Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: Smart ที่ มีนาคม 16, 2014, 22:51:30
-
ตอนที่จะซื้อรุ่นนี้หาข้อมูลยากมากๆ เลยครับ ดังนั้นพอได้รถมา(เมื่อไม่กี่วันนี้เอง)ก็เลยตั้งใจว่าจะทำ review เล็กๆ กระชับในแบบผู้ใช้งานจริง เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสำหรับผู้ที่มองรถรุ่นนี้อยู่ แต่เนื่องจากผมมีเวลาค่อนข้างจำกัด จึงขออนุญาตทยอยเขียนวันละนิดนะครับ...To be continued
-
อันดับแรกก่อนที่จะ review ต่อไป ผมต้องขอกราบขอบพระคุณงามๆ ไปถึงคุณ Jimmy แห่ง headlightmag นับเป็นรถคันที่สองที่ผมตัดสินใจซื้อเพราะ review อันสุดยอดของคุณ คันแรกก็คือ Pajero Sport ปี 2009 จำได้ว่าตอนนั้นผมอ่าน review Pajero Sport สิ้นสุดกันทีกับการรอคอย (ต้องขออภัยถ้าจำหัวข้อคลาดเคลื่อนไปบ้างมันนานมาแล้ว) ไปมาอยู่หลายรอบเลยทีเดียว ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และนั่นก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังกับรถคันนนั้นเลยแม้แต่น้อยนิด
และสำหรับเจ้า V40 คันนี้ก็เช่นกัน ... ถึงแม่คุณ Jimmy จะยังไม่มี review รุ่นนี้ตรงๆ แต่การที่ผมได้อ่าน review รถ Volvo รุ่นอื่นๆ ทุกฉบับใน web นี้ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมได้พอรู้จักลักษณะอุปนิสัยข้อดีข้อด้อยต่างๆ ของรถ Volvo และบอกได้ว่ามันใช่รถที่ผมกำลังมองหาอยู่หรือไม่...ขอบพระคุณจากใจจริงครับ
:)
-
;D
-
.So Super car !!
I like this model alot but no have anought money to buy.
Same with me also got Pajero sport. because this website review.
-
รถสวยมากครับรุ่นนี้ รออ่านต่อนะครับ
-
ปาดๆรอขมคราบ อิ
-
รออ่านครับผม
ชอบมากเลยรุ่นนี้ เพราะผมว่า V40 มันดูเตี้ยไป ยิ่งวิ่งบนถนน ยิ่งเหมือนรถโหลดติดพื้นถนน
แต่ Cross Country มันทำให้รถดูสมส่วนขึ้นมากครับ
-
ก่อนที่จะ review ต่อไป ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ผู้ที่มีหัวใจรักยานยนต์และการเดินทางเช่นเดียวกันกับผม ที่แวะเข้ามาแวะชมและให้กำลังใจนะครับ :D
มาดูกันต่อ...
บทที่ 1: Spec Vs. Price
เวลาที่ต้องเลือกซื้อรถซักคัน...สเปคและราคาเป็นสิ่งแรกที่ผมมอง คือถ้าทั้ง 2 สิ่งนี้ไม่ match กัน เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องไปดูกันต่อ และขอเรียนจากใจจริงว่าก่อนหน้านี้อ้ายความคิดที่จะเล่นรถหรูจากค่ายยุโรปอย่างพวก เบนซ์ บีเอ็ม วอลโว่ หรือค่ายใดๆ ก็ตาม ไม่เคยอยู่มีอยู่ในหัวของผมเลย เนื่องจากในความคิดส่วนตัวมองว่ารถเหล่านี้ราคาสูงเวอร์เกินเมื่อเทียบกับสมรรถนะที่ได้มา ซึ่งสาเหตุหลักๆ มันก็มาจากภาษีนำเข้ารถที่สูงถึง 200% นั่นเอง ... แต่อุดมการณ์นี้ก็ต้องมลายหายไปเมื่อได้มาเจอกับเจ้า V40 คันนี้...
-
ผมได้เจอ Volvo V40 ครั้งแรกที่งานโชว์รถที่ห้างเซ็นทรัลชลบุรีเมื่อเดือน ต.ค. 56 ที่ผ่านมา ในตอนนั้นสิ่งแรกที่ทำให้ผมต้องตะลึง อึ้ง ละก็ทึ่ง...(ก่อนที่จะเห็นหน้าตารถซะอีก) ก็คือ...ป้ายหน้ารถตัวโชว์ที่เขียนไว้ว่า
"V40 T5 ,1984cc, 213 hp, max speed 230 km/h, 0-100 km/h= 6.9 sec
Price range 1,680,000 1,920,000 Bt
เฮ้ย! นี่มันสเปครถสปอร์ตชัดๆ ...มันใช่เหรอราคานี้??? ผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจอะไรผิดไปหรือป่าวเกี่ยวกับราคา...จนต้องย้ำถามราคาเจ้าหน้าที่ขายถึง 2 ครั้ง... น้องครับราคานี้ยังไม่ได้รวม Vat หรือปล่าว?
เพียงแค่เห็นป้ายนี้เงินในกระเป๋าผมมันก็เตรียมพร้อมที่จะทะยานออกไปกับเจ้า V40 Cross Country ซะแล้ว! ;D
มาดูโบรชัวฉบับเต็มกัน...
-
คำถามหลักก็คือ..."ทำไม Volvo Thailand ถึงทำราคาเจ้า V40 ได้สวดยอดขนาดนี้?" ... คำตอบที่กระจ่างแจ้งมันมีอยู่ ซึ่งหลายท่านในแวดวงยานยนต์ก็อาจจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว... แต่ผมก็ยังอยากจะอธิบายให้กับเพื่อนๆที่ตกข่าวเหมือนกับผมในตอนแรก...ไว้ติดตามกันต่อนะครับ
To be continued... 8)
-
เข้ามารออ่านครับ
-
ติดตามชมครับ
-
ชอบมากๆรถรุ่นนี้ ปูเสื่อรอชมอยู่นะครับ ;D
-
เอาละครับมาว่าเรื่องของราคากันต่อ...แต่ก่อนอื่นเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนกันมากขึ้นว่าทำไมผมถึงได้บอกว่า ..."ทำไม Volvo Thailand ถึงทำราคาเจ้า V40 ได้สวดยอดขนาดนี้?" ลองมาดูราคา vs สเปคในภาพรวมของรถยุโรปของค่ายชั้นนำอื่นๆ กันบ้าง
-
ผมก็ไม่ได้ถึงกับจะบอกว่ารถ Volvo ดีไปกว่า BMW หรือ Benz นะครับ ... เพราะการเปรียบเทียบรถรุ่นต่างๆ ต้องดูกันในหลายมิติ และรถแต่ละรุ่นนั้นก็มีทั้งข้อเด่นและข้อด้อยที่ต่างกันไป ที่สำคัญที่สุดคือมันตอบโจทน์ที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้มากแค่ไหน ถึงกระนั้นจากตารางราคาเปรียบเทียบกับสเปคของรถทั้ง 3 ค่ายที่เราได้เห็นกันนี้... "ก็คงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าเจ้า V40 ตัวนี้ทำคะแนนได้โดดเด่นไม่แพ้ใครเลยจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ต่างค่ายที่มีสเปคใกล้เคียงกัน"
และที่เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า...
"เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ S60 ใหม่ มีค่าตัวถูกขนาดนี้ ก็เพราะว่า Volvo ใช้วิธีการ นำเข้าชิ้นส่วน ไปประกอบยังโรงงานของ Volvo มา กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1968 ปัจจุบัน มีพนักงานประมาณ 200 คน ประกอบรถยนต์รุ่น Volvo S40, S60, S80, V50 , XC60 และ XC90 ว่าง่ายๆ คือแทบทุกรุ่นที่มีขายอยู่ในเมืองไทยตอนนี้นั่นเอง"
ตามไปดูรายละเอียดกันในบท review นี้ของคุณ Jimmy ได้เลยครับ..."ทดลองขับ Volvo S60 1.6 DRIVe Turbo 6AT Power Shift (180 HP) : MAKE SENSE to BUY!"
สุดท้ายก็ยังคงเป็นคุณ Jimmy และทีมงานอีกแล้วที่่ช่วยทำให้ผมได้มาถึงบางอ้อ...ต้องขอขอบพระคุณอีกครั้งอย่างมากมาย ;D
-
ในที่สุดเราได้ได้เดินทางกันมาถึงตอนจบของ "บทที่ 1 Spec vs Price" ...ข้อสรุปของบทนี้ที่ผมอยากจะสื่อสารไปถึงเพื่อนๆ ที่กำลังมองๆ รถรุ่นนี้กันอยู่ก็คือ "ในมุมมองด้านสเปคและราคา...เจ้า Volvo V40 ตัวนี้ไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน และจากการใช้งานจริงที่ผมได้ลองมาด้วยตัวเองนั้น บอกได้เลยว่ามันก็ยังให้ความประหยัดน้ำมันในขนาดที่หลายๆ คนไม่คาดคิด ว่าจะพบได้ในความแรงระดับ 213 แรงม้านี้"...โปรดติดตามต่อไปใน "บทที่ 2 มาว่ากันเรื่องของศูนย์ Volvo" ... To be continued!
-
รอยคอ รอคอย ;D ;D
-
เห็นด้วยครับว่า spec กับ price ของ volvo ทำได้ดีมากๆ รออ่านตอนต่อไปครับ
-
รออ่านในสิ่งที่หลายๆคนกังวลใจกับ volvo
อะไหล่ กับศูนย์บริการ
-
ติดตามด้วยคนครับ ชอบรุ่นนี้มากกกกก
-
บทที่ 2: ว่าด้วยเรื่องของศูนย์ Volvo
เรื่องสำคัญอันดับสองรองมาจาก Spec vs. Price ก็คือเรื่องของศูนย์บริการที่ผมค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญมากพอสมควร...มากยิ่งไปกว่าสมรรถของตัวรถเสียอีก... เหตุผลนะเหรอ? ก็เพราะว่าผมเป็นเพียง Car User ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ...ไม่ใช่ Car Tester ระดับมืออาชีพอย่างที่เราเห็นกันตามนิตยสารรถ ที่มุ่ง test กันในเรื่องสมรรถนะของตัวรถเป็นหลัก... พวกเค้าอาจจะเชี่ยวชาญการทดสอบโดยการ... เหยียบเจ้า V40 ไปมิดไมล์ เพื่อดูหน่อยซิ ว่ามันทำความเร็วได้ถึง 230 อย่างที่ Volvo ประกาศไว้หรือเปล่า?(หรือแค่โม้)...หรืออาจจะลองขับสาดโค้งไปมาที่ความเร็ว 140-150 เพื่อดูว่ายังเอาอยู่กันหรือเปล่า?... หรืออาจจะลองเหยียบขึ้นไปที่ 140 แล้วกดเบรคจมมิดในทันทีทันใดเพื่อดูซิว่ามันจะให้ความรู้สึกอย่างไรในเจ้า V40 (ทุกชีวิตจะยังปลอดภัยใน Volvo สมดั่งสโลว์แกนที่ว่าไว้หรือเปล่า?)...หรืออาจจะลอง test ในแบบอื่นๆ ที่น่าใจหายใจคว่ำอีกมากมาย... และนั่นก็เป็นสิ่งที่ Car Tester เค้ามักทำกันเมื่อได้มีเวลาอยู่กับเจ้ารถคันนั้นซัก 2~3 วันก่อนที่จะคืนกุญแจให้กับศูนย์ไปตามระเบียบ...
แต่ไม่ใช่ผมอย่างแน่นอน...เพราะผมเป็นเพียง Car User ธรรมดาๆ ที่ไม่ค่อยอยากจะรู้นักหรอกว่า ทุกชีวิตจะปลอดภัยใน Volvo สมคำร่ำรือหรือไม่ (ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ)...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะรู้แน่ๆ ก็คือ...เจ้า V40 คันนี้มันจะได้อยู่กับผมในสภาพที่ดีไปตราบเท่านานแสนนานซักได้แค่ไหน ตามประสาคนรักรถคนหนึ่ง... ผมจึงเป็นคนหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องของศูนย์บริการเป็นอย่างมาก...ถึงมากที่สุดเลยทีเดียวเชียวก็ว่าได้
-
ติดตามอ่านนะครับ ชอบรีวิวลักษณะนี้มากครับ
-
พูดไปแล้วก็ทำให้ผมนึกไปถึงเจ้ารถยี่ห้อสี่ห่วง(ทนหายห่วง) คันเก่าที่บ้านคันหนึ่ง ที่มีอายุเกิน 20 ปีขึ้นไปแล้ว เจ้าสี่ห่วงคันนี้ที่ต้องพบกับความบอบช้ำมามากมายหลายครั้งกับศูนย์ซ่อมที่ไม่ได้มาตรฐาน จนทุกวันนี้ศูนย์ Audi ได้ปิดร้างราจากเมืองชลบุรีเป็นที่เรียบร้อยไปหลายปีแล้ว... แต่เจ้าสี่ห่วงนี้ก็ยังคงใช้งานได้ดีอยู่ในสองหน้าที่คือ...หนึ่ง เอาไว้ขับวนเวียนไปมา อยู่ในเมืองในระยะใกล้ๆ ไปตลาด ไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ฯ (พูดง่ายๆ คือใช้แทนมอเตอร์ไซนั้นเอง) และอย่างที่สองก็คือไว้ให้แมวนอน...ซึ่งดูแล้วจะหนักไปในอย่างหลังมากกว่า... แต่ถ้ามองกันในเรื่องของตัวรถเพียงอย่างเดียวนั้น รถ Audi ก็ถือได้ว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะที่ดี ให้ความสุนทรีย์ในการขับขี่ มี design ที่สวยงาม เรียกว่าแทบจะ perfect ไปเสียทุกอย่างยี่ห้อหนึ่งเลยทีเดียวก็ว่าได้...
ต้องขออภัยที่นอกเรื่องไปซะยาว...มาเข้าเรื่องของศูนย์ Volvo กันต่อดีกว่า...(แต่ขอเบรคก่อนชั่วคราว)
;)
-
ออกตัวก่อนว่าเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องอดีตคือผมเคยใช้วอลโว่มาก่อน ต้องบอกว่าศูนย์วอลโว่ไทยห่วยมากขั้นเทพสมัยนั้นประมาณว่าเอารถเข้าไปซ่อมแล้วมีอาการเสียอาการใหม่ออกมา ซ่อมไม่จบวนไปอย่างนี้(อาจจะโชคร้ายเจอช่างไม่เก่งก็เป็นได้) หรือเอารถออกมาเบาะหนังเปื้อนรอยคราบน้ำมันบ้าง ลายไม้ที่ประตูมีรอยขูดจากเล็บคนรับรถบ้าง ทั้งที่เจ้าของรถรักษาแทบตาย แต่คนในอู่วอลโว่เอาไปปู่ยี้(ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ) ตั้งแต่วันนั้นมาก็เลยเข็ดกับวอลโว่ไทย (สมัยก่อนเข้าศูนย์ที่วอลโว่ท่าพระ กับซอยประมวล ปัจจุบันปิดไปแล้ว) และเคยไปอู่สีวอลโว่ที่บางนา เก็บงานไม่เรียบร้อยอีกด้วย
ยังจำขึ้นใจอีกเคสคือได้เอารถเข้าศูนย์เช็คระยะที่อู่วอลโว่ตลอด วิ่งได้ปีที่ห้า เกียร์พังพอดี ถามช่างทำไมพัง ช่างบอกรุ่นนี้ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยหน่อยเพราะเมืองไทยอากาศร้อน อยากจะบอกว่าแล้วทำไมตอนที่ผมเอาเข้าเช็คก่อนหน้านี้ช่างไม่แนะนำเปลี่ยนถ่ายนำมันเกียร์ให้ละคร้าบบรถก็เข้าเช็คศูนย์วอลโว่ไทยแลนด์ถิ่นแดนสยามตลอด แล้วให้ผมเสียเงินค่าเปลี่ยนเกียร์เกือบแสนบาท
ย้ำอีกครั้งที่เล่ามาเป็นเคสอดีต หวังว่าศูนย์วอลโว่ปัจจุบันนี้อาจดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
-
ดีครับที่ช่วยกันเข้ามา share
เหรียญมีสองด้านเสมอ
เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันว่ารถ Volvo รุ่นก่อนๆ มีปัญหาเรื่องระบบเกียร์ในบางคัน แต่ก็ไม่ชัดเจนนักเพราะว่ารถ Volvo มีคนใช้ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ไม่เป็นวงกว้างเหมือนอย่างเบ็นซ์กับบีเอ็ม... ส่วน Volvo รุ่นใหม่ๆ จะมีปัญหาบ้างหรือไม่นั้น? บอกตรงๆ ว่างานนี้ต้องวัดใจกันล่ะครับ เพราะมันจะเป็นเรื่องราวของอีก 5 ปีข้างหน้าหลังจากที่รถหมดประกัน...ตอนนี้ยังฟรีทุกอย่างอยู่... หุ หุ ;)
-
ใช้มาได้ร่วม 5 เดือนหมื่นโล V40 My13 ภาพรวมพอใจ แต่ที่จริงก็เริ่มมีปัญหาตั้งแต่วันแรกๆแล้ว รถขณะเคลื่อนตัวช้า(ตอนจอดรถ)ไม่ว่าเดินหน้าหรือถอยจะมีเสียงดัง กึกกัก เข้าศูนย์ที่ซื้อรถ (ก็ได้คำตอบแนว classic)ช่างบอกว่าไม่ได้ยินเสียงที่ผิดปกติ นี่ตั้งใจว่ารอให้อีกสักพักจะเอาเข้าที่ศูนย์เมืองชลนี่แหละ เพราะอยู่ชลบุรีเหมือนกัน
-
ผมว่าช่างที่ศูนย์ชลเค้า O อยู๋นะ ได้คุยกันวันรับรถที่เค้ามาอธิบายระบบต่างๆ ให้ฟัง เค้าตอบคำถามได้ clear ทีเดียว...ลองดูครับ :)
-
เรื่องของศูนย์ Volvo (ต่อ...)
และสำหรับสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปในบทนี้ จะเป็นเรื่องราวของศูนย์ Volvo ชลบุรีแต่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น... เพราะการใช้บริการต่างๆ ตั้งแต่ตอนหาข้อมูลก่อนซื้อรถ ไปจนถึงการบริการให้คำปรึกษาต่างๆ หลังจากที่ได้รับรถมาขับเป็นที่เรียบร้อย... ผมได้ deal กับที่ศูนย์ Volvo ชลบุรีเพียงแห่งเดียวมาตลอดจริงๆ
และมันคงจะเป็นการไม่แฟร์ถ้าผมพูดเพียงแต่คำว่า ศูนย์ Volvo เฉยๆ โดยเหมารวมว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้มันคือของศูนย์ Volvo ทั้งประเทศไทย
จริงมั๊ยครับ?
ถ้าหาพิจารณาดูแล้วเห็นว่าศูนย์แห่งนี้ไม่มีมาตรฐานที่ดีพอ... ผมก็ยอมที่จะตัดใจจากเจ้า V40 รถในดวงใจของผมไป มีภาษิตจีนพูดไว้ว่า... หากขุนเขายังอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืน ... มันก็ยังมีรถ model ใหม่ๆ จากหลายค่ายอื่นๆ อีกตั้งหลายรุ่นที่น่าเล่นหนิครับ... ไม่ว่าจะเป็น Masda CX5, Nisson Juke, ฯลฯ ทำไมจะต้อง Volvo Only ด้วย?
-
สิ่งต่างๆ ที่ผมได้นำมาพิจารณาในการประเมิณศูนย์ Volvo ชลบุรี ก็ตามนี้เลยครับ...
เรื่องที่ 1.การให้ข้อมูลของพนักงานขายเป็นอย่างไร?
สำหรับพนักงานขายหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าเซลของผมนั้น ก็คือคุณ คัทลียา คำภากุล หรือผมมักเรียกชื่อเล่นเธอว่า Kat ...มีหลายสิ่งอย่างที่ผมประทับใจในการบริการของเธอ แต่ผมจะไม่ขอพูดยืดยาวเกี่ยวกับคุณ Kat
เพราะเดี๋ยวจะหาว่าเชียร์กันออกนอกหน้าเกินไป...แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดได้แน่ๆ ก็คือ คุณ Kat เป็นเซลที่มืออาชีพมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบมา และสิ่งที่โดนใจผมมากที่สุดในการให้คำปรึกษาของเธอก็คือ Kat ไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับรถ Volvo ได้ในทุกเรื่อง แต่เธอจะไปหาคำตอบกลับมาบอกผมภายใน 24 ชั่วโมงในทุกครั้งไป และนั่นมันมากเกินพอสำหรับเซลมืออาชีพที่ผมต้องการจะซื้อรถด้วย
และถ้าให้ประเมิณคะแนน ผมให้เธอเลย 10 เต็ม 10 อย่างไม่ต้องคิดนาน
!
-
ด้วยความเคารพนะครับ ผมได้ขออนุญาตคุณ Kat เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการนำรูปและช่องทางติดต่อของเธอมา post ลง...ถ้าอยากรู้อารัยเกี่ยวกับรถ Volvo ก็ลอง...ติดต่อเธอดูได้ครับ ;)
-
เรื่องที่ 2. สภาพโรงซ่อมรถเป็นอย่างไร?
1.พื้นที่โรงซ่อมมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ดูดีสะอาด เป็นระเบียบ ไม่แออัดเหมือนอย่างศูนย์รถญี่ปุ่นชั้นนำที่ผมคุ้นเคยมา
2.ปริมาณรถที่เข้ามาใช้บริการไม่ถึงกับหนาแน่นมาก แต่ก็มีรถเข้าออกอยู่เกือบตลอดเวลาที่ผมสังเกตุดู (อาจเพราะเป็นวันเสาร์) มีทั่ง Volvo รุ่นเก่า-ใหม่ โดยเฉพาะรุ่นใหญ่ๆ อย่าง XC60, S60, S80
ฯ เค้าก็เข้ามาทำกัน ทำให้ผมคิดไปว่า รุ่น Eco อย่างเจ้า V40 ของผมมันก็น่าจะ O อยู่
3.ช่างที่ศูนย์มีความเป็นกันเอง สามารถขอให้เค้าพาไปอธิบาย ซักถามรายละเอียดกันที่หน้างานถึงรถของเราที่กำลัง maintenance อยู่
ผมชอบที่จะไปดูเวลาที่ช่างถอดประกอบรถของเรา...มากว่าที่จะแค่นั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องรับรองลูกค้าแล้วรอจ่ายตัง... เพราะมันช่วยให้ผมได้ idea หลายๆ อย่างในเวลารถมีปัญหา...
นอกจากนี้ในวันที่รับรถ คุณอนุชา ชัยสีทอง หัวหน้าแผนกซ่อมได้มาให้คำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับระบบของรถด้วยตัวเองและยังให้นามบัตรพร้อมเบอร์มือถือกับผมไว้ เผื่อถ้าต้องการปรึกษาในกรณีฉุกเฉิน... นี่นับเป็นความประทับใจอันหนึ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากรถยี่ห้อไหนๆมาก่อนเลย ตั้งแต่ที่เคยซื้อรถมา...
(รูปข้างล่างเป็นวันที่ผมเข้าไปดูตอนช่างเปิดระบบก่อนส่งมอบรถ รูปจะเล็กซักนิดเพราะผมไม่ค่อยถนัดในการออกสื่อน่ะครับ)
-
เรืื่องที่ 3.ศักยภาพในการซ่อมมีแค่ไหน?
สำหรับขีดความสามารถในการซ่อมนั้นคุณ Kat อธิบายผมว่า ทางศูนย์ Volvo ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศโดยช่างที่ศูนย์ Volvo ทุกศูนย์จะได้รับการฝึกอบรมจากส่วนกลางคือ Volvo Thailand ส่วนในกรณีซ่อมหนักนั้นสามารถนำเข้าอาหลั่ยได้ทุกชิ้น แต่ราคาก็ขึ้นอยู่กับ case by case ไป...ในเรื่อง software ก็จะมีการ update เป็นระยะจากทาง Volvo Thailand เช่นกัน
และนี่ก็เป็นเพียงข้อมูลที่ได้รับฟังมา...ในส่วนตัวผมเองยังไม่เคยใช้บริการในส่วนนี้เพราะเพิ่งออกรถมา...
-
- -"
-
promote - -"
-
เรื่องที่ 4 : ค่าใช้จ่ายในการ maintenance เป็นอย่างไร?
-ในเรื่องค่า maintenance ตามระยะนี้ใน 5 ปีหรือแสนกิโลเมตรแรกฟรีทั้งค่าแรงและค่าอาหลั่ย (อันนี้เข้าใจว่าคงเหมือนกันทั้ง BM และ Benz) ... แล้วถ้าถามว่าถ้าเกินระยะ promotion ไปแล้วล่ะ? ... จากที่สอบถามเพื่อนๆ ที่ใช้ Volvo มา ก็บอกกันว่า ไม่ต้องห่วง "แพงแน่นอน" ตาม style รถยุโรปทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เค้าก็จะใช้วิธีหาทำกันตามอู่ข้างนอกที่เป็นช่างเก่าจากศูนย์ไปเปิดเอง...
อย่างไรก็ดี Volvo Thailand ก็ได้แสดงอัตราค่าซ่อมของรถทุกรุ่นเมื่อเกินระยะแสนโลไปแล้วตาม link นี้ครับ
http://www.volvocars.com/th/sales-services/services/spi/pages/default.aspx (http://www.volvocars.com/th/sales-services/services/spi/pages/default.aspx)
ซึ่งเจ้า V40 จะมีราคาค่าซ่อมอยู่ระหว่าง 6970 บาทไปจนถึง 26,240 บาท (แต่ไม่แน่ใจว่าถึงเวลาจริงๆ จะมีอย่างอื่นบวกเพิ่มอีกหรือเปล่า?) ขึ้นอยู่กับระยะที่เข้าทำการตรวจเช็ค... ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน... ถึงตอนเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเข้าศูนย์หรือหาอู่นอก...
มีอีกอย่างหนึ่งคือผมพยายามหาราคาค่าซ่อมแบบนี้ใน Web ของ BMW และ Benz เพื่อเปรียบเทียบแต่ไม่เจอ...ถ้าใครมีช่วยแชร์เป็นความรู้ด้วยก็จะขอบคุณมากเลยครับ
-
มีปุ่ม skip ไปที่รีวิวรถเลยไหมครับ รออ่านอยู่นะครับ ;D
-
มีปุ่ม skip ไปที่รีวิวรถเลยไหมครับ รออ่านอยู่นะครับ ;D
จิงๆ ก็กำลังจะเริ่มเขียนเกี่ยวกับตัวรถแล้วล่ะครับ...แต่กำลังนึกอยู่ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี???
-
บทที่ 3 : ในเรื่องของตัวรถ...
สำหรับ Option ต่างๆที่ให้มาในเจ้า V40 นั้นนับว่ามีมากมายจนตอนนี้ผมเองก็ยังรู้ได้ไม่หมด...แต่ก็จะขอพูดถึงจุดที่เด่นๆ ที่ได้ใช้งานอยู่เป็นประจำก่อนก็แล้วกันนะครับ
-
ภายใต้ฝากระโปรงหน้า... มาดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
1. เครื่องยนต์
ประเด็นที่น่าสนใจของเครื่องยนต์ก็คือนอกจากที่ spec เดิมๆ มันมาที่ 213 แรงม้าแล้วนั้น...ผมก็เพิ่งได้ทราบจากช่างที่ศูนย์ว่าสามารถ up แรงม้าได้อีก 20~25 ตัวโดยการปรับแต่ง Software ...สามารถทำได้ที่ศูนย์ Volvo ทั่วไปและไม่มีผลต่อการประกัน... อันนี้ผมไม่ได้ลองเพราะม้าที่ให้มานั้นก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว...
2. แบตเตอรี่
ลักษณะเด่นคือ เป็นแบบแห้ง ให้ Volt สูงเพื่อรองรับระบบ Auto-start/stop และเซ็นเซอร์ต่างๆ ... และที่สำคัญคือ "ห้ามจั๊มไฟโดยเด็ดขาด" เพราะอาจทำให้ระบบ electronic รวมถึง software ต่างๆ เกิดความเสียหายได้ ดังนั้นจะเห็นว่ามีฝาพลาสติกสีดำครอบซีลไว้เพื่อป้องกัน (ตรงที่เห็นสายสีไฟสีแดงๆ)...ดังนั้นถ้าหากแบตหมดต้องเรียกใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินของ Volvo เพียงสถานเดียว
อย่างไรก็ดี Volvo ก็ได้ออกแบบระบบแบตเตอรีให้มีการตัดไฟของตัวรถทัั้งหมด เมื่อเราได้ stop เครื่องไปนานระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันแบตอ่อน (เช่น กรณีที่ลืมเปิดไฟในห้องโดยสารทิ้งไว้) ...และนั่นจะทำให้แบตมีไฟสำรองเหลือเพียงพอที่จะ start เครื่องยนต์ได้เสมอ และเมื่อเรานำรถเข้าศูนย์ช่างจะคอยเช็คสภาพแบตและแจ้งให้เราเปลี่ยนก่อนที่มันจะหมดสภาพ... ส่วนราคาก็อยู่ที่ประมาณลูกละ 9000 บาท
ข้อด้อย: สำหรับประเด็นนี้ในคู้มือรถไม่ได้บอกไว้ แต่ผมก็เห็นด้วยกับช่างเพราะว่าดูแล้วรถรุ่นนี้ระบบ electronic ค่อนข้าง sensitive
3. การตรวจวัดระดับของเหลวต่างๆ
เกจในการตรวจวัดระดับของเหลวต่างๆ อย่างพวกน้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น น้ำมันเกียร์ฯ ก็หน้าตาเหมือนรถทั่วๆ ไป...แต่ข้อพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เกจของเหลวทุกอย่างมันจะมีเซ็นเซอร์คอยจับ...แล้วส่ง message ไปเตือนที่หน้าจอเมื่อพบความผิดปกติขึ้น เช่น ระดับน้ำมันเครื่องต่ำ...ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปตรวจเช็คอะไรต่างๆ นานาด้วยตัวเองมาก... ถ้าเชื่อใจเจ้าสมองกลนี้ แต่สำหรับผมก็ยังคงต้องคอยเปิดฝากระโปรงดูเป็นระยะอยู่ดี...ยังงัยมันก็รู้สึกอุ่นใจกว่า
Note: ส่วนระบบ detect ลมยางอัตโนมัตินั้นไม่มีให้ในรุ่นนี้...
-
ภายใต้ฝากระโปรงหลัง...
สิ่งที่ทำให้ผมโล่งใจที่สุดเมื่อเปิดฝากระโปรงหลังขึ้นมาก็คือ ... มันมียางอาหลั่ยมาให้แล้ว ในรุ่นนี้ ;D และถ้าหากมันเป็นแก๊สกระป๋องที่ใช้ปะฉุกเฉินแทน เหมือนอย่างรุ่น S60 ผมคงจะลังเลอยู่ไม่น้อย
ข้อด้อยก็คือความจุที่น้อยไปซักนิด เนื่องจากการ design ของรถที่ต้องการทำให้ดูเพรียวเป็นแนวสปอร์ต ทำให้ค่อนข้างมีข้อจำกัดในการขนสัมภาระต่างๆ ยามเดินทางไกล
Theme ของการขับขึ่ปรับหน้าจอได้ 3 รูปแบบ
*** ขอข้าม part นี้ไปเขียนใหม่ถัดจากข้อ comment ในด้านล่างเลย เนื่องจากข้อมูลที่ผมลงในตอนแรกนั้น เข้าใจผิดไป***
อัตราการกินน้ำมัน
สำหรับเรื่องอัตราการกินน้ำมันนั้นเป็นสิ่งแรกที่ผมกังวลใจ ก่อนตัดสินใจซื้อ V40 ... ก็เนื่องด้วยเจ้า 213 แรงม้าที่มากับตัวรถนั่นเอง...ผมจึงกลัวว่ามันซดน้ำมันแบบไม่ปราณีเจ้าของ เหมือนอย่าง Volvo รุ่นก่อนๆ ex 760, 740...etc ที่วิ่งกันแบบทางไกลยังได้แค่ 8-9 km/l
แต่พอได้วัดกันจริงๆ ในระยะทางขับทำงานไป-กลับ ชลบุรี/พัทยา เส้นสุขุมวิทย์ในช่วง rush hourและจากการจับอัตราการสิ้นเปลืองโดยวิธี reset เข็มไมล์ แล้วหารด้วยจำนวนลิตรจริงที่เติม โดยน้ำมันที่ใช้คือ E20 ...ผลที่ได้คือมันกลับประหยัดอย่างน่าเหลือเชื่อ (เมื่อเทียบกับจำนวนแรงม้าและอัตราเร่งอันยอดเยี่ยม)
ครั้งที่ 1 = 10.96 km/l 10.90 (แก้ไข เพิ่งเห็นว่าพิมพ์ผิดไป ตอนนั้นง่วงนอนมาก)
ครั้งที่ 2 = 11.25 km/l 10.75 (แก้ไข เพิ่งเห็นว่าพิมพ์ผิดไป ตอนนั้นง่วงนอนมาก)
ครั้งที่ 3 = 10.96 km/l
ครั้งที่ 4 = 11.25 km/l
ครั้งที่ 5 = 10.42 km/l
โดยตัวเลขที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละครั้งนั้นเกิดจากสภาพการจราจรที่แตกต่างกันไป และเมื่อเทียบกับเจ้าปาเจโร๊ะสปอร์ตปี 2009 (140 แรงม้า) เครื่องยนต์ดีเซลที่วิ่งในเส้นทางเดียวกันนี้เป็นประจำ...มันทำได้เฉลี่ยราว 10.5 km/l...ซึ่งใกล้เคียงกันมาก แต่แรงต่างกันลิบ
ส่วนวิ่งทางไกลยาวๆ ยังไม่เคยลอง...เอาไว้ถ้ามีข้อมูลแล้วจะมา update ในครั้งต่อไปครับ...
-
ไม่ได้เป็นแค่ theme สีเหรอครับ โหมดต่างๆ !!
-
ระบบ Auto Start/Stop
เป็นระบบที่ 2 ใน V40 ที่ผมมีข้อสงสัยหลายอย่าง แต่ก็ถามข้อมูลจากเพื่อนๆ ไม่ได้เลย เพราะระบบนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย...แต่ผมก็แอบทึ่งกับ Nisson อัลเมร่า ที่มันมีระบบนี้ติดตั้งอยู่ด้วย!...และต่อไปนี้เป็นข้อมูลที่หน้าสนใจของระบบ Auto Start/Stop รวมถึงข้อควรระวังในการใช้งาน ที่ผมพอหามาได้จาก Web ต่างๆ รวมทั้งของ Volvo ( webนอก) เองด้วย
ระบบ Auto Start/Stop คืออะไร?
-ระบบนี้เป็นระบบที่ช่วยประหยัดน้ำมันในขณะที่รถติด โดยระบบจะ stop เครื่องยนต์ (ไม่ใช่ลดความเร็วรอบไปต่ำๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน) เมื่อรถหยุดสนิทและเหยีบแป้นเบรคค้างไว้ สำหรับใน V40 จะสังเกตเห็นไฟสัญลักษณ์ตัว A สีเขียวโชว์ขึ้นที่หน้าจอ เมื่อเครื่องยนต์ดับลง ความเร็วรอบด้านขวาของหน้าจอจะตกเป็นศูนย์ ... และเมื่อเราถอนเท้าออกจากแป้นเบรคเครื่องยนต์จะกลับมา start โดยอัตโนมัติอีกครั้ง ไฟสีเขียวตัว A จะหายไป รอบความเร็วกลับขึ้นมาที่ minimum speed...พร้อมออกตัวต่อไป
-
ขณะที่เครื่องยนต์ดับระบบแอร์และระบบไฟต่างๆ ภายในห้องโดยสารตัดการทำงานหรือไม่?
-ระบบแอร์และระบบไฟฟ้าต่างๆ เช่น เครื่องเสียง ไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร ยังทำงานตามปกติเหมือนเดิมทุกประการในขณะที่เครื่องดับ
จากความรู้เดิมเวลาที่เปิดแอร์จะต้อง start เครื่องยนต์ไว้เสมอเพื่อป้องกันแบตหมด?
-ระบบ Auto Start/Stop จะมีการ upgrade ทั้ง hardware และ software ขึ้นมาอยู่หลายอย่าง ซึ่งโดยหลักๆ มีดังนี้
Hardware:
1.) แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้มีจ่ายไฟฟ้าได้เพียงพอต่อระบบทั้งหมดที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบต่างๆ ที่ต้อง support เครื่องยนต์ เช่น ปั๊มน้ำมันเกียร์ Auto ฯ ในขณะที่เครื่องดับ
2.) มอเตอร์ start สามารถรองรับกับจำนวนการ start เครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น
Software: จะมีระบบเซนเซอร์หลายชุดตรวจจับอยู่ในขณะที่เครื่องยนต์ Stop และถ้าหากเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งในนี้ไม่ผ่านเครื่องยนต์จะ start ขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
1.) อุณหภูมิของเครื่องยนต์ต้องไม่ต่ำเกินที่กำหนด เพื่อป้องกัน cold start ซึ่งจะทำให้เครื่องสึกหรอเร็ว
2.) อุณภูมิบรรยากาศภายนอกต้องอยู่ระหว่า 0-30 องศาเซลเซียส
3.) ระดับของไฟที่เหลือของแบตเตอรี่ต้องไม่ต่ำกว่าที่กำหนด
จริงๆ แล้วยังมีเงื่อนไขอื่นๆ อีกมากมาย แต่เป็นเรื่องปลีกย่อยลงไป
ข้อด้อย: ในคู่มือของ V40 บอกไว้ว่าในบางสถานะณ์ขอแนะนำว่าควรปิดระบบนี้ในชั่วคราว แต่ไม่ได้ระบุว่าในสถานะการณ์ไหน...จากที่ผมได้ search หาข้อมูลและใช้งานระบบนี้ด้วยตัวเองนั้น...ได้พบว่าสถานะการณ์ที่ว่านี้ก็คือเวลาที่รถติดสลับหยุดนิ่ง เคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เพราะเครื่องยนต์มันจะ start/stop รัวๆ ถี่จนเกินไป ยังงัยก็คงไม่ดีต่อเครื่องและความปลอดภัยเป็นแน่... แต่ถ้ารถติดไฟแดง OK ระบบนี้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันไปได้มากเลยทีเดียว
-
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องระบบอื่นๆ ต่อไป...ขอข้ามมาในเรื่องของความรู้สึกในการขับขี่กันบ้างดีกว่า เพราะคิดว่าเป็นประเด็นหลักๆ ที่หลายคนคงอยากจะรู้ คือถ้ารอให้พูดระบบต่างๆ หมดมันคงจะกินเวลาอีกนานเลยทีเดียว ;)
อารมณ์ในการขับขี่
ช่วงล่างเป็นอย่างไร?
ถ้าเปรียบเทียบกับ Volvo generation ก่อนๆ อย่างเช่น 460, 740, 760
ซึ่งเป็นแนวรถผู้บริหารที่มีช่วงล่างแบบนุ่ม soft เน้นความนั่งสบายเป็นหลักนั้น จะพบว่าช่วงล่างของ V40 Cross ตัวนี้ set มา firm ขึ้นมากกว่ารุ่นเดิมๆ ที่ได้กล่าวมา อย่างเห็นได้ชัด...เป็นแนววัยรุ่นมากขึ้น เน้นความ sport แต่ก็ไม่แข็งจนเกินไปนัก ยังคงความนั่งสบายอยู่ ...การหักเปลี่ยนเลนและการเข้าโค้งทำได้ดี นิ่งหนึบตามแบบฉบับรถยุโรปทั่วๆ ไป... ใน review ของ web นอกบางแห่งเค้าว่ากันว่า มันเป็นการ compromise ระหว่างช่วงล่างของ Benz กับ BMW เลยทีเดียว... อันนี้ก็คงต้องไปพิสูจน์กันด้วยตนเอง
โดยในส่วนตัวผมชอบช่วงล่างของรถรุ่นนี้นะ ผมคิดว่ามัน set มาได้ลงตัวมากๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นตัว top ต่างๆ ของค่ายญี่ปุ่นที่ราคาเริ่มเขยิบเข้าใกล้กันมากขึ้นนั้น ...V40 ทำได้โดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเปรียบเทียบกับเงินส่วนต่างที่จ่ายเพิ่มมานั้น ทำให้หลายคนต้องคิดกันหนักเลยทีเดียว
อัตราเร่งเป็นอย่างไร?
ในด้านการตอบสนองต่อคันเร่งนั้น นับว่าเป็นจุดเด่นลำดับต้นๆ ของรถรุ่นนี้กันเลยทีเดียว...กับแรงม้า 213 ตัวที่ให้มา ประสานกับเกียร์อัตโนมัติ 6 speed แบบ dual clutch ใน V40 นั้น ...เมื่อได้ทดลองกดดูเต็มๆ (แต่ไม่เคยจับนะ ว่า 0-100 km/h จะได้ 6.9 วิ จริงหรือเปล่า) จะพบกว่ามันพุ่งทะยานขึ้นไปในลักษณะ แรงแบบนุ่มพริ้ว (คนนั่งข้างๆ ผมแซวว่า แรงแบบผู้ดี ) คือจะไม่ค่อยรู้สึกถึงอัตราเร่งที่มาแบบกระโชกโฮกฮากกันซักเท่าไหร่...แต่ถ้าเหลือบมองตัวเลขความเร็วดิจิตอลที่เพิ่มขึ้นมาบนแผงน่าปัดนั้น จะเห็นว่ามันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนน่า surprise เลยทีเดียว
...ตอนอ่าน review S60 ของคุณ Jimmy ที่บรรยายถึงความรู้สึกที่มีต่อการตอบสนองของเกียร์ Auto แบบ Dual Clutch นั้น ผมก็ยังจินตนาการไม่ค่อยออกนัก ว่ามันเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ผม get เลย!...และถ้าจะให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพกันแบบง่ายๆ ผมจะนึกไปถึงตอนที่นั่งอยู่ในรถไฟหัวกระสุน (หรือที่ญี่ปุ่นเรียกกันว่าชินกันเซน) ในขณะที่มันกำลังทำความเร็วเร่งทะยานขึ้นไปที่ 300 km/h อารมณ์มัน แรงแบบนุ่มพริ้ว แนวๆ นั้นเลยจริงๆ...โห เวอร์ป่านนั้น!
แต่ถ้าใครยังไม่เคยได้ลองนั่งชินกันเซน ก็ลองไป test drive ที่ศูนย์กันแบบจะๆ เลยดีกว่า...แน่นอนสุด
;)
การบังคับพวงมาลัยเป็นอย่างไร?
สำหรับพวกมาลัยเป็นแบบปรับน้ำหนักเองอัตโนมัติ...คือน้ำหนักเบาที่ความเร็วต่ำ และเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นที่ความเร็วสูง ทำให้ที่ความเร็วสูงๆ รู้สึกว่าพวกมาลัย firm มาก บังคับได้มั่นคงดี...ลงตัวกับความแรงของเครื่องที่ set มา
***
และทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่ผมได้สัมผัสจากการอยู่ร่วมกับเจ้า V40 คันนี้มาร่วม 1500 Km... หากท่านใดจะมีความเห็นอื่นที่แตกต่างไปจากนี้ก็ไม่ว่ากัน มา share กันได้ เพราะอย่างที่บอก มันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ ... ไม่ใช่เหตุผล!
To be continued!
-
ระหว่างรอรีวิว ผมทนไม่ไหวไปจองมาวันนี้สดๆร้อนๆ อีก 3 เดือนเจอกันครับ 555 v40 แต่มะใช่ตัว cc
รีวิวละเอียดมากครับมาไวๆนะคราบ :)
-
ระหว่างรอรีวิว ผมทนไม่ไหวไปจองมาวันนี้สดๆร้อนๆ อีก 3 เดือนเจอกันครับ 555 v40 แต่มะใช่ตัว cc
รีวิวละเอียดมากครับมาไวๆนะคราบ :)
ยินดีด้วยครับ ตัดสินใจถูกแล้ว
-
ศูนย์ Volvo เยื้องเซนทรัล ชลใช้ไหมครับ เคยจะเข้าไปดูหลายครั้ง แต่ติดตรงยูเทริรนพอดีเลย
ไม่ได้เข้าไปดูเท่าไหร่ เทียบกับ BMW Nelson ตรงข้าม เข้าไปพนักงานไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่
ตอนเข้า BMW ขับJazzJP เข้าไปดู 116i แบบดูเองเซล ถามคำตอบคำ ถามดอกเท่าไหร่ ป้าบอก สลึง นิดๆ เรางงอ่ะ
-
ระหว่างรอรีวิว ผมทนไม่ไหวไปจองมาวันนี้สดๆร้อนๆ อีก 3 เดือนเจอกันครับ 555 v40 แต่มะใช่ตัว cc
รีวิวละเอียดมากครับมาไวๆนะคราบ :)
Wow! ยินดีด้วยนะครับ...ตอนแรกเลยผมเล็งตัว V40 T5(B) 1.68 ล้านไว้เพราะเห็นว่ามันคุ้มสุด แต่ไม่รู้ไปๆ มาๆ ไหงมาจบที่ตัว cc ได้ :D
-
ศูนย์ Volvo เยื้องเซนทรัล ชลใช้ไหมครับ เคยจะเข้าไปดูหลายครั้ง แต่ติดตรงยูเทริรนพอดีเลย
ไม่ได้เข้าไปดูเท่าไหร่ เทียบกับ BMW Nelson ตรงข้าม เข้าไปพนักงานไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่
ตอนเข้า BMW ขับJazzJP เข้าไปดู 116i แบบดูเองเซล ถามคำตอบคำ ถามดอกเท่าไหร่ ป้าบอก สลึง นิดๆ เรางงอ่ะ
ใช่ครับตรงนั้นเลย...ผมว่าเลยไปกลับรถตรงไฟแดงชลชายเลยน่าจะ safe กว่า แต่ไกลหน่อย ศูนย์ BMW ที่คุณบอกผมก็เคยได้ยินกิตติศัพย์ในความเทพของเซลมาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่เคยเข้าไปเองครับ เพราะดู spec BM แล้วยังไม่โดนใจซักรุ่น และเพื่อนที่ใช้อยู่บอกหลังห้าปีแล้วค่า mentainance แพงแบบค่อนข้างเวอร์อ่ะครับ ;)
-
นิดนึงครับผมสงสัยอย่าง เวลาเปิดไฟใหญ่หน้า ไฟ daylight เส้นๆยังอยู่ไหมครับ
เซลลบอกเปิดไฟใหญ่ daylight จะดับ เซงอยากให้มันหรี่ T T
-
นิดนึงครับผมสงสัยอย่าง เวลาเปิดไฟใหญ่หน้า ไฟ daylight เส้นๆยังอยู่ไหมครับ
เซลลบอกเปิดไฟใหญ่ daylight จะดับ เซงอยากให้มันหรี่ T T
ยืนยันว่าดับครับ
แต่ไฟคิ้วยังติด
-
ขอบคุณมากครับที่นำมารีวิว
-
โหมด - Eco, Elegance, Sport เป็นแค่ Theme สำหรับปรับเปลี่ยนที่หน้าจอไมล์ครับ ไม่ได้มีผลกับ performance ผมใช้ V40 อยู่ครับ
-
โหมด - Eco, Elegance, Sport เป็นแค่ Theme สำหรับปรับเปลี่ยนที่หน้าจอไมล์ครับ ไม่ได้มีผลกับ performance ผมใช้ V40 อยู่ครับ
เห็นด้วยในฐานะผู้ใช้ v40CC อีกคนครับ เป็นแค่การเปลี่ยนสีหน้าจอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนในทางกลไกหรืออัตราทด
ถ้าแบบนั้นต้องเข้าโหมด sport โดนดันหัวเกียร์ไปด้านซ้ายตอนอยู่ตำแหน่ง D คับ
-
โหมด - Eco, Elegance, Sport เป็นแค่ Theme สำหรับปรับเปลี่ยนที่หน้าจอไมล์ครับ ไม่ได้มีผลกับ performance ผมใช้ V40 อยู่ครับ
เห็นด้วยในฐานะผู้ใช้ v40CC อีกคนครับ เป็นแค่การเปลี่ยนสีหน้าจอ ไม่มีอะไรเปลี่ยนในทางกลไกหรืออัตราทด
ถ้าแบบนั้นต้องเข้าโหมด sport โดนดันหัวเกียร์ไปด้านซ้ายตอนอยู่ตำแหน่ง D คับ
OK ครับ เห็นด้วย...พอเห็น comment ของทั้งสองท่านผมเลยกลับมาอ่านคู่มือ part นี้อย่างละเอียดอีกที...อันนี้ผมเข้าใจผิดมาตลอดจริงๆ ล่ะครับ... วันที่พนักงาน test รถเค้าพาไป test การตอบสนองต่างๆ ของอัตราเร่งและอธิบายถึงการปรับ 3 theme นี้ ผมอาจจะเข้าใจสับสนไปกับอัลติสคันเก่าของผมที่มันมีปุ่ม Eco และ Power ที่เร่งต่อการตอบสนอง... ขอน้อมรับความผิด และขอบคุณอย่างสูงที่มาช่วยแก้ไขให้นะครับ...เอาไว้มีเวลาจะไปกลับแก้ review part นั้นใหม่ให้ถูกต้องครับ
และถ้ามี part อื่นที่ผมเข้าใจตรงไหนผิดไปอีกก็ comment ได้เต็มที่เลยนะครับ จะได้กลับไปแก้ให้ถูกต้อง...ไม่ต้องเกรงใจ ;)
-
thank u ครับ
สนใจรุ่นนี้อยู่เหมือนกันแต่คันเล็กไปหน่อย ตอนนี้ใชตัว V70 2004 อยู่
-
ชอบๆ ครับ สวยเด่นไม่เหมือนใคร ที่สำคัญ จัดเต็มที่อ๊อฟชั่น
-
review ได้สนุกดีครับ แบบผู้ใช้งานจริงเลย
ขอให้มีความสุขกับรถนะครับ
-
รออออต่ออมาไวๆนะครับบ อิ
-
ก่อนที่จะ review ต่อไป...ก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกท่านอย่างสูง ที่เข้ามาให้กำลังใจและข้อแนะนำต่างๆ อันมีประโยชน์กันนะครับ...สัปดาห์ที่ผ่านมางานล้นมือเลยไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเขียนต่อซักเท่าไหร่...ก็หวังว่าช่วง weekend นี้ผมจะพยายามเขียนเพิ่มให้ได้มากที่สุด (แต่ก็คงยังไม่จบอยู่ดี) ... 8)
-
ฟังชันการใช้งานหลักๆ
สำหรับฟังชันต่างๆ ใน V40 นั้นให้มาแบบจัดเต็มจริงๆ... ต้องเรียนตามตรงว่าทุกวันนี้ (ร่วมเกือบเดือนเข้าไปแล้ว) ผมก็ยังเรียนรู้มันไม่หมดว่ามันทำอะไรได้อีกบ้าง... และในแต่ละวันมันก็จะมีลูกเล่นใหม่ๆ ที่ผมคาดไม่ถึงโผล่มาให้ surprise อยู่เสมอ...อันนี้ต้องยอมรับในฝีมือในการ design ของชาวสแกนดิเนเวียนที่เค้าลงรายละเอียดทั้งในด้านศาสตร์และศิลป์ที่ผสมผสานกันได้ลงตัวอย่างสุดๆ...พูดง่ายๆ ก็คือมันได้ทั้งความสวยงามและการใช้งานที่หลากหลายในคเวลาเดียวกัน...และนี่ก็ทำให้ Volvo นี้เป็นรถยี่ห้อหนึ่งที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในตัวเองชนิดที่ไม่ซ้ำแบบใคร...เอาเป็นว่ามันน่าประทับใจจน ผบทบ. (ผู้บังคับการที่บ้านสูงสุด)ของผม...เธอแทงคำสั่งลงมาคำเดียวเลยว่า...V40 Cross only...หลังจากที่ได้ยลโฉมตัวจริงกันที่ศูนย์... โห นี่มันล็อคสเปคชัดๆ!
และต่อไปนี้จะเป็นฟังชันหลักๆ ที่อยู่บน console หน้าของเจ้า V40 ที่ผมได้ใช้งานอยู่ป็นประจำ (detail ปลีกย่อยขอข้ามไป)...โดยภาพรวมตำแหน่งที่ใช้ในการปรับแต่งจะมีอยู่ 3 จุดหลักๆ (ที่ผมแบ่งเอาเอง) ได้แก่
1.บริเวณพวงมาลัยและแผงหน้าปัดฝั่งคนขับ
1.1รูปแบบการแสดงผลหน้าจอ (Theme)
จะเลือกได้เป็น 3 แบบคือ Elegance, Eco และ Performance ซึ่งอันนี้เป็น design ในเรื่องของความสวยงามล้วนๆ ไม่มีผลต่อการ mode การขับขี่แต่อย่างใด (อย่างที่ผมได้เข้าใจผิดไปในตอนแรก) มันอาจมีรายละเอียดบนหน้าจอที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่อง minor
สรุปใครชอบสีไหนแบบไหนก็เลือกกันตามนั้นเลย...สำหรับผมเลือก Eco เป็นหลักเพราะมันเป็นโทนออกเขียวๆ...สบายตาดี... นานๆ ถึงจะเปลี่ยนเป็นสีอื่นบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
และนอกจากนี้ในแต่ละ theme ก็ยังมีลูกเล่นที่สามารถปรับแต่งเฉดสีและ contrast ต่างๆ ได้อีก ซึ่งก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยในเรืื่องของความสวยงามอีกเช่นกัน
ส่วนมาตรวัดต่างๆ ที่โชว์อยู่บนหน้าปัด อาทิ เช่น อัตราความเร็ว รอบเครื่อง เกความร้อน นาฬิกา อัตราการสิ้นเปลือง...และอื่นๆ อีกมากมายนั้น ถือว่าให้มาครบและจัดเรียงดูสะดวกต่อการใช้งาน...ซึ่งผมว่ามันก็น่าจะเหมือนรถยุโรปชั้นนำอื่นๆ ทั่วๆ ไป
ข้อเด่นมีสิ่งเล็กๆ ที่ผมประทับใจบนแผงหน้าปัดนี้ก็คือ มันสามารถเรียกดูระยะทางและระยะเวลาที่เหลือที่จะต้องนำรถเข้าศูนย์เพื่อ maintenance ในครั้งต่อไปได้...อันนี้ผมว่าค่ายรถอื่นๆ น่าจะพิจารณาติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานบ้าง...มันช่วยอำนวยความสะดวกดี ไม่ต้องคอยมานั่งจำกัน... ;)
-
1.2. การปรับตั้งพวงมาลัย
1.2.1. Designของพวงมาลัย
ผมชอบพวงมาลัย style sport ของรถ Volvo ที่มีความนูนเล่นระดับตรงตำแหน่งมือจับ ทำให้กระชับมือมากกว่ารถญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ที่เป็นแบบเรียบเสมอกันไปหมด... วัสดุที่ใช้หุ้มเป็นหนังเกรดดี...มีโลโก้ Volvo ตัดกับแถบโลหะสีบรอนส์เงินที่พาดลงตรงกลางมองดูสวย classic และให้ความรู้สึกถึง brand Loyalty
1.2.2. การปรับระยะพวงมาลัย
การปรับมุมทำได้ทั้งในแนวขึ้นลง และดึงเข้าหาตัว...อันนี้ชอบมาก เพราะไม่ต้องทนนั่งงอขาขับ เพื่อให้ระยะแขนพอดีเหมือนรถคันก่อนๆ ที่ใช้มา...พวกรถญี่ปุ่นน่าจะเอาไปทำเป็นอุปกรณ์มาตรฐานบ้าง เพราะช่วยให้การขับขี่สบายขึ้นมากทีเดียว...มีอยู่วันหนึ่งผมเผอิญได้ลองขับ Honda City ของเพื่อนปรากฏว่ามันมี function พวงมาลัยแบบนี้อยู่ด้วย...excellent car!
1.2.3. น้ำหนัก (ที่ความเร็วต่ำ)
ระบบปรับน้ำหนักพวกมาลัยอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำๆ จะมี 3 ระดับ Low, Medium, Heavy ...แต่พอความเร็วสูงๆ น้ำหนักพวงมาลัยจะเพิ่มขึ้นอัตโนมัติจนถึงระดับที่หนืดมาก... ยกตัวอย่างถ้าวิ่งบนทางด่วนบูรพาวิถีสำหรับรถทั่วๆ ไปที่ไม่มีระบบนี้มันจะค่อนข้างส่ายเวลาที่ลมพัดวูบเข้ามาปะทะแรงๆ...แต่ V40 ยังคุมได้นิ่งมาก....ผมคิดว่าระบบนี้มันช่วยในเรื่องความปลอดภัยกับสุภาพสตรีเวลาที่ใช้ความเร็วสูงๆ ได้มากดีเดียว... และแฟนผมเองก็ประทับใจกับระบบนี้มาก
1.2.4. ปุ่มควบคุมต่างๆ บนพวงมาลัย
สำหรับปุ่มต่างบนพวงมาลัยก็คงมาตรฐานเหมือนรถทั่วๆ ไป...ก็จะมีระบบ cruise control, ปรับเครื่องเสียง, รับโทรศัพท์...ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
Note: สำหรับระบบ cruise ของรุ่นนี้ยังเป็นแบบธรรมดายังไม่มีระบบ Adaptive Cruise Control หรือที่เรียกกันบ้านๆ ว่า ระบบเหาฉลาม คือมันจะสามารถปรับความเร็วเพื่อรักษาระยะรถคันหน้าให้คงที่ได้ด้วย...จะมีก็ในรุ่น S60 up
สำหรับเรื่องของพวงมาลัยหลักๆ ก็คงมีเพียงเท่านี้...เท่าที่ผมนึกออกและได้ใช้มันบ่อยๆ ...
***
To be continued... รอบนี้ break ยาวหน่อย เพราะผมมี trip เดินทางไปต่างประเทศ บินพรุ่งนี้...เจอกันอีกทีหลังสงกรานต์เลยนะครับ... ;)
-
ขอบคุณสำหรับ รีวิว สนุกๆ นะครับ ตามอ่านจนฟินเบยยย ..... ;D
-
เข้ามารอดูตอนต่อไปคร้าบ
ได้มีโอกาสไปดูเจ้าตัวนี้ที่มอเตอร์โชว์ ชอบมากครับ เซลส์คุยดี ไม่เร่งเร้า ให้ความรู้ระบบต่างๆ ในตัวรถเป็นอย่างดีด้วยครับ
หวังว่าสักวันเราจะได้เป็นเนื้อคู่กัน 555 เริ่มเพ้อและ
-
ไฟแจ้งเตือนด้านหน้า สำหรับป้องกันการชน ใช้งานยังไงครับ ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
-
ไฟแจ้งเตือนด้านหน้า สำหรับป้องกันการชน ใช้งานยังไงครับ ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
เคยเห็นมัน show ขึ้นมาตอนที่ศูนย์เค้าให้ test โดยทดลองขับชนรถบรรลูน (ใช้ลมเป่า) แล้วระบบ brake อัตโนมัติมันจะทำงานขึ้นมา แต่ตอนใช้รถทั่วไปไม่ได้สังเกตเหมือนกันอ่ะครับ...
-
ชอบรุ่นนี้ >O<
ขอบคุณที่มารีวิว = v =
-
ท้าวความถึงช่วงก่อนสงกรานต์ที่ผมจัด zoning ของฟังชันการใช้งานเป็น 3 จุดใหญ่ๆ นั้น... ถ้าถามว่ามาได้งัยนั้น?...ก็คือผมใช้ฟิลลิ่งจากการ access ใช้งานดังนี้ครับ
1. บริเวณพวงมาลัยและแผงหน้าปัดปัดฝั่งคนขับ => ได้ใช้บ่อยๆ เพราะเป็นฟังชันหลักที่ได้ใช้ประจำในการขับขี่
2. ปุ่มต่างๆ บนแผงโลหะสีส้มตรงกลาง => เป็นฟังชันรองๆ ลงมาได้ใช้บ้างในบางโอกาส
3. ฟังชันที่แสดงผลบนจอ monitor ช่องกลาง => เป็นฟังชันที่ส่วนมากจะตั้งเป็นค่า default ที่ลองเล่นดูบ้างตอนออกรถมาใหม่ๆ ...ที่ยังเห่ออยู่ จากนั้นก็แทบจะไม่ได้แตะอะรัยมันอีกเลย
มาดูส่วนที่น่าสนใจสำหรับข้อ 2 กันต่อ...(ย้ำนะครับว่าเฉพาะส่วนที่น่าสนใจเท่านั้น! เพราะถ้าเล่าทุกปุ่มมันจะ deep details มากเกินไป)
-
2. ปุ่มต่างๆ บนแผงโลหะสีส้มตรงกลาง
ที่ดูในรูปจะเห็นว่ามีปุ่มต่างๆ มากมายที่ดูน่าสับสนเมื่อได้พบเห็นในครั้งแรก...แต่เมื่อพอเริ่มคุ้นเคยกับมันแล้วผมว่ามันก็ไม่ได้ใช้งานยากเย็นอะรัยนัก...ปุ่มต่างๆ ที่ได้ใช้งานมันบ่อยๆ ก็ อาทิเช่น ปุ่มปรับแอร์ ปุ่มปรับเครื่องเสียง ปุ่มรับโทรศัพท์ (ในส่วนตัวยังไม่เคยลองปุ่มนี้) ฯ ถ้าดูคร่าวๆ ฟังชันต่างๆ เหล่านี้ก็คงจะเหมือนอย่างที่มีในรถทั่วๆ ไป ...แต่มันจะมีอยู่ 5 ปุ่มตามรูปข้างล่างที่ดูน่าสนใจเป็นพิเศษ...
***
ข้อด้อย: จากที่ส่วนตัวในครอบครัวมีสมาชิกผู้สูงวัยค่อนข้างหลายท่าน ผมคิดว่าต่อให้ยังงัยฟังชันต่างๆ ตรง zone 2 นี้ มันก็ยังคงจะสร้างความสับสนแก่คนอายุมากๆ อยู่ดี ... ทาง volvo น่าจะหาวิธี design ที่มัน user friendly กว่านี้หน่อย>> แต่ก็อย่างว่ารถรุ่นนี้เหมือนมันถูก design มาสำหรับวัยรุ่นมากกว่า
***
2.1 ปุ่มปิดระบบ Auto Start/Stop
ที่เป็นรูปตัว A อยู่ด้านล่างสุด ... อย่างที่ได้เรียนไปก่อนหน้านี้ว่าในบางสถานะการณ์เราก็ควรจะปิดระบบนี้บ้างเพื่อป้องกันาเครื่องยนต์ start/stop บ่อยเกินจำเป็น...มีข้อสังเกตอย่างนึงว่า ต่อไปเราได้กดปีดไปแล้ว ระบบนี้มันจะเปิดตัวเองขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง เวลาที่เรามีการ start เครื่องยนต์ขึ้นมาในครั้งใหม่ ...หรือว่ามันมีวิธีปิดแบบถาวรแต่ผม set ไม่เป็นก็ไม่รู้แฮะ...ถ้าใครรู้ช่วยบอกด้วยละกันครับ???
-
2.2 ปุ่มเปิดระบบถอยจอดอัตโนมัติ(ปุ่่มที่ 1 จากซ้ายที่เป็นสัญญาลักษณ์ตัว P + พวงมาลัย)
เรียนตามตรงว่าผมเคยได้ลองใช้ระบบนี้เพียงครั้งเดียวกับรถ test drive ที่ศูนย์ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสไปจอดตามริมฟุตบาตซักเท่าไหร่...วิธีการโดยย่อก็คือเมื่อเรากดปุ่มนี้แล้วขับรถเดินหน้าไปอย่างช้าๆ เหมือนเวลาที่เราจะจอดรถทั่วๆไป...เจ้า sensor ที่ด้านข้างตัวรถจะเริ่มทำงาน scan หาระยะที่เพียงพอในการจอด เมื่อได้ระยะที่ต้องการแล้วก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมันถอยเข้าซองเองโดยอัตโนมัติเป็นการจบพิธี...
เคยเห็นในบาง web review ไว้ว่าระบบแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของ driver มากมายในประเทศแถบยุโรป... แต่สำหรับสภาพถนนที่ amazing ของเมืองไทยที่มักเจอมอไซด์พุ่งมาจากไหนก็ไม่รู้...แบบไม่ทันตั้งตัว...ไม่รู้ว่าอ้ายระบบนี้มันจะ work หรือเปล่าแฮะ???
+++รูปข้างล่างนี้เป็น sensor ที่โชว์ขึ้นที่หน้าจอเวลา scan หาระยะเพื่อเข้าจอด+++
-
รุ่นนี้ใช้ล้อกับยางขนาดเท่าไร่ครับ
แบบธรรมดาหรือ runflat
ในเวปวอลโว่ไม่มีบอกเรื่องล้อกับยาง :-\
-
ขอบคุณสำหรับรีวิว เขียนได้ละเอียดดีมากเลยครับ :)
-
รุ่นนี้ใช้ล้อกับยางขนาดเท่าไร่ครับ
แบบธรรมดาหรือ runflat
ในเวปวอลโว่ไม่มีบอกเรื่องล้อกับยาง :-\
สำหรับ spec ที่ติดมากับรถจะเป็น 225/50/R17 ยางมิชลินรุ่น Primacy HP ซึ่งเป็นยางแบบธรรมดา... ไม่ใช่ runflat... ดูราคาที่ B-Quick อยู่ที่ 6,850 บาท/เส้นครับ...
***
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องยางละ... มาต่อกันให้จบทีเดียวกันเลยดีกว่า...
- ถ้าอยากได้แบบแก้มบางกว่านี้สามารถแต่งเพิ่มเป็นแม็กขอบ 18 หรือ 19 ของ Volvo ได้ในราคาแสนปลายๆ...
- ยางมิชลิน Primacy HP รุ่นที่ติดมากับรถดูจากที่ stamp ไว้ที่ขอบยางจะเป็น Made in Germany ...ว้าว! อันนี้เกินคาดแฮะ ตอนแรกนึกว่าจะได้ยางจากอินโดซะอีกเพราะเห็น Volvo เค้าประกอบกันในมาเลเซีย
- ยางมิชลินรุ่นนี้ให้ความรู้สึกนุ่มเงียบเมื่อวิ่งบนผิวถนนที่เรียบอย่างถนนยางมะตอย...แต่ก็มีข้อด้อยคือถ้าวิ่งบนถนนคอนกรีตที่มีรอยต่อหรือถ้าเจอหลุมขรุขระ...มันจะมีเสียงดังตึงตังเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างเด่นชัดเกินไปหน่อย... อันนี้ยัง confirm ไม่ได้ว่าเกิดจากการเก็บเสียงจากช่วงล่างที่ยังทำได้ไม่ดีพอ...หรือว่าเป็นที่คุณสมบัติเนื้อยางรุ่นนี้เองกันแน่... ต้องลองเปลี่ยนยางดูก่อนถึงจะบอกได้แน่ๆ......แต่สำหรับในภาพรวมทั้งวิ่งทางใกล้และทางไกลก็ถือว่า OK ชอบกับความนุ่มเงียบของมัน...แถมคุณสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง (และเลขเดียว) ของผมก็ยังโหวตให้ยางรุ่นนี้ด้วย...เป็นอันว่าจบข่าว :-X
+++เพิ่มเติมนิดนึงว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเคยใช้ยางมิชลิน Latitude HP ซึ่งเป็นรุ่นนุ่มเงียบกับปาเจโร่สปอร์ตคันเก่าก็ให้ฟิลลิ่งแนวนี้และก็มีเสียงดังตอนเจอรอยขรุขระบนถนนแบบนี้เช่นกัน...แต่เมื่อเปลี่ยนยี่ห้อยางที่เนื้อแข็งขึ้นมาหน่อย เสียงดังตอนเจอร่องถนนก็ลดลงไปอย่างชัดเจนในทันที แต่ก็ต้องแลกกับความกระด้างที่เพิ่มขึ้นมาบ้าง... อันนี้แต่ละท่านต้อง compromise กันเอาเองว่าแบบไหนที่ลงตัว :)
-
+++กลับมาที่เรื่องของอีก 3 ปุ่มตรง console กลางที่ค้างไว้+++
2.3 ปุ่มปิด/เปิดระบบเสียงเตือนเมื่อจอดรถ (ปุ่มที่ 1 จากขวาที่เป็นสัญญาลักษณ์ตัว P + สัญญาณเรดายิงไปที่กรวย )
สำหรับระบบนี้ก็คงเหมือนอย่างที่มีกันในรถทั่วๆ ไปก็คือมันจะมี sensor คอยตรวจสอบสิ่งกีดขวางแล้วส่งเสียงเตือน ปี๊บ ปี๊บ ... ออกมา แต่ใน V40 จะมีพิเศษอยู่นิดหน่อยคือมี sensor ทั้งด้านหน้าและหลัง และยังโชว์ตำแหน่งของสิ่งกีดขวางที่ตรวจพบที่หน้าจออีกด้วยว่าอยู่ใกล้กับตัวรถแค่ไหนแล้ว... ส่วนตัวชอบ design แบบนี้มากเพราะมันชัดเจนกว่าระบบแบบทั่วไปที่มีแต่เส่ียงเตือนเพียงอย่างเดียว...
-
2.4 ปุ่มปิด/เปิดระบบ BLIS (ปุ่มที่ 2 จากทางซ้าย)
BLIS ย่อมาจาก Blind Spot Information System คือมันจะมี radar sensor ตรวจจับรถคันหลังที่เร่งแซงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซด์ หรือรถยนต์ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนนที่เข้าใกล้เมื่อรถแล่นที่ความเร็วต่ำหรือจอดติดไฟแดงอยู่ (ระบบ Collision Warning)...และมันก็จะโชว์ตำแหน่งที่หน้าจอเหมือนอย่างในรูปของข้อ 2.3 ด้านบน ข้อเด่นของระบบนี้ใน V40 ก็คือมันมีการตั้งระยะการเตือนที่เหมาะสม คือจะเตือนเป็นไฟกระพริบก่อนเมื่อวัตถุอยู่ในระยะไกล และจะส่งเสียงเตือนเมื่อระยะใกล้ๆ แบบประชิดตัวรถเท่านั้น ... จากที่ได้ใช้ดูผมชอบที่มันไม่ดังโวยวายพร่ำเพรื่อ...และมันก็ช่วย protect ตรงมุมอับสายตาที่หลุดขอบกระจกข้างได้จริงในยามที่ต้องการเปลี่ยนเลน...เมื่อเปรียบเทียบกับรถญี่ปุ่นชั้นนำบางรุ่น มีเพื่อนที่ใช้งานอยู่บอกว่าต้องปิดระบบแบบเดียวกันนี้ไว้ตลอดเวลาเพราะมันร้องแบบ nuisance มากๆ กลับกลายเป็นว่าจะสร้างภัยคุกคามแก่การขับขี่มากกว่าจะช่วยให้ปลอดภัย...
+To be continued+
-
2.5 ปุ่มปิด/เปิดระบบ Lane Keeping Aid (ปุ่มที่ 2 จากด้านขวามือที่เป็นรูปรถ + เส้นประ)
ระบบ Lane Keeping Aid หรือที่แปลเป็นไทยว่า ฟังก์ชันช่วยรักษาช่องทางเดินรถ จะทำงานโดยมี sensor จับเส้นแบ่งเลนถนน แล้วคอยรั้งกลับโดยสั่นเบาๆ ไปทางด้านตรงข้ามที่รถจะออกนอกเลน แต่ไม่ได้ถึงกับดึงกลับเข้าในเลนเหมือนชื่อ (คือแค่สั่นพวงมาลัยให้เราพอรู้ตัวว่าจะหลุดเลนเท่านั้นเอง) และดูเหมือนฟังก์ชันนี้ก็จะกลายเป็น option พื้นฐานของรถยุโรประดับ premium หลายๆ ค่ายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Benz, BMW,
etc. หรือแม้แต่รถญี่ปุ่นรุ่นหรูอย่าง Nissan Teana ก็ยังมี...
>> แต่ที่ผมจากประสบการณ์ใช้งานจริงร่วมกว่า 2 เดือน ในส่วนตัวคิดว่าระบบนี้ไม่ work! เลย บนท้องถนนของเมืองไทย (อีกแล้วครับท่าน) ... อันเนื่องมาจากเลนถนนบ้านเรามันค่อนข้างแคบ เลยทำให้พวงมาลัยมันสั่นไปมาแทบตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาขับทางไกล กลายเป็นว่าต้องเย่อกับพวงมาลัยซะปวดแขนไปหมด...สรุปก็คือตอนนี้ผมเลยปิดมันไปตลอดกาล
-
3. ฟังชันที่แสดงผลบนจอ monitor ช่องกลาง
อย่างได้เคยบอกไว้ว่า zone ที่ 3 นี้จะเป็นฟังชันที่ user มักจะไม่ค่อยได้ไปปรับมันมาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นค่าdefault ที่เรามักจะตั้งกันในแค่ตอนแรกๆ ที่ออกรถมา(อารมณ์จะประมาณการปรับหน้าจอ i-phone) ตามความชอบใจของแต่ละคน อาทิเช่น ค่าความหนืดพวกมาลัย เชดสีไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่ได้เป็นฟังก์ชันหลัก...จึงขอข้ามรายละเอียดปลีกย่อยส่วนนี้ไป
ข้อด้อย: Review ของบาง web กล่าวไว้ว่า Volvo design ฟังก์ชันตรงหน้าจอนี้ไว้ complicate เกินไป ... พอมาใช้งานจริงผมก็ vote ให้กับข้อ comment นี้เช่นกัน ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมี graphic หลายหน้าที่ทำไว้แค่เพียงเพื่อโชว์ information ที่ไม่จำเป็นอยู่มากมาย...อย่างเช่น หน้า Eco Driving Guide ซึ่งเอาไปเขียนไว้ในคู่มือรถแทนน่าจะเป็นการดีกว่า หรือ หน้า Trip Statistics ซึ่งผมลองเล่นดูหลายทีแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่ามันมีประโยชน์ยังงัย??? (ถ้าใครมี idea เกี่ยวกับหน้านี้ช่วยบอกที)... จะเป็นการดีถ้าทีม design ของ Volvo พิจารณาตัด graphic ที่ไม่จำเป็นออกไปใน version หน้า...เพื่อให้หน้าจอมันใช้งานได้ง่ายขึ้น... :)
++To be continued++
-
รบกวนถามหน่อยครับ (ไม่ทราบจริงๆ) ว่า V40 กับ V40 Cross Country ราคาที่ต่างกันประมาณ 1 แสนบาท นี่มีอะไรต่างกันบ้างครับ ระบบขับเคลื่อนเหมือนกันหรือเปล่าครับ
-
รบกวนถามหน่อยครับ (ไม่ทราบจริงๆ) ว่า V40 กับ V40 Cross Country ราคาที่ต่างกันประมาณ 1 แสนบาท นี่มีอะไรต่างกันบ้างครับ ระบบขับเคลื่อนเหมือนกันหรือเปล่าครับ
ระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์ เกียร์ เหมือนเดิมเลยครับครับ เสียดายวอลโว่ไทยน่าเอา 4wd มาเป็นตัวเลือกในV40 Cross country รวมถึงเพิ่ม adaptive cruise control ระบบเครื่องเสียงPremium sound และหลังคากระจก เป็นoption ให้เลือกซื้อเพิ่ม
-
รบกวนถามหน่อยครับ (ไม่ทราบจริงๆ) ว่า V40 กับ V40 Cross Country ราคาที่ต่างกันประมาณ 1 แสนบาท นี่มีอะไรต่างกันบ้างครับ ระบบขับเคลื่อนเหมือนกันหรือเปล่าครับ
ระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์ เกียร์ เหมือนเดิมเลยครับครับ เสียดายวอลโว่ไทยน่าเอา 4wd มาเป็นตัวเลือกในV40 Cross country รวมถึงเพิ่ม adaptive cruise control ระบบเครื่องเสียงPremium sound และหลังคากระจก เป็นoption ให้เลือกซื้อเพิ่ม
ใช่ครับ...เท่าที่ผมเข้าใจ (เคย compare คร่าวๆ ตอนซื้อรถ) สมรรถนะการขับขี่ทุกอย่างเหมือนกัน... แตกต่างกันแค่การ design ด้านรูปลักษณ์ โดยเฉพาะรุ่น Cross Country จะสูงขึ้นมา 4 cm. :)
-
วัดอัตราการบริโภคน้ำมัน (ภาค 2)
ก่อนที่จะพูดถึงระบบอื่นๆ ต่อไป...ขอกลับมาที่เรื่อง consumption กันอีกครั้ง เพราะในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสเคลียร์ปัญหาคาใจซะที... ถ้าวิ่งทางไกลยาวๆ เจ้า V40 คันนี้มันจะทำได้ซักเท่าไหร่กัน? พอดีเมื่อหยุดยาววันแรงงานที่ผ่านมาได้มีโอกาสพาเจ้า V40 ไป test ถึงหัวหินโดยน้ำมันที่เติมจะเป็น Gasohol 95 ตลอดเส้นทาง และความเร็วเฉลี่ยที่ใช้คือ 80~100 Km/hr ตามที่สภาพการจราจรบนท้องถนนจะอำนวย (เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวปริมาณรถค่อนข้างหนาแน่น แต่ก็ยังไหลลื่น ไม่ถึงกับติด)...โดยวิธีการวัดก็เหมือนเดิมคืออ่านจากไมล์ที่วิ่งได้หารด้วยปริมาณน้ำมันที่เติมเข้าไปจริง...ไม่ได้อ่านจากค่า consumption ที่โชว์บนหน้าปัด (ซึ่งในรถส่วนใหญ่พบว่ามันไม่ค่อยตรงนัก)...ตัวเลขที่ได้ดีเกินคาดดังนี้...
เติมครั้งที่ 1 ได้ = 13.5 Km/lit >> ยังมีบางส่วนที่วิ่งในเมืองไปทำงานรวมอยู่บ้าง
เติมครั้งที่ 2 ได้ = 16.5 Km/lit >> วิ่งทางไกลตลอด
ตอนแรกสงสัยว่าครั้งที่ 2 นี้มันประหยัดเวอร์ไปป่าวกับรถที่แรงขนาดนี้? หรือว่าผมทำอะไรผิดพลาดไป...อยาก test ซ้ำแต่หมด trip ซะแล้ว...ก็เลยต้องมองหาข้อมูลอื่นเทียบกันดูด้วย...และคำตอบที่ได้ก็คือตัวเลข 16.5 Km/lit นี้ผมได้ข้อสรุปว่ามัน make sense จริงเพราะว่า...
1. ใน Website ของ Volvo ก็ประกาศตัวเลข consumption นอกเมืองของ V40 ไว้ที่ 16.9 Km/lit ใกล้เคียงกัน
2. เมื่องสังเกตุดู...พบว่าเวลาที่วิ่งทางไกลเกวัดน้ำมันมันจะลดลงช้าอย่างผิดหูผิดตาเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาวิ่งใช้งานประจำวันในเมือง (เส้นชลบุรี-พัทยา สายสุขุมวิทย์) ที่ได้เฉลี่ยประมาณ 10.5 Km/lit
3. นอกจากนี้เมื่อดูค่ายอื่นที่สมรรถนะใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็น Benz หรือ BMW ก็ประกาศตัวเลข consumption ไว้ประมาณใกล้ๆ นี้เช่นกัน...
และดูเหมือนว่าความแรงที่ระดับ 200 แรงม้า แต่ประหยัดใกล้เคียงกับ Eco-Car มันจะเป็นเรื่องธรรมดาของ technology เครื่องเบนซินเทอร์โบยุคนี้ไปซะแล้ว...เอาเป็นว่าถ้าไม่ขับแบบบ้าพลังมากเกินไปนัก...ตัวเลข 14~15 น่าจะทำได้แบบสบายๆ อย่างแน่นอน
8)
-
เข้ามาช่วยยืนยันว่าอัตราการสิ้นเปลือง 16.5 km/l สำหรับการขับทางไกลที่ใช้ความเร็วประมาณ 80-100 น่าจะถูกต้องครับ เพราะตัวเลขการทดสอบที่ความเร็ว 110 ของคุณจิมมี่อยูที่ 15.33 ครับ
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,37326.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,37326.0.html)
-
ผมขับได้เมืองเฉลี่ยอยู่ที่ 7-9km/l ผมทำอะไรผิดไปคราาาาบ T T
-
เข้ามาช่วยยืนยันว่าอัตราการสิ้นเปลือง 16.5 km/l สำหรับการขับทางไกลที่ใช้ความเร็วประมาณ 80-100 น่าจะถูกต้องครับ เพราะตัวเลขการทดสอบที่ความเร็ว 110 ของคุณจิมมี่อยูที่ 15.33 ครับ
http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,37326.0.html (http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,37326.0.html)
ขอบคุณมากเลยครับที่เข้ามาช่วย share กัน ... ผมเพิ่งได้เห็นกระทู้นี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน (ปกยังอ่านได้ไม่ทั่วถึงเท่าไหร่) ข้อมูลที่ discuss ในแง่มุมต่างๆ ของ V40 น่าสนใจดีมากๆ เลย ผมเคย search หากระทู้แนวนี้มาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เจอ...ขอบคุณอีกครั้งครับ :)
-
ระบบเกียร์
สำหรับระบบเกียร์เป็น อัตโนมัต 6 speed มีข้อเด่นอยู่ 2 อย่างคือ
1.) สามารถปรับเป็น mode sport โดยดันไปทางซ้ายมือ ที่หน้าจอจะ show รูปตัว S ขึ้น ข้อแตกต่างที่สังเกตได้ก็คือรอบความเร็วจะเปลี่ยนไปจากประมาณ 1500 (mode ธรรมดา) ไปเลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 2500 (คร่าวๆ นะครับ ไม่เป๊ะ) ทำให้การตอบสนองเร็วขึั้นอย่างทันตาเห็น... ชนิดที่ว่าถ้ากดแรงๆ หน่อยก็จะมีอาการกระชาก...ไม่นุ่มพริ้วในแบบฉบับผู้ดีอีกต่อไป
2.) เมื่ออยู่ใน mode sport ถ้ารอบยังมาไม่ถึงใจ... ก็สามารถเปลี่ยนเกียร์แบบ manual เองได้ โดยโยกขึ้น/ลง ตามเครื่องหมาย +/- ... อันนี้ก็คงเหมือนระบบเกียร์อัตโนมัตรุ่นใหม่ๆ ทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
-
ระบบไฟหน้า
ระบบไฟหน้าก็คงเหมือนๆ กับค่ายอื่นๆ อย่าง BMW หรือ Benz จึงขอสรุปในภาพรวมเลยละกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง
1.) ปรับหักเหตามพวงมาลัย เวลาทางโค้ง
2.) เปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ คือจะเปลี่ยนเป็นระดับไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมาหรือวิ่งตามท้ายรถคันอื่น โดยมี sensor ตรวจจับไฟจากรถคันหน้า และเมื่อข้างหน้ามืดก็จะเปลี่ยนเป็นไฟสูงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยน์ในการขับขี่...ในส่วนตัวชอบ function นี้มาก
3.) เปิด/ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อเข้า/ออกที่มืด
แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้มีแค่ข้อ 3 ข้อเดียวที่ผมสังเกตได้... ส่วนข้อ 1,2 ไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่าเป็นงัย... เหมือนกับมันทำงานโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
++To be continued++
-
การ design ภายในห้องโดยสาร
เรื่องเกี่ยวกับภายในห้องโดยสารคงจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง และเช่นเคย V40 คันนี้มี design ที่ลงรายละเอียดมากมาย ตาม concept ของชาวสวีดิชที่เค้าบอกไว้ว่า การมุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ของ Volvo มุ่งออกแบบรถตามความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก (ลอกมาจากโบรชัวล้วนๆ)... และประเด็นเด่นๆ เกี่ยวกับห้องโดยสารที่ผมมักจะนึกถึงบ่อยๆ น่าจะมีอยู่ซัก 3-4 เรื่องได้
1.เบาะโดยสาร
เรื่องเบาะโดยสารนี้เป็นจุดเด่นอันดับแรกที่ผมนึกถึงเกี่ยวกับห้องโดยสาร...ในโบรชัวของ Volvo เค้าเขียนไว้ว่า Volvo ได้เข้าไปปรึกษากับศัลยแพทย์ด้านกระดูกและข้อตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960 เพื่อ design เบาะโดยสารตามหลักสรีรศาสตร์...bra bra bra
ตอนแรกที่ได้อ่านยังคุยกับแฟนว่า... โม้ไปป่าวว? แต่หลังจากที่ได้ลองของจริง ทั่งตัวผมเองและทุกๆ คนในครอบครัวลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าเบาะของ Volvo เค้าทำมาดีจริงอย่างที่โฆษณา...คือมันจะโอบรับตั้งแต่ท่อนเอวไปถึงแผ่นหลังได้อย่างกระชับสบายสุดๆ ....โดยเฉพาะเวลาที่ต้องขับรถทางไกลเป็นวันๆ จะเห็นผลต่างกับรถคันอื่นๆ ที่เคยใช้มาอยู่มากมาย...
***
มาถึงตอนนี้คิดว่าอยากให้พวกค่ายรถญี่ปุ่นเค้าไปปรึกษาศัลยแพทย์ด้านกระดูกกันดูบ้าง...เผื่อเวลาซื้อรถคันหน้าจะได้มีแรงบันดาลใจอยากกลับมาเล่นรถญี่ปุ่นอีก...555
2. Space แถวหน้าและหลัง
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าเมื่อคุณได้เห็น design ภายนอกที่ทำมาเพรียวซะขนาดนี้...ก็จงอย่าคาดหวังกับความกว้างภายใน...เพราะนี่มันคือสัจธรรม (ไม่ควรไปเหมาว่าเป็นข้อด้อยของตัวรถ)...
ในส่วนตัวผมสูงประมาณ 170 cm ที่นั่งแถวคู่หน้า OK มี space เหลือเฟือ ไม่รู้สึกลำบากแต่ประการใด...แต่แถวหลังน่าจะเหมาะกับเด็กๆ มากกว่า หรือถ้าผู้ใหญ่นั่งกันแค่ระยะใกล้ ๆ ในเมืองก็พอไหว... แต่ถ้าออกต่างจังหวัดคงต้องคิดหนักกันหน่อย...
++ To be continued ++
-
3. พื้นที่เก็บสัมภาระตอนท้าย
พื้นที่ท้ายห้องโดยสารค่อนข้างแคบ แต่เบาะแถวหลังก็สามารถพับราบลงมาได้ ทำให้มี space เก็บของอย่างเหลือเฟือ สำหรับการเดินทางเพียง 2 คน
-
4. กระจกมองหลัง
กระจกมองหลังมี function ตัดแสงอัตโนมัติ...คือมันจะมี sensor ตรวจจับแสงไฟรถข้างหลังเรา แล้วคอยตัดแสงสะท้อนให้เอง และพอข้างหลังมืดมันก็จะเปลี่ยนกลับมาปกติ...ช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ยามค่ำคืนได้มาก
5. กระจกมองข้าง
เนื่องด้วยผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาถอยจอดแล้วมักจะทำแม็กเป็นรอย ไปครูดกับฟุตบาตเป็นประจำ จึงเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้ากระจกมองข้างมันช่วยปรับมุมไปส่องที่ฟุตบาตอัตโนมัติเวลาถอยจอดได้น่าจะดี...แล้วผมก็ได้มาเจอ function นี้ใน V40 คันนี้ โดยการทำงานแบบสั้นๆ ก็คือ เข้าเกียร์ถอย กดปุ่ม L หรือ R ตรงแผงข้างประตู แล้วกระจกข้างที่เรากดมันจะปรับมุมไปส่องที่ฟุตบาตเอง... พอเลื่อนออกจากเกียร์ถอย กระจกข้างก็จะกลับไปที่มุมเดิม ... คิดได้งัยเนี่ย!
-
ระบบไฟสูงต่ำอัตโนมัติต้องขับทางไกลช่วงกลางคืนจะเห็นได้ชัดมากครับหรือไม่คุณ smart อาจจะยังไม่ได้เปิดระบบครับ
ปล. ผมไม่ได้ใช้ V40 นะครับ
-
6. กระจกบานหน้า
เนื่องจากกระจกหน้ามุมมันลาดเพรียวลงมาพอสมควร ข้อดีก็คือมันลู่ลมประช่วยประหยัดน้ำมันตามหลัก Aero Dynamic แต่ข้อเสียก็คือมันรับแดดมากกว่ารถทั่วๆ
เวลาขับกลางวันจะรู้สึกได้ถึงไอแดดที่ระอุผ่านกระจกบานหน้าพอสมควร ข้อแนะนำก็คือติดฟิล์ม spec ที่กันความร้อนให้มากที่สุดเท่าที่สามารถหาได้ในท้องตลาด... ในส่วนตัวผมใช้ V-Cool รุ่น VK30 รอบคัน... ก็พอไหว
7. ระบบ DVD และเครื่องเสียง
สำหรับระบบเครื่องเสียงที่ติดมากับรถ Volvo เท่าที่อ่านดูใน review ต่างๆ มักจะสรุปเหมือนๆ กันว่า... ระดับของคุณภาพเสียงที่ให้มาดีมากเกินพอสำหรับระดับการฟังแบบมาตรฐานทั่วๆ ไป โดยไม่จำเป็นต้องไปแต่งอะไรเพิ่มแล้ว... ในส่วนตัวผมเองก็ตามนั้นเลย... มีประเด็นนึงว่า DVD มันจะตัดภาพในขณะที่รถวิ่งอยู่ แต่ก็สามารถไปปลดล็อคนี้ได้ที่ศูนย์ Volvo โดย guarantee ไม่ขาด ... ถ้าเป็น Toyota เค้าจะไม่อนุญาตให้ปลดล็อค function นี้ ... ชาวสวีดิชนี่เค้าช่างเคารพในสิทธิส่วนบุคคลซะจริงๆ
-
ระบบไฟสูงต่ำอัตโนมัติต้องขับทางไกลช่วงกลางคืนจะเห็นได้ชัดมากครับหรือไม่คุณ smart อาจจะยังไม่ได้เปิดระบบครับ
ปล. ผมไม่ได้ใช้ V40 นะครับ
อืม...นั่นสินะครับ จริงๆ แล้วเส้นทางทีี่ผมขับมันอยู่ในเมืองซะส่วนใหญ่น่ะครับ มีไฟทางตลอด... เดี๋ยวผมต้องไปสังเกตดูใหม่ดีๆ ซะแล้ว... ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล ... :)
-
บทที่ 4 : บทสรุป
ในตอนแรกผมเข้าใจว่าเหตุผลหลักที่รถ Volvo ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเพราะราคาค่าซ่อมมันแพงเกินไป... แต่พอได้เข้ามาอยู่ในสังคมของ Volvo จริงๆแล้ว ... ได้คุยกับเพื่อนๆ ที่ใช้ Volvo ในรุ่นต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ รวมถึงช่างที่อู่ที่เอารถที่บ้านไปทำเป็นประจำ... ต่างก็ให้ความเห็นว่าอาหลัยมันราคาสูงก็จริง แต่ก็ไม่ได้เกินหน้าเกินตาจากรถยุโรปทั่วๆ อย่างพวก Benz และ BMW (ซึ่งก็วิ่งกันอยู่มากมายในท้องถนน)...ในด้านตัวรถเอง Volvo ก็จัดได้ว่าเป็นรถที่มีคุณภาพดี ไม่ค่อยเสียจุกจิกอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน (ย้ำนะครับว่าอันนี้เป็นประสบการณ์ของเพื่อนๆ ผมที่ใช้กันมา ไม่ใช่ว่ารถ Volvo ทั้งหมดจะไม่มีปัญหา)...ถ้าไม่ใช่เรื่องอาหลั่ยแพง แล้วมันเป็นเพราะอะไร?
>>>
ถ้ามองภาพรวมตลาดรถยุโรปที่นิยมกันในเมืองไทยก็เห็นจะมีอยู่แค่ 2 ค่ายใหญ่คือ Benz และ BMW ในด้านสมรรถนะนั้นเป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดทั้งคู่แต่มุ่งไปคนละด้าน...อย่างที่รู้กันว่า Benz นั้นเป็นรถในแบบที่หรูหราภูมิฐานและตั้งราคาที่สูงเพื่อรักษาระดับของ Brand (อันนี้อ่านมาจาก comment เมืองนอก) ส่วน BMW จะมุ่งไปในเรื่องความแรง ขับสนุก เร้าใจ (จะว่าไปราคาในเมืองไทยก็สูสีกับ Benz)... แล้ว Volvo ล่ะเป็นอย่างไร? ... เวลาที่ผมถามถึง feedback กับเพื่อนๆ ที่เคยใช้ Volvo มา ก็มักจะได้คำตอบอย่างสั้นๆ ว่า มันเป็นรถที่ใช้ดีและขับสบายมาก... ส่วนใน review ของ web นอกบางแห่งที่ค้นมาก็มักจะได้ข้อสรุปอย่างสั้นๆ ว่า Volvo เป็นรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นความสะดวกสบายในการใช้งาน แต่ไม่ถึงกับ Hot เปรี้ยงปร้างมาก (เมื่อเทียบกับ 2 ค่ายแรกที่พูดไป) สาวกของ Volvo มักจะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อได้ใช้แล้วก็มักจะมองหา Volvo คันที่สองต่อไป...ในส่วนตัวที่ใช้มาผมว่าก็จริง...อารมณ์ในการขับขี่รถ Volvo นี่มันก็รู้สึกดีในอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปจาก Benz หรือ BMW จริงๆ ... แต่ก็อาจจะไม่โดนใจคนส่วนใหญ่อย่างที่ใน web เค้าว่าไว้ อันนี้แล้วแต่ใครจะชอบแนวไหน
>>>
ทิ้งท้ายในเรื่องราคาขายต่อที่ต้องทำใจ...เท่าที่ได้เห็นของจริงมาก็คือราคาหลังจากปีที่ 2 ไปแล้วจะลดฮวบฮาบไปมากกว่า 50% นั่นหมายความว่าเจ้า V40 ที่เราๆ ซื้อกันมาคันละล้านเก้าก็อาจจะเหลือแค่แปดเก้าแสน (ถ้าโชคดีที่ขายได้) ... และถ้าจะเปรียบเทียบไปรถ Volvo มันก็คงเหมือนกับแฟนคนที่เราจะคบจริงจังถึงขั้นแต่งงานอยู่กันจนแก่เฒ่า ไม่คิดเลิกราไปง่ายๆ (ว่าไปน่าน)... ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมันมาครอบครองคุณอาจต้องพินิจพิเคราะห์กันอย่างถี่ถ้วนเลยทีเดียว... แต่ถ้าผ่านจุดนั้นไปได้แล้วละก็...คุณก็อาจจะตกหลุมรักมันเหมือนอย่างผม และเพื่อนๆ อีกหลายท่านที่ศูนย์ Volvo ชลบุรีแห่งนี้
+++เฮ้อ จบซะที!
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ...ขอให้โชคดีมีชัยกันทุกท่านครับ+++ ;)
-
ระบบไฟหน้า
ระบบไฟหน้าก็คงเหมือนๆ กับค่ายอื่นๆ อย่าง BMW หรือ Benz จึงขอสรุปในภาพรวมเลยละกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง
1.) ปรับหักเหตามพวงมาลัย เวลาทางโค้ง
2.) เปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ คือจะเปลี่ยนเป็นระดับไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมาหรือวิ่งตามท้ายรถคันอื่น โดยมี sensor ตรวจจับไฟจากรถคันหน้า และเมื่อข้างหน้ามืดก็จะเปลี่ยนเป็นไฟสูงเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยน์ในการขับขี่...ในส่วนตัวชอบ function นี้มาก
3.) เปิด/ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อเข้า/ออกที่มืด
แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้มีแค่ข้อ 3 ข้อเดียวที่ผมสังเกตได้... ส่วนข้อ 1,2 ไม่เคยสังเกตเหมือนกันว่าเป็นงัย... เหมือนกับมันทำงานโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
++To be continued++
ในข้อ 2 วิธีใช้งานคือ ดึงคันโยกไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือเข้าหาตัวจนสุด (ระดับที่ 2) แล้วปล่อยครับ จะมีรูปไฟสูงพร้อมตัว A ที่หน้าจอ
(ฟังก์ชั้นนี้ทำงานเมื่อปรับ switch โหมดไฟหน้าเป็น Auto ที่ด้านขวาพวงมาลัยเท่านั้นนะครับ)
และรถมันจะเปิดไฟสูงก็ต่อเมื่อ ไม่มีรถอยู่ด้านหน้าเลนเราและไม่มีรถที่กำลังวิ่งสวนเราครับ (เหตุการณ์แบบนี้จะเจอก็ต่อเมื่อวิ่งกลางคืนดึกๆ หรือไปที่เปลี่ยวๆ ชนบทๆ)
ถ้าใช้ฟังก์ชั่นนี้ในเมืองไม่มีวันได้เห็นไฟสูงทำงานครับ ตราบใดที่ด้านหน้ารถมีรถคันอื่นวิ่งอยู่ หรือมีรถวิ่งอยู่ที่เลนสวน หรือแม้กระทั่งวิ่งอยู่บนถนนที่มีไฟข้างๆ ทาง มันก็ไม่ยอมทำงานครับ : S
ผมเคยวิ่งไปปราจีนตอนเที่ยงคืน เลยมีโอกาสได้ใช้ สะดวกมากๆ ครับ ถึงจะหาโอกาสได้ใช้ยากหน่อย แต่ก็คุ้มที่มีระบบนี้ครับ ::)
-
โอ้!... ไม่รู้ tip นี้มาก่อนเลยอ่ะครับ ยังอ่านคู่มือไม่ถึงหน้านี้เลย ขอบคุณมากที่มาช่วย share ครับ ... ไว้เดินทางไกลกลางคืนครั้งหน้าจะลองดู... Many thanks na krab ;)
-
รีวิวดีมากเลยครับ เห็นแล้วชักอยากลองเปลี่ยนค่ายไป Volvo ดูบ้างแฮะ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ ;D
-
พี่ครับ เห็นบอกกันว่ารุ่นนี้สามารถขับแบบไม่จับพวกมาลัยได้ นี้จริงไหมครับ
-
พี่ครับ เห็นบอกกันว่ารุ่นนี้สามารถขับแบบไม่จับพวกมาลัยได้ นี้จริงไหมครับ
โอ้ว!... โม้แน่นอนครับ เท่าที่รู้มา technology ในตอนนี้ยังไม่มีค่ายไหนไปถึงขั้นนั้นเลยครับ... ;)
-
พี่ครับ เห็นบอกกันว่ารุ่นนี้สามารถขับแบบไม่จับพวกมาลัยได้ นี้จริงไหมครับ
โอ้ว!... โม้แน่นอนครับ เท่าที่รู้มา technology ในตอนนี้ยังไม่มีค่ายไหนไปถึงขั้นนั้นเลยครับ... ;)
ถ้าเป็นขับแบยถอยจอดอัตโนมัติอ่ะใช่ครับ ไม่ต้องจับพวงมาลัยเลย แต่ถ้าขับปกติจะต้องจับ มันจะมีระบบ lane keeping aid ที่คอยหมุนพวงมาลัยกลับสู่เส้นทางให้เราก็ต่อเมื่อเราขับใกล้จะตกเลน มันจะหมุนคืนให้เล็กน้อยเท่านั้นครับ
-
รีวิวดีครับ function บางอย่างธรรมดามา ยังสามารถเขียนให้ดูดีเกินจริงได้ เช่นกระจกปรับมุมลงมาเองตอนถอย หรือว่าเตือนระยะก่อนเข้ารับบริการ นี่รถหลายๆ รุ่นก็มีแล้วทั้งญี่ปุ่นและยุโรป แสดงว่า จขกท อาจจะเคยขับรถมาไม่หลากหลายมากนัก แต่รีวิวเขียนสนุกจริงๆ ครับ
-
ขอบคุณมากครับสำหรับรีวิว อ่านสนุก เพลินดีครับ ผมน่าจะเหมือนกับ จขกท ที่ไม่เคยสนใจ Volvo มาก่อนเลยเพราะติดภาพว่าเป็นรถสำหรับคนที่ค่อนข้างมีอายุนิดนึงแล้วรูปทรงติดตาว่ามันไม่สวย แต่และแล้วก็ได้มาเจอเจ้า V40 CC ที่จอดโชว์ในห้าง ซึ่งก็คงน่าจะอารมณ์เดียวกันกับ จขกท แหละครับ แต่ผมจะต่างตรงที่ตะลึงกับความสวยดูลงตัวของมันครับ (เหมือนโดนพลังงานบางอย่างดูดให้เข้าไปดูใกล้ๆ) แล้วถึงได้ดูที่ป้าย Spec+ราคา และตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะตัดใจเล่นรุ่นไหนดีครับ v40 รุ่น B แต่ลังเลไม่น้อยเลย กับ รุ่น S หรือตัดใจรอเก็บตังเพิ่มอีกนิดสำหรับ รุ่น CC ^^ ซึ่งถ้าผมได้มีโอกาส ได้รับรถแล้ว ผมขอทำรีวิวแข่งนะครับ ^^
-
ขอบคุณมากครับสำหรับรีวิว อ่านสนุก เพลินดีครับ ผมน่าจะเหมือนกับ จขกท ที่ไม่เคยสนใจ Volvo มาก่อนเลยเพราะติดภาพว่าเป็นรถสำหรับคนที่ค่อนข้างมีอายุนิดนึงแล้วรูปทรงติดตาว่ามันไม่สวย แต่และแล้วก็ได้มาเจอเจ้า V40 CC ที่จอดโชว์ในห้าง ซึ่งก็คงน่าจะอารมณ์เดียวกันกับ จขกท แหละครับ แต่ผมจะต่างตรงที่ตะลึงกับความสวยดูลงตัวของมันครับ (เหมือนโดนพลังงานบางอย่างดูดให้เข้าไปดูใกล้ๆ) แล้วถึงได้ดูที่ป้าย Spec+ราคา และตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะตัดใจเล่นรุ่นไหนดีครับ v40 รุ่น B แต่ลังเลไม่น้อยเลย กับ รุ่น S หรือตัดใจรอเก็บตังเพิ่มอีกนิดสำหรับ รุ่น CC ^^ ซึ่งถ้าผมได้มีโอกาส ได้รับรถแล้ว ผมขอทำรีวิวแข่งนะครับ ^^
FYi
series 40 ช่วง motor expo ได้ลดอย่างน้อย 200k นะครับ Ex V4o cc เหลือ 1.72
ถามตามที่ที่ท่านสะดวกเลยครับ
-
ขอบคุณมากครับสำหรับรีวิว อ่านสนุก เพลินดีครับ ผมน่าจะเหมือนกับ จขกท ที่ไม่เคยสนใจ Volvo มาก่อนเลยเพราะติดภาพว่าเป็นรถสำหรับคนที่ค่อนข้างมีอายุนิดนึงแล้วรูปทรงติดตาว่ามันไม่สวย แต่และแล้วก็ได้มาเจอเจ้า V40 CC ที่จอดโชว์ในห้าง ซึ่งก็คงน่าจะอารมณ์เดียวกันกับ จขกท แหละครับ แต่ผมจะต่างตรงที่ตะลึงกับความสวยดูลงตัวของมันครับ (เหมือนโดนพลังงานบางอย่างดูดให้เข้าไปดูใกล้ๆ) แล้วถึงได้ดูที่ป้าย Spec+ราคา และตอนนี้ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะตัดใจเล่นรุ่นไหนดีครับ v40 รุ่น B แต่ลังเลไม่น้อยเลย กับ รุ่น S หรือตัดใจรอเก็บตังเพิ่มอีกนิดสำหรับ รุ่น CC ^^ ซึ่งถ้าผมได้มีโอกาส ได้รับรถแล้ว ผมขอทำรีวิวแข่งนะครับ ^^
ยินดีครับ ... เห็นส่วนใหญ่คนเล่นรุ่น S กันเพราะดูคุ้มค่า แต่ผมชอบรุ่น CC ตรงที่มันสูงขึ้นมาอีกหน่อย ขับแล้วมันมองออกไปโปร่งๆ ดี ตอนนี้เข็มไมล์ run ไปถึง 21,500 Km แล้ว ระบบเตือนความปลอดภัยต่างๆ design มาได้ดีช่วยให้ผมและแฟนคลาดแคล้วจากอุบัติเหตุมาแล้ว 2-3 ครั้ง เข้าศูนย์เช็คระยะไป 1 ครั้ง ยังไม่เจอปัญหาอะไร (เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกว่าคงต้องเจออะไรจุกจิกบ้าง) ...ถ้าวันไหนเจอจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ
;)