ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมรถยนต์ของอังกฤษ สวีเดน เช่น Volvo MG ในปัจจุบันถึงไม่ใช่ของประเทศเขาแล้วครับ  (อ่าน 9642 ครั้ง)

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
ผมสงสัยครับ

ทำไมรถยนต์ที่มาจาก 2 ประเทศนี้ ปัจจุบัน กลายเป็นรถของ จีน เช่น MG ของอินเดีย เช่น จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ และเยอรมัน เช่น Mini RR เป็นต้น
ส่วน Volvo ก็เป็นของจีน

มันมีที่มาอย่างไรนะครับ

ทำไมถึงกลายเป็นแค่ Brand เป็นของชาติไป  แต่การบริหาร รวมไปถึง รง ประกอบ หลายๆ ที่ก็ไม่ได้อยู่อังกฤษแล้ว เช่น MG ปิด รง ในอังกฤษครับ

ขอความรู้ด้วย ขอบคุณครับ ;)

ปล ตกลง Saab ไปถึงไหนแล้วนะครับ  :D

ออฟไลน์ Zephyrs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 912
ต้นทุนเป็นอันดับแรก อันดับสองคือเทคเพื่อแบ่งปันเทคโนโลยีกัน

รถอังกฤษอย่าง RR Aston Martin Jaguar Land Rover Lotus Mini Bentley มีคอนเซปต์หลักๆ อย่างนึงที่คล้ายกันมากๆ คือ เน้นความหรูหรา
ทำให้รถพวกนี้มีราคาสูงงงงลิ่วว แล้วปัญหาก็ตามมาคือ ขายได้น้อย (หมายถึงเทียบกับบริษัทรถ Mass อื่นๆนะ)

ทีนี้มันก็มีพวกค่าวิจัย ค่าจ้างแรงงาน ค่านู่นนี่สารพัด ทำให้โดนบริษัทรถ Mass ที่ขายได้เยอะๆอย่าง BMW VW Ford Tata ไรงี้ เทคฯหมด

MG ที่โดนจีนเทคได้เนี่ย ผมว่ามันมีหลายเหตุผลนะ คือมูลค่าแบรนด์ก็ไม่ได้ดีตั้งแต่แรกแล้ว (โดนคอมเม้นเรื่องคุณภาพการประกอบหลายครั้ง) การเทคเลยง่าย
แต่อย่างพวกแบรนด์ที่มูลค่าสูงๆมากอย่าง RR (BMW Take) หรือ Bentley (VW Take)

คือหลักๆแล้วที่ต้องเป็น BMW และ VW มันมีเหตุผลอยู่คือ เป็นบริษัทใหญ่ทั้งคู่ และอีกอย่างคือ ทั้งสองบริษัทไม่ได้มีรถหรูมากๆ ในยี่ห้อของตนเอง (BMW มีเต็มที่ก็ 7-Series ส่วน VW ก็ขาดรถหรู) เลยทำให้ต้องไป Take Over บริษัทรถหรูมาอยู่ในเครือของตนเอง (สองบริษัทนี้ก็น่าจะเต็มใจให้เทคแหละ (มั้งนะ))

และที่ BMW ไปเทค Mini ก็เพราะว่าตัวเองไม่มีรถเล็กเลย (1-Series ก็ดูคับแคบเกินไปเมื่อเทียบกับ Beetle) การสู้กับ VW เลยต้องไปเทค Mini มาเพื่อมาแข่งในตลาดเล็ก

คล้ายๆกับ MB ที่เคยเทค Maybach แต่ปรากฎว่า การออกแบบทำมาได้ไม่ได้ดีเท่าที่ควร (หน้าตายังกะ S-Class) แถมราคาก็ตั้งซะ... (แพงกว่า S อยู่ประมาณ 3-4 เท่า ในรุ่น Maybach 57)

ส่วน Tata ที่เทค LR เพราะว่าตัวเองทำรถกระบะอยู่แล้ว การเอา LR มาช่วยพัฒนารถตัวเองด้วยก็เป็นอีกผลประโยชน์นึง เช่นเดียวกับ Ford ที่ต้องการเพิ่มเรื่อง
คุณภาพของตัวรถ ก็ไป Take AM มา เพื่อทั้งปรับปรุงคุณภาพรถด้วย แล้วก็แนวการออกแบบด้วย (ดูได้จากกระจังหน้าของ Ford หลายๆรุ่น เหมือน AM มาก)

แล้ว Jaguar ? Tata เทคไปเป็นแพ็คคู่กับ LR ด้วย คิดว่าคงอยากได้เรื่องคุณภาพในห้องโดยสารของ Jaguar มาช่วยพัฒนารถของตัวเองด้วยส่วนนึง

ทางด้านของ สวีเดน
Volvo ตอนแรกโดน Ford Take แต่คาดว่า หลังจากฟอร์ดได้ปรับปรุงรถของตัวเองในด้านของความปลอดภัยที่ได้จาก Volvo แล้ว ก็เลยยอมขายให้ Geely (Volvo ได้ผลประโยชน์จากฟอร์ด เรื่องการปรับปรุงเครื่องยนต์ที่ตนเองไม่ถนัด)
Geely ก็ได้ประโยชน์ในเรื่องของการเพิ่มความปลอดภัยในรถของตนเอง Volvo ก็ได้เรื่องการลดต้นทุนในการวิจัยรถเล็กออกมา
ส่วน Saab ตอนแรกที่โดน GM Take คาดว่า GM คงอยากได้เรื่องความปลอดภัย (เหมือนกับที่ Ford เทค Volvo นั่นแหละ)
ภายหลังคิดว่า Saab คงไม่ได้บูมมากนัก (อาจจะเพราะเรื่อง Reliable สู้ Volvoไม่ได้กระมัง) เลยทำให้ถูกทิ้งจาก GM (การวิจัยทำรถใหม่ของ Saab แต่ละครั้งกินเงินทุนมากๆ ในด้านของความปลอดภัย)

น่าจะประมาณนี้นะครับ

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
คุณ Zephyrs กล่าวมาเกือบจะหมดแล้วเพิ่มเติมให้อีกหน่อย เกี่ยวกับ VW Group

จากที่เห็นVW Group เริ่มใหญ่ขึ้นการออกแบบพวกเครื่อง เกียร์ หรือ platform ของรถก็ทำให้เพิ่มมูลค่าการลงทุนได้มากขึ้น

ทำให้เครื่อง เกียร์ รุ่นใหม่ของเครือVW ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ลองดูDSGของ VW ออกแบบทีเดียวใช้ได้กับรถเป็น10รุ่น หรือ จะเป็นเครื่องยนตร์ที่เหมือนกันในหลายๆยี่ห้อ

ของเครือ VW  เรียกได้ว่าออกแบบมาทีเดียวขายได้คุ้มเลย :D

สรุปผมว่ามันมาจากปลาใหญ่กินปลาเล็กมากกว่าครับ บริษัทกลุ่มเล็กๆ ไม่มีเงินลงทุนมากมายเพื่อมาออกแบบรถยนตร์รุ่นใหม่ๆให้มีประสิทธิภาพเท่ากับบริษัทที่มีทุนเยอะ

เพราะฉะนั้นพวกบริษัทเล็กก็ยอมขายบริษัทตัวเองเพื่อให้บริษัทตัวเองอยู่รอด อาจจะขายเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทตัวเองมาด้วย อย่างน้อยบริษัทก็ไม่เจ๊งและก็ยังได้เงินจาก

บริษัทตัวเองอยู่ ;D

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
อืม ผมว่า MG ดูเน่าสุดเลยครับ

ไม่มีอะไรเด่นเลย

ออฟไลน์ Fly to dream

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,640
จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ วอลโว่ ยังถือว่าเป็นตัวของตัวเองอยู่นะครับไม่ได้ขายความเป็นตัวเองไป ยังไงก็ยังมีความเป็นรูปแบบดั้งเดิมอยู่ แต่รับเงินมาทำจากแหล่งใหม่และแบ่งเทคโนโลยีให้เค้าไป
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย

ออฟไลน์ Zephyrs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 912
อืม ผมว่า MG ดูเน่าสุดเลยครับ

ไม่มีอะไรเด่นเลย

พูดตามตรง MG ผมว่ามันก็พอฟัดพอเหวี่ยงกะ Daihatsu ก่อนที่ toyota จะ Take นั่นแหละครับ - -" หรืออาจจะแย่กว่านั้นอีก

แต่ไม่น่าจะเท่า Rover มั้งนะ (หรือพอๆกันผมก็ไม่รู้)

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์

แบรนด์ที่โดนเทค
ก็คือเบรนที่เจ็งไงครับ
เจ้าของ แบรนด์
ก็แทบปิดโรงงานขาดทอดตลาด

อย่าง MG นี่เค้าไม่เรียกเทคโอเวอร์มั้งครับ
เค้าเรียกซื้อแบรนมาแปะเฉยๆ รึเปล่า
เพราะ MG มันหายไปจากตลาดรถนานมาก เหลือแต่ชื่อ จนมาแปะรถจีนนี่เหลาะ


ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,462
ง่าย ๆ    เจ๊ง...ขายให้ผู้ที่มีเงินมากกว่า...

saab  เปลี่ยนไลน์การผลิตมาผลิตรถไฟฟ้า  เพราะเขาขายให้แต่ชื่อ  ส่วนโนฮาวด์ gm เก็บ มาพัฒนาเป็นครูซ  แต่ยกมาไม่หมดมันก็เลยเป็นเช่นั้น

Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
เพราะว่าชาวอังกฤษบริหารงานได้เละเทะไงครับ เรื่องวอลโว่ เรื่องซาบ ผมจะไม่กล่าวถึงมากนัก เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้ดีเสียเท่าไหร่ แต่เรื่องรถอังกฤษ?


รถอังกฤษเน้นความหรูหรา ราคาแพงผมเถียงตายเลยครับ


เคยเห็นภายในของจากัวร์ อีไทป์หรือยังครับ? ไม่มีอะไรเลย ข้างในมันดูดีก็จริงครับ แต่ภายใต้ความสวยงามแบบเรียบง่ายนั้น ซ่อนอยู่คือการลดต้นทุน ระบบระบายอากาศที่ห่วยแตก ตำแหน่งที่นั่งซึ่งคนที่เคยชินกับรถใหม่ๆแบบพวกคุณคงจะต้องหนีออกภายใน 15นาที จากัวร์ XJ Series III ที่ผมเคยมีนั้น ก็มีเรื่องคล้ายๆกันครับ สายไฟในห้องเครื่องนั้นทนความร้อนถึง 90องศาเซลเซียส จากัวร์ XJ Series III ที่รอบเดินเบา อุณหภูมิห้องเครื่องอยู่ที่ 96องศาเซลเซียสครับ เคยเห็นยางขอบประตูของจากัวร์ไหมครับ? คุณภาพต่ำ สีก็คุณภาพต่ำ ทุกอย่าง คุณภาพต่ำทั้งสิ้น ใช่ครับ ดีไซน์ของรถพวกนี้ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ วิศวกรรมล้ำเลิศ การขับขี่ดี ภาพลักษณ์ที่ดูดี แต่วัสดุที่พวกเขาเอามาใช้ทำรถนั้น ห่วยแตกเหลือเกิน

แต่อย่างน้อย การลดต้นทุนเหล่านี้ก็มีข้อดีครับ ราคาของจากัวร์นั้น ถูก อย่างน้อยก็เทียบกับรถระดับเดียวกันของเจ้าอื่น

เพียงแต่ว่า การลดต้นทุนแบบนี้แหละครับ ที่ทำให้จากัวร์ขึ้นชื่อเรื่องความไม่น่าเชื่อถือ ถ้าเกิดคุณออกไปซื้อจากัวร์ซักคันตอนนี้ โดยไม่ค้นหาข้อมูลออกไปก่อน คุณจะมีโอกาส 8 ใน 10 ที่คุณจะได้รุ่นปีที่มีปัญหา จากัวร์ XJ อยู่มา 45ปี มีปีที่คุณควรจะซื้ออยู่แค่ 8ปี เท่านั้นครับ ที่เป็นรถที่จะไม่ทำให้คุณล้มละลาย 1983-1987 (Series III ซึ่งตัว British Leyland ก็ห่วยเหมือนกัน) 1994-1996 (X300 ซึ่งก็เรียกได้ว่า เป็น XJ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และที่จากัวร์จะมี) และ XJ ไม่ใช่จากัวร์รุ่นเดียวครับ จากัวร์ทำรถออกมาหลายสิบรุ่น ทุกรุ่น ก็เป็นคล้ายๆกันแบบนี้

รุ่นปี 1968-1974 (Series I) ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานประจำวันอีกต่อไป เพราะเป็นรถเก่า อะไหล่หายากแล้วในปัจจุบัน รุ่นปี 1974-1979 (Series II) และ 1980-1982.5 บางคันยาวสองข้างไม่เท่ากัน อะไหล่ OEM บางชิ้นใส่ไม่เข้า ระบบไฟฟ้าทั้งคันห่วย วัสดุห่วย การประกอบห่วย รุ่นเครื่อง V8 (หลังจากปี 1996) มีปัญหา Nikasil ซึ่งถ้าเกิดนอกระยะประกัน จบครับ อย่างน้อยๆแสนนึง นี่ในอังกฤษที่เขาผลิตตัวเครื่อง จึงไม่ต้องเสียภาษีนำเข้านะครับ รุ่นปี 1987-1994 (XJ40) มีกล่องฟิวส์อยู่ใต้คอนโซลกลาง ถ้าทำอะไรหกลงไป ระบบไฟฟ้าทั้งคันก็จะช็อต อาจจะตามมาด้วยเพลิง ช่วงล่างปรับระดับเองได้อาจจะเสีย ทำให้ท้ายลากไปกับพื้น แผงหน้าปัตอาจจะหยุดทำงาน คุณจะไม่รู้ว่ากำลังขับมันที่ความเร็วเท่าไหร่ เอบีเอสอาจจะไม่ทำงาน และคุณอาจจะต้องปีนเข้าทางหน้าต่างเพราะว่ามือจับประตูหัก

นี่ผมกำลังพูดถึงบริษัทรถที่ผมคิดว่าทำรถออกมาดีที่สุดในโลกนะครับ ถ้าเกิดผมมีเงินผมอยากกลับไปใช้ XJ Series III ถ้าให้ผมพูดถึง MG หรือ Rover ผมด่าเละกว่านี้อีก

ผมคิดว่ามันเป็นสันดานของคนอังกฤษครับ พวกเขามีความคิดดี ฉลาดล้ำ แต่พวกเขาจะเอาประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่าง บางครั้งอาจจะไม่มีผลตามมามากมาย บางครั้งก็อาจจะมี

อุตสาหกรรมรถยนต์ก็เหมือนกับชีวิตคนครับ คุณทำผิด 1ครั้ง การทำถูก 10ครั้งที่ผ่านมา หายไปกับสายลม คุณทำผิด 10ครั้ง คุณล้มละลาย

นี่ผมยังไม่ได้เริ่มเรื่อง British Leyland นะครับ

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
ผมว่าเรื่องที่คุณ Stroke8 มันอาจจะมีจากlife style ในยุโรปด้วยแหละครับ ที่นั้นเค้าใช้รถกันแปปๆแล้วก็ทิ้ง เปลี่ยนคันใหม่ ส่วนใหญ่ใช้กัน3-5ปีก็เปลี่ยนกันแล้ว

ผู้ผลิตรถยนตร์เลยไม่ออกแบบวัสดุที่มีความทนทานมาก แต่จะเน้นไปทางด้านรีไซเคิลมากกว่า เพื่อลดมลภาวะ

พอพี่ไทยซื้อมาใช้กันยาว10ปีกว่า ก็เลยหาว่ามันจุกจิกหน่อยหละครับ จริงๆยี่ห้ออื่นก็เป็นเหมือนกันนะครับ พวก VW Audi Renault ยางขอบหน้าต่าง ประตู พวกนี้มาเจออากาศ

เมืองไทยเข้าไป กลางวันร้อนอบอ้าว ตกเย็นฝนตก อายุการใช้งานมันก็ลดลงจากที่มันควรจะเป็น จากที่ผมสังเกตรถจากยุโรปที่มีพลาสติก หรือยางอะไรต่างๆเยอะๆนี้

พอมาเจอเมืองไทยเข้าไปแตกหมด :D


Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
ไม่เกี่ยวครับ บอกได้เลย เอาเมืองร้อนมาอ้างไม่ได้ คุณอาจจะไม่เคยเห็นของจริง แต่ผมเคยครับ คันที่อยู่ในเมืองหนาวด้วยนะ ไม่ใช่ทะเลทราย หรือเตาอบแบบไทย

ใช้รถกันแปปๆแล้วเปลี่ยน ก็เอามาอ้างไม่ได้เช่นกันครับ ญี่ปุ่นก็เป็นครับ คนไทยก็เป็น เปลี่ยนรถกันทุกปี มีรุ่นใหม่มาก็เปลี่ยน อย่าลืมนะครับ รถที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ออกขายกันตั้งแต่ก่อนยุคสมัยที่โลกจะมาสนใจเรื่องโลกร้อน รีไซเคิ้ลอะไรนั่น มันเป็นสันดานครับ อย่างที่ผมบอก คนอังกฤษมีความฉลาด สามารถคิดหาทางออกให้กับปัญหาได้อย่างชาญฉลาด และงานวิศวกรรม ก็ต้องเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ได้ประสิทธิภาพ ก็เอาแค่สุนทรียะของมันก็พอแล้วครับ ความสวยงามทางวิศวกรรม คนอังกฤษทำด้านนี้ได้ดีมาก ยุโรปทำด้านนี้ได้ดีมาก อังกฤษทำด้านนี้ได้ดีเป็นลำดับต้นๆ ไม่เท่าอิตาลี่ แต่ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินเหตุเละเทะแบบเยอรมัน แต่อย่างที่บอกครับ คนอังกฤษชอบหาประโยชน์ใส่ตัวมาก แอบลดต้นทุนอะไรนิดๆหน่อยๆในจุดที่ไม่มีใครเห็น นี่แหละ นิสัยของคนอังกฤษ

วันไหนผมคงต้องพูดถึง British Leyland บ้างหละ ... ไม่ใช่ในกระทู้นี้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกัน

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
คุณ Stroke8

ผมรอฟังเรื่อง British Leyland  ครับ

อยากรู้ว่ามันคืออะไร เล่าเลยครับ

ขอบคุณครับ :D


ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
ไม่เกี่ยวครับ บอกได้เลย เอาเมืองร้อนมาอ้างไม่ได้ คุณอาจจะไม่เคยเห็นของจริง แต่ผมเคยครับ คันที่อยู่ในเมืองหนาวด้วยนะ ไม่ใช่ทะเลทราย หรือเตาอบแบบไทย

ใช้รถกันแปปๆแล้วเปลี่ยน ก็เอามาอ้างไม่ได้เช่นกันครับ ญี่ปุ่นก็เป็นครับ คนไทยก็เป็น เปลี่ยนรถกันทุกปี มีรุ่นใหม่มาก็เปลี่ยน อย่าลืมนะครับ รถที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ออกขายกันตั้งแต่ก่อนยุคสมัยที่โลกจะมาสนใจเรื่องโลกร้อน รีไซเคิ้ลอะไรนั่น มันเป็นสันดานครับ อย่างที่ผมบอก คนอังกฤษมีความฉลาด สามารถคิดหาทางออกให้กับปัญหาได้อย่างชาญฉลาด และงานวิศวกรรม ก็ต้องเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ได้ประสิทธิภาพ ก็เอาแค่สุนทรียะของมันก็พอแล้วครับ ความสวยงามทางวิศวกรรม คนอังกฤษทำด้านนี้ได้ดีมาก ยุโรปทำด้านนี้ได้ดีมาก อังกฤษทำด้านนี้ได้ดีเป็นลำดับต้นๆ ไม่เท่าอิตาลี่ แต่ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินเหตุเละเทะแบบเยอรมัน แต่อย่างที่บอกครับ คนอังกฤษชอบหาประโยชน์ใส่ตัวมาก แอบลดต้นทุนอะไรนิดๆหน่อยๆในจุดที่ไม่มีใครเห็น นี่แหละ นิสัยของคนอังกฤษ

วันไหนผมคงต้องพูดถึง British Leyland บ้างหละ ... ไม่ใช่ในกระทู้นี้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกัน

คือที่ผมกล่าวมา ไม่ได้หมายถึงรถทุกปีที่คุณว่ามา ผมกล่าวถึงlifestyle ของคนยุโรป อย่างก่อนปี90รถยุโรปไม่ได้เน้นพลาสติกรีไซเคิล แต่ถ้าจอดตากแดดตากฝนในบ้านเรา

ก็มีคอนโซลแตกกันบ้างหละ  แต่หลังจากยุคปี90มาแล้วนั้นวัสดุรีไซเคิลมีบทบาทมากในรถยุโรป หลายๆยี่ห้อ

สังเกตได้จากพลาสติกภายในรถไล่ตั้งแต่ benz volk audi bmwในบ้านเรานี่เห็นได้ชัดแตกแทบทุกคัน โดยเฉพาะคันที่จอดตากแดดตากฝน แต่ถ้าเป็นพวกที่

จอดในร่มเป็นส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยแตก ผมเลยคิดว่ามันมาจากอากาศในบ้านเรา พลาสติกอะไรที่มันตากแดดทุกวันยังไงมันก็ต้องแตก ไม่เชื่อลองสังเกตจากรถเมืองนอกผ่าน

ไป10กว่าปีพลาสติกก็ยังไม่แตกเหมือนบ้านเรา

ส่วนที่บอกว่าใช้รถแปปๆแล้วก็เปลี่ยน จริงครับว่าเป็นทุกประเทศ แต่เมืองนอกรถเกิน10ปี บ้านเค้าภาษีแพงกว่ารถใหม่ คนที่นั่นก็ตัดขายให้พวกประเทศกำลังพัฒนา

แบบบ้านเรา หรือไม่ก็บดทิ้งหมด ส่วนบ้านเรารถจะ10ปี 20ปี 30ปี มีให้เห็นวิ่งกันทุกวัน เอาหัวตัดของที่เค้าทิ้งมาเปลี่ยนใส่วิ่งกันแฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย

Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
เอาแบบเบาะๆก่อนละกันครับ วันนี้ไม่ค่อยฟิตจะมาพิมพ์อะไรยาวๆ

British Leyland เรื่องนี้ถ้าจะเริ่ม ก็คงต้องเริ่มที่จุดเริ่มต้นครับ (อันนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เน๊อะ?) ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองครับ เรามีอดีตเจ้าของโรงตัดขนแกะ เฮอร์เบิร์ต ออสติน เจ้าของบริษัทรถออสติน และอดีตเจ้าของโรงงานผลิตจักรยาน เซอร์วิลเลี่ยม มอรริส เจ้าของบริษัทรถมอรริส ผู้ซึ่งบริหารงานร่วมกับ เลโอนาร์ด ลอร์ด คราวนี้ครับ เลโอนาร์ด กับเซอร์วิลเลี่ยม เกิดไม่ลงรอยกัน เลโอนาร์ดจึงย้ายไปทำงานให้เฮอร์เบิร์ต ผู้ซึ่งเกษียณไป เรามีบริษัทรถขนาดใหญ่สองบริษัท ซึ่งเจ้าของ ไม่ชอบหน้ากัน หลังจากนั้น สงครามโลกครั้งที่สองก็เกิดขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบ เซอร์วิลเลี่ยม ก็ได้เกษียณไป เลโอนาร์ด จึงเข้าซื้อมอรริส และให้กำเนิด British Motor Corporation

ก็น่าจะจบไปครับ เราก็คงมีบริษัทรถขนาดใหญ่อยู่บริษัทนึง ถ้าในปี 2508 BMC ไม่ซื้อบริษัทที่ชื่อว่า Pressed Steel ผู้ซึ่งผลิตตัวถังให้กับ โรเวอร์ จากัวร์ เอ็มจี โรลส์ อัลวิส ไรลี่ย์ เกือบจะทุกบริษัทผลิตรถในอังกฤษครับ เมื่อ BMC เป็นเจ้าของ Pressed Steel แล้ว BMC ก็รู้ความลับของคู่แข่งทุกอย่าง BMC เปลี่ยนชื่อเป็น British Motor Holdings ในปี 2509 ในตอนนั้น British Motor Holdings เป็นเจ้าของ เกือบทุกอย่างครับ แต่ว่าปัญหามันเริ่มบังเกิดตั้งแต่ก่อนจะเริ่มแล้วครับ BMH เริ่มที่จะเสียส่วนแบ่งตลาดจำนวนมาก รัฐบาลอังกฤษในยุคนั้นจึงสั่งให้เกิดการรวมตัวกันระหว่าง British Motor Holdings และ Leyland Motor ผู้ซึ่งในตอนนั้นมีสองสิ่งสำคัญรวมอยู่ครับ แสตนดาร์ด และ ไทร์อัมป์ ในปี 2511 การรวมตัวครั้งนี้ก็เสร็จสิ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ British Leyland บริษัทผลิตรถที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก

ออสติน เอ็มจี ไทรอัมป์ มินิ จากัวร์ เดมเลอร์ มอรริส โรเวอร์ วอลซีลี่ย์ ไม่มีบริษัทรถไหนครับ ที่จะมีตัวเลือกให้ลูกค้ามากขนาดนี้

แล้วปัญหาหละ? มันควรจะเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีความสุข ขายรถ กำไรหัวแบะใช่ไหมครับ?

ผมขอพูดถึงรถคันนึงเพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาของ British Leyland ละกัน เป็นรถที่ไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คนที่รู้จักนะครับ ไทรอัมป์ สแต็ก รถสปอร์ตสองประตู เปิดประทุนซึ่งถูกผลิตในปี 2513 ถึง 2521 ดีไซน์โดย จิโอวานนี่ มิเชลลอตติ ผู้ซึ่งให้ดีไซน์ สปิตไฟร์ โดโลไมท์ และรถไทรอัมป์รุ่นอื่นๆอีกมากมายซึ่งแม้กระทั่งวันนี้ก็ยังสวยอยู่ ไม่รู้จักซักคัน? งั้นเอาแบบนี้ครับ จีโอวานนี่ มิเชลลอตติ ออกแบบ BMW New Class หรือที่รู้จักกันมากกว่าในชื่อ ... 2002 ซึ่ง เออร์โคเล่ สปาด้า นำ Design Language มา ปรับปรุงและพัฒนาใช้กับ BMW ที่เขาผลิตทุกรุ่น จนถึง E34 มิเชลลอตติ เป็นคนเริ่ม Design Language นี้ของ BMW ครับ

ไทรอัมป์ สแต็ก เป็นรถที่ดีครับ ขับดี ช่วงล่างนุ่มนวล เกียร์ที่ให้ความรู้สึกที่ดี แน่น พวงมาลัยเบาและให้ความมั่นใจ หลังคายังเป๊ะเลยครับ ในช่วงยุคนั้น อเมริกากำลังจะแบนรถเปิดประทุนทุกรุ่นเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ไทรอัมป์จึงพัฒนาดีไซน์ T-Bar ขึ้นมา ซึ่งจะให้ความปลอดภัยเมื่อเกิดการคว่ำ ขนาดชื่อยังเป๊ะเลยครับ ลากยาวๆ สแตกกกกกก มันเป็นรถที่ชื่อยังเจ๋งอยู่ ไม่เหมือนกับ ... แคมรี่ ... พริอุส ... สแต็ก ... บริษัทรถยุคนั้นรู้วิธีการตั้งชื่อรถจริงๆครับ มันเป็นรถทีเรียกได้ว่า ดีที่สุดเท่าที่ British Leyland เคยผลิตออกมา แต่นั่นก็เหมือนกับบอกว่าซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดครับ ... แรงไปไหม? บอกตรงๆเลย ว่าไม่

เครื่องยนต์ของไทรอัมป์ สแต็ก เป็นเครื่องวี 8 ขนาดสามลิตร ซึ่งถูกพัฒนาโดยการนำเอาเครื่องของโดโลไมท์สองเครื่องมาเชื่อมติดกัน (อันที่จริงแล้ว บอกว่าเครื่องโดโลไมท์เป็นเครื่องสแต็กผ่าครึ่งจะถูกกว่า แต่ก็นั่นแหละครับ ไอเดียมันคือแบบนี้) มันเป็นเครื่องที่แย่ครับ มันเป็นเครื่องที่โอเวอร์ฮีตได้ง่าย และเมื่อมันโอเวอร์ฮีต ฝาสูบก็เจ๊ง ปัญหาคือ ในตอนนั้น โรเวอร์ มีเครื่องวี8 3.5ลิตร ซึ่งได้มาจากบูอิค ซึ่งเป็นเครื่องที่ดีครับ เครื่องยนต์ซึ่งถูกผลิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปี 2549 น้ำหนักเบา มีกำลังสูง ปรับจูนได้มาก คำถามที่สำคัญคือ ทำไมไทรอัมป์ไม่ไปหาโรเวอร์ แล้วขอเครื่องวี8 ตัวนี้มาใช้ครับ?

ไทรอัมป์บอกว่ามันใส่ไม่เข้าจริงๆ แต่มันก็แค่ขี้วัวครับ เจ้าของรถผู้ซึ่งเครื่องไทรอัมป์เดิมลาโลกไป ก็ใส่เครื่องโรเวอร์ วี8 กันถมเถ

มันเป็นเกมส์การเมืองครับ ทุกบริษัทในบริษัทใหญ่บริษัทเดียวนี้ ต้องแข่งขันกันเอง ไทรอัมป์ 2000 เป็นคู่แข่งของ โรเวอร์ 2000 ไทรอัมป์ สปิตไฟร์ เป็นคู่แข่งของ เอ็มจีบี แล้วก็มอรริสมาริน่า ซึ่งเป็นคู่แข่งของออสติน อัลเลโกร คู่นี้เป็นการไฝว้กันที่มันส์สุดๆครับ ไฝว์กันว่าคันไหนห่วยกว่ากัน ส่วนมากคำตอบที่จะได้มาคือมอรริส มาริน่าครับ ใครดูท๊อปเกียร์ น่าจะรู้จักกันดี ผมเคยลองมาแล้วเหมือนกัน มันเป็นจริงอย่างที่ท๊อปเกียร์แสดงให้พวกเราเห็นครับ มอรริส ส่งมาริน่า ไปให้บริษัทดีไซน์ชื่อดัง อิตัล ผู้ซึ่งให้กำเนิดดีลอเรียน กอล์ฟต้นฉบับ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมานั้น ห่วยกว่าสิ่งที่ให้ไปอีกครับ อันนี้ผมไม่ได้เห็นมาเองนะครับ แต่ในหนังสือรวมรถของบริษัทอิตัล ในนั้นมีรถหลายๆคัน ทั้งดี และไม่ดี ฮุนไดสเตลล่า ยังอยู่ในนั้นเลยครับ แต่ไม่มีการกล่าวถึงมอรริส อิตัล รถซึ้งถูกตั้งชื่อตามชื่อของบริษัท อิตัลดีไซน์

รถทุกคันของ British Leyland มีการรับประกันให้ครับ 1ปี แต่มันเหมือนเป็นการรับประกันว่ารถจะต้องมีปัญหามากกว่า

วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกันครับ ดึกแล้ว

ไม่เกี่ยวครับ บอกได้เลย เอาเมืองร้อนมาอ้างไม่ได้ คุณอาจจะไม่เคยเห็นของจริง แต่ผมเคยครับ คันที่อยู่ในเมืองหนาวด้วยนะ ไม่ใช่ทะเลทราย หรือเตาอบแบบไทย

ใช้รถกันแปปๆแล้วเปลี่ยน ก็เอามาอ้างไม่ได้เช่นกันครับ ญี่ปุ่นก็เป็นครับ คนไทยก็เป็น เปลี่ยนรถกันทุกปี มีรุ่นใหม่มาก็เปลี่ยน อย่าลืมนะครับ รถที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ออกขายกันตั้งแต่ก่อนยุคสมัยที่โลกจะมาสนใจเรื่องโลกร้อน รีไซเคิ้ลอะไรนั่น มันเป็นสันดานครับ อย่างที่ผมบอก คนอังกฤษมีความฉลาด สามารถคิดหาทางออกให้กับปัญหาได้อย่างชาญฉลาด และงานวิศวกรรม ก็ต้องเรียกได้ว่าดีเยี่ยม ถ้าไม่ได้ประสิทธิภาพ ก็เอาแค่สุนทรียะของมันก็พอแล้วครับ ความสวยงามทางวิศวกรรม คนอังกฤษทำด้านนี้ได้ดีมาก ยุโรปทำด้านนี้ได้ดีมาก อังกฤษทำด้านนี้ได้ดีเป็นลำดับต้นๆ ไม่เท่าอิตาลี่ แต่ก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินเหตุเละเทะแบบเยอรมัน แต่อย่างที่บอกครับ คนอังกฤษชอบหาประโยชน์ใส่ตัวมาก แอบลดต้นทุนอะไรนิดๆหน่อยๆในจุดที่ไม่มีใครเห็น นี่แหละ นิสัยของคนอังกฤษ

วันไหนผมคงต้องพูดถึง British Leyland บ้างหละ ... ไม่ใช่ในกระทู้นี้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกัน

คือที่ผมกล่าวมา ไม่ได้หมายถึงรถทุกปีที่คุณว่ามา ผมกล่าวถึงlifestyle ของคนยุโรป อย่างก่อนปี90รถยุโรปไม่ได้เน้นพลาสติกรีไซเคิล แต่ถ้าจอดตากแดดตากฝนในบ้านเรา

ก็มีคอนโซลแตกกันบ้างหละ  แต่หลังจากยุคปี90มาแล้วนั้นวัสดุรีไซเคิลมีบทบาทมากในรถยุโรป หลายๆยี่ห้อ

สังเกตได้จากพลาสติกภายในรถไล่ตั้งแต่ benz volk audi bmwในบ้านเรานี่เห็นได้ชัดแตกแทบทุกคัน โดยเฉพาะคันที่จอดตากแดดตากฝน แต่ถ้าเป็นพวกที่

จอดในร่มเป็นส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยแตก ผมเลยคิดว่ามันมาจากอากาศในบ้านเรา พลาสติกอะไรที่มันตากแดดทุกวันยังไงมันก็ต้องแตก ไม่เชื่อลองสังเกตจากรถเมืองนอกผ่าน

ไป10กว่าปีพลาสติกก็ยังไม่แตกเหมือนบ้านเรา

ส่วนที่บอกว่าใช้รถแปปๆแล้วก็เปลี่ยน จริงครับว่าเป็นทุกประเทศ แต่เมืองนอกรถเกิน10ปี บ้านเค้าภาษีแพงกว่ารถใหม่ คนที่นั่นก็ตัดขายให้พวกประเทศกำลังพัฒนา

แบบบ้านเรา หรือไม่ก็บดทิ้งหมด ส่วนบ้านเรารถจะ10ปี 20ปี 30ปี มีให้เห็นวิ่งกันทุกวัน เอาหัวตัดของที่เค้าทิ้งมาเปลี่ยนใส่วิ่งกันแฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย

ก็อาจจะจริงครับ แต่ผมไม่ได้พูดถึง Merc, Volk, Audi, BMW อยู่นะครับ เพราะผมไม่ได้มีความรู้เรื่องรถพวกนี้จนมาพร่ำเพรื่อได้ แต่ผมสามารถบอกได้เลยครับว่า ข้อนี้ใช้ไม่ได้กับอุตสาหกรรมรถอังกฤษ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 01, 2013, 23:07:13 โดย Stroke8 »

GreenG

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์

ตอนนี้ เบรน อังกิด ไม่ว่าจะ อะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่รถ

เทียบ ไม่ได้กับ
อเมริกัน
เยอรมัน
แม้กระทั่ง

ญี่ปุ่น เกาหลี