ของตี้ดองเค็มอีกแปบ น่าจะเสร๊จ
แต่ยังไงก็ตามก็ยังชอบ ฟิล Tida กระชากเบรกมือ อิ๊ เอ๊ยดดดด ครืดๆๆๆๆ 55+
-
สุโกย....................
ละเอียดยิบ ทดสอบเยี่ยนมเลยคับพี่
วันหลังจะทำให้ได้ละเอียดแบบนี้บ้างนะครับ
ขอคุณสำหรับ User's Voice นะครับ
-
ผมก็หลง น้ำมมต์ ของ ท่านเช่นเดียวกัน
พึ่งออกได้อาทิตย์ ก้าๆ 1.8 HB
เด็งได้ใจจริงๆ ครับ ขนาดเปลี่ยนยางเป็น Gr 80 ยังมี ความรู้สึก กรวดบาดก้นอยู่บ้าง
เเละเวลาปิดวิทยุ....ขนาดรุ่น top มันไม่มี MP3
แต่อย่างอื่นพอใจมาก เงียบ นั่งสบาย (ตัวผมก็ใหญ่คล้ายท่านผู้การ)
ส่วนนั่งหลังเเม่ ผมว่าสบายก็เเคมรี่ รุ่นหน้าเเหลม
อยู่เชียงใหม่ ซื้อที่นอร์ทเวท
เรื่องศูนย์ ต้องดูกันอีกสักพัก แต่ ก็ถือว่าได้ใจไปบ้างเพราะตอนไปดูรถ ขับมอไซด์ไป ;D ก็ยังตอนรับอย่างดี ไม่เหมือน....
เเละพยายามหารถให้เต็มที
แต่ยังขาดของเเถม อยู่บางรายการ ไว้รอครบ เช็ค พันโลจะไปทวง
-
thk ครับ
-
ขอบคุณพี่แพนอีกครั้งนะครับ.....
ผมว่ารถทุกคัน ย่อมมีข้อดีข้อเสีย
จริงๆ ผมก็เคยมีความรู้สึกดี ๆ กับ นิสสัน
มานาน (ไม่นับศูนย์บริการ) นะครับ
เลยคิดว่า ไม่น่าจะผิดหวัง....
อ้อ.... ลืมบอกไปครับ ส้นเท้าผมไม่ใหญ่ครับ
ไม่ต้องห่วง ....... อันนี้ล้อเล่นครับ
ใครจะไปกล้า...... กับท่านผู้เกินนะนี่
=================
ปลายปี น่าจะสะดวกกว่าครับ
ช่วงที่พี่แพนว่า ผมน่าจะยังไม่ได้เข้าไปเชียงใหม่
(บ้านอยู่เชียงใหม่ แต่ทำงานพะเยาครับ)
;D
-
เอ้า ได้ครับ ผมก็รู้สึกว่าคงจะได้ว่างก็ช่วงปลายปี พ.ย.-ธ.ค.เหมือนกัน
ช่วงนี้นายผมคงไม่ให้ลาง่ายๆ เลยต้องพับไปก่อน
-
งั้นก็ลงตัว......
เจอกันปลายปีครับ.......
สงสัย ต้องมี meeting บรรดา
สาวกพี่แพน และ สาวก headlightmag
นอกสถานที่ซะแล้ว........
-
ได้ครับ ไม่มีปัญหา ตามนั้นเลย ไปนั่งกินเบอร์เกอร์ TEXAS ใกล้ๆคูเมืองกันก็ได้
ผมกะว่าปลายปี จะขับขึ้นไปเชียงใหม่ ไปเจอพี่อีกคนใน Tiida ที่นั่น แล้วก็ขับไปแม่ฮ่องสอน
ปางเอ๋ง ปาย ห้วยน้ำดังอะไรพวกนี้ หน้าหนาว มันต้องขึ้นเหนือ นี่แหละความสุขของชีวิต
-
ได้ตามนั้นเลยครับผม
ถ้าไม่ติดว่าไอ้ตัวเล็ก ยังอ้อแอ้
งานมีติดทริปไปด้วย.....
ไว้เจอกันครับผม
-
อ่านกี่ครั้งก็ประทับใจและสนุก กับบทความ
ขอบคุณครับ :D
-
สวัสดีครับพี่แพน ผมขอรบกวนหนอ่อยนะครับไม่รู้พี่จะติดตามกระทู้อยู่รึป่าว
พอดีผมซื้อ tiida 1.8G MC มือสองมาอ่ะครับ (เหตุผลเพราะกระทู้นี่แหละ และไม่ชอบเหมือนใคร บวกกับ นน 100+ ของผมด้วย)
ไม่รู้ว่าแพงไปไหม 500k รถมือเดียวจดทะเบียน 14 พ.ย. 2010 วิ่งไป 22400 โล รถบ้านครับ
เค้าแต่งมา ใส่แม็ค 17 ยาง Bridgestone Potenza RE001 205/45/17 JP กับ สปริงโหลด Tien ขดเขียว
ทุกอย่างผมก็ ok หมดครับ
แต่มันมันแข็งมากเลยครับ กระเด้งแบบเยอะกว่าที่คิด เทียบจาก altis 2006 เดิมๆของเจ้านาย
ผมจะทำยังไงได้บ้างครับ โดยไม่ต้องเพิ่มเงิน(มีชุดแมค+ยาง กับ สปริงโหลดเป็นทุน)
แล้วไอ้สปริงโหลดนี่ เอาของเก่ามาใส่จะนุ่มกว่าเยอะไหมครับ (ปริงตัวเก่า เค้าให้มาหมด)
ส่วนมากก็หาความรู้จากเว็ปนี้แหละครับ รบกวนหน่อยนะครับ