Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Yeahyeahs ที่ ธันวาคม 03, 2019, 11:16:55
-
เอาตรงๆถามแบบโง่ๆไม่ศึกษาเลยครับ อย่างกล้องถ่ายรูปเราก็พกแบตแยกกัน เสียบสายชาร์จที่กล้องโดยตรง และมีที่ชาร์จแยกจะได้ชาร์จหลายก้อนได้พร้อมกัน
รถไฟฟ้าเห็นส่วนใหญ่ก็วิ่งได้กันประมาณ 300 โล+- ถ้าใส่มาสามก้อนก็ได้กรุงเทพ-เชียงใหม่แล้ว
ถ้ากลัวชาร์จนาน คืนเดียวไม่เต็มทั้งสามก้อน ก็ทำที่ชาร์จแยกแบบไม่ต้องอยู่ในตัวรถออกมาขายเพิ่ม
(คนที่จะใช้ก็ทำหัวชาร์จไว้มากกว่า 1 อันที่บ้านได้)
แบตก้อนนึงผมไม่รู้กี่แสน แต่เดาว่าต้นทุนคงแพงขึ้นซัก 20-30% ซึ่งระยะที่เพิ่มมาก็คุ้มอยู่
เรื่องน้ำหนักผมว่าวิศวกรออกแบบกันได้นะ ถ้ารถเก๋งไฟฟ้ามันจะไปหนักเท่า SUV น้ำมันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
ย้ำว่าถามแบบไม่มีความรู้นะครับ ถ้ามันดูโง่ๆก็ขออภัย
-
คงหลายเรื่องครับ
1.หนักขึ้นเยอะ + ไม่มีที่จะวางแบต
2.แพงขึ้นเยอะ
3.ชาร์จนาน ใส่แค่นี้ก็ชาร์จกัน 8-10 ชม.แล้ว ซึ่งกับเท่ากับชาร์จทิ้งทั้งคืน ถ้าใส่เยอะกว่านี้คงต้องชาร์จทิ้งทั้งวันทั้งคืน
ผมว่าคงต้องรอเทคโนโลยีแบตให้ดีกว่านี้ครับ
-
แพง.
ขับแย่กว่าเดิมสมดุลรถเสีย
กินไฟมากกว่าเดิมเพราะต้องแบกน้ำหนักเยอะๆตลอดทาง
เวลาชาร์ตนานมากขึ้น(ปกติก็นานอยู่แล้ว)
คำถามแล้วใครจะซื้อละรถแบบนี้
-
1. ราคาแบตปัจจุบันก็ประมาณครึ่งนึงของราคารถ ถ้าเพิ่มอีก 2 ก้อน ก็ประมาณซื้ออีกคันนึง
2. น้ำหนักแบตลูกนึงน่าจะขึ้นหลัก ร้อย กก.
3. พื้นที่วางแบต ปัจจุบันก้อนเดียวติดรถ ยังกินที่มากเลย
4. แบตติดรถไฟแรงสูงนะครับ ถ้าพลาดตอนเปลี่ยน ตอนแกะคือไฟดูดตายในบัดดล
ครับ
-
(https://f.ptcdn.info/115/057/000/p7a1gg92a8dYU25K1Vo-o.png)
ปัจจุบันแบตหนัก 500 กว่ากิโล วางใต้ท้องรถ ถ้าเพิ่มมากกว่านี้สมดุลรถน่าจะไม่ดี
-
รถ EV ถ้าทำได้แบบมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าในไต้หวันได้จะดีมาก
https://youtu.be/_WbkUWAZDWc
-
เพิ่งรู้ว่าแบต ev ใหญ่มาก นึกว่าขนาดพอๆกับแบต hybrid
ขอบคุณครับ
-
อย่านึกว่าแบตเป็นแบตเตอรี่รถยนต์สิครับ แบต EV มันเป็นแผงหนักเป็นร้อยโลเลยนะ
จริงๆ บริษัทผลิตรถพร้อมผลิตรถ EV แต่ปัญหาคือ การพัฒนาระบบแบตเตอรี่ยังตามไม่ทัน ยังไม่สามารถหาแบตที่เก็บไฟฟ้าได้นาน การใช้งานต่ำ และ เติมกระแสไฟฟ้าได้เร็วครับ
-
มันทำได้ในทางปฏิบัติ และเป็นเรื่องที่ทำง่ายมากถ้าคุณมี เงิน
ยกตัวอย่าง ZS EV ละกัน
รถราคา 800,000 บาท ราคา battery Pack ประมาณ 500,000
เพิ่มแบต 3 ก้อน รวมของเดิม 800,000 x 500,000 x 500,000 =1,800,000 บาท
จะได้กำลังไฟ 44.5 kWh x 3 = 133.5 kWh
การวาง ขนาด battery Pack ใหญ่พอสมควร คุณต้องสละ ที่เก็บสัมภาระ
รวมถึงเบาะหลังเพื่อวางแบต และชุด balance ไฟ
สรุปคือ คุณต้องมีเงินมากกว่า 2 ล้านบาท ได้รถที่นั่งได้แค่ 2 คน แต่แบกน้ำหนักเท่ากับนั่ง 5 คน
ระยะทางที่วิ่งได้ลดลงเพราะต้องแบกน้ำหนักตลอดเวลา
3 ก้อน วิ่งได้รวมๆ 800 KM และลดลงเรื่อยๆตามการเสื่อมสภาพ
แยกชาร์ต 3 กล่อง ในไฟบ้านก็ไม่ได้ ไฟไหม้บ้านแน่นอน เวลาชาร์ตก็ คุณ 3 ไปด้วย
ไฟ DC คิดง่ายๆเหมือนคุณกำลังเปิดแอร์ 50,000 BTU เปิด 1 เครื่อง ไฟบ้าน 45A ได้สบาย ถ้าเปิดพร้อมกัน 3 เครื่องล่ะ.....
-
Power bank รถต้องมาแน่ๆ
-
ขอแก้ไขครับ ... ตอบผิดกระทู้
----------------------------
แนวคิดแบบให้มีแบตหลายๆก้อน หรือทำแบต universal ใช้วิธียกสลับแบตฯเอา แบบรถบังคับที่ถ่านหมดก็เปลี่ยนถ่านเอา
ผมว่าน่าสนใจนะ
-
ราคาต้นทุนของรถ ที่แพงๆ ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจาก แบตเตอรี่
ถ้าคุณใส่แบตเตอรี่ 3 ก้อน ราคาจะขายกันที่เท่าไหร่ดี
ยังไม่รวมเรื่องน้ำหนักรถที่เพิ่มขึ้น
- ถ้ามอเตอร์เท่าเดิม แสดงว่าต้องใช้กำลังมากขึ้น เพราะ load เพิ่มขึ้น อัตราการกินไฟฟ้า ก็เยอะขึ้น
- ถ้ามอเตอร์ใหญ่กว่าเดิม ก็ต้องใช้กำลังมากขึ้นอยู่ดี ถึงจะ load น้อยกว่า อัตราการกินไฟฟ้า ก็ยังเยอะอยู่ดี
ผมว่า ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่อง ระยะทางของรถ EV แบบง่าย และ เป็นไปได้สุด คือ
1. มีแบตเตอรี่ แบบ universal ที่ใส่กับรถได้หลายๆ รถ(ทุกรุ่นยิ่งดี) แล้วพอแบตเตอรี่ไกล้หมด ก็ถอดอันเก่าออก แล้วใส่อันใหม่ที่ไฟเต็มๆ ไปแทนแบบ Hot-Swap เลย ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที ไรงี้
2. ทำถนนที่เอื้อ หรือ ออกแบบ เพื่อสำหรับรถ EV แบบเป็นรางคล้ายๆ รถไฟฟ้า BTS หรือ รถ TRAM ของเมืองนอก แต่ทำตัวจ่ายไฟบนพื้นถนน แทนที่จะใช้แขนยื่นออกไฟแตะสายไฟด้านบนหลังคา เหมือนที่สวีเดนเขาทำตามคลิปนี้
https://www.youtube.com/watch?v=VZNHZnyxCm8
3. ทำยังไงก็ได้ ให้ชาร์จเต็มได้ในช่วงเวลาไม่เกิน 30 นาที อย่างช้าก็ไม่เกินชั่วโมง เพราะถ้านานกว่านี้เริ่มรับไม่ได้ละ เสียเวลามากเกินไป มันจะทำให้ยังไม่หลุดพ้นจากรถยนต์สันดาบธรรมดา พอจะเดินทางไกล ผมก็ยังใช้รถน้ำมัน สันดาบ ดีกว่า จอดเติมไม่เกิน 5 นาทีขับต่อได้เลย
-
หลักการเดียวกับมือถือครับ เรื่องระบายความร้อน หนัก ต้นทุนเพิ่ม
อีกหน่อยคงพก power bank กันครับเวลาเดิมทาง จอดสถานีเติมไฟได้ทั้ง 2อย่างเลย
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/12/03/itEF5J.jpg)
-
แพงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คำตอบนี้ชัดสุด สำคัญสุด
-
รถ EV ถ้าทำได้แบบมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าในไต้หวันได้จะดีมาก
https://youtu.be/_WbkUWAZDWc
ดีงามมาก แต่ของรถยนต์คงหนักน่าดู ;D
ผมว่าเร่งทำของมอไซก็ดีนะ
-
ราคาก็สำคัญครับ ทำมาตอบโจทย์ทุกอย่าง แต่ราคาไม่ได้ ก็ขายไม่ได้อยู่ดี
-
กินพื้นที่เยอะ หนัก และแพงครับ
-
ลองนึกภาพช่างกล้องที่ต้องพกแบตสำรอง 4-5 ก้อนไปทำงาน ในกระเป๋านอกจากอุปกรณ์กล้องยังต้องมีแบตเสริมอีก ผมว่าชีวิตจริงเขาไม่สนุกหรอก ถ้าเลือกได้เขาคงอยากพกแค่แบตก้อนเดียว
-
ก็กำลังพัฒนากันอยู่นะครับ แบตเตอรี่ความจุสูง เคยมีงานวิจัย บอกว่าถ้าจะให้ EV มีพิสัยและพื้นที่ใช้งานที่เหมือนกับรถปกติ แบตต้องมี Power density ประมาณ 700 W/kg สามารถทำได้แล้วนะครับ แต่ราคาน่าจะยังแพงอยู่ ส่วนเรื่องระยะเวลาชาร์จ ต้องให้มีหัว Quick Charge เยอะ ๆ ครับ ซึ่งแพงมาก ๆ รัฐควรจะมีโครงการสนับสนุนครับ
-
ตามเหตุผลบนๆ เพิ่มแบตไม่ได้แน่ๆ
รถไฟฟ้าปัจุบัน จึงไม่ได้เน้นการแข่งขันไปที่อัตราเร่ง เพราะมันเหลือเฟือ ส่วนใหญ่ ต่ำ 7วิอยู่แล้ว
สิ่งที่รถไฟฟ้าต้อง แข่งกันก็คือ
kw/km คือในแบตความจุเท่ากัน ใครวิ่งได้ไกลสุด ซึ่งนั่นหมายถึงการออกแบบรถทั้งคันโดยรวมเช่น แอโร่วไดนามิค ท้องเรียบ มีฝาครอบล้อ ลู่ลม ล้อเล็กๆหน่อย พวกนี้ทำให้วิ่งได้ไดลขึ้นทั้งนั้น ทั้งนี้รวมไปถึง น้ำหนักรถโดยรวม และประสิทธิภาพในการชาร์จไฟกลับเวลาเบรคด้วย
เท่าที่รู้ ตอนนี้เทสล่ายืนหนึ่งเพราะทำมานาน มีข้อมูลอยู่แล้ว รู้ว่าจะต้องแก้ไขอะไร
พวกค่ายใหญ่ๆ ที่ไม่ยอมเริ่มกับรถไฟฟ้าจริงๆที่ใช้แพลตฟอร์มโดยเฉพาะ ก็จะไม่มีข้อมูลมาพัฒนาหรือเอาชนะคู่แข่งได้ และจะสู้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตไม่ได้ในที่สุด
-
ลองคิดว่า ถ้าเป็นรถกระบะไฟฟ้า
แบกแบตมา 2 ลูก ก็น่าจะโอเค แต่คงเสียพื้นที่กระบะไปพอสมควร
-
จะกี่ก้อนก็ไม่สำคัญครับ มันอยู่ที่จำนวน kW ของแบต รถคันไหนใส่แบต kW สูงๆ มาให้ รถคันนั้นย่อมดีกว่า แรงกว่า และแพงกว่าครับ โดยเฉพาะประเทศที่ภาษีรถยนต์แพงมากๆ อย่างประเทศไทย
เมื่อภาษีมันแพงขนาดนี้ ค่ายรถจึงต้องเลือกรถไฟฟ้ารุ่นที่มีราคาถูกมาขาย เพราะกว่าจะผ่านภาษีไทยมาได้ ราคาก็เกือบจะเกินเอื้อม หรือเกินเอื้อมไปแล้ว พวกที่ราคากลาง-แพง อย่าง Tesla พอเข้าไทยก็กลายเป็นของเล่นคนรวยไป
-
เพิ่งเริ่มและกำลังพัฒนาครับ