มาดูข่าวนี้กันดีกว่าครับ
http://www.posttoday.com/business.php?id=65768นิสสันพ้อรัฐเอื้อโตโยต้ามากกว่า
วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552
บิ๊กนิสสัน ประเทศไทย ชี้เดินหน้าอีโคคาร์เต็มสูบ ครวญภาษีอีโคคาร์สูงกว่ารถไฮบริดได้อย่างไร ทั้งที่ต้องลงทุนมหาศาล
นายโทรุ ฮาเซกาวา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะแถลงข่าวรายละเอียดทั้งหมดของโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) อย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้ และยืนยันว่าโครงการดังกล่าวยังเดินหน้าตามแผนการที่วางไว้ทุกประการ ทั้งในเรื่องของจำนวนการผลิตที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กำหนดไว้ที่ 1 แสนคันภายใน 5 ปี ก็ยังคงยืนยันว่าทำได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของค่ายรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่งที่ต้องการปรับลดปริมาณการผลิตจาก 1 แสนคันในปีที่ 5 ลงมาแต่อย่างใด เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ค่ายรถยนต์และรัฐบาลไทยเห็นชอบร่วมกันไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สมควรที่จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรอีกต่อไป
?นิสสันตัดสินใจลงทุนตามข้อกำหนดของบีโอไอ ซึ่งเรามั่นใจว่าเราสามารถทำได้ตามนั้น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรอีก และข้อตกลงทั้งหมดถือว่าจบลงแล้ว ไม่ควรมีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงอีก? นายฮาเซกาวา กล่าว
อย่างไรก็ตาม นิสสันไม่เข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์การกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตของประเทศไทย ที่กำหนดอัตราภาษีรถยนต์ไฮบริดในอัตรา 10% ขณะที่ภาครัฐกลับกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับโครงการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ไว้สูงถึง 17% ซึ่งต่างกันถึง 7% ทั้งๆ ที่โครงการอีโคคาร์เป็นโครงการของประเทศไทย สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยให้เดินหน้าต่อไป และทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ขนาดเล็กในโลกนี้ แต่กลับได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐน้อยกว่ารถยนต์ไฮบริดที่ไม่มีการลงทุนอะไรในประเทศไทยมากนัก ชิ้นส่วนสำคัญๆ ทั้งหมดต้องนำเข้าจากญี่ปุ่น ถือเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม