Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MoO Cnoe ที่ มกราคม 09, 2020, 10:48:46
-
Nissan เตรียมผลิต และ เปิดตัวเทคโนโลยี e-POWER ในไทย ปี 2020 นี้
รุ่นแรกคาดว่าจะเป็น All NEW Kicks e-POWER " ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
แต่เติมน้ำมันได้แบบรถปกติทั่วไป
อ่านข้อมูลทั้งหมดได้ที่นี่
http://www.headlightmag.com/nissan-kicks-e-power-coming-soon-thailand-2020/
(https://www.img.in.th/images/1a979067477bb821bf638cf44434e7c8.jpg)
-
ตัวไมเนอร์นี่ กระจกมองข้างย้ายไปไว้บนประตูใช่ไหมครับ
ดูมุมนี้ ก็ดูดีนะ
-
ถ้ากล้าลงทุนขนาดนี้ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ
-
กระจังหน้าทรงฟันหนูยักษ์
-
เมื่อก่อนก็จะตื่นเต้นนิดหน่อยกับระบบ e-power ของนิสสัน
แต่พอ honda เปิดตัว Accord hybrid ดูรายละอียดของระบบ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด)มันก็คล้ายกับ e-power ของนิสสันคือเอาเครื่องยนต์มาปั่นไฟ แล้วให้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน. แต่ Accord เหนือกว่าตรงที่มีเกียร์รับกำลังจากเครื่องยนต์โดยตรงไปช่วยขับเคลื่อนได้ด้วยในบางเวลา
-
ดูจากรูปนี้ หน้าตาก็ดูดีนี่นา
-
เทียบกับพวกเครื่องยนต์ที่จ่ายพลังงานขับเคลื่อนโดยตรง
เจ้าตัวนี้จะได้กี่ กม./ล. ครับเนี่ย
ถ้าความประหยัดไม่ได้โดดเด่นจากรถในเซกเม้นต์เดียวกัน
กลัวว่าจะมาเพื่อดับอีก
-
ในรูปมัน KICKS โฉมอินเดียนี่ครับ
สรุปว่าบ้านเราได้โฉม P16 หรือ P15 กันแน่ครับเนี่ย
-
เทียบ
บน india
ล่าง usa
-
เทียบกับพวกเครื่องยนต์ที่จ่ายพลังงานขับเคลื่อนโดยตรง
เจ้าตัวนี้จะได้กี่ กม./ล. ครับเนี่ย
ถ้าความประหยัดไม่ได้โดดเด่นจากรถในเซกเม้นต์เดียวกัน
กลัวว่าจะมาเพื่อดับอีก
คิดเหมือนกันเลยครับ ตอนที่ควรมาคือก่อนที่จะมีเครื่อง 1.0 turbo
-
ดูทรงสเปคไทยคงมาแนวนี้
(http://community.headlightmag.com/index.php?action=dlattach;topic=73829.0;attach=65020;image)
-
เทียบ
บน india
ล่าง usa
โห... ดูจากรูป spy shot ในบ้านเราแล้ว น่าจะโดนตัวล่าง usa น่ะสิครับ
ตัวสั้น ตูดสั้น กว่าตัว India พอควรเลย
-
ถ้าประหยัดได้เท่า CH-R หรือมากกว่า ก็น่าจะเกิด (หมายถึงมีระบบความปลอดภัยมาครบๆ ด้วยนะ)
แรงม้าไม่เยอะเท่าไหร่ พอๆ กับ CH-R แต่แรงบิดดีทีเดียว แถมเป็น Instant เหมือนรถ EV ด้วย
-
ใช้น้ำมันเครื่อง 0W-16 ไปเลยครับ รอบเครื่องเดินแค่ประมาณ 1000rpm แบบนี้
-
เทียบ
บน india
ล่าง usa
โห... ดูจากรูป spy shot ในบ้านเราแล้ว น่าจะโดนตัวล่าง usa น่ะสิครับ
ตัวสั้น ตูดสั้น กว่าตัว India พอควรเลย
ประเทศไทยได้แบบอินเดียแหง ไม่ต้องสืบ
-
เทียบ
บน india
ล่าง usa
โห... ดูจากรูป spy shot ในบ้านเราแล้ว น่าจะโดนตัวล่าง usa น่ะสิครับ
ตัวสั้น ตูดสั้น กว่าตัว India พอควรเลย
ประเทศไทยได้แบบอินเดียแหง ไม่ต้องสืบ
งั้นเยี่ยมเลย ดูลงตัวกว่ากันเยอะ
-
จากรูปรถที่พรางตัว กระจกมองข้างไม่ได้อยู่บนตัวถัง
ถ้าดูจากรูปเทียบกันในอีกความเห็น เป็นตัว USA รึเปล่า
-
CHR แบต 1.44 kWh ตัวนี้ 1.5 kWh
กับเครื่องยนต์เล็กกว่า แต่ก็รอบต่ำสูงกว่า มอเตอร์แรงกว่า
คิดว่าพอเกิน 80 เครื่องต้องมีเร่งรอบเครื่องสันดาปขึ้นบ้าง
ประเมินคร่าวๆ ในเมืองกับนอกเมืองไม่เกิน 120 คงประหยัดกว่า CHR ครับ
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
-
เทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม B-SUV
Honda HR-V : 4,294 x 1,772 x 1,605 มิลลิเมตร / ฐานล้อ 2,610 มิลลิเมตร
Toyota C-HR : 4,360 x 1,795 x 1,565 มิลลิเมตร / ฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร
Mazda CX-3 : 4,275 x 1,765 x 1,550 มิลลิเมตร / ฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร
MG ZS : 4,314 x 1,809 x 1,652 มิลลิเมตร / ฐานล้อ : 2,585 มิลลิเมตร
Nissan Kicks : 4,384 x 1,813 x 1,656 มิลลิเมตร / ฐานล้อ 2,673 มิลลิเมตร
มาทีหลังทำมิติมากว้างกว่าเขาเพื่อน
เรื่องเครื่องยนต์ เดินรอบคงที่ มีแบตเหมือนพลังสำรองไว้เวลาเร่งแซง พอแซงพ้น ก็เก็บไฟต่อ ถ้ายามเดินทางใช้กำลังไม่มาก
สำคัญที่รอบเครื่องคงที่ น่าจะคุมให้ประหยัดได้สุดๆ ในทุกการเคลื่อนไหว ยกเว้นเร็วมากๆจริงๆ
เขาคงคิดมาแล้วที่ความเร็วเดินทางที่ใช้งานประจำ 80-110 น่าจะประหยัดได้สุดๆ
เรื่องอัตราสิ้นเปลือง ถ้าอ้างจากการทดสอบ JC08
ที่มา https://www.carsales.com.au/editorial/details/nissan-note-e-power-2018-review-111177/
2017 Nissan Note e-POWER specs and pricing:
Price: $22,000 approx
Engine: 1.2-litre three-cylinder petrol
Motor: 40kW Electric motor
Battery: 1.5kWh
Fuel: 2.9L/100km (JC08)
CO2: N/A
Safety Rating: N/A
CHR hybrid
ค้นคร่าวๆได้ว่า มาตรฐาน JC08 ได้อัตราสิ้นเปลือง 30-31 กม/ลิตร
Note E-power 2017
มาตรฐาน JC08 ได้อัตราสิ้นเปลือง 33.33-34.48 กม/ลิตร
Kick E-power
ตามเวบนอกบอกว่า เป็น e-power ที่พัฒนาให้ดีขึ้น อาจจะประหยัดได้มากขึ้นกว่ารุ่นเดิม
เคยจดจ้องจะเช่า Note e-power ที่ญี่ปุ่น แต่ค่าตัวก็แพงกว่า Note ปกติ ไม่น้อยกว่า 40 % เลยไม่เอาดีกว่า
ถ้าได้ขับ น่าจะได้รับรู้ถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดี
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
เห็นด้วยครับ ดูท่าจะไม่ประหยัดแล้วทั้งน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่มีทั้งเครื่องน้ำมันและเครื่องไฟฟ้า+แบต ไปเอารถรุ่นอื่นดีกว่า
-
อัตราเร่งดี ประหยัดแค่ 20 โลลิตรก็น่าสนแล้ว
-
เทียบ
บน india
ล่าง usa
โห... ดูจากรูป spy shot ในบ้านเราแล้ว น่าจะโดนตัวล่าง usa น่ะสิครับ
ตัวสั้น ตูดสั้น กว่าตัว India พอควรเลย
ผมว่าบอดี้เท่ากันนะครับ
แต่เหมือนรูปล่างมันจอดเอียงนิดๆ
ก้นเอียงไปทางด้านขวาหน่อยๆ
เลยดูสั้นกว่า
-
ถ่ายตอนอยู่ที่ Shenyang ครับ
ต่อให้เป็นตัวไมเนอร์ ก็ไม่ต่างกันเท่าไรมากนัก เพราะไฟท้ายเหมือนเดิม ไม่ได้เปลื่ยนเยอะเหมือน Note
ต่างกันแค่เรื่องกันชนท้าย กันชนหน้า กระจังหน้า ไฟเลี้ยวกระจกมองข้าง และของจุกจิกอื่นๆเล็กน้อยเท่านั้น
ด้านหลัง
(https://uppic.cc/d/66z4)
ด้านหน้า
(https://uppic.cc/d/66zZ)[/url]
ด้านข้าง
(https://uppic.cc/d/66zk)[/url]
-
Tesla 3 เฉลี่ย 6km/1kw
ตัวนี้อาจได้ถึง 7-8km/1kw จากน้ำหนักตัว และ ขนาดมอเตอร์ขับเคลื่อน
ขนาด 1.5kw อาจวิ่งได้ถึง 10-12km และชาร์จกลับคงราวๆ 1 นาที
ถ้าวิ่งที่
40km/h ชาร์จกลับทุกๆ 15 นาที
60km/h ชาร์จกลับทุกๆ 10 นาที
80km/h ชาร์จกลับทุกๆ 7.5 นาที
100km/h ชาร์จกลับทุกๆ 6 นาที
120km/h ชาร์จกลับทุกๆ 5 นาที
ก็ไม่ได้ถี่อะไรมากสำหรับผมนะครับ
-
บางท่านยังเข้าใจ e power ผิดๆหรือเปล่าครับ แบตน่าจะไว้ใช้แค่ส่วนนึงเท่านั้น หลักๆมันเหมือนรถจักรดีเซลไฟฟ้า ที่เครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แล้วปล่อยกระแสลงมอเตอร์ขับล้อ เท่านั้นแต่มีแบตเตอรี่ไว้เก็บไฟก่อนจ่ายลงมอเตอร์ ทำให้ใช้เครื่องยนต์เล็กๆ ได้กำลังไฟพอเพียง ที่สำคัญเหมือนรถไฟ คือแรงบิดตอนต้นจะดีเหมือนรถไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ประมาณว่ามาไว แต่หมดไว เชื่อว่าความเร็วสูงสุดได้ไม่เร็วมาก มาไทยคนไม่ชอบอีก บ้านเราอยากได้ไฮบริดแต่เอาแรง ไม่สนใจค่ามลพิษใดๆ ทั้งที่ญี่ปุ่นรถพวกนี้จะช่วยเรื่องมลพิษได้เยอะกว่าเครื่องเทอร์โบ
-
เคยลองขับ serena e power ก็โอเคนะครับ ประหยัด แต่ไม่ได้แรงมากมาย อาจจะไม่ถูกใจสายซิ่ง รอบมาเลย ตามแบบมอเตอร์ไฟฟ้า ครับ
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
เห็นด้วยครับ ดูท่าจะไม่ประหยัดแล้วทั้งน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่มีทั้งเครื่องน้ำมันและเครื่องไฟฟ้า+แบต ไปเอารถรุ่นอื่นดีกว่า
ตรงนี้ อยากได้ข้อมูลว่ารอบเรื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการชาร์จ จะอยู่ที่รอบเครื่องเท่าไหร่ ยังไง เช่น รอบ1000 ชาร์จได้กระแสเท่าไหร่ 2000 ได้กระแสเท่าไหร่ แบต1.5kwชาร์จเต็ม ใช้เวลากี่นาทีที่รอบเท่าไหร่ อะไรแบบนี้อ่ะครับ พอจะหาข้อมูลจากไหนได้มั่งครับ
ตอนที่ดูในคลิป 0-100 ในยูทูป เหมือนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางดังขึ้นมาแรงพอควร(เพื่อชาร์จแบต) ฟังแล้วไม่น่าจะใช่รอบเดินเบา
-
สวยครับ ถ้าราคาต่ำกว่าคุ่แข่งหน่อยผมว่าขายดี :-*
-
รอราคา กับออปชั่น
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
เห็นด้วยครับ ดูท่าจะไม่ประหยัดแล้วทั้งน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่มีทั้งเครื่องน้ำมันและเครื่องไฟฟ้า+แบต ไปเอารถรุ่นอื่นดีกว่า
ตรงนี้ อยากได้ข้อมูลว่ารอบเรื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการชาร์จ จะอยู่ที่รอบเครื่องเท่าไหร่ ยังไง เช่น รอบ1000 ชาร์จได้กระแสเท่าไหร่ 2000 ได้กระแสเท่าไหร่ แบต1.5kwชาร์จเต็ม ใช้เวลากี่นาทีที่รอบเท่าไหร่ อะไรแบบนี้อ่ะครับ พอจะหาข้อมูลจากไหนได้มั่งครับ
ตอนที่ดูในคลิป 0-100 ในยูทูป เหมือนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางดังขึ้นมาแรงพอควร(เพื่อชาร์จแบต) ฟังแล้วไม่น่าจะใช่รอบเดินเบา
ผมเดานะ ไดชาร์ตของมัน ไม่น่าจะ ใช้แบบรถยนต์ทั่วไป ถ้าแบบนั้น ยังไงก็ชาร์ตไม่ทัน ดังนั้น ไดชาร์ต น่าจะทั้งโวลท์-แอมป์สูงกว่ารถทั่ว ๆ ไป ถึงจะชาร์ตได้ทัน
-
E power ไม่ใช่ Hybrid หรือ ไฟฟ้าล้วนแบบที่หลายคนเข้าใจนะครับ ถ้าให้เห็นภาพก็หัวรถจักรของรถไฟครับ ดีเซล+ไฟฟ้า ปั่นไฟให้ไฟฟ้าขับเคลื่อน
ยิ่งเหยียบมากก็ใช้น้ำมันมาก
-
รอมันออกมาก่อนค่อยตัดสินกันดีกว่า จะเหยียบเมฆ นั่งทางในไป เดาผิด เดาถูก ไม่เห็นจะได้อะไรซักอย่างจากnissan เลย
-
ผมเข้าใจว่า E power มันเอาแบตไปขับเคลื่อนรถนะครับ ตัวเครื่องยนตร์แค่เอามาปั่นไฟเข้าแบตอีกที ซึ่งในความคิดผมเปลืองค่าบำรุงรักษาทั้งสองระบบสู้เอาเป็นแบบ Full EV ไปเลยดีกว่า
-
ดูเหมือนจะมีคนไม่เข้าใจ E-Power อยู่นะ..
ผมมองว่า E-Power มันทำให้รถออกมาประหยัด
มันดีกว่า EV สำหรับประเทศที่สถานีชาร์จยังไม่ทั่วถึง
มันดีกว่ารถเครื่อยนต์เพียว ในเรื่องสมรรถนะการเร่งที่ดีกว่า
การดูแลระบบอาจจะเยอะขึ้น ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์
แต่เครื่องยนต์ใช้แค่รอบเดินเบา การบำรังรักษาอาจจะน้อยกว่า ระยะเสื่อมก็นานกว่า
คร่าวๆมันก็มีทั้งดีและด้อย แต่ผมมองว่ามันมีดีมากกว่าด้อย ของแบบนี้อยู่ที่จะถูกจริตใครมากกว่า
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอาจจะดีกว่ารถเครื่องยนต์เพียวๆในการใช้งานทางไกลไม่เยอะ
แต่ถ้าเป็นรถติดในกรุงเทพ น่าจะเห็นผลต่างกันเยอะพอสมควร
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
เห็นด้วยครับ ดูท่าจะไม่ประหยัดแล้วทั้งน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่มีทั้งเครื่องน้ำมันและเครื่องไฟฟ้า+แบต ไปเอารถรุ่นอื่นดีกว่า
ตรงนี้ อยากได้ข้อมูลว่ารอบเรื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการชาร์จ จะอยู่ที่รอบเครื่องเท่าไหร่ ยังไง เช่น รอบ1000 ชาร์จได้กระแสเท่าไหร่ 2000 ได้กระแสเท่าไหร่ แบต1.5kwชาร์จเต็ม ใช้เวลากี่นาทีที่รอบเท่าไหร่ อะไรแบบนี้อ่ะครับ พอจะหาข้อมูลจากไหนได้มั่งครับ
ตอนที่ดูในคลิป 0-100 ในยูทูป เหมือนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางดังขึ้นมาแรงพอควร(เพื่อชาร์จแบต) ฟังแล้วไม่น่าจะใช่รอบเดินเบา
ผมเดานะ ไดชาร์ตของมัน ไม่น่าจะ ใช้แบบรถยนต์ทั่วไป ถ้าแบบนั้น ยังไงก็ชาร์ตไม่ทัน ดังนั้น ไดชาร์ต น่าจะทั้งโวลท์-แอมป์สูงกว่ารถทั่ว ๆ ไป ถึงจะชาร์ตได้ทัน
มันก็เหมือนรถไฮบริดทุกวันนี้แหละครับ แบตก็ประมาณนีัแหละ หรือน้อยกว่านี้อีก มันก็ประหยัดนะ ต่อให้เหยียบตลอดมันก็ยังประหยัดกว่ารถใช้น้ำมันอยู่ดี ถ้ารถติดๆจะยิ่งประหยัดกว่ารถสันดาปปกติเยอะเลย. แค่หลักการทำงานมันต่างกัน แต่หลักๆมันก็คือรถไฮบริดนัันละ.
-
ขออนุญาตถามแบบคนไม่รู้นะครับ
ระบบ e-POWER ใน Nissan kicks กับ Accord Hybrid มันแตกต่างกันยังไงบ้างครับ?????
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
เห็นด้วยครับ ดูท่าจะไม่ประหยัดแล้วทั้งน้ำมันและค่าบำรุงรักษาที่มีทั้งเครื่องน้ำมันและเครื่องไฟฟ้า+แบต ไปเอารถรุ่นอื่นดีกว่า
ตรงนี้ อยากได้ข้อมูลว่ารอบเรื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการชาร์จ จะอยู่ที่รอบเครื่องเท่าไหร่ ยังไง เช่น รอบ1000 ชาร์จได้กระแสเท่าไหร่ 2000 ได้กระแสเท่าไหร่ แบต1.5kwชาร์จเต็ม ใช้เวลากี่นาทีที่รอบเท่าไหร่ อะไรแบบนี้อ่ะครับ พอจะหาข้อมูลจากไหนได้มั่งครับ
ตอนที่ดูในคลิป 0-100 ในยูทูป เหมือนจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางดังขึ้นมาแรงพอควร(เพื่อชาร์จแบต) ฟังแล้วไม่น่าจะใช่รอบเดินเบา
ผมเดานะ ไดชาร์ตของมัน ไม่น่าจะ ใช้แบบรถยนต์ทั่วไป ถ้าแบบนั้น ยังไงก็ชาร์ตไม่ทัน ดังนั้น ไดชาร์ต น่าจะทั้งโวลท์-แอมป์สูงกว่ารถทั่ว ๆ ไป ถึงจะชาร์ตได้ทัน
มันก็เหมือนรถไฮบริดทุกวันนี้แหละครับ แบตก็ประมาณนีัแหละ หรือน้อยกว่านี้อีก มันก็ประหยัดนะ ต่อให้เหยียบตลอดมันก็ยังประหยัดกว่ารถใช้น้ำมันอยู่ดี ถ้ารถติดๆจะยิ่งประหยัดกว่ารถสันดาปปกติเยอะเลย. แค่หลักการทำงานมันต่างกัน แต่หลักๆมันก็คือรถไฮบริดนัันละ.
เห็นด้วยครับ เหมือนพวก CHR, Altis Hybrid นั้นแหละ พวกนั้นยังประหยัด 20กว่า KM/L ได้เลย
แต่ค่อนข้างอืดเพราะใช้ Motor ตัวเล็กกว่า E-power ตั้งเยอะ แบตก็พอๆกัน
Spec เบนซิน 1.8 Hybrid
รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง DOHC Atkinson cycle 16 วาล์ว VVT-i ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แรงดันไฟฟ้า 600 โวลต์ ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบ Nickel metal Hydride (Ni-MH) แรงดันไฟฟ้า 201.6 โวลต์ 28 Modules 6.5 Ah =1.31kWh
แต่ E-Power ของ Nissan "มอเตอร์ไฟฟ้า EM57 High Power พละกำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 3,008 10,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 254 นิวตันเมตร ที่ 0 3,008 รอบ/นาที" แบตเตอรี่ 1.5 kWh
แรงกว่าพวก 1.8 Hybrid แน่ๆ ความประหยัดคงไม่ต่างกับของ Toyota มากหรอกครับ
ผมว่า 0-100 น่าจะกิน 1.5T ของ Civic ได้ด้วย แต่พอเกิน 150 Km/H คงโดนรถน้ำมันแซงหายไปเลย
เพราะน่าจะ Lock ความเร็ว ขนาดรถ EV แท้ๆอย่าง Kona,Leaf ยังขับเกิน 160 KM/H ไม่ได้
-
ขออนุญาตถามแบบคนไม่รู้นะครับ
ระบบ e-POWER ใน Nissan kicks กับ Accord Hybrid มันแตกต่างกันยังไงบ้างครับ?????
ต่างตรงที่ Accord Hybrid ที่ความเร็วคงที่ จะมีการตัดต่อกำลังให้เครื่องยนต์มาหมุนล้อแทน Motor ด้วย
แต่ E-Power ใช้เครื่องยนต์เพื่อปั่นไฟอย่างเดียว ใช้ Motor ในการปั่นล้อเท่านั้น ไม่ว่าใช้ความเร็วเท่าไร
-
ขออนุญาตถามแบบคนไม่รู้นะครับ
ระบบ e-POWER ใน Nissan kicks กับ Accord Hybrid มันแตกต่างกันยังไงบ้างครับ?????
Accord เครื่องยนต์จะต่อกับเพลาขับด้วย แต่หลักๆจะใช้เครื่องปั่นไฟ ไม่จับเพลา ปั่นไฟไปแบตลงมอเตอร์ ใช้มอเตอร์วิ่งเป็นหลัก แต่ถ้าต้องการอัตราเร่ง คลัชจะจับกับเครื่องยนต์ ช่วยกัน 2 แรง ทั้งเครื่องและแบต และเวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงๆ เครื่องจะทำงานอย่างเดียว ทั้งหมุนเพลา ทั้งปั่นไฟ ดังนั้นเครื่องของ accord จะมีแค่เกียร์เดียวครับ เอาไว้ใช้ตอนวิ่งความเร็วสูง ระยะทางไกลๆ
แต่ของ Camry ทั้งเครื่องและมอเตอร์จะทำงานผสานกันตลอดเวลา ขับเคลื่อนไปพร้อมๆกันทั้งคู่ แบตเยอะ มอเตอร์ทำงาน เครื่องดับ เหยียบแรงหน่อย เครื่องก็ติดมาทำงานช่วยกัน ความเร็วสูงก็ปั่นทั้งคู่ ความเร็วสูงนิ่งๆ เผลอๆมีแต่แบตอย่างเดียว พอแบตลด ก็เครื่องติดมาช่วย
เอาตรงๆ Toyota เนี่ยเรียกว่า Hybrid ที่สุดแล้วครับ
-
E-power ไม่ใช่ Hybrid
ที่เข้าใจมาตลอดคือ
E-power มีเครื่องยนตร์ใว้ปั่นไฟ(เป็น Generator)เพื่อชาร์จแบตฯเท่านั้น ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว
Hybrid เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนตร์ที่ใช้ขับเคลื่อนและมอเตอร์ไฟฟ้า
ทั้งสองแบบยังคงใช้เชื้อเพลิงหลักจากน้ำมันเหมือนกัน
ถ้าผิดก็ขออภัย ;)
-
E-power ไม่ใช่ Hybrid
ที่เข้าใจมาตลอดคือ
E-power มีเครื่องยนตร์ใว้ปั่นไฟ(เป็น Generator)เพื่อชาร์จแบตฯเท่านั้น ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว
Hybrid เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนตร์ที่ใช้ขับเคลื่อนและมอเตอร์ไฟฟ้า
ทั้งสองแบบยังคงใช้เชื้อเพลิงหลักจากน้ำมันเหมือนกัน
ถ้าผิดก็ขออภัย ;)
ตามนั้นเลยคับ ดังนั้นฟิลลิ่งการขับ ออกตัว อัตราเร่งจะเหมือนกับ BEV
พูดง่ายๆคือรถเติมน้ำมันที่ขับฟิล BEV
-
กลัวราคามาแบบ leaf คราวนี้จะได้กลับบ้านเก่ายกตระกูลเลย
-
e-POWER เคยสร้างความฮือฮาในบอร์ดเมื่อ Note เปิดตัวใหม่ๆ
มาตอนนี้จะยังฮือฮาอยู่มั้ยนะ ;D
-
เรื่องราคาผมว่านิสสันคงทำมาให้น่าสนใจอยู่แล้วครับ (โดยเฉพาะตัวเริ่มต้น(ผมว่ามีว้าวแน่ๆ(เหมือนอัลเมร่า)) อีกอย่าง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ด้วยนะครับ ตัวนี้ก้เป็นอีก1ความหวังของนิสสันไทย ที่จะมากอบกู้สถานการณ์
-
แนวคิดน่าสนใจดีครับ ถ้าไปรถไฟฟ้าก็มีปัญหาการชาร์จ ตัวนี้ไม่ต้องกังวลเพราะเติมน้ำมันได้ตามปกติ รอดูรอเชียร์ครับ
-
ผมเข้าใจว่า E power มันเอาแบตไปขับเคลื่อนรถนะครับ ตัวเครื่องยนตร์แค่เอามาปั่นไฟเข้าแบตอีกที ซึ่งในความคิดผมเปลืองค่าบำรุงรักษาทั้งสองระบบสู้เอาเป็นแบบ Full EV ไปเลยดีกว่า
แต่ full ev ทุกวันนี้ยังไม่สะดวกวิ่งทางไกลเท่าไรครับ ไหนจะลำบากคนอยู่คอนโดอีก ผมว่า e-power ก็เป็นทางเลือกให้คนกลุ่มนี้ได้นะครับ
-
epower ก็ดูมีความน่าใช้อยู่บ้าง แต่ติดที่ kicks มันไม่ค่อยสวย ถ้าวางในโมเดลอื่นๆ อาจน่าสนใจกว่านี้
-
ผมเข้าใจว่า E power มันเอาแบตไปขับเคลื่อนรถนะครับ ตัวเครื่องยนตร์แค่เอามาปั่นไฟเข้าแบตอีกที ซึ่งในความคิดผมเปลืองค่าบำรุงรักษาทั้งสองระบบสู้เอาเป็นแบบ Full EV ไปเลยดีกว่า
แต่ full ev ทุกวันนี้ยังไม่สะดวกวิ่งทางไกลเท่าไรครับ ไหนจะลำบากคนอยู่คอนโดอีก ผมว่า e-power ก็เป็นทางเลือกให้คนกลุ่มนี้ได้นะครับ
ใช่ครับทางไกลอาจจะยังไม่สะดวกต้องรอ Tesla มาลงทุนเครื่องชาร์ทและ รัฐบาลไทยแก้กฎระเบียบเรื่องไฟกระแสตรงก่อนไม่งั้นชาร์ทกันานแน่ ส่วนคนที่อยู่คอนโดนี้ลำบากจริงครับต้องพึงสถานีชาร์ทอย่างเดียวเลย Full EV อาจจะไม่เหมาะเท่าไหรแต่เดี๋ยวนี้มีหลายคอนโดเริ่มติดที่ชาร์ทในจอดรถแล้วนะครับ
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
ขอขยายความนะครับ ไหนอุส่าห์ ทำเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งตั้งชื่อว่า e-power นะผมไม่ได้คาดหวังแค่พลังกำลังที่อัตราเร่งจะดีขึ้น
แต่จริงๆที่หวังมากกว่าคือ การประหยัดพลังงานนะครับ
ขนาดพวก ลด turbo downsizing อย่าง mazda2, City, Almera นี่ก็ 23-30 km/l
ผมก็คาดหวังว่า kick e-power ใช้งานจริงจะได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างน้อย 22-25 km/l และถ้าได้มากกว่า 25km/l ก็ยิ่งดี โดยที่จะยังปล่อยค่า CO2 ควรต่ำกว่าพวก EcoCar ด้วยก็จะดี นั้นคือที่ผมคาดหวัง ไม่ใช้บอกได้ 22 km/l แต่ต้องขับทางไกลแบบนั้นถึงจะได้อ่ะ แถมยังมีการปล่อย CO2 สูงกว่า EcoCar อีก
และที้บอกว่าแบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่เพื่อ เครื่องยนต์แค่หยุดพัก 3-4 นาทีก็มาทำงานใหมอีกครั้งแบบนี้ตลอด ผมคาดหวังว่าให้เครื่องยนต์พักไปสัก 10-15 นาทีไปเลยก็จะดีเลยไหม
เพราะนั้นหมายถึงต่อระยะทางการเดินทางการใช้พลังงานเชื้อเพลิงน่าจะน้อยลงกว่าไหมเพราะไม่ต้องออกแรงเพื่อ restart เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ปล่อยๆซึ่งทุกครั้งที่ restart คือการต้องออกแรงมากในการเริ่มต้นให้เครื่องยนต์ทำงาน
และการมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh สมมติรถต้องขึ้นเขาทางชันยาวๆสัก4-5 km ก็สามารถขึ้นได้ถึงสบายโดยไม่จำเป็นต้อง restart ใหม่เลยก็ได้
ถ้าออกมาการประหยัดไม่ได้ดีกว่า EcoCar turbo downsizing แบบนี้จะไปเลือกใช้ e-power ทำไมเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหนือกว่าชัดเจน
-
E-power ไม่ใช่ Hybrid
ที่เข้าใจมาตลอดคือ
E-power มีเครื่องยนตร์ใว้ปั่นไฟ(เป็น Generator)เพื่อชาร์จแบตฯเท่านั้น ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว
Hybrid เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนตร์ที่ใช้ขับเคลื่อนและมอเตอร์ไฟฟ้า
ทั้งสองแบบยังคงใช้เชื้อเพลิงหลักจากน้ำมันเหมือนกัน
ถ้าผิดก็ขออภัย ;)
ตามนั้นเลยคับ ดังนั้นฟิลลิ่งการขับ ออกตัว อัตราเร่งจะเหมือนกับ BEV
พูดง่ายๆคือรถเติมน้ำมันที่ขับฟิล BEV
ถ้าจะนับE-powerว่าเป็นรถไฟฟ้าแบบ REEVก็ได้นะครับ
หรือถ้าจะบอกว่าเป็นรถไฮบริดก็ได้อีก เพราะมันก็คือ Series hybrid ดีๆนี่เอง
-
รอชมตัวจริงครับ ถ้าราคาน่าคบจะสะกิดเมียให้ถอยครับ ;)
-
ผมเข้าใจว่า E power มันเอาแบตไปขับเคลื่อนรถนะครับ ตัวเครื่องยนตร์แค่เอามาปั่นไฟเข้าแบตอีกที ซึ่งในความคิดผมเปลืองค่าบำรุงรักษาทั้งสองระบบสู้เอาเป็นแบบ Full EV ไปเลยดีกว่า
แต่ full ev ทุกวันนี้ยังไม่สะดวกวิ่งทางไกลเท่าไรครับ ไหนจะลำบากคนอยู่คอนโดอีก ผมว่า e-power ก็เป็นทางเลือกให้คนกลุ่มนี้ได้นะครับ
ใช่ครับทางไกลอาจจะยังไม่สะดวกต้องรอ Tesla มาลงทุนเครื่องชาร์ทและ รัฐบาลไทยแก้กฎระเบียบเรื่องไฟกระแสตรงก่อนไม่งั้นชาร์ทกันานแน่ ส่วนคนที่อยู่คอนโดนี้ลำบากจริงครับต้องพึงสถานีชาร์ทอย่างเดียวเลย Full EV อาจจะไม่เหมาะเท่าไหรแต่เดี๋ยวนี้มีหลายคอนโดเริ่มติดที่ชาร์ทในจอดรถแล้วนะครับ
ระบบไฟฟ้าบ้านเรายังไม่ได้รองรับสถานีชาร์จขนาดใหญ่ครับ ผู้ว่ากฟภ.ยังปรารภกับผมเลยว่าต่อไปถ้ารถEVมีจำนวนมากจะเกิดปัญหาเรื่องแรงดันไฟฟ้ากระเพื่อมมากเพราะปัจจุบันหม้อแปลงไฟฟ้าในระบบจำหน่ายยังไม่สามารถปรับแรงดันไฟฟ้าขณะมีโหลดได้ ถ้าจะเปลี่ยนก็จะกระทบกับการลงทุนอย่างมหาศาล ในทำนองกลับกัน กฟน.ก็เริ่มจะทำSandboxเพื่อศึกษาผลกระทบกรณีที่บางหมู่บ้านมีการติดตั้งSolar rooftopเป็นจำนวนมากทำให้แรงดันไฟฟ้าในระบบสูงผิดปกติขณะที่่ไม่มีคนใช้ไฟตอนกลางวัน
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
ขอขยายความนะครับ ไหนอุส่าห์ ทำเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งตั้งชื่อว่า e-power นะผมไม่ได้คาดหวังแค่พลังกำลังที่อัตราเร่งจะดีขึ้น
แต่จริงๆที่หวังมากกว่าคือ การประหยัดพลังงานนะครับ
ขนาดพวก ลด turbo downsizing อย่าง mazda2, City, Almera นี่ก็ 23-30 km/l
ผมก็คาดหวังว่า kick e-power ใช้งานจริงจะได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างน้อย 22-25 km/l และถ้าได้มากกว่า 25km/l ก็ยิ่งดี โดยที่จะยังปล่อยค่า CO2 ควรต่ำกว่าพวก EcoCar ด้วยก็จะดี นั้นคือที่ผมคาดหวัง ไม่ใช้บอกได้ 22 km/l แต่ต้องขับทางไกลแบบนั้นถึงจะได้อ่ะ แถมยังมีการปล่อย CO2 สูงกว่า EcoCar อีก
และที้บอกว่าแบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่เพื่อ เครื่องยนต์แค่หยุดพัก 3-4 นาทีก็มาทำงานใหมอีกครั้งแบบนี้ตลอด ผมคาดหวังว่าให้เครื่องยนต์พักไปสัก 10-15 นาทีไปเลยก็จะดีเลยไหม
เพราะนั้นหมายถึงต่อระยะทางการเดินทางการใช้พลังงานเชื้อเพลิงน่าจะน้อยลงกว่าไหมเพราะไม่ต้องออกแรงเพื่อ restart เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ปล่อยๆซึ่งทุกครั้งที่ restart คือการต้องออกแรงมากในการเริ่มต้นให้เครื่องยนต์ทำงาน
และการมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh สมมติรถต้องขึ้นเขาทางชันยาวๆสัก4-5 km ก็สามารถขึ้นได้ถึงสบายโดยไม่จำเป็นต้อง restart ใหม่เลยก็ได้
ถ้าออกมาการประหยัดไม่ได้ดีกว่า EcoCar turbo downsizing แบบนี้จะไปเลือกใช้ e-power ทำไมเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหนือกว่าชัดเจน
ไม่ทราบได้เคยใช้รถ Hybrid บ้างหรือเปล่าครับ ที่เคลมว่าทำได้ถึง 20กว่าKm/l นี้ทำได้จริง
ในแทบจะทุกกรณีที่ขับรถเลยนะครับ ไม่ว่าจะเข้าสีลม สาธร สุขุมวิทช่วงที่รถติดหนักๆหรือฝนตก
หรือแม้แต่ออกทางไกลวิ่งต่างจังหวัด และปล่อยมลพิษตามที่แจ้งได้จริงๆ
และมีการนำพลังงานกลับไปใช้ได้ขณะที่เบรค หรือชลอรถ
ในขณะที่ รถที่คุณบอก EcoCar อย่าง mazda2, City, Almera ว่าได้ 23-30 km/l
ในกรณีที่ขับตามแบบที่ผมบอกข้างบนคือเจอรถติดทุกวันที่สีลม สาธร สุขุมวิท
ไม่สามารถทำได้จริงๆเลยนะครับ แล้วเพราะเรื่องมลพิษที่ไม่ให้เกินของ Ecocar phase2
ทำให้ต้องมี idle start/stop ถ้าใครเคยได้ใช้ก็ต้องบอกว่าอยากจะปิดมันทิ้งด้วยซ้ำ
เพราะมันทำให้แอร์ไม่เย็น และรำคาญที่เครื่องติดดับๆบ่อย และเป็นผลให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นด้วย
ยังไม่รวมถึงรถอย่าง Ecocar ที่ยังมีระบบเกียร์อยู่ ไม่ว่าจะเป็น CVT หรือ แบบปกติ
ถ้าเจอการใช้งานที่รถติดหนักๆ บ่อยๆทุกวัน เกียร์มีโอกาสกลับบ้านเก่าได้เร็ว อย่างที่หลายๆคนเจอกันอีก
ผมว่าแบตขนาด 1.4-1.8kWh กำลังดีแล้วสำหรับรถแบบนี้ เพราะ Motor ไฟฟ้าก็ไม่ได้แรงมากๆ
เหมือนรถ EV หรือพวก PHEV และมีกำลังเพียงพอที่ใช้ในเมืองและทางไกล เพราะยังไง
อัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 8.5 วิ แน่ๆ ก็คือเหลือๆ ถึงความเร็วปลายจะไม่เยอะมากแต่ก็เพียงพอกับ
การเดินทางไกลในบ้านเรา ที่ตอนนี้ถนนออกต่างจังหวัดเส้นไหนก็มีระบบตรวจจับความเร็วทั้งนั้น
และราคาก็สมเหตุสมผล ถ้าเสียแล้วต้องเปลี่ยนขึ้นมา ในขณะที่แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh
ลองคิดถึงราคาตอนมันเสียดูดิครับ หรือจริงๆก็เป็นเพราะ e-power ไม่ใช่รถแบบ PHEV
ที่สามารถเสียบชาร์จไฟได้ คิดดูสิว่าต้องติดเครื่องนานขนาดไหนเพื่อ เพื่อชาร์จแบตขนาด 10kWh
ให้ได้ถึง60-80% มันก็ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันอยู่ดี แถมมลพิษสูงอีก
-
เปิดขายช่วงเดือนไหนครับปีนี้ มีรถรอเปิดตัวใหม่ให้เลือกเยอะเลย
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
ขอขยายความนะครับ ไหนอุส่าห์ ทำเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งตั้งชื่อว่า e-power นะผมไม่ได้คาดหวังแค่พลังกำลังที่อัตราเร่งจะดีขึ้น
แต่จริงๆที่หวังมากกว่าคือ การประหยัดพลังงานนะครับ
ขนาดพวก ลด turbo downsizing อย่าง mazda2, City, Almera นี่ก็ 23-30 km/l
ผมก็คาดหวังว่า kick e-power ใช้งานจริงจะได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างน้อย 22-25 km/l และถ้าได้มากกว่า 25km/l ก็ยิ่งดี โดยที่จะยังปล่อยค่า CO2 ควรต่ำกว่าพวก EcoCar ด้วยก็จะดี นั้นคือที่ผมคาดหวัง ไม่ใช้บอกได้ 22 km/l แต่ต้องขับทางไกลแบบนั้นถึงจะได้อ่ะ แถมยังมีการปล่อย CO2 สูงกว่า EcoCar อีก
และที้บอกว่าแบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่เพื่อ เครื่องยนต์แค่หยุดพัก 3-4 นาทีก็มาทำงานใหมอีกครั้งแบบนี้ตลอด ผมคาดหวังว่าให้เครื่องยนต์พักไปสัก 10-15 นาทีไปเลยก็จะดีเลยไหม
เพราะนั้นหมายถึงต่อระยะทางการเดินทางการใช้พลังงานเชื้อเพลิงน่าจะน้อยลงกว่าไหมเพราะไม่ต้องออกแรงเพื่อ restart เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ปล่อยๆซึ่งทุกครั้งที่ restart คือการต้องออกแรงมากในการเริ่มต้นให้เครื่องยนต์ทำงาน
และการมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh สมมติรถต้องขึ้นเขาทางชันยาวๆสัก4-5 km ก็สามารถขึ้นได้ถึงสบายโดยไม่จำเป็นต้อง restart ใหม่เลยก็ได้
ถ้าออกมาการประหยัดไม่ได้ดีกว่า EcoCar turbo downsizing แบบนี้จะไปเลือกใช้ e-power ทำไมเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหนือกว่าชัดเจน
ไม่ทราบได้เคยใช้รถ Hybrid บ้างหรือเปล่าครับ ที่เคลมว่าทำได้ถึง 20กว่าKm/l นี้ทำได้จริง
ในแทบจะทุกกรณีที่ขับรถเลยนะครับ ไม่ว่าจะเข้าสีลม สาธร สุขุมวิทช่วงที่รถติดหนักๆหรือฝนตก
หรือแม้แต่ออกทางไกลวิ่งต่างจังหวัด และปล่อยมลพิษตามที่แจ้งได้จริงๆ
และมีการนำพลังงานกลับไปใช้ได้ขณะที่เบรค หรือชลอรถ
ในขณะที่ รถที่คุณบอก EcoCar อย่าง mazda2, City, Almera ว่าได้ 23-30 km/l
ในกรณีที่ขับตามแบบที่ผมบอกข้างบนคือเจอรถติดทุกวันที่สีลม สาธร สุขุมวิท
ไม่สามารถทำได้จริงๆเลยนะครับ แล้วเพราะเรื่องมลพิษที่ไม่ให้เกินของ Ecocar phase2
ทำให้ต้องมี idle start/stop ถ้าใครเคยได้ใช้ก็ต้องบอกว่าอยากจะปิดมันทิ้งด้วยซ้ำ
เพราะมันทำให้แอร์ไม่เย็น และรำคาญที่เครื่องติดดับๆบ่อย และเป็นผลให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นด้วย
ยังไม่รวมถึงรถอย่าง Ecocar ที่ยังมีระบบเกียร์อยู่ ไม่ว่าจะเป็น CVT หรือ แบบปกติ
ถ้าเจอการใช้งานที่รถติดหนักๆ บ่อยๆทุกวัน เกียร์มีโอกาสกลับบ้านเก่าได้เร็ว อย่างที่หลายๆคนเจอกันอีก
ผมว่าแบตขนาด 1.4-1.8kWh กำลังดีแล้วสำหรับรถแบบนี้ เพราะ Motor ไฟฟ้าก็ไม่ได้แรงมากๆ
เหมือนรถ EV หรือพวก PHEV และมีกำลังเพียงพอที่ใช้ในเมืองและทางไกล เพราะยังไง
อัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 8.5 วิ แน่ๆ ก็คือเหลือๆ ถึงความเร็วปลายจะไม่เยอะมากแต่ก็เพียงพอกับ
การเดินทางไกลในบ้านเรา ที่ตอนนี้ถนนออกต่างจังหวัดเส้นไหนก็มีระบบตรวจจับความเร็วทั้งนั้น
และราคาก็สมเหตุสมผล ถ้าเสียแล้วต้องเปลี่ยนขึ้นมา ในขณะที่แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh
ลองคิดถึงราคาตอนมันเสียดูดิครับ หรือจริงๆก็เป็นเพราะ e-power ไม่ใช่รถแบบ PHEV
ที่สามารถเสียบชาร์จไฟได้ คิดดูสิว่าต้องติดเครื่องนานขนาดไหนเพื่อ เพื่อชาร์จแบตขนาด 10kWh
ให้ได้ถึง60-80% มันก็ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันอยู่ดี แถมมลพิษสูงอีก
จากประสบการณ์ใช่รถ eco car, hybrid, plug in hybrid มา เห็นด้วยกับคุณ TORA ทั้งหมดเลยครับ แต่ขอเสริมเรื่องตัวเลขสิ้นเปลืองของ nissan march vs ct200h หน่อยนะครับ nissan march กินเยอะกว่าทุกสถาณการณ์ประมาณ 4-6 กิโลลิตร
และแบตเตอรี่ 5-10 kwh ใช้พลังงานชาร์จเข้านานมากกว่าจะเต็ม 330e ผมวิ่งเกือบชั่วโมงยังชาร์จไฟเข้าได้ไม่เต็ม 7kwh เลยครับ และกินน้ำมันเพื่อไปปั่นไฟมากกกก ดังนั้นถ้าไม่สามารถเสียบปลักไฟชาร์จได้ แบตประมาณ 1.5kwh ถือว่าเพียงพอต่อระบบนี้ครับ
-
กลัวราคามาแบบ leaf คราวนี้จะได้กลับบ้านเก่ายกตระกูลเลย
ใช่เลยครับ ถ้าทำราคาต่ำล้านได้(หรือสัก 9 แสน) ได้ ก็จะดี
แต่ถ้าไปถึง1.2 ล้าน ก็เอาไปขายที่อื่นเหอะ
เทียบกับอัลติสไฮบริด หรือ CHR ราคามันไม่ควรจะเกิน 2 ตัวนี้เลย
แต่ kick (รุ่นปกติ)วางระดับตัวรถและราคาไว้ ต่ำกว่า CHR ด้วย
ถ้าขายแพงเกินCHR ก็ไม่คุ้มค่าที่จะซื้อ
-
กลัวราคามาแบบ leaf คราวนี้จะได้กลับบ้านเก่ายกตระกูลเลย
ใช่เลยครับ ถ้าทำราคาต่ำล้านได้(หรือสัก 9 แสน) ได้ ก็จะดี
แต่ถ้าไปถึง1.2 ล้าน ก็เอาไปขายที่อื่นเหอะ
เทียบกับอัลติสไฮบริด หรือ CHR ราคามันไม่ควรจะเกิน 2 ตัวนี้เลย
แต่ kick (รุ่นปกติ)วางระดับตัวรถและราคาไว้ ต่ำกว่า CHR ด้วย
ถ้าขายแพงเกินCHR ก็ไม่คุ้มค่าที่จะซื้อ
ขนาดอัลติสดั้มพ์ราคารุ่นล่างไฮบริดมา 9 แสน ยังแป๊กเลย
-
ราคา การจัดสรร option และวัสดุภายใน ถ้าทำมาดีๆ น่าจะเกิดได้แน่ คนรอ Nissan จะกลับมาเยอะอยู่นะ
-
ถ้าบอกว่า e-power คือรถไฟฟ้า ที่แบกเครื่องปั่นไฟ ติดไปด้วยน่าจะเข้าใจง่ายขึ้น
แบตมีหน้าที่แค่ควบคุมไฟให้คงที่ เติมไฟในส่วนที่เจนจ่ายไม่ไหว และ เก็บไฟเมื่อเบรค คืนพลังงานกลับมา
จึงไม่จำเป้นต้องมีขนาดใหญ่ ขอให้เพียงพอ ยกเว้นขับที่ความเร็วสุงจะไม่ช่วยอะไร ดังนั้นรุ่นนี้เดาว่าน่าจะมีการคุมความเร็ว
การออกแบบๆ นี้ แม้เครื่องยนต์จะเป้นตัวเดียวกับรถไฮบริด แต่สภาวะการทำงานที่ราบเรียบกว่า
ย่อยให้การประหยัดไฟที่ดีกว่าครับ...........................
ปล. ในเรื่องต้นทุนราคา เทียบยาก เนื่องจากเครื่องยนต์อัลติสใหญ่กว่า แต่ขนาดมอเตอร์ e-power ใหญ่กว่า
เดาว่าราคาคงหนีกันไม่มาก
-
e-power มันดีตรงไม่มีเกียร์ นี่แหละ
กระทืบไม่ต้องกลัว cvt พัง
-
แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
ขอขยายเพิ่มอีกนิด ผมไม่รู้ผมต้องเขียนให้ชัดขนาดไหน ที่ผมเทียบกับรถ EcoCar นี้คือรถรุ่นใหม่ที่เป็นเครื่อง Downsizing แล้ว หรือเครื่องมีประสิทธิภาพที่จูนจนประหยัดอย่าง มาสด้า 2 ที่คนหลายคนขับกันได้ถึง 30 km/l ไม่ได้พูดถึงรถ EcoCar เฟสหนึ่งเครื่องโบราณอย่างพวก Almera ตัวเก่า หรือ อย่าง March ตัวเก่า
จริงผมเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน อย่างที่ผมใช้ Ciaz ผมก็ขับได้เฉลี่ยราวๆ 17.5 km/l ผมขับมาราวๆ เกือบ 2 เหมือนkmก็เติมน้ำมันไป ราวเกือบจะ 3หมื่นเอง
และที่อธิบายว่าทำไมถึงให้แบตใหญ่หน่อยก็อย่างอธิบายนะ เพื่อจะได้ให้ไม่ต้อง restart เครื่องยนต์บ่อยๆนะ และอีกอย่าง รอบในการที่ต้อง charge แบตเตอรี่ได้ไม่ต้องบ่อยๆด้วย เพราะเหมือนมือถือ ยิ่งเราชาร์ตบ่อยๆเท่าไร แบตเตอรี่ก็จะเสื่อมเร็วเท่านั้น
และโดยปกติการทำงานของแตเตอรี่ที่ดีควรทำงานในช่วงอุณหภูมิประมาณ 15-25 เซลเซียส ถ้าต่ำ 0 หรืออุณหภูมิเกิน 35 ก็จะไม่ค่อยดี
และบ้านเราอุณหภูมิบนท้องถนนเฉลี่ยเท่าไรครับผมว่าจะเกิน 35 องศานะครับ
ฉะนั้นการให้พยายาม recharge บ่อยๆที่อุณหภูมืสูงขนาดนั้นย่อมมีผลต่อค่าความเสื่อมของแบตเตอรี่เร็วขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน
ผมว่าคนออกแบบเขาลืมนึกถึงข้อมูลพวกนี้ไปด้วยนะ ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ต้องโดยชาร์ตบ่อยๆ และต้องอยู่ในที่อุณหภูมิบนท้องถนนแบบบั้นเราแบเตเตอรี่คงได้เสื้อมเร็วขึ้นแน่นอนครับ เพราะแบตเตอรี่ในระบบ e-power นี้ต้องถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน
และคงมีคนถ่ามว่าแล้วพวก HEV ไม่เจอปัญหาเหรอ ผมว่าเขาก็คงเจอเหมือนกัน แต่รถราคามันสูงอยู่แล้วนะครับ จะต้องมาเปลี่ยนแบตกันก็คงเรื่องธรรมดานะ และมันก็มีเครื่องยนต์อยู่แล้ว แค่ดูประหยัดน้อยลงเท่านั้น คงไม่รู้สึกเท่าไร
แต่ในแง่ของ e-power หรือ REEV ผมว่าคนใช้ส่วนใหญ่คงเน้นการประหยัดหรือต้นทุนราคาเป็นหลัก ต่างกับพวก HEV ก่อนหน้านี้ที่ราคาสูงและให้ประหยัดเพิ่มอีกหน่อยก็ดี แต่ราคารถจะต่างกันและคนใช้จะ sensitive กับค่าใช้จ่ายต่างกันนะครับ คือมันคนละตลาดอ่ะ
และอีกอย่างเพื่อประสิทธิภาพกรณีสมมติต้องขับขึ้นเขาระยะทางยาวๆหน่อยจะได้มีกำลังไม่จะขับรถขึ้นดอยสุเทพ หรือ ดอยอ่างขางต้องมาชาร์ตเครื่องตลอดเส้นทาง ทำให้เกิดมลพิษบนดอยอีกเยอะแยะ
และอีกอย่างผมว่าราคาแบตเตอรี EV มีแต่ละลดลงทุกๆปีนะ อย่างเมื่อปี 2019 เขาก็ว่าราคาแบตเตอรี EV ก็ลงมาถึง 145$ ต่อ kWh แล้ว
สมมติอีกถ้าผมใช้แบตเอรี่สัก 5 kWh เนือ้จากก้อนมันใหญ่อาจจะต้อง recharge ทุกระะยะการวิ่ง 25-30 km สมมติแบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมลงเหลือ ประสิทธิภาพ 60% เมื่อถูกชารต์ไปสัก 5000 รอบนะครับนั้น นั้คือก็วิ่งไปสัก 100000 km อย่างผมใช้รถปีละ 10000 km นั้นคือผมใช้รถสัก 10 ปีต่อยมาเปลี่ยนเจ้าแบตเตอรี EV และสมมติแบตเอตรี่อีก 10 ปีราคาลดลงเหลือ 70 $ kWh นั้นคือ 5 kWh ก็แค่ 350$ หรือราว 10,000 บาทผมก็ยินดีจ่ายนะเะพราะ 10 ปีแล้ว
แต่ในขณะที่ ถ้าแบตขาด 1.5 kwh มันวิ่งได้ 8 km ก็ต้องชาร์ตแล้ว ถ้าสมมติคิดที่รอบการขาร์ต 5000 รอบ นะนั้นคือแค่ราว 40,000 km ประสิทธิภาพอาจเหลือแค่ 60% และในมุมผมคือต้องเปลี่ยนแล้ว ถ้าคนใช้เยอะอาจแค่ 2 ปีนะ และวันนั้นราคาแบตเตอรี่อาจอยู่ราว 115$ / kWh นั้นคือ 2 ก็ต้องเปลี่ยนแบตแล้วไม่แพงครับราว 3,500 แต่อีก 2 ปีก็ต้องเปลี่ยนอีก 3,000 และอีก 2 ปี เปลี่ยนอีก 2500 และอีก 2ปี เปลี่ยนอีก 2000 และอีก 2ปีเปลี่ยนอีก 1500 แต่นั้นคือค่าของนะครับ ไม่รวบค่าเสียเวลาและค่าแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วยระหว่างทาง รวมถึงประสิทธิภาพโดยรวม ของการมีแบตก้อนใหญ่กว่าที่จะดีกว่ามากๆ รวมถึงการที่อาจจะเกิดมลพิษจากการต้องไปฉุดให้เครื่องยนต์เดิมเครื่องที่น้อยครั้งกว่า นั้นคือเกิดมลพิษที่น้อยกว่าด้วย และรวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานในช่วงที่จำเป็นต้องใช้กำล้งอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าอย่างเช่นช่วงที่ขึ้นเขา หรือมีการแบกน้ำหนักที่มากขึ้นด้วย หรืออาจมีจังหวะที่ต้องเร่งแซงที่ไกลกว่าเช่นเร่งแซงขบวนที่ยาวๆรถพ่วง 3-4 คันได้อย่างสบายใจ แบบนี้เป็นต้นนะครับ
ส่วนตัวนะคือ ถ้าการปะรหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้ดีกว่า mazda 2 ได้นะ ก็ยากที่จะโน้มน้เาวให้คนประโยชน์ที่จะต้องใช้รถอย่าง e-power ยกเว้นจะขายถูกกว่านะ ซึ่งผมคิดว่า nissan ไม่น่าจะกล้าทำราคาแบบนั้น เพราะ อย่าลืมคุณกำลังจะเปิดสิ่งใหม่ ที่คนกลุ่มใหม่จะไปใช้อาจต้องเสี่ยงนะ เพราะ การขาดบุคลากร หรือความคุ้นเคยของคนในสังคมนะครับ
ส่วนตัวนะผมชอบแนวคิด e-power ครับมันเหมาะกับเมืองไทย
แต่จริงอยากใ้ห้ BOI บอกเลยจะลดภาษีให้เท่ารถ EV ไปเลยถ้าปล่อยมละิษต่ำ และเครื่องยนต์รองรับพวก น้ำมันพืชได้ดีเช่นรองรับพวก E85, B100 อะไรแบบนี้อ่ะ เะพราะในยามสินค้าเกษตรราคาตกต่ำในข่วงใด ก็ให้รัฐให้คนมาใช้พลังงานพวกนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเรามีรถที่มีเครื่องยนต์รองรับนะครับ และมันง่ายกว่าอยู่แล้ว เพราะถ้าสามารถทำให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบค่อนข้างคงที่นะ การจะออกแบบเครื่องยนต์พวกนี้น่าจะง่ายขึ้นด้วยหรือเปล่านะ แต่เพียงแต่ตอนี้ทางรัฐยังไ่ม่ได้มีมาตรการตรงนี้นะ ก็หวังในอนาคตจะเล็งเห็นกันนะ
แต่ถ้าสมมติ ด้วยตัว e-power ราคาไม่ได้ดีกว่ารถอย่างของ mazda2 หรือ แนว almera ใหม่ของ nissan เอง ก็ต้องถามนะ
ทำไมคนต้องมาใช้ e-power ในเมื่อต้องเสี่ยงกับที่ส่ิ่งที่ไม่คุ้นเคย เช่นเกิดไปเจอปัญหาในต่างจังหวัด หรือบนดอย และรถไม่ได้ประหยัดหรือถูกกว่าเห็นๆ ภามหน่อยทำไมต้องซื้อ e-power ใช้ครับ ซื้อรถอย่าง mazda2 หรือ almera เครื่อง 1.0 ก็พอไหมครับ
นี้คือจุดที่พูดว่าทำไมควรจะทำให้แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นไปเลยนะครับอักนิดนะครับ
ขอขยายความนะครับ ไหนอุส่าห์ ทำเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งตั้งชื่อว่า e-power นะผมไม่ได้คาดหวังแค่พลังกำลังที่อัตราเร่งจะดีขึ้น
แต่จริงๆที่หวังมากกว่าคือ การประหยัดพลังงานนะครับ
ขนาดพวก ลด turbo downsizing อย่าง mazda2, City, Almera นี่ก็ 23-30 km/l
ผมก็คาดหวังว่า kick e-power ใช้งานจริงจะได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างน้อย 22-25 km/l และถ้าได้มากกว่า 25km/l ก็ยิ่งดี โดยที่จะยังปล่อยค่า CO2 ควรต่ำกว่าพวก EcoCar ด้วยก็จะดี นั้นคือที่ผมคาดหวัง ไม่ใช้บอกได้ 22 km/l แต่ต้องขับทางไกลแบบนั้นถึงจะได้อ่ะ แถมยังมีการปล่อย CO2 สูงกว่า EcoCar อีก
และที้บอกว่าแบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่เพื่อ เครื่องยนต์แค่หยุดพัก 3-4 นาทีก็มาทำงานใหมอีกครั้งแบบนี้ตลอด ผมคาดหวังว่าให้เครื่องยนต์พักไปสัก 10-15 นาทีไปเลยก็จะดีเลยไหม
เพราะนั้นหมายถึงต่อระยะทางการเดินทางการใช้พลังงานเชื้อเพลิงน่าจะน้อยลงกว่าไหมเพราะไม่ต้องออกแรงเพื่อ restart เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ปล่อยๆซึ่งทุกครั้งที่ restart คือการต้องออกแรงมากในการเริ่มต้นให้เครื่องยนต์ทำงาน
และการมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh สมมติรถต้องขึ้นเขาทางชันยาวๆสัก4-5 km ก็สามารถขึ้นได้ถึงสบายโดยไม่จำเป็นต้อง restart ใหม่เลยก็ได้
ถ้าออกมาการประหยัดไม่ได้ดีกว่า EcoCar turbo downsizing แบบนี้จะไปเลือกใช้ e-power ทำไมเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหนือกว่าชัดเจน
-
ครั้งนี้ไม่รุ้ขายฝันอีกรึเปล่า
จำได้แม่นคราวที่แล้ว note e power โชคดีไม่ไม่คิดซื้อนิสสันเลยไม่รอ นึกไม่ออกถ้าคนรอ คงเสียใจ
ขอบคุณที่ รอออออออ เวลาพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมกับนิสสันที่ตะใช้พูดกับลูกค้าเค้าจริงๆ
-
ระบบ e-power ก็ว่ากันไป
GC 205นี่ สูงดีทีเดียว
ขอ option กลุ่มSafety ครบๆ
ถุงลม abs ebd ba trc vscเป็นอย่างน้อย
ตอน JUKE option กลุ่ม Safetyน้อยมาก จนไม่กล้าซื้อ
-
เอาประสบการ์ณ เท่าที่ทดลองเช่าขับ Note e power เมื่อปีก่อน ที่ฮอกไกโด ทางขึ้นเขาเป็นส่วนใหญ่
ผมว่าอัตราเร่งช่วงแรกดีมากๆครับ ไม่ต้องรอ เทียบกับ 1800 ที่ใช้อยู่นะครับ
เรื่องประหยัดน้ำมัน วิ่งจริง ขึ้นเขา ลงเขา ในเมือง ระยะทางจบทริปประมาณ 1000 กว่ากิโล ความเร็วสูงสุดเฉลี่ย 90 -100 มี110 บางก็ช่วงสั้นๆ ไม่ใช่รถทำไม่ได้แต่กลัวผิดกฏหมายเพราะปกติที่ญี่ปุ่น 90 ก็เร็วแล้วครับ กล้องเพียบ เฉลี่ยเติม 2รอบ ได้ประมาณ 21 กิโลลิตร ครับ ผมว่าประหยัดมากนะครับถ้าเทียบกับรุ่นอื่น ปกติที่บอกกับขับจริง ขับจริงกินน้ำมันมากกว่าอยู่แล้ว เติมครั้งวิ่งได้ ประมาณ 650-700 โล
ทึ่สังเกตเครื่องเงียบมากๆ ตอนจอดแล้วจะถอยรถงี้บางทีไม่ได้ยินเสียงเลยถ้าตอนใช้แบตนะ ถ้าทั่วไปเสียงเครื่องไม่ดังเลย แต่ จะดังตอนขึ้นทางชันมากๆ และแบตเหลือน้อยๆ เหมือนต้องปั่นไฟ ให้มอเตอร์เพิ่ม แต่ก็เกิดแบบนั้นน้อยมาก
แรงขึ้นเขานี้เหลือมาก ส่วนลงเขาชันๆ เปลี่ยนเกียร์ให้ปั่นไฟเพิ่มนี่ แทบไม่ต้องเหยียบเบรคเลย
option อื่น เช่นไฟหน้าต่ำ อัตโนมัติเมื่อรถสวนก็ชอบ
สรุปชอบมาก จนรอซื้อครับถ้าไม่แพงมาก จริงๆอยากได้ EV มากแต่แพงอะและหาที่ชาร์ทลำบาก 555
ต้องลองครับแล้วจะชอบครับ ไม่เหมือน ยี่ห้ออื่น
-
เอาประสบการ์ณ เท่าที่ทดลองเช่าขับ Note e power เมื่อปีก่อน ที่ฮอกไกโด ทางขึ้นเขาเป็นส่วนใหญ่
ผมว่าอัตราเร่งช่วงแรกดีมากๆครับ ไม่ต้องรอ เทียบกับ 1800 ที่ใช้อยู่นะครับ
เรื่องประหยัดน้ำมัน วิ่งจริง ขึ้นเขา ลงเขา ในเมือง ระยะทางจบทริปประมาณ 1000 กว่ากิโล ความเร็วสูงสุดเฉลี่ย 90 -100 มี110 บางก็ช่วงสั้นๆ ไม่ใช่รถทำไม่ได้แต่กลัวผิดกฏหมายเพราะปกติที่ญี่ปุ่น 90 ก็เร็วแล้วครับ กล้องเพียบ เฉลี่ยเติม 2รอบ ได้ประมาณ 21 กิโลลิตร ครับ ผมว่าประหยัดมากนะครับถ้าเทียบกับรุ่นอื่น ปกติที่บอกกับขับจริง ขับจริงกินน้ำมันมากกว่าอยู่แล้ว เติมครั้งวิ่งได้ ประมาณ 650-700 โล
ทึ่สังเกตเครื่องเงียบมากๆ ตอนจอดแล้วจะถอยรถงี้บางทีไม่ได้ยินเสียงเลยถ้าตอนใช้แบตนะ ถ้าทั่วไปเสียงเครื่องไม่ดังเลย แต่ จะดังตอนขึ้นทางชันมากๆ และแบตเหลือน้อยๆ เหมือนต้องปั่นไฟ ให้มอเตอร์เพิ่ม แต่ก็เกิดแบบนั้นน้อยมาก
แรงขึ้นเขานี้เหลือมาก ส่วนลงเขาชันๆ เปลี่ยนเกียร์ให้ปั่นไฟเพิ่มนี่ แทบไม่ต้องเหยียบเบรคเลย
option อื่น เช่นไฟหน้าต่ำ อัตโนมัติเมื่อรถสวนก็ชอบ
สรุปชอบมาก จนรอซื้อครับถ้าไม่แพงมาก จริงๆอยากได้ EV มากแต่แพงอะและหาที่ชาร์ทลำบาก 555
ต้องลองครับแล้วจะชอบครับ ไม่เหมือน ยี่ห้ออื่น
ว่าจะหาโอกาสเช่าขับ e-power แต่ก็ไม่มีโอกาสซะที เพราะคนเกินที่นั่งรถน่ะครับ
ขอแชร์ ปสก เช่า corolla fielder wagon hybrid ที่ okinawa ครับ
นั่งกันทั้งหมด 4 คน พร้อมกระเป๋าเดินทาง 4 ใบ และ handbag อีก 4 ก็ร่วมๆ
100 กก.ได้
ใข้ 5 วันครับ วิ่งไปราวๆ 550 กม. เติมน้ำมันกลับครั้งเดียวตอนคืนรถ 24 ลิตร
ก็ตกราวๆ 22.9 กม/ลิตร นะครับ อย่างนี้ ถือว่าประหยัดกว่าแล้วล่ะ เพราะตัวรถ
Fielder นี่หนักกว่า note แน่ๆ แล้วยังแบกคนกับของตลอดทริปอีก ตัวรถคันที่ผมได้มา
ก็ไม่ใหม่อ่ะครับ วิ่งไปสี่หมื่นกว่ากม. และดูโทรมอยู่ แถมวิ่งแบบติดไฟแดงเยอะ
ขึ้นเขา ลงเขาตลอดอ่ะครับ รถไม่จัดว่าแรงนะ แต่ก็ไม่อืด อันนี้คิดว่า e-power
น่าจะให้อัตราเร่งดีกว่า ส่วนพวก lane watch , Auto high beam ก็ดีอยู่ครับ
ปล. ถ้าใครไปเที่ยว okinawa แนะนำรถเช่าของ OTS นะครับ ราคาดีเลยล่ะ
-
เอาประสบการ์ณ เท่าที่ทดลองเช่าขับ Note e power เมื่อปีก่อน ที่ฮอกไกโด ทางขึ้นเขาเป็นส่วนใหญ่
ผมว่าอัตราเร่งช่วงแรกดีมากๆครับ ไม่ต้องรอ เทียบกับ 1800 ที่ใช้อยู่นะครับ
เรื่องประหยัดน้ำมัน วิ่งจริง ขึ้นเขา ลงเขา ในเมือง ระยะทางจบทริปประมาณ 1000 กว่ากิโล ความเร็วสูงสุดเฉลี่ย 90 -100 มี110 บางก็ช่วงสั้นๆ ไม่ใช่รถทำไม่ได้แต่กลัวผิดกฏหมายเพราะปกติที่ญี่ปุ่น 90 ก็เร็วแล้วครับ กล้องเพียบ เฉลี่ยเติม 2รอบ ได้ประมาณ 21 กิโลลิตร ครับ ผมว่าประหยัดมากนะครับถ้าเทียบกับรุ่นอื่น ปกติที่บอกกับขับจริง ขับจริงกินน้ำมันมากกว่าอยู่แล้ว เติมครั้งวิ่งได้ ประมาณ 650-700 โล
ทึ่สังเกตเครื่องเงียบมากๆ ตอนจอดแล้วจะถอยรถงี้บางทีไม่ได้ยินเสียงเลยถ้าตอนใช้แบตนะ ถ้าทั่วไปเสียงเครื่องไม่ดังเลย แต่ จะดังตอนขึ้นทางชันมากๆ และแบตเหลือน้อยๆ เหมือนต้องปั่นไฟ ให้มอเตอร์เพิ่ม แต่ก็เกิดแบบนั้นน้อยมาก
แรงขึ้นเขานี้เหลือมาก ส่วนลงเขาชันๆ เปลี่ยนเกียร์ให้ปั่นไฟเพิ่มนี่ แทบไม่ต้องเหยียบเบรคเลย
option อื่น เช่นไฟหน้าต่ำ อัตโนมัติเมื่อรถสวนก็ชอบ
สรุปชอบมาก จนรอซื้อครับถ้าไม่แพงมาก จริงๆอยากได้ EV มากแต่แพงอะและหาที่ชาร์ทลำบาก 555
ต้องลองครับแล้วจะชอบครับ ไม่เหมือน ยี่ห้ออื่น
เล็ง note e-power เหมือนกันตอนเช่าที่ญี่ปุ่น แต่ราคาค่าเช่าก็สูงกว่า Note ธรรมดาอยู่ 25-30%(เช่า 5 วัน ส่วนต่าง 2200 บาท) ก็เลยไม่ได้เช่าเสียที ได้แต่ mazda2, Note, Swift, Noah, Serena (ถ้าคนเยอะ 5-6 คน)
Note ธรรมดา เช่าขับ 1200 กม. วิ่งในเมือง นอกเมือง บนด่วนมี 80-120-130 แล้วแต่จังหวะ ตอนเร็วๆก็ตามๆเจ้าถิ่นไป เป็นช่วงๆ แต่วิ่งนำเดี่ยวๆ ไม่ได้
สรุปรวมๆกินราว 15-16 กม/ลิตร ครับ เทียบกับค่าเช่า 9 พันกว่า กับ 1.1 หมื่นบาท น่าจะคุ้มกว่าลงทุนเช่า e-power เพื่อจะเอาประหยัดน้ำมัน
น้ำมัน regular ลิตรละ 126-130 เยน ตก 38 บาท/ลิตร (บ้านเรามี E20 ราคาน่ารักกว่าเยอะครับ)
E-power 22 กม/ลิตร = 1.73 บาท/กม
Note ธรรมดา 15 กม/ลิตร = 2.53 บาท/กม
วิ่ง 1200 กม ส่วนต่าง กม ละ 0.8 บาท/กม. = 964 บาท
สรุป Note e-power
- ค่าเช่าแพงกว่า 2200 บาท(เช่า 5 วัน)
- จ่ายค่าน้ำมันถูกกว่า 964-1000บาท (วิ่งระยะทาง 1200 กม.)
รวมๆ e-power ค่าใช้จ่ายมากกว่า ราว 1000 บาท (5 วัน/1200 กม.)