Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Thetree ที่ มีนาคม 27, 2020, 11:53:36
-
เท่าที่ข้อมูลที่ผมทราบ e-power มันจะเติมน้ำมันโดยใช้น้ำมันปั่นไฟ ใช้ไหมครับ โดย epower มีส่วนประกอบเหมือน hybrid เลย ทั้งเครื่องปั่นไฟ inverter battery แต่ต่างกันที่ e-power 1. แบตเล็กกว่า 2.ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเลย ไม่ผสมกันแบบ hybrid
สำหรับด้านความทนทานและการบำรุงรักษา e-power มันดีกว่า hybrid และ รถยนต์ ev ไหมครับในด้านนี้ แล้่วมันมีจุดเด่นอะไรอย่างอื่นอีกบ้าง ถ้าหากเทียบทั้ง รถสันดาป รถ ev และ hybrid
ตอนนี้กำลังสนใจ all new nissan xtrail gen ถัดไปอยู่ครับ เห็นว่าจะมาในเครื่อง e-power และเห็นรีวิวพี่จิมมี่ note e-power แล้วรู้สึกว่าระบบมันค่อนข้างประหยัด+แรงครับ
https://www.youtube.com/watch?v=EYVZ8dix36I
spyshot xtrail : https://www.motor1.com/news/405702/next-gen-nissan-rogue-prototypes/
-
1. e-power ใช้ motor high power เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้ motor lower power มีข้อดีในแง่ของแรงบิดรอบต่ำ แต่รอบสูงก็จะกินพอสมควร
2. e-power ใช้ motor ขับเคลื่อนอย่างเดียว เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้เครื่องยนต์ + motor ในแง่ของความ smooth ในการตัดต่อส่งกำลัง e-power น่าจะดีกว่า รวมทั้งการไม่มีเกียร์ด้วย
3. e-power ระบบน่าจะมีชิ้นส่วนน้อยกว่า hybrid ทั่วไป จึงน่าจะบำรุงรักษาได้ง่ายกว่า
-
1. e-power ใช้ motor high power เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้ motor lower power มีข้อดีในแง่ของแรงบิดรอบต่ำ แต่รอบสูงก็จะกินพอสมควร
2. e-power ใช้ motor ขับเคลื่อนอย่างเดียว เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้เครื่องยนต์ + motor ในแง่ของความ smooth ในการตัดต่อส่งกำลัง e-power น่าจะดีกว่า รวมทั้งการไม่มีเกียร์ด้วย
3. e-power ระบบน่าจะมีชิ้นส่วนน้อยกว่า hybrid ทั่วไป จึงน่าจะบำรุงรักษาได้ง่ายกว่า
- hybrid ยังมีเกียร์ e-power ไม่มี จึงไม่ต้องดูแล มีค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาเกียร์
- hybrid ยังใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน จึงต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า ค่าดูแลซ่อมบำรุง ย่อมมากกว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็ก
- e-power นน.รวมตัวรถ น่าจะเบากว่า
-
e-power เป็นไฮบริดแบบอนุกรม ระบบการทำงานเหมือนหัวจักรรถไฟชนิด ดีเซล-ไฟฟ้า ของ รฟท
ที่พี่ ๆ น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
แต่ถ้าให้นึกออกง่ายๆ การทำงานมันเหมือนกับ Accord Hybrid โดยตัดโหมดที่ให้เครื่องยนต์เชื่อมต่อ
เข้ากับล้อโดยตรงที่ความเร็วสูงออก
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ e-power เป็น subset ของ Honda I-MMD Hybrid
ถ้าเราขับ Accord hybrid ที่ความเร็วต่ำ - กลาง ตลอดทริป มันก็คือ e-power นี่แหละ
กลับกันคือ ที่ความเร็วสูง
Accord Hybrid จะตัดให้เครื่องยนต์ขับล้อตรง ๆ
แต่ถ้าเป็น e-power มอเตอร์ยังต้องหมุนล้อต่อไป เครื่องยนต์ก็ต้องพยายามปั่นไฟ
ไปเลี้ยงมอเตอร์ให้พอ ก็เท่านั้นเองครับ
การบำรุงรักษา เหมือนรถไฮบริดทั่วไป เพราะทั้งเครื่องยนต์, มอเตอร์, อินเวอร์เตอร์ และอุปกรณ์อื่น ๆ มากันครบ
ส่วนประสิทธิภาพ เดี๋ยวมาดูกันตอนที่รถจริงลงตลาดดีกว่าครับ
-
ก็ไม่มีอะไรครับ Chevrolet bolt ก็ใช้แบบนี้เมื่อเจนแรกๆ หรือเอาจริงหัวรถจักรดีเซล-ไฟฟ้า นั่นแหละที่เห็นๆอยู่
-
1. e-power ใช้ motor high power เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้ motor lower power มีข้อดีในแง่ของแรงบิดรอบต่ำ แต่รอบสูงก็จะกินพอสมควร
2. e-power ใช้ motor ขับเคลื่อนอย่างเดียว เมื่อเทียบกับ hybrid ทั่วไป จะใช้เครื่องยนต์ + motor ในแง่ของความ smooth ในการตัดต่อส่งกำลัง e-power น่าจะดีกว่า รวมทั้งการไม่มีเกียร์ด้วย
3. e-power ระบบน่าจะมีชิ้นส่วนน้อยกว่า hybrid ทั่วไป จึงน่าจะบำรุงรักษาได้ง่ายกว่า
- hybrid ยังมีเกียร์ e-power ไม่มี จึงไม่ต้องดูแล มีค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาเกียร์
- hybrid ยังใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน จึงต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า ค่าดูแลซ่อมบำรุง ย่อมมากกว่าเครื่องยนต์ขนาดเล็ก
- e-power นน.รวมตัวรถ น่าจะเบากว่า
- hybrid มีทั้งแบบ motor ใหญ่ แรงบิดเยอะ และ motor เล็ก แรงบิดค่อนข้างน้อย เทียบง่ายๆ Accord 184PS/315NM (เยอะกว่าเครื่องยนต์) กับ Camry 88PS/202NM(น้อยกว่าเครื่องยนต์) ก็ได้ครับ
- hybrid มีทั้งแบบ ใช้ motor ขับเคลื่อน 100% หรือ EV Mode หรือขับเคลื่อนด้วยกันแบบ Hybrid หรือเครื่องยนต์ทำงาน 100% แต่...มีตัวอย่างเช่น Accord Hybrid ที่เครื่องยนต์ทำงานเป็นเครื่องปั่นไฟเท่านั้นในบางช่าง บางสถาณการณ์ บางการขับขี่ ซึ่งหลักการเหมือน e-Power ครับ (ยังไม่รวมพวก PHEV อีกนะ)
- hybrid มีทั้งแบบมีเกียร์ หรือ direct drive ลงล้อไม่ผ่านเกียร์ เช่นเดียวกับ e-power หรือ มีทั้ังแบบทำงานร่วมของเครื่องยนต์+มอเตอร์ -> ผ่านเกียร์ ลงล้ออีกที หรือ เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า แล้วให้ motor ขับเคลื่อนล้อหลังโดยเฉพาะ แยกอิสระจากกันก็มี
ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า Hybrid ควรจะระบุด้วยว่า Hybrid ของรถอะไร ยี่ห้อไหน แบบไหน ด้วยครับ เพราะมันเยอะ มีหลายแบบ หลายการทำงาน และแต่ละค่ายก็อาจจะมีหลักการทำงานทั้งเหมือนกันและไม่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องค่าบำรุงรักษา hybrid และ e-Power ผมว่าไม่ต่างกันเลย มี เครื่องยนต์ ,motor, generator, inverter , battery และระบบไฟฟ้าคุม เพราะถามว่า อะไรที่ e-Power ไม่มีในรถ hybrid ทั่วไป ที่เห็นชัดๆ เลยคือ เกียร์ E-CVT แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องดูและอะไรพิเศษ ยกเว้นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ซึ่งก็ไม่ได้แพง นอกนั้นผมว่าพอๆ กันหมด
-
ข้อดีผมว่าได้เรื่องอัตราเร่ง เหมือนรถไฟฟ้าเลย.
แต่ข้อเสีย. ความเร็วปลายก็ต่ำกว่ารถ hybrid รุ่นอื่นๆ
และขอเดาว่าไม่ได้ประหยัดกว่ารถ hybrid ของโตโยต้าหรือฮอนด้าหรอก. อันหรอกต้องรอดูคันจริง ผมแค่เดาไว้ก่อน
-
ถ้าต้องเลือกระหว่าง E-Power กับ Hybrid
ผมเลือก E-Power ครับ..
แบตลูกเล็กกว่า อนาคตค่าบำรุงรักษาจุดนี้จะน้อยกว่า
-
เหมาะสำหรับคนอยากได้รถ ev ไว้ใช้ในเมือง แต่ราคารถ ev แพงเกินไปและไม่สะดวกชาร์จ แบบนี้ e power ตอบโจทย์ แต่ต้องรับข้อเสียให้ได้ด้วย ความเร็วสูงยังสู้ bev ไม่ได้ด้วยซ้ำเพราะแบตเล็ก การเร่งและวิ่งความเร็วสูงกินแบตแยอะ แยอะขนาดที่แบตหมดเครื่องปั่นไฟต้องเข้ามาทำหน้าที่ปั่น แต่ถ้าปั่นไม่พอจ่ายมอเตอร์ก็ต้องตัดแรงจากมอเตอร์ออกเพื่อให้แบตพอจ่ายไฟให้มอเตอร์ มีปัญหาความเร็วสูงแน่นอน หนักกว่า bev ด้วย เหมาะกับแค่ใช้งานในเมืองจริงๆ
-
ผมเคยลองไปเช่า note e-power ขับที่ญี่ปุ่น
ชอบตรงที่เวลาจะเร่งอะไร กดแล้วมันมาทันที ไม่ต้องรอรอบ รอเปลี่ยนเกียร์ใดๆ
ไม่พูดถึง top speed นะครับ ไม่กล้าทำตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น
แต่ขับในเมืองมันเหลือๆ อยู่แล้ว
แต่ก็ยังไม่เข้าใจตรรกะการชาร์จแบตจากเครื่องยนต์
เพราะบางทีจอดติดไฟแดง พอจอดสนิท แบตเกินครึ่ง แต่เครื่องดันติด
พอได้ซัก 3-5 วิ ดับ เป็นบ่อยมากตลอดทริป
แต่ถ้าเทียบ Hybrid จาก Toyota ในระดับรถขนาดใกล้ๆ กันอย่าง Aqua
มันระบบไม่เหมือนกันก็จริง แต่จะหาตัวอื่นมาเทียบก็ไม่มีอีก
ผมว่า e-power แรงกว่าพอสมควรเลยแหละ ประหยัดกว่าด้วย
ในเส้นทางที่เท่าๆ กัน น้ำหนักเท่าๆ กัน
e-power ได้ 21.5 km/l ในขณะที่ Aqua ได้ 19.9 km/l (วัดจากน้ำมันที่เติม/ระยะทางที่วิ่งจริง ไม่ได้ดูจากจอ)
หมายเหตุไว้นิดหนึ่งว่า ขับขี่ความเร็วตามกฎญี่ปุ่นนะครับ แต่ก็มีกดเร่งเอาสนุกเยอะประมาณหนึ่ง
-
คนที่อยากได้อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้า แต่เติมน้ำมันเอา แบตเตอรี่ลูกไม่ใหญ่ ถ้ารับได้กับค่าบำรุงรักษารถไฮบริด ผมว่า e power จะต่ำกว่าด้วยซ้ำ คิดง่ายๆเครื่องเดิมalmera 1.2 ของเดิมอืด แต่เพิ่มระบบe power ไป ทำให้ได้อัตราเร่งที่ดีมากๆ กินน้ำมันเท่าเดิมก็ดีมากแล้ว
-
ถ้าถามถึงความทนทาน คิดว่ายังไม่มีใครตอบได้ครับว่าทนกว่าhybridไหม .. ขึ้นชื่อว่าnissanแล้วด้วย ต้องใช้เวลาพิสูจน์อย่างเดียวเลยครับ
ปล.ย้อนไปดูเคสxtrail hybridก่อนดีกว่าว่าแก้ปัญหาจบไหม
-
ผมกำลังคิดที่จะไปซื้อเครื่องปั่นไฟมาใส่รถอล์ฟอยู่นะ
ไม่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จ ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ฟินเลย
-
ผมเคยลองไปเช่า note e-power ขับที่ญี่ปุ่น
ชอบตรงที่เวลาจะเร่งอะไร กดแล้วมันมาทันที ไม่ต้องรอรอบ รอเปลี่ยนเกียร์ใดๆ
ไม่พูดถึง top speed นะครับ ไม่กล้าทำตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น
แต่ขับในเมืองมันเหลือๆ อยู่แล้ว
แต่ก็ยังไม่เข้าใจตรรกะการชาร์จแบตจากเครื่องยนต์
เพราะบางทีจอดติดไฟแดง พอจอดสนิท แบตเกินครึ่ง แต่เครื่องดันติด
พอได้ซัก 3-5 วิ ดับ เป็นบ่อยมากตลอดทริป
แต่ถ้าเทียบ Hybrid จาก Toyota ในระดับรถขนาดใกล้ๆ กันอย่าง Aqua
มันระบบไม่เหมือนกันก็จริง แต่จะหาตัวอื่นมาเทียบก็ไม่มีอีก
ผมว่า e-power แรงกว่าพอสมควรเลยแหละ ประหยัดกว่าด้วย
ในเส้นทางที่เท่าๆ กัน น้ำหนักเท่าๆ กัน
e-power ได้ 21.5 km/l ในขณะที่ Aqua ได้ 19.9 km/l (วัดจากน้ำมันที่เติม/ระยะทางที่วิ่งจริง ไม่ได้ดูจากจอ)
หมายเหตุไว้นิดหนึ่งว่า ขับขี่ความเร็วตามกฎญี่ปุ่นนะครับ แต่ก็มีกดเร่งเอาสนุกเยอะประมาณหนึ่ง
ความเร็วสูงสุดที่ 155 km/h ครับ
-
เป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการพิสุจน์จริงในไทย เพราะยังไม่มี E power ขายจริงๆได้แต่มโนไป
-
ถ้าถามถึงความทนทาน คิดว่ายังไม่มีใครตอบได้ครับว่าทนกว่าhybridไหม .. ขึ้นชื่อว่าnissanแล้วด้วย ต้องใช้เวลาพิสูจน์อย่างเดียวเลยครับ
ปล.ย้อนไปดูเคสxtrail hybridก่อนดีกว่าว่าแก้ปัญหาจบไหม
คนละเรื่อง คนละแบบ
-
ถ้าถามถึงความทนทาน คิดว่ายังไม่มีใครตอบได้ครับว่าทนกว่าhybridไหม .. ขึ้นชื่อว่าnissanแล้วด้วย ต้องใช้เวลาพิสูจน์อย่างเดียวเลยครับ
ปล.ย้อนไปดูเคสxtrail hybridก่อนดีกว่าว่าแก้ปัญหาจบไหม
คนละเรื่อง คนละแบบ
ใช่ครับ คนละแบบ แต่ผมมองว่าผู้ผลิตเดียวกัน ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาก็คงจะแบบเดียวกัน epowerอาจจะมี หรือไม่มีปัญหาก็ได้อย่างที่ผมบอกไปว่าต้องใช้เวลาพิสูจน์
-
ว่าแต่... เมื่อไหร่มันจะเปิดตัวซะที กับ E-Power เนี่ย
-
ถ้ามีรถตัวจริงออกมาเมื่อไร คงจะหายสงสัยกันหลายคนเลยครับ อย่างน้อยก็ช่วยแก้ปัญหาหาที่ชาร์จไฟไม่ได้ ระหว่างที่รอรถไฟฟ้าล้วนและสถานีกระจายอยู่ทั่วประเทศ