Headlight Magazine : community
General => User's Voice => ข้อความที่เริ่มโดย: joufo ที่ ตุลาคม 23, 2015, 13:10:22
-
สวัสดีครับ
เห็นชาว Headlight Mag หลายท่าน ชอบรถ ประเภท K-Car ของญี่ปุ่น และอยากให้บริษัทผู้ผลิตรถนำมาจำหน่ายในบ้านเรา ผมเองมีโอกาสได้ใช้งานเป็นประจำที่ญี่ปุ่น เลยมาทำรีวิวให้อ่านกันสนุกๆ ครับ
จริงๆ อยากเขียนรีวิวเล่นๆ ตั้งแต่ตอนได้รถใหม่ๆ แล้ว แต่หาเวลาว่างๆ ไม่ได้เลยสักที
K-Car มาจากคำว่า 軽自動車（けいじどうしゃ）อ่านว่า เคจิโดชะ
คำว่า เค （軽）แปลว่า เบา ส่วน จิโดชะ （自動車）แปลว่า รถ
แปลอย่างกำปั้นทุบดินแล้วก็แปลว่า รถ(ที่มีขนาด)เบา
ที่ญี่ปุ่น ผู้คนนิยมใช้รถ ประเภท K-Car เนื่องจากว่า มีราคาถูก ค่าบำรุงรักษาก็ถูก ค่าทางด่วนก็ถูกกว่า แถมค่าจอดรถบางที่ ก็ราคาถูกกว่าด้วย อีกอย่างนึงคือ รถประเภทนี้ ขับขี่ง่าย เหมาะกับถนนเล็กๆ ที่มีอยู่มากในญี่ปุ่นครับ
จริงๆ แล้ว ผมเอง ก็แทบจะไม่ได้ใช้รถเลย เพราะตั้งแต่ได้รถมา ประมาณ ปีกว่า ผมใช้รถไปแค่ 5พันกว่า กิโลเมตร แค่นั้นเองครับ บางครั้ง การเอารถมาใช้ ก็เหมือนเป็นภาระ เนื่องจากว่า อพาร์ตเม้นท์ ที่ผมพักอยู่นั้นไม่มีที่จอดรถ แต่ข้างๆ อพาร์ตเมนท์ มีที่จอดรถหยอดเหรียญ ชั่วโมงละ 120 เยน วันละ 1200 เยน (คือจ่ายแพงสุดแค่วันละ 1200 เยนต่อวัน) แต่รถ K-CAR จ่ายแค่วันละ 1000 เยน ให้จ่ายทุกวัน ก็ไม่ไหวเหมือนกันครับ
-
ต้องออกตัวก่อนว่า รถคันนี้ผมไม่ได้ซื้อเอง แต่เป็นรถของบริษัท ที่เอาให้ผมไว้ใช้งาน ดังนั้นขั้นตอนการซื้อรถ ผมไม่ทราบเลยครับว่า จะซื้อรถที่ญี่ปุ่นต้องทำอย่างไร ผมรู้แค่ว่ารถ K-Car ไม่ต้องมีที่จอดรถโชว์ แต่จะเอาไปโชว์ก็ได้ ก็จะมีสติ๊กเกอร์ให้ติดท้ายรถ เพื่อเพิ่มความเป็น JDM
และตัวเลขต่างๆ ก็ไม่ได้วัดมาแบบเป๊ะๆ อาศัยความรู้สึกส่วนตัวซะเป็นส่วนมาก
และอีกอย่าง ผมไม่ค่อยได้เอารถออกมาใช้ส่วนตัวด้วยครับ ถ้าวิ่งงาน ก็ขับแป๊บๆ ก็ถึงที่หมายแล้ว
อย่างอื่นที่รู้ก็เป็น ที่เสียบบัตร ETC ต้องซื้อเพิ่มเอง ไม่มีแถมมาให้กับรถครับ (ผมไปซื้อร้าน ออโต้แบค และให้ที่ร้านติดตั้งให้ แต่ก็ติดมาให้ซะตรงกลางแบบนี้ก็เซ็งเหมือนกัน) ส่วนระบบNavi เป็น Dealer Option คือ ซื้อเพิ่มเองในวันสั่งซื้อรถที่โชว์รูม
เจ้าที่เสียบบัตร ETC จำเป็นมากสำหรับคนขับรถที่นี่ครับ เพราะใข้ขึ้นทางด่วนได้ทุกที่ในญี่ปุ่น แถม วันหยุด จะมีส่วนลดพิเศษให้ด้วย ETC Card นั้น จะเป็นระบบแบบบัตรเครดิต คือ ใช้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง จะมีบิลมาเรียกเก็บทุกสิ้นเดือนครับ
ดังนั้น คนที่จะมีบัตร ETC ได้ ก็คือคนที่มีบัตรเดรดิต ที่ธนาคารในประเทศญี่ปุ่นออกให้ครับ
-
Nissan DAYZ ROOX คันนี้ เป็น ฝาแฝดกับ Mitsubishi eK Space ซึ่งตัวรถผลิตโดย Mitsubishi หลักๆ แล้ว ก็จะต่างกันแค่ โลโก้ และ อุปกรณ์ตกแต่งนิดหน่อย ไม่ได้ต่างกันมากถึงขนาดกระบะคู่แฝดที่จำหน่ายในบ้านเรา คือ ถ้าเจ้า DAYZ กับ eK Space สีเดียวกันจอดคู่กัน แล้วปิดโลโก้ไว้ ก็เดาแทบจะไม่ออกเหมือนกันว่า ยี่ห้ออะไร
สำหรับรถคันนี้เป็นรุ่นย่อย X 2WD (รุ่นต่ำสุดคือ S ถ้าเป็นรุ่น Highwastar จะได้ภายในสีดำ)
มาดูอุปกรณ์ภายนอกกันครับ
อุปกรณ์ภายนอกหลักๆ ที่เห็นเลยคือ ล้อกระทะ ขนาด 14นิ้ว ใส่ยาง ยี่ห้อดันลอป ขนาด 155/65 มาให้จากโรงงาน ซึ่งคุณภาพก็กลางๆ
ประตูหลังแบบสไลด์ไฟฟ้า ด้านซ้ายด้านเดียว ส่วนด้านขวาเป็นแบบ ปรับความเร็วในการสไลด์ได้ตามแรงมือคนเปิด (ก็คือ ไม่สไลด์ไฟฟ้านั่นแหละครับ)
มีกล้องมองหลังซ่อนไว้ใต้โลโก้และยังมีระบบ Around View Mornitor สำหรับช่วยจอดแบบ Nissan Teana ให้ด้วย
กุญแจแบบ Key Less Entry ถ้าเปิดประตูหลังด้านซ้าย ก็แค่กดปุ่มดำๆ ตรงที่เปิดประตู แล้วประตูจะเลื่อนเปิดให้เอง หรือกดจากรีโมทก็ได้
-
ลงภาพติดๆ กัน แล้วโดนฟ้องว่าภาพใหญ่เกิน 300KB :'(
-
มาดูในรถกันบ้างครับ
-
สำหรับภายใน
เปิดประตูเข้ามาจะพบพวงมาลัยสหกรณ์ของ Mitsubishi ที่ใช้ใน Triton Attrage และ Mirrage และแน่นอนว่า eK Space ด้วย ปรับได้แค่ ขึ้น-ลง แต่ปรับเข้า-ออกไม่ได้
แอร์แบคคู่หน้า และด้านข้าง
หน้าปัดไม่มีมาตรวัดรอบ ซึ่งขัดใจผมมากๆ ถึงแม้รถจะเป็นเกียร์ CVT ก็จริง แต่ก็น่าจะมีมาให้ เล็กๆ ก็ยังดี
มาตรวัดความเร็วบอกความเร็วสูงสุดที่ 140 พร้อมไฟ ECO ส่วนหน้าตา ก็คล้ายๆ ของ Mitsubishi Mirage
ก้านไฟเลี้ยวและที่ปัดน้ำฝน ก็เป็นของสหกรณ์ Mitsubishi และแน่นอนว่า ระบบเหมือนของ Mitsubishi Mirage ทุกอย่าง (เช่น ไฟเลี้ยวกระดิกครั้งเดียว แต่กระพริบให้ 3 ที)
-
แอร์ออโต้ ที่หน้าตาเหมือน eK Space ดูสวยงามแต่ผมมีปัญหากดไม่ค่อยโดนปุ่ม ต้องละสายตาจากด้านหน้า ก้มลงมาดูว่าปุ่มอยู่ตรงไหน
แอร์ตัวนี้ ข้อเสียคือ ถ้ารถติด แอร์จะไม่เย็น ผมมีปัญหามากในช่วงหน้าร้อน
ถ้ารถติด แอร์จะเย็นสู้ความร้อนไม่ได้ เอาเข้าศูนย์นิสสัน ช่างบอกว่า
เอ่อ..คุณลูกค้าครับ อาการนี้เป็นปกติทุกคัน เนื่องจากคอมฯ แอร์ มีขนาดเล็ก ระบายความร้อนไม่ทัน มันก็เลยไม่เย็น
แต่ถ้ารถวิ่งก็จะเย็นจนหนาวแข่งกับ โตโยต้า อัลติส บ้านเราได้ ชนิดที่ว่า อัลติส มีเคืองนิดๆ เลย
ถ้าเป็นอย่างนี้ มาบ้านเรานี่ ก็ไม่ไหว
แต่ที่ญี่ปุ่น ร้อนจัดแค่ไม่กี่วัน ก็พอทนได้ และรถก็ไม่ค่อยติดมาก พอรถวิ่ง ก็เย็นปกติแล้ว
แต่ถ้าฮีตเตอร์เสียนี่ จะเป็นการขับรถที่ทรมารมากครับ
แล้วก็มีราวแอร์ด้านหลังให้ด้วย หน้าตาเห็นแล้วนึกถึง โตโยต้า อวันซ่า เหมือนกัน
ซึ่งปกติ ผมจะปิดครับ เพราะไม่ค่อยมีคนนั่งหลัง
แต่พอมีคนนั่งหลัง แล้วลืมเปิด ก็ไม่เห็นมีใครบ่นร้อนนะครับ (หรือว่าเกรงใจ ไม่กล้าบอกก็ไม่ทราบ)
ข้างใต้ปุ่มควบคุมแอร์ จะมีตะขอแบบพับเก็บได้ เอาไว้แขวนถุงชอปปิ้งได้ครับ
ซึ่งเหมาะกับบ้านเรามาก เพราะเวลาซื้อโอเลี้ยงใส่ถุงมา ก็เอามาแขวนได้
-
ถัดไปเป็นจอพร้อมระบบ Navi ของ Mitsubishi ที่สั่งซื้อเพิ่มเป็น Dealer Option ดู DVD ได้ ฟังวิทยุได้ ต่อระบบ AV ก็ได้ เสียบ USB ก็ได้ และที่ผมตกใจมากก็คือ ดูทีวีได้ด้วย (แต่ต้องจออดรถ ถึงจะมีภาพนะครับ ถ้าขับรถอยู่จะมีแต่เสียง) แต่เอาจริงๆ แล้ว นอกจาก Navi USB และ วิทยุ ผมแทบไม่ได้ใช้งานฟังก์ชั่นอื่นเลย (จริงๆ ผมมารู้ทีหลังด้วยซ้ำว่า ดูทีวีได้ด้วย)
ส่วนเสียง ถ้าฟังเพลง POP ทั่วๆ ไป ถือว่าดีพอตัว เบสมา เสียงกลางแหลม ชัดเจน แต่ถ้าฟังพวก Jazz อาจจะไม่สนุก เพราะรายละเอียดของเสียงมาไม่ครบ ต้องบอกว่า แนวเสียงนั้นเหมือนใน Lancer EX 2.0GT ที่ผมเคยเป็นเจ้าของเลยครับ (แต่ EX จะดีกว่า เพราะมีทำโพง ทวีตเตอร์ ให้)
(พูดถึง Lancer EX ตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นมาผมเคยเจอแค่ 1 คันถ้วน นอกนั้นที่เจอเป็น Evolution X หมดเลย จึงไม่แปลกใจเลยที่ มิตซูฯ ญี่ปุ่น เลิกขาย)
-
ส่วนกระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมหน้าจอสำหรับ Around View Monitor ทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ R หรือ จะกดขึ้นมาให้ค้างอยู่ตรงกระจกเลยก็ได้ มีประโยชน์มากในการเลี้ยวรถในที่แคบครับ
และแผงบังแดดที่มีขนาดใหญ่ สะใจมาก
-
กลับมาดูแผงควบคุมด้านคนขับบ้าง ดูแล้วก็คือยกมาจาก Mitsubishi Mirage ทั้งเซท เพราะเหมือนกันเป๊ะ ต่างกันแค่มีปุ่มปิดการทำงาน Idle Stop และปุ่มเปิด-ปิดประตูหลัง และใช้ที่กดกระจกของสหกรณ์นิสสัน
-
เบาะนั่งคู่หน้า จะเป็นแบบยาวต่อเนื่องกัน ตามสไตล์รถ K-Car ผ้าที่หุ้มเบาะให้สัมผัสที่นุ่มมาก และฟองน้ำที่บุเบาะมาก็นุ่มกำลังดี เหมือนนั่งอยู่บนโซฟาราคาแพง ซึ่งผมชอบมากครับ ที่พักแขนตรงกลางสามารถเอาขึ้นได้
ข้อเสียของเบาะคู่หน้าก็คือ เบาะด้านคนขับไม่สามารถปรับ สูง-ต่ำได้
แต่สำหรับผมนั่งแล้วก็รู้สึกว่า ทุกอย่างมันพอดีไปหมด คล้ายๆ กับตอนนั่ง ฮอนด้า Brio ที่ถึงจะปรับเบาะสูงต่ำไม่ได้ แต่มันก็นั่งได้พอดี
-
ส่วนด้านหลังนั้น ผมต้องขอออกตัวว่า ผมไม่เคยเป็นผู้โดยสารด้านหลังในรถคันนี้เลย เพราะใช้อยู่คนเดียว
แต่ด้านหลังก็กว้างมาก สไตล์ K-Car อยู่แล้ว ไม่ว่าจะขนของ หรือ ขนคนก็สบาย
ที่นั่ง หลังซ้าย ด้านหน้าจะมีถาดให้ด้วย เอาไว้นั่งกินข้าวในรถได้ครับ ปกติผมก็ซื้อข้าวกล่องมานั่งกินบนรถ มีถาดวางอาหารให้แบบนี้ ผมชอบมากครับ
-
เบาะหลังพับได้ อย่างที่เห็นในรูปครับ แต่ไม่ราบเรียบเหมือน Jazz ถ้าจะเอาพื้นราบเรียบ ต้อง ตลบเบาะไปอีกรอบนึง
เห็นรถคันกะเปี๊ยกแบบนี้ แต่ออพชั่นจัดเต็มแบบนี้ ผมก็ แฮปปี้ มากครับ
-
เปิดตูด
-
มาถึงการขับขี่บ้าง
รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ 659 ซีซี ความเร็วสูงสุดไม่ทราบครับ แต่ขับแค่ 110 ก็รู้สึกสงสารเครื่องแล้ว เพราะฟังจากเสียงก็รู้ว่า รอบเครื่องสูงมาก และเสียงเครื่องยนต์เริ่มดังรบกวนแล้ว (ถ้าเสียงเครื่องยนต์แน่นๆ หน่อย คงนึกว่าขับพวก ซุปเปอร์คาร์อยู่ ฮ่าๆ)
ผมเองขับได้สูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าจะเหยียบต่อ รถมันก็เพิ่มความเร็วให้อย่างช้าๆ พร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาว่า ข้าพเจ้ามีให้เท่านี้แหละนายจ๋า
สำหรับความเร็วเดินทางที่เหมาะสม ของรถคันนี้คือ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ครับ
อัตราเร่งนั้น ผมไม่ได้วัดจริงจัง แต่ออกตัวไม่ทันใจแน่นอน รถจะค่อยๆ ออกตัว เหมือนคนออกตัวเดินอย่างช้าๆ และเร่งสปีดขึ้นมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตามสไตล์รถเกียร์ CVT จนกระทั่งอยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะเริ่มออกอาการหมดแรง เร่งไม่ค่อยไหลลื่นสักเท่าไหร่แล้ว
ถ้าต้องการออกตัวให้ทันใจ เสมือนกับออกตัวในสนามแข่ง ก็ต้องกดแป้นคันเร่งให้มิด แล้วเครื่องยนต์ก็จะทำงานให้อย่างสุดแรงเกิด แต่ถ้าเหลียวมามองหน้าปัดความเร็วแล้ว มันก็ค่อยๆ ขึ้น อย่างช้าๆ
เสียงเครื่องเหมือนกับว่าน่าจะเร่งถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว แต่จริงๆ ยังเร่งได้แค่ 40 อยู่เลย
เหมือนจะเป็นข้อเสียแต่...
อยู่ที่ญี่ปุ่น แทบจะไม่ต้องขยี้คันเร่งเพื่ออกตัวเลย
เพราะรถทุกคันบนท้องถนนก็ค่อยๆ ไป ค่อยๆ ออกตัวกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แย่งกันออกตัวกันเหมือนอยู่สนามแข่ง F1 เหมือนบ้านเรา
และเรื่องการเร่งแซงที่ไม่ค่อยทันใจนัก (ก็เครื่องแค่ 600CC หนะครับ)
ที่นี่ ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะถ้าเปิดไฟเลี้ยว ขอเปลี่ยนเลนดีๆ คันหลังก็จะเข้าใจเราว่าต้องการแซง
ยอมให้เราไปก่อน และไม่จี้ตูดกดดันเราด้วย
ถ้ามาใช้เมืองไทย ผมว่า คงแทบจะแซงใครไม่ได้ เพราะเร่งความเร็วให้ทันรถคันหลังไม่ทัน และแถมจะโดนจี้ตูด ดิปไฟใส่ พร้อมทั้งด่าบุพการี แน่นอน
-
วันก่อน ผมเอาลองรถไปขับขึ้นภูเขา โกะเกทสึยามะ (เสียค่าผ่านทาง 300เยน)
ทางขึ้นเขาลูกนี้ ก็อารมณ์ประมาณขึ้นดอยอินทนนท์
ระหว่างที่กำลังไต่ขึ้นเขา ด้วยความยากลำบากอยู่นั้น ก็ได้กลิ่นไหม้เข้ามาในรถ
เพราะรถใช้รอบเครื่องยนต์สูงมากตลอดเวลา
แต่จอดพักรถสักพักนึง กลิ่นไหม้ก็หายไป
ไม่ใช่ว่า ตัวรถจะขึ้นเขาลักษณะสูงชันไม่ได้นะครับ แต่ว่า ขึ้นได้ด้วยความยากลำบาก และทรมาร และลุ้นมาก
มันเหมือนจะขึ้นไม่ได้ แต่มันก็ไปเรื่อยๆ ตามเรี่ยวแรงที่มีอยู่
-
เรื่องทัศนะวิสัยนั้น บอกได้คำเดียวว่า ปรอดโปร่ง เหมาะกับญี่ปุ่นมาก เพราะที่นี่ เวลาขับรถ ต้องคอยรถวังคนข้ามถนนด้วย
ที่นี่ รถเลี้ยวซ้ายต้องรอสัญญาณไฟเขียว แต่ไม่ใช่ว่าได้ไฟเขียวแล้วไปได้เลยโดยไม่สนใจใคร เราต้องให้คนข้ามถนนไปก่อน
และที่สำคัญคือ ที่นี่ คนข้ามถนน ถ้าเขาได้สัญญาณไฟเขียว เขาไม่หยุดให้รถนะครับ (แทบจะไม่มองรถด้วยซ้ำ เพราะถือว่าได้ไฟเขียวแล้ว) แล้วถ้าเราไปชนคนข้ามถนนเข้า เรื่องยาวแน่นอน แค่คำขอโทษ ไม่จบแน่นอนครับ (เพราะผิดกฏจราจรเต็มๆ)
กระจกทุกบานเป็นแบบตัด UV ได้ 99% และด้านหลังเป็นแบบ Privacy Glass รมดำมาให้
รถคันนี้ไม่ได้ติดฟิล์มใดๆ ซึ่งก็จะร้อนหน่อยช่วงหน้าร้อน แต่ถ้าหน้าหนาวก็ไม่เป็นปัญหา
(แต่ผมก็ไม่เห็นรถในญี่ปุ่นติดฟิล์มเลยนะครับ ยกเว้นรถแต่งซิ่ง)
-
มาถึงเรื่องการควบคุมรถ
พูดสรุป สั้นๆ ง่ายๆ คือ ดีกว่า Mirage นิดนึง
ถ้าขับแค่ในเมือง นำ้หนักพวงมาลัยเบากำลังดี
ถ้าขับบนทางด่วนที่ใช้ความเร็วสูง (ประมาณ 100-110) จะรู้สึกเบาไป
ส่วนการควบคุมนั้น ผมรู้สึกว่าพวงมาลัยไม่ค่อยมีความแม่นยำนัก
ถ้าหักพวงมาลัย เพื่อเข้าโค้ง รถก็เลี้ยวตามพวงมาลัย แต่เลี้ยวตามแบบไร้ชีวิตชีวา
อารมณ์ประมาณว่า หักพวงมาลัยไปแล้ว รถตอบกลับมาว่า อ๊อ โค้งขวาเหรอครับ เดี๋ยวเลี้ยวให้นะครับนาย
คือมัน ไม่ได้แย่อย่าง Mirrage แต่ขับแล้ว มันรู้สึกหลอนๆ ว่า เฮ้ย นี่มัน Mirrage หลังคาสูงชัดๆ
(ยังไงก็ตาม ส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่า อย่างน้อย พวงมาลัย และการควบคุมรถ ก็มีชีวิตชีวากว่า Toyota Aqua)
ช่วงล่าง เซทออกมาแนวกลางๆ ไม่นุ่มมาก แต่ก็ไม่ตึงตัง ลักษณะเป็นสไตล์รถเล็กทั่วๆ ไป ขับแล้วก็รู้สึกได้เลยว่า กำลังขับรถเล็กอยู่
การเข้าโค้งนั้น ก็จะโยกเยกตามประสารถทรงสูงทั่วไป เอาไปลัดเลาะตามเขาอากินะ เพื่อส่งเต้าหู้ อย่าง Toyota AE86 ไม่ดีแน่ครับ อาจจะร่วงไปอยู่ข้างทางซะก่อน
แต่สิ่งที่ผมชอบมากคือการเก็บเสียงครับ
การขับความเร็วสูง (ก็ 100-110 นะครับ) ถ้าตัดเรื่องเสียงเครื่องยนต์ออกไป ตัวรถเก็บเสียงได้ดีมาก
คือก็ไม่ได้เงียบกริบ แต่ก็ดีกว่า Lancer EX แน่นอน และดีกว่า Mirrage ด้วย พวกเสียงลมต่างๆ แทบจะไม่เล็ดรอดเข้ามาเลย
สามารถฟังเพลง ฟังวิทยุได้สบาย โดยไม่ต้องเร่งเสียงแต่อย่างใด ขับได้ ชิวๆ เรื่อยๆ สบายๆ
แต่ถ้าขับที่ 80 จะรู้สึกว่า รถคันนี้มันช่างเป็นรถที่ Perfect มากสำหรับเอาไว้ขับชิวๆ ไหลไปตามกระแสการจราจรบนทางด่วนไปเรื่อยๆ (คือถ้าไม่ขึ้นทางด่วน ก็จะเจอไฟแดงเยอะมาก เพราะมีไฟแดงทุกแยก)
-
สำหรับอัตราการกินน้ำมัน
ในโฆษณา นิสสันจะโฆษณาที่ประมาณ 26.2 กิโลเมตรต่อลิตร
ผมเอามาใช้จริง มีทั้งวิ่งในเมือง เจอรถติดแบบ แยกชนยก (แต่ก็ไม่โหดเท่ากรุงเทพ)
มีขึ้นทางด่วน เจอรถติดบนทางด่วนบ้าง (อันนี้เคยเจอโหดเหมือนกรุงเทพ คือ นิ่งสนิท ไร้อนาคตเลยทีเดียว)
ใช้น้ำมัน Regular เฉลี่ยก็แล้วจะตกประมาณ 20-24 กิโลเมตรต่อลิตรครับ แย่ที่สุดที่เคยทำได้คือ 18 กิโลเมตรต่อลิตร
(ที่ญี่ปุ่นมีน้ำมันขายแค่ Hi-Octane, Regular และ ดีเซล เท่านั้นครับ)
ผมไม่ได้วัดอัตราการกินน้ำมันแบบจริงจัง เนื่องจาก บางครั้ง ต้องเอารถให้คนอื่นในบริษัทไปใช้บ้าง
พอเขาเอาไปใช้ เขาจะเติมน้ำมันกลับมาให้เต็มถัง ไม่ว่าจะวิ่งไปเท่าไหร่ก็ตาม
ก็เลยวัดจริงจังไม่ได้สักที แต่ผมมักจะกดทริปไว้ และคนที่เอารถไปต้องกด Trip ด้วย (เพื่อทำ Report การใช้รถ)
เลยสามารถคำนวนได้คร่าวๆ ครับ
ส่วนเอารถมาใช้เองในวันหยุด ผมก็ไม่ค่อยได้เอารถไปไหน เพราะนั่งรถไฟไปง่ายกว่า และถูกกว่า
ที่ญี่ปุ่นขึ้นทางด่วนทีก็ 900 เยน (ราคาสำหรับรถ K-Car) กินข้าวได้เกือบ 2 ชามเลยครับ
ส่วนมาก ถ้าใช้รถในวันหยุด ผมก็เอาไปแค่ซุปเปอร์มาร์เกต เพื่อซื้อของเข้าบ้านครับ
-
สรุปแล้ว
ขับง่าย คล่องตัว ลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ ได้สบาย เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย (ที่มีใบขับขี่)
และสำหรับครอบครัวชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมีลูก 1 คน หรือ 2 คน หรือไม่มีลูกก็ตาม
จอดรถง่าย (เรื่องหาที่จอด ไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะที่จอดรถหยอดเหรียญเยอะ)
เบาะนั่ง นั่งสบาย แต่นั่งนานๆ ก็แอบเมื่อยเหมือนกัน
ภายในกว้างขวาง
จ่ายค่าทางด่วนก็ถูกกว่าชาวบ้านเค้า นิดหน่อย
(ปกติ ค่าทางด่วน ราคา 930 เยน สำหรับ K-Car 900 เยน)
ประหยัดนำ้มันมาก (ถ้าใช้ในเมืองเป็นหลัก)
แต่..คงไม่เหมาะกับเมืองไทย เพราะเครื่องยนต์เล็กไป อัตราเร่ง ไม่ถูกใจคนไทยแน่นอน
ขับเร็วก็ไม่ได้ ขึ้นเขานั้นขึ้นได้ แต่เหนื่อยหน่อย
เร่งแซงใครก็ไม่ค่อยจะได้ จี้ตูดใครก็ไม่ค่อยจะทัน
แต่ถ้าขับเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจว่าจะต้องไปแข่งกับใคร Nissan DAYZ ROOX ก็เป็นรถที่ พอเพียง และเพียงพอจริงๆ
แต่ผมก็มองว่า เครื่องยนต์มันเล็กไปสำหรับเมืองไทยจริงๆ ถึงแม้ว่าจะขับในกรุงเทพก็ตาม
เพราะถ้าอยากจะขับแซงรถเมล์สาย 8 ก็อาจจะแซงได้ แต่แซงไม่ขาดแน่นอน ยกเว้นว่าจะใช้ความคล่องตัวของรถ ค่อยๆ มุดหนีไป (ต้องค่อยๆ มุด นะครับ เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะกลิ้งไปอยู่ข้างทางได้)
ส่วนข้อเสีย
อย่างแรก ก็คือ การควบคุมรถช่างไร้สีสันเหลือเกิน รถคันนี้ไม่ใช่รถขับสนุกแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเอาไปต่อยอดยังไงก็ตาม
แต่ถ้าเน้นขับสบายปุ๊บ ตรงนี้จะไม่ใช่ข้อเสียทันที
อย่างที่สอง แอร์สู้แดดไม่ได้ ถ้าเจอรถติด ถ้าหน้าร้อน + รถติด มันก็จะร้อนๆ หนาวๆ ชวนไข้ขึ้นได้เหมือนกัน
-
ถ้าให้คำนิยามของ Nissan DAYZ ROOX คันนี้ ก็ต้องบอกว่า มันคือ Mirage ที่ลดขนาดเครื่องยนต์ลง แล้วแปลงร่างเป็นรถหลังคาสูงนั่นเอง (แล้วก็เอามาแปะตรานิสสัน)
ต้องบอกว่า จริงๆ แล้วรถ K-Car นั้น ถูกออกแบบมาเอาใจชาวญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว เพราะรถเกือบทุกรุ่นที่อยู่ในประเภทนี้ ก็ออกแบบมาเพื่อตอบสนอง Life Stlye ของชาวญี่ปุ่นทั้งนั้น
อย่าง ฮอนด้า N Box เจ้านั้น ก็ใช้สโลแกน New Nippon Norimono (แปลอย่างกำปั้นทุบดินว่า ยานพาหนะสำหรับชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ คือไม่ได้กะขายต่างประเทศเลย)
สำหรับรุ่นเทอร์โบ จริงๆ แล้ว ก็ช่วยแค่เรื่องอัตราเร่ง ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้แรง ชนิดที่ว่าเอาไปอัดแข่งกับกระบะดันราง
สำหรับเมืองไทย ที่มีเกรย์บางเจ้าเอาไปขายนั้น ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ก็โอเคครับ ตัวรถมีคุณงามความดีให้เป็นเจ้าของอยู่แล้ว
แต่ถ้านับเรื่องตัวเงินมาเกี่ยวข้องแล้ว ผมมองว่า ราคาแพงเกินความเป็นจริงมาก เพราะถ้าซื้อรถราคาล้านกว่าบาท ก็ควรจะได้อะไรมากกว่า K-Car
เพราะอย่าลืมว่า ที่ญี่ปุ่น Nissan March ราคาแพงกว่า DAYZ ซะอีกนะครับ จะจ่ายแพงกว่า March ประมาณ 3 เท่า เพื่อคำว่า รถนำเข้า ส่วนตัวผมคิดว่า แพงเกินไป
พอได้ใช้งาน ผมก็พอเข้าใจบริษัทผลิตรถยนต์ขึ้นมานิดนึงว่า ทำไมไม่เอารถ K-Car มาขายเมืองไทย
แต่ใจลึกๆ ผมก็อยากให้เอา K-Car มาใส่เครื่อง 1000 หรือ 1200 ซีซี ขายเหมือนกัน
แต่ถ้าทำอย่างนั้น ลูกค้าชาวญี่ปุ่นมีเคืองแน่นอน
ถึงแม้ Nissan DAYZ ROOX คันนี้ ผมจะไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
แต่ผมก็รักมันมาก จนอยากจะแอบเอาใส่กระเป๋ากลับไปเมืองไทยด้วย
ขอบคุณที่ติดตามครับ
-
ลืมใส่รูปที่นั่งด้านหลัง
และอันนี้โฆษณาที่ญี่ปุ่นครับ
https://www.youtube.com/watch?v=wh6a_ArcnIc
(https://www.youtube.com/watch?v=wh6a_ArcnIc)
-
รถน่ารักมากๆ ครับ
ผมอยากให้มาขายเมืองไทยเหมือนกันแต่เครื่องคงต้อง 1.0 ลิตร 3 สูบจะเหมาะกว่าครับ
-
ขอบคุณครับสำหรับรีวิวรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตา
ส่วนตัวเคยนั่ง dihatsu tanto ครั้งนึง ตอนไปแบ๊คแพคยุฟูอิน จองเรียวกังเล็กๆที่นึงไป เจ้าของเค้ามารับที่สถานีรถไฟ รู้สึกข้างในใหญ่กว่าที่คิด
ส่วนตัวอยากให้ honda เอา s660 มาขายบ้าง แต่เคยแอบเสิจราคาที่ญี่ปุ่น 2 ล้านเยนได้ ขนาดในบ้านเค้ายังแพงเลย (ถ้าเทียบว่า honda stream ขายแพงกว่านิดเดียวนะ)
-
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
อ๊ากกกก รถน่ารักมากๆ ชอบรถแนวนี้มากครับ หวังว่าจะมีโอกาสขับมั้ง ;D ;D ;D
-
ขอบคุณครับ รถน่ารักดีแฮะ
-
รถน่ารักมากครับ อยากให้มีมาขายไทยบ้าง ใส่เครื่อง 1000cc 3สูบมาขาย น่าซื้อให้พ่อแม่ขับไปจ่ายตลาดด
-
รถน่าร้ากกกก ถ้าขายในเมืองไทยในราคาเท่าๆกับที่ญี่ปุ่น ผมคงได้เป็นลูกค้า :-X
-
ขอบคุณคร้าบบสำหรับรีวิว สวยน่ารักมากก ชอบมากเลย
รถเล็กประตูสไลด์ กว้างขวาง (พวงมาลัยมิราจพอมาเป็นสีเบจแล้วสวยแหะ)
-
น่ารักดี
อยากให้มาเป็น eco car next gen ในบ้านเราจัง
-
ประหยัดน้ำมันมากกกกกก สมที่เครื่องเล็กจริงๆ
-
น่ารัก น่าใช้