อันนี้ขอเอี่ยวกระทู้ด้วยล่ะกัน เพราะประสบการณ์ตรงจากคุณพ่อ
เปิดอู่ได้ คือเราต้องซ่อมรถเป็นเลยนะ ไม่ใช่ว่าซ่อมพอได้ แล้วเปิด เพราะว่าเราต้องดูแลรถลูกค้าที่ถูกกำหนดเวลา เงินทุนค่าซ่อม กำไรที่ไม่เฉือนเนื้อตัวเอง ยิ่งถ้ามีลูกน้อง ต้องมีเรื่องลูกน้องเข้ามาพ่วงครับ
ถ้าเจอลูกน้องไม่ดี ปกปิด เรามีแต่เสียกับเสีย ถ้าเราไม่เจอจุดปัญหาที่ว่านี่ บางที ลูกน้องพาปล้นก็มีครับ เครื่องมือเนี่ย ตัวถูกขโมยมากๆ อย่าคิดว่าประแจเซ็ทราคาถูกๆ จะไม่มีใครขโมย เอาไปขโมยแล้วขายตามตลาดมืดเนี่ยล่ะ กำไรครับ
(บางทีก็ได้คืนแบบบังเอิญด้วยนะ)
ต้องถามก่อนว่า จะเป็นอู่แบบไหนครับ ซ่อมเครื่อง? ปรับแต่งช่วงล่าง? ตัวถัง? รับงานประกัน? ติดแก๊ส? แต่งรถ?
ถ้าอู่เครื่อง จำเป็นมากๆ ที่จะต้องมีฮ้อยส์ (Hoist) ซึ่งราคาอ่วมได้ครับ แต่มันจำเป็นมากๆ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเอารถขึ้นแม่แรง เอาสามขามาสอดใต้ท้อง แล้วมุดตัวไปอยู่ใต้ท้องรถเล่นนะครับ ที่บ้านมีลูกน้องทำแบบนี้ โดนลงโทษไม่ให้ทำใต้ท้องรถไปสองอาทิตย์ (แต่ไม่ตัดเงินเดือนนะ เพราะสงสารเขา)
ถ้าทำอู่เครื่อง ต้องลุ้นนิดนึงครับว่าเจอลูกน้องฝีมือดีหรือเปล่า? เคยมีประสบการณ์ทำเครื่องพังหรือเปล่า มันสำคัญมากๆ นะครับ เพราะถ้ารู้ว่า เคยทำแบบนี้แล้วมันพัง เขาจะได้ไม่เสี่ยงทำ จะได้รู้ว่าสาเหตุของเครื่องพังเกิดจากอะไร
เครื่องมือทุ่นแรงสารพัดอย่าง จำเป็นมากๆ ครับ และต้องอาศัยคนรู้จักเรื่องเครื่องมือด้วย ไม่งั้นจะโดนฟันราคาแพงได้นะครับ ต้องมีประแจทอร์ค (สำคัญมากๆ เวลาเปิดฝาเครื่อง) เกจ์ฟีลเลอร์ (เอาไว้เว้นระยะวาล์ว ให้พอดีระยะ) บล็อคหัวต่างๆ ประแจ ถาดถ่ายน้ำมันเครื่อง พาราฟีน และที่สำคัญ ต้องสต็อกของเหลวให้ดีครับ
กรณีอู่ซ่อมตัวถัง ทำสี อันนี้เป็นที่เฟื่องฟู เพราะว่ามีงานป้อนเรื่อยๆ ถ้าคุณสังกัดอู่ที่รับประกันภัยเจ้าต่างๆ แต่ต้องมีคนวิ่งประสานงานกับทางประกันให้ดี ไม่งั้นเจ็บหนักแบบตอนสัมพันธ์ประกันภัยครับ (ทุกวันนี้ รายนี้ค้า่งบ้านผมร่วม 7 หลักแล้วแต่ทางโน้นไม่มีเงินจ่ายครับ)
ซ่อมตัวถังต้องมีเครื่องทำตัวถังพร้อมครับ แท่น Jig เอาไว้ดึงตัวถัง สต็อกกระดาษทราย และของจำเป็น และราคาแพงที่สุดของอู่ซ่อมรถคือ ห้องสีครับ อย่าเห็นว่าห้องกิ๊กก๊อกแบบนั้น ราคาถูกๆ นะครับ เจ็ดหลักขึ้นไปเท่านั้น ถ้าคุณอยากรับงานประกัน อู่ซ่อมตัวถังต้องมีห้องพ่นสีทุกอู่ครับ ไม่งั้นโดนปฏิเสธ (เคสที่เห็นชัดง่ายมาก คือ วิริยะประกันภัย เขาจะตรวจห้องสีทุกๆ ปี และเคี่ยวมาก)
ที่ราคาแพง เพราะว่าห้องสีจะต้องสุญญากาศ ต้องมีถังออกซิเจนสำหรับคนมาพ่นสี ต้องเตรียมชุดกันสารพิษเพื่อความปลอดภัย และสำคัญมากคือ ห้องสีต้องสะอาดตลอดเวลา เพราะเวลาพ่นเนื้อสีไป ชิ้นงานต้องสะอาดกริ๊บ ย้ำว่าสะอาดของแท้ ไม่ใช่เอาน้ำล้างๆ ก็จบ เพราะถ้ามีฝุ่นละออง หรืออะไรก็ตามติดบนเนื้อชิ้นงาน สีที่พ่นออกมาจะเละทุกชิ้นงานครับ
เพื่อนผมคนนึง (แถวนี้ล่ะ) เอา W123 คันเก่ง มาซ่อมสี ปรากฏว่าชิ้นงานเละเทะมาก ผิวสีเป็นผิวส้ม!
พอรถที่พ่นสีเสร็จ ต้องประกอบทุกอย่างให้เข้าที่ครับ ไม่ใช่แค่เข้าที่ แต่ต้องถูกต้อง และครบทุกชิ้นครับ ยกเว้นจะประหยัดเวลากรณีไม่ต้องยกเครื่องออก อาจจะเอากระดาษห่อกันผิวสีได้ซึ่งจะประหยัดเวลาทั้งถอด และประกอบครับ
ของที่ต้องสต็อกจะเยอะกว่าอู่เครื่องครับ ไหนจะสี กระดาษทรายเบอร์ต่างๆ กาพ่นสี สีต่างๆ (บางทีไม่ต้องสต็อก แต่เน้นร้านสีส่งกระป๋องมาให้ก็ได้ครับ) ทินเนอร์ทำความสะอาด หน้ากาก และชุดพ่นสี
และอันตรายมากๆ เนื่องจากช่างต้องทำงานกับสารพิษร้ายแรง และเสี่ยงต่อการสูดดมทินเนอร์ ต้องดูแลลูกน้องให้ดีครับ!
กรณีของอู่ซ่อมช่วงล่าง ช่วงล่างจะเป็นอะไรที่ต่อยอดจากซ่อมเครื่องครับ ถ้ามีฮ้อยส์แล้ว คงสะดวกมือขึ้นอีกนิด แต่ถ้ามีเครื่องมือปรับตั้งศูนย์ล้อ คงสบายครับ แต่ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่กับการลงทุน เพราะคนหนีไป Service Centre อย่างบีควิก หรือค็อกพิทอยู่ดีครับ เพราะเขาได้เลือกยางได้ด้วย
ส่วนอู่แต่งรถ / ติดแก๊ส อันนี้จะเป็นอะไรที่ต่อยอดจากการซ่อมเครื่องที่สุดแล้วครับ ต้องมีประาบการณ์ ความพิเรนทร์ ความอยากรู้อยากลอง และที่สำคัญ ความเข้าใจต่อเครื่องยนต์อย่างดีครับ ไม่งั้นแต่งเครื่อง แต่งช่วงล่างไป ใส่อะไรผิดพลาด เดี๋ยวงานก็งอกพอดีครับ
ให้ลองศึกษาประสบการณ์ดูครับ ถ้ามีเพื่อน หรือคนรู้จักมีประสบการณ์ทำอู่ ให้ลองศึกษาดูครับ ทุกวันนี้พ่อผมเป็นเจ้าของอู่จนส่งลูกทุกคนเรียนจบแล้ว (เหลือแต่น้องสาวที่ใกล้ๆ จะจบแล้ว)
นี่มันตอบกระทู้ หรือเขียนบทความเนี่ย ยะ.......ยาวมาก - -"