ผู้เขียน หัวข้อ: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???  (อ่าน 23698 ครั้ง)

ออฟไลน์ ぼくは"P.P."です

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 690
**รถเก๋งผมรวมไปถึงSUV, Crossover, แล้วก็Hatchbackด้วยนะครับ

สงสัยมานานแล้วครับ
คนทั่วไปที่ไม่ใช่คนที่ค่อนข้างบ้ารถหรือชอบรถอย่างพวกเราชาวHLMถึงไม่นิยมเลย
ทั้งๆที่มันทั้งแรงประหยัดแล้วก็ทน
บ้านเราก็มีอยู่แค่ไม่กี่ยี่ห้อที่มีเครื่องดีเซลในรถเก๋ง :-\
ทั้งๆที่ในEuropeทุกยี่ห้อมีเครื่องดีเซลลงหมด
เอาเข้ามาแล้วขายไม่ออกจริงๆหรอครับในบ้านเราเนี่ย?? :-[
คืออย่างรถPremiumยังมีเป็นเรื่องปกติเลย....รถตลาดกลับมีเพียงยี่ห้อสองยี่ห้อเอง :'(
Great Handling = Great Car

ออฟไลน์ Pluem_411

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 825
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 18:54:55 »
ราคามันแพงคับ บวกกับคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเก๋งดีเซลมันประหยัดกว่าเก๋งเบนซินที่คุณๆใช้กันอีก บวกกับความเชื่อเดิมๆที่ว่าเครื่องดีเซลสมควรอยู่ในรถกระบะ
ก็ไม่รู้สินะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 18:57:42 »
ดีเซลเพิ่งมีการพัฒนาจนดีกว่าเบนซินไปเมื่อช่วงที่คอมมอนเรลมานี่เองครับ ไม่เกิน 7-8 ปีมานี้

จากที่ผมเคยคุยกับคนที่ไม่สนใจแวดวงนี้ คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง "ดีเซล" จะนึกถึงรถไถ แท็กเตอร์ หรือกระบะสมัยคุณปู่ ที่มีตอนเดียว ไม่มีแอร์

ซึ่งต้องยอมรับว่าในยุคนั้น เบนซิน ยังดีกว่าดีเซล ครับ



แถมมาเจอราคาอีก รถเก๋งรุ่นเดียวกัน ออปชั่นเท่ากัน เบนซินถูกกว่าดีเซลสองแสน ถ้าไม่รู้เรื่องเครื่องยนต์ ใครจะเอา?

การจะเปลี่ยนความคิดให้นึกถึง BMW 320d 520d หรือ Benz CDI ที่แรงกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า (ไม่รวมที่น้ำมันราคาถูกกว่า) ทนกว่า

ยังต้องใช้เวลาอีกเยอะครับผมว่า

syamana

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 19:09:03 »
มุมองของคนทั่วไป(ธรรมดาๆ)เขาจะมองเก๋งดีเซลแบบนี้
-เครื่องดัง
-แพงกว่าเบนซิน 1-2 แสน
-ควันดำ
-ไม่รู้ว่าดีเซลประหยัดกว่าเบนซิน
-ส่วนใหญ่คิดว่าซื่อเบนซินไปติดกล่อง E85 ไม่ก็ลง GAS ซึ่งประหยัดกว่าดีเซลอีก

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,475
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 19:33:36 »
มุมองของคนทั่วไป(ธรรมดาๆ)เขาจะมองเก๋งดีเซลแบบนี้
-เครื่องดัง
-แพงกว่าเบนซิน 1-2 แสน
-ควันดำ
-ไม่รู้ว่าดีเซลประหยัดกว่าเบนซิน
-ส่วนใหญ่คิดว่าซื่อเบนซินไปติดกล่อง E85 ไม่ก็ลง GAS ซึ่งประหยัดกว่าดีเซลอีก

ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นแบบนั้น  เงินส่วนเกิน ใช้เป็นค่าแก๊สได้เป็นแสนโล  แถมไอเสียสะอาดกว่าอีก..ครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 20:27:47 »
เงินส่วนเกิน ใช้เป็นค่าแก๊สได้เป็นแสนโล  แถมไอเสียสะอาดกว่าอีก..ครับ
ข้อสุดท้ายน่าจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมไปคุยมาแล้วยังเห็นหลายๆ คนยังมองจากภายนอก ที่เครื่องดีเซลมีควันดำให้เห็น ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ

ถามว่าไอเสียสะอาด ถ้าวัดจากตาเห็นและจมูกดมล่ะเบนซินสะอาดและหอมกว่าแน่ๆ แต่ถ้าวัดจากความอันตรายของมันล่ะ?



ข้อมูลต่อไปนี้พิสูจน์ได้จากอินเตอร์เน็ตหรือแหล่งข้อมูลทั่วไปนะครับ

เครื่องดีเซลจะปล่อยควันดำ และ NOx ในขณะที่เบนซินจะปล่อย CO และ HC

ซึ่ง

CO (เบนซิน) จะแย่งที่ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้หน้ามืด หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ แต่จะไม่สะสมในร่างกาย

HC (เบนซิน) เป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมดจากการสันดาป หากทำปฏิกิริยากับ NOx ในอากาศ จะกลายเป็นสารพิษหลายชนิด

NOx (ดีเซล) เป็นก๊าซที่เกิดจากความร้อนและการสันดาปบางๆ ของดีเซล ทำให้เกิดฝนกรด และรวมกับ HC กลายเป็นสารพิษ

ฝุ่น (ดีเซล) เกิดจากการสันดาปแบบไม่ผสมก่อนของดีเซล ไม่เป็นพิษโดยตรง แต่สะสมให้เกิดมะเร็งในร่างกายระยะยาว เพราะเม็ดฝุ่นจะเล็กกว่าฝุ่นปกติ ลอดผ่านการกรองต่างๆ ได้



จากข้อมูลที่หาได้ทั่วไปนี้ มลพิษส่วนใหญ่มาจากการผสมกันของไอเสียระหว่างเบนซินกับไอเสียดีเซล ไอเสียเบนซินไม่ได้สะอาดกว่าเลย

ถ้าโลกนี้มีแต่เบนซิน เราจะเจอกับ CO ซึ่งทำให้ขาดอากาศตายได้ทันที เป็นพิษโดยตรงกับทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือไม่ก็ตาม

ถ้าโลกนี้มีแต่ดีเซล จะเจอกับฝุ่นและนานไปจะเจอโรคมะเร็งตายผ่อนส่ง เป็นพิษโดยอ้อม กับสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด แต่ผู้ที่แข็งแรงจะไม่ได้ผลกระทบ



โดยรวมแล้ว ผมว่าไอเสียของดีเซลปลอดภัยกว่าเบนซินอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำนะครับ (ถ้าเจ้าของไม่อุด EGR ล่ะก็นะ)

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 20:52:34 »
ecocar diesel ครับ ถ้ามีได้ ราคาคงอยู่ราว ๆ ไม่เกิน 5 แสน ผมเชื่อว่ากลุ่มนี้มีทางไป และน่าจะดีกว่าตัวเบนซินติดแก๊ซเองแน่ ๆ

ดีเซลกับรถเก๋งขนาดเล็ก ก็มี CRUZE ที่ทำออกมาแล้ว แป๊ก ไม่รุ่ง เครื่องดีเซลของ GM ยังไม่เก่ง ประหยัดน้ำมันไม่ได้เท่าพวกยุโรปที่รถหนักกว่า ขับหลังอีกต่างหากยังประหยัดกว่ารถขับหน้าน้ำหนักเบากว่าซะอีก

ได้แต่รอ รอ รอ รอ จะมีบริษัทไหนทำรถดีเซลราคาถูกที่ไม่ใช่กระบะมาขายคนไทยซะที

ออฟไลน์ nikraman

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 133
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 20:59:14 »
สำหรับผม ดีเซลเป็นตัวเลือกแรกสำหรับรถที่ต้องนั่งกันหลาย ๆ คน  และต้องการไปกันไกล ๆ ยาว ๆ ส่วนนเบซินสำหรับเดินทางในเมือง

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 21:14:04 »
เงินส่วนเกิน ใช้เป็นค่าแก๊สได้เป็นแสนโล  แถมไอเสียสะอาดกว่าอีก..ครับ
ข้อสุดท้ายน่าจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมไปคุยมาแล้วยังเห็นหลายๆ คนยังมองจากภายนอก ที่เครื่องดีเซลมีควันดำให้เห็น ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ

ถามว่าไอเสียสะอาด ถ้าวัดจากตาเห็นและจมูกดมล่ะเบนซินสะอาดและหอมกว่าแน่ๆ แต่ถ้าวัดจากความอันตรายของมันล่ะ?



ข้อมูลต่อไปนี้พิสูจน์ได้จากอินเตอร์เน็ตหรือแหล่งข้อมูลทั่วไปนะครับ

เครื่องดีเซลจะปล่อยควันดำ และ NOx ในขณะที่เบนซินจะปล่อย CO และ HC

ซึ่ง

CO (เบนซิน) จะแย่งที่ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้หน้ามืด หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ แต่จะไม่สะสมในร่างกาย

HC (เบนซิน) เป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมดจากการสันดาป หากทำปฏิกิริยากับ NOx ในอากาศ จะกลายเป็นสารพิษหลายชนิด

NOx (ดีเซล) เป็นก๊าซที่เกิดจากความร้อนและการสันดาปบางๆ ของดีเซล ทำให้เกิดฝนกรด และรวมกับ HC กลายเป็นสารพิษ

ฝุ่น (ดีเซล) เกิดจากการสันดาปแบบไม่ผสมก่อนของดีเซล ไม่เป็นพิษโดยตรง แต่สะสมให้เกิดมะเร็งในร่างกายระยะยาว เพราะเม็ดฝุ่นจะเล็กกว่าฝุ่นปกติ ลอดผ่านการกรองต่างๆ ได้



จากข้อมูลที่หาได้ทั่วไปนี้ มลพิษส่วนใหญ่มาจากการผสมกันของไอเสียระหว่างเบนซินกับไอเสียดีเซล ไอเสียเบนซินไม่ได้สะอาดกว่าเลย

ถ้าโลกนี้มีแต่เบนซิน เราจะเจอกับ CO ซึ่งทำให้ขาดอากาศตายได้ทันที เป็นพิษโดยตรงกับทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือไม่ก็ตาม

ถ้าโลกนี้มีแต่ดีเซล จะเจอกับฝุ่นและนานไปจะเจอโรคมะเร็งตายผ่อนส่ง เป็นพิษโดยอ้อม กับสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด แต่ผู้ที่แข็งแรงจะไม่ได้ผลกระทบ



โดยรวมแล้ว ผมว่าไอเสียของดีเซลปลอดภัยกว่าเบนซินอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำนะครับ (ถ้าเจ้าของไม่อุด EGR ล่ะก็นะ)

อันนี้ขอแย้งเลยครับ ผมไม่เอาข้อมูลจากไหนเลยนะ เอาแต่ที่คุณกล่าวมา

1. CO (เบนซิน) จะแย่งที่ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้หน้ามืด หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ แต่จะไม่สะสมในร่างกาย
โอเคครับ สามารถตายได้ทันที แต่ผมไม่เคยได้ยินข่าวใครดมควันเบนซินแล้วตายนะครับ ยกเว้นติดเครื่องหลับยาว อาจดูอันตรายแต่มันไม่สะสมในร่างกายหนิ ถ้าออกจากพื้นที่ที่มีมัน ความอันตราย ณ ตอนนั้นและผลกระทบ เป็นศูนย์

2. HC (เบนซิน) เป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมดจากการสันดาป หากทำปฏิกิริยากับ NOx ในอากาศ จะกลายเป็นสารพิษหลายชนิด
3. NOx (ดีเซล) เป็นก๊าซที่เกิดจากความร้อนและการสันดาปบางๆ ของดีเซล ทำให้เกิดฝนกรด และรวมกับ HC กลายเป็นสารพิษ
2 ชนิดนี้ไม่มีอะไรมาก อันตรายพอกัน และยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้ามันรวมกัน

4. ฝุ่น (ดีเซล) เกิดจากการสันดาปแบบไม่ผสมก่อนของดีเซล ไม่เป็นพิษโดยตรง แต่สะสมให้เกิดมะเร็งในร่างกายระยะยาว เพราะเม็ดฝุ่นจะเล็กกว่าฝุ่นปกติ ลอดผ่านการกรองต่างๆ ได้
ไอนี่แหละครับตัวดี มันทำให้เกิดมะเร็งนี่ถือว่าไม่ทำให้เกิดพิษโดยตรงหรอครับ และรู้สึกว่าจะมีงานวิจัยออกมาว่าควันดีเซลเป็นสารก่อมะเร็ง เพราะฉะนั้นผมว่ามันไม่ใช่แค่ฝุ่นแน่ๆ

สรุปคือ ถ้าเทียบปริมาณควันจำนวนเท่าๆ กัน ดีเซลอันตรายกว่าเยอะครับ แต่ปัจจัยที่ทำให้มันดูดีหน่อยคือ ในขนาดเครื่องเท่ากัน น้ำมันดีเซลให้พลังงานมากกว่า จึงใช้เผาไหม้น้อยกว่า ไอเสียออกมาน้อยกว่า

ถูกต้องมั้ยครับ

และที่รู้ๆ ตายเร็วๆ แบบหน้ามืด หมดสติไปเลย กับตายช้าๆ แบบค่อยๆ เป็นมะเร็งตาย ตายช้าๆ นี่ทรมานกว่าหลายร้อยเท่านะครับ ครอบครัวก็ทรมานไปด้วย ถ้าเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะเลือกแบบไหน

ออฟไลน์ Gunn

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 233
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 21:19:11 »
สำหรับผม ตอนนี้ใช้ Focus TDCI คันต่อไปคงจะเป็น F30 หรือไม่ก็ X1 320d (แต่ก็จะแอบดูๆ Mazda 6 ดีเซลไว้เหมือนกัน) ...ใครไม่เคยใช้เก๋งดีเซลอยากให้มาลองครับ ขับสนุกและประหยัดมากๆ

ออฟไลน์ beerrl

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,672
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 21:30:44 »
เสียงดัง ควันดำ เป็น จุดที่คนส่วนใหญ่คิดว่า ซื้อรถแพงแล้วยังเสียงดังควันดำอีก เลยไม่ค่อยมาสนใจในรถเครื่องดีเซลครับ
และอีกเรื่องคือ รถดีเซลติดแก้ส 100% ไม่ได้ ทำให้คนที่ซื้อรถมาติด แก้ส ไม่สนใจ
เมืองนอก lpg ราคาไม่ได้ถูกแบบต่างจากน้ำมันเยอะแบบ้านเรา แต่ค่าแรงเขาแพงมาก ดังนั้น เขาก็ต้องเลือกรถที่ทนทาน ประหยัดน้ำมัน รวมถึงค่า co2 ต่ำ เนื่องจากภาษีเขาคิดตามค่า co2 ด้วยครับ
Volvo 850GLT
Honda odyssey
Toyota Camry hybrid
Suzuki swift eco
Hyundai tucson crdi
Nissan Xtrail 2.0V 4wd
Honda Civic FC 1.8EL

ออฟไลน์ Yeahyeahs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 856
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 23:05:36 »
ผมว่ามันแพงอ่ะครับ แค่นั้นเอง ไม่ต้องดีเซลหรอก พวกเบนซินรุ่นท็อปใน C-Segment(ที่มักจะเป็น Segmentที่มีเครื่อง Dieselให้เลือก)
เช่น Altis 2.0 Civic 2.0 Focus 2.0 (เบนซิน) หรือ Lancer EX 2.0 ก็ขายได้น้อยกว่ารุ่นเดียวกันที่เครื่องเล็กกว่าอยู่แล้ว

จริงๆน่าจะลองเอาดีเซลเข้ามา cc น้อยหน่อย แต่เน้นเรื่องแรงบิดและความประหยัดมากกว่า Top Speed
แล้วขายราคาต่ำลงมาเช่น(สมมติ) Cruze ทำ 1.6 ดีเซล ขายราคาถูกกว่า 1.8 เบนซิน นิดนึง แล้วมีตัวท็อป 2.0 เพิ่มเข้าไปอีก
ผมว่าแบบนี้ขายได้มากกว่านะ

อย่างรถยุโรปเครื่องดีเซลยอดฮิตคงหนีไม่พ้น 520d อันนี้ราคาก็แพงกว่า 520i แค่แสนเดียว คิดเป็น 3% เอง คนถึงใช้กันเยอะ
ลองถ้ามีรถ mass เครื่อง 1.6 ดีเซลขายแพงกว่า 1.6 เบนซิน แค่ 3% สิ มีหรือจะขายไม่ได้
คิดคร่าวๆสมมติ 1.6 เบนซินราคา 750,000 ตัวเบนซินก็แค่ 772,500 เอง ดอกเบี้ยยังแพงกว่าเลย

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2013, 23:29:32 »
เงินส่วนเกิน ใช้เป็นค่าแก๊สได้เป็นแสนโล  แถมไอเสียสะอาดกว่าอีก..ครับ
ข้อสุดท้ายน่าจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมไปคุยมาแล้วยังเห็นหลายๆ คนยังมองจากภายนอก ที่เครื่องดีเซลมีควันดำให้เห็น ผมขอแสดงความเห็นดังนี้ครับ

ถามว่าไอเสียสะอาด ถ้าวัดจากตาเห็นและจมูกดมล่ะเบนซินสะอาดและหอมกว่าแน่ๆ แต่ถ้าวัดจากความอันตรายของมันล่ะ?



ข้อมูลต่อไปนี้พิสูจน์ได้จากอินเตอร์เน็ตหรือแหล่งข้อมูลทั่วไปนะครับ

เครื่องดีเซลจะปล่อยควันดำ และ NOx ในขณะที่เบนซินจะปล่อย CO และ HC

ซึ่ง

CO (เบนซิน) จะแย่งที่ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้หน้ามืด หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ แต่จะไม่สะสมในร่างกาย

HC (เบนซิน) เป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมดจากการสันดาป หากทำปฏิกิริยากับ NOx ในอากาศ จะกลายเป็นสารพิษหลายชนิด

NOx (ดีเซล) เป็นก๊าซที่เกิดจากความร้อนและการสันดาปบางๆ ของดีเซล ทำให้เกิดฝนกรด และรวมกับ HC กลายเป็นสารพิษ

ฝุ่น (ดีเซล) เกิดจากการสันดาปแบบไม่ผสมก่อนของดีเซล ไม่เป็นพิษโดยตรง แต่สะสมให้เกิดมะเร็งในร่างกายระยะยาว เพราะเม็ดฝุ่นจะเล็กกว่าฝุ่นปกติ ลอดผ่านการกรองต่างๆ ได้



จากข้อมูลที่หาได้ทั่วไปนี้ มลพิษส่วนใหญ่มาจากการผสมกันของไอเสียระหว่างเบนซินกับไอเสียดีเซล ไอเสียเบนซินไม่ได้สะอาดกว่าเลย

ถ้าโลกนี้มีแต่เบนซิน เราจะเจอกับ CO ซึ่งทำให้ขาดอากาศตายได้ทันที เป็นพิษโดยตรงกับทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือไม่ก็ตาม

ถ้าโลกนี้มีแต่ดีเซล จะเจอกับฝุ่นและนานไปจะเจอโรคมะเร็งตายผ่อนส่ง เป็นพิษโดยอ้อม กับสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด แต่ผู้ที่แข็งแรงจะไม่ได้ผลกระทบ



โดยรวมแล้ว ผมว่าไอเสียของดีเซลปลอดภัยกว่าเบนซินอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำนะครับ (ถ้าเจ้าของไม่อุด EGR ล่ะก็นะ)

อันนี้ขอแย้งเลยครับ ผมไม่เอาข้อมูลจากไหนเลยนะ เอาแต่ที่คุณกล่าวมา

1. CO (เบนซิน) จะแย่งที่ออกซิเจนในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้หน้ามืด หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ แต่จะไม่สะสมในร่างกาย
โอเคครับ สามารถตายได้ทันที แต่ผมไม่เคยได้ยินข่าวใครดมควันเบนซินแล้วตายนะครับ ยกเว้นติดเครื่องหลับยาว อาจดูอันตรายแต่มันไม่สะสมในร่างกายหนิ ถ้าออกจากพื้นที่ที่มีมัน ความอันตราย ณ ตอนนั้นและผลกระทบ เป็นศูนย์

2. HC (เบนซิน) เป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่หมดจากการสันดาป หากทำปฏิกิริยากับ NOx ในอากาศ จะกลายเป็นสารพิษหลายชนิด
3. NOx (ดีเซล) เป็นก๊าซที่เกิดจากความร้อนและการสันดาปบางๆ ของดีเซล ทำให้เกิดฝนกรด และรวมกับ HC กลายเป็นสารพิษ
2 ชนิดนี้ไม่มีอะไรมาก อันตรายพอกัน และยิ่งอันตรายมากขึ้น ถ้ามันรวมกัน

4. ฝุ่น (ดีเซล) เกิดจากการสันดาปแบบไม่ผสมก่อนของดีเซล ไม่เป็นพิษโดยตรง แต่สะสมให้เกิดมะเร็งในร่างกายระยะยาว เพราะเม็ดฝุ่นจะเล็กกว่าฝุ่นปกติ ลอดผ่านการกรองต่างๆ ได้
ไอนี่แหละครับตัวดี มันทำให้เกิดมะเร็งนี่ถือว่าไม่ทำให้เกิดพิษโดยตรงหรอครับ และรู้สึกว่าจะมีงานวิจัยออกมาว่าควันดีเซลเป็นสารก่อมะเร็ง เพราะฉะนั้นผมว่ามันไม่ใช่แค่ฝุ่นแน่ๆ

สรุปคือ ถ้าเทียบปริมาณควันจำนวนเท่าๆ กัน ดีเซลอันตรายกว่าเยอะครับ แต่ปัจจัยที่ทำให้มันดูดีหน่อยคือ ในขนาดเครื่องเท่ากัน น้ำมันดีเซลให้พลังงานมากกว่า จึงใช้เผาไหม้น้อยกว่า ไอเสียออกมาน้อยกว่า

ถูกต้องมั้ยครับ

และที่รู้ๆ ตายเร็วๆ แบบหน้ามืด หมดสติไปเลย กับตายช้าๆ แบบค่อยๆ เป็นมะเร็งตาย ตายช้าๆ นี่ทรมานกว่าหลายร้อยเท่านะครับ ครอบครัวก็ทรมานไปด้วย ถ้าเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะเลือกแบบไหน
ตามนี้เลยครับ  ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณ Ji.Cl. มีอคติอะไรกับเบนซินรึเปล่า   ผมเรียนปิโตรเลียมมา 6 ปี  ไม่เคยมีอาจารย์คนไหน หรือใคร มาบอกว่า ควันเบนซินน่ากลัวกว่าดีเซลเลยสักคน 

CO จากเบนซิน ไม่สะสมอยู่แล้ว สูดอากาศบริสุทธิ์สักพัก ก็หาย   HC อันตรายถ้าทำปฏิกิริยาจาก NOx ซึ่ง NOx มันก็มาจากดีเซล ไม่ใช่เบนซินครับ

ออฟไลน์ NoomTG

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 94
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 02:29:50 »
ผมว่านะครับ ไม่เห็นต้องมาซีเรียสกันเลยครับ ทุกอย่างอยู่ที่ความพึงพอใจของพวกคุณ กระเป๋าเงินของพวกคุณเองทั้งนั้นครับ
บ้านผมเองก็ใช้แต่ดีเซล ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลนครับ ตอนนี้บ้านผมก็ใช้ jaguar xf 2.2 ดีเซล ราคาก็ไม่ได้ต่างกัน banz e หรือ bmw 5 เลยครับ ผมยังไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลยครับ ไปไหนก็มีแต่คนมอง(สงสัยแปลกตา) เสียงก็ไม่ได้ดังอะไรมากมาย ไปไหนก็มีแต่คนถามว่า นี่เครื่องดีเซลจริงหรอ เงียบจัง ผมว่า เลิกอคติเกี่ยวกับเก๋งดีเซลซักทีเถอะครับ จริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 10, 2013, 03:15:48 โดย numza135 »

ออฟไลน์ Thor.1

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 557
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 06:34:37 »

 ณ.วันนี้ เครื่องดีเซลพัฒนาก้าวกระโดดจนต่างจากยุคปั๊มรุ่นเก่าและ"ไม่เทอร์โบ"
บางทีเราก็ยกย่องดีเซลคอมมอนเรล"เทอร์โบ" เกินจริงไปเล็กๆ

เอาไว้รอเบนซินเจนต่อมาที่กำลังจะมาถึงคือ "ฉีดตรง/เทอร์โบ" ดูก่อนครับ

ผมเน้นที่"เทอร์โบ" ทั้งคู่นะครับ ไม่ใช่เอา"เบนซินNa"ไปเทียบกับ"ดีเซลเทอร์โบ"

ออฟไลน์ Terng

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,762
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 06:35:59 »
ผมอยู่อังกฤษได้มีโอกาสเช่า Vauxhall Astra 2.0 VCDi ขับไปเที่ยว (แต่เป็นเกียร์ออโต้ที่ไม่ค่อยฉลาดนัก) ชอบพละกำลังมากๆครับ และมันประหยัดขั้นเทพเลย แต่พอกระโดดลงมาขับอีกคันที่เช่าไปพร้อมกันคือ Vauxhall Astra 1.6 Base เบนซินเกียร์ธรรมดา พละกำลังต่างกันชัดเจนครับ (แน่ละ เครื่องต่างกันขนาดนั้น) แต่ที่แน่ๆ กินน้ำมันเอาเรื่องเลยครับ วัดจากการเติมทำได้แค่ 12.31 กม กับการเดินทางไกลเอง (ผมอาจจะขับไม่ดีเองด้วย เพราะไม่ค่อยขับเกียร์กระปุก) ส่วนอีกคันนี่ 15.62 km/l ครับ บนเส้นทางเดียวกัน และขับตามคัน 1.6 ที่วิ่งนำทางให้

สรุปถ้าให้เลือกขับ เลือก 2.0 Diesel คันนั้น แต่ถ้ามาดูราคาแล้ว คงเอาแค่ 1.6 เบนซินหละครับ ขับสนุกในระดับราคาของมัน และส่วนต่างก็ลองคิดเล่นๆ (ค่าน้ำมันในอังกฤษนะครับ) เก็บไว้เติมน้ำมันได้ประมาณ 5-6 ปีอย่างต่ำอะคับ แต่เพราะไม่รู้เรื่องภาษีรถที่นี่เท่าไหร่ เลยไม่ได้เอามาพิจารณานะครับ
=====================
รถที่ใช้เป็นประจำ
2013 Toyota Camry Extremo 2.0
2015 Ford Ranger T6 XLT Open Cab 2.2 MT
2018 Toyota CHR HV Mid
=====================

ออฟไลน์ Nikle_pk

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,678
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 08:32:02 »
ดีเซลแพง
ถ้าทำราคาดีเซลลงมาเท่าเบนซิลหรือถูกกว่าได้
ภาพดีเซลในรถเก๋ง จะดีขึ้นทันตา
My Review !!! New Vellfire 2.5ZG Edition !!!
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=44242.0

ออฟไลน์ focus man

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 271
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 09:04:19 »
Knowledge + attitude กำหนด practice

นับตั้งแต่หัดขับรถทั้งเบนซิน ดีเซล ตั้งแต่ 30 ปีก่อน ไม่รู้เทคโนโลยีอะไรดีกว่ากันหรอก แต่ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งที่อายุยังไม่ครบ 15 ปี ก็มั่นใจได้ตั้งแต่ตอนนั้นว่า ดีเซล ดีกว่าเบนซินแทบจะทุกทาง  จะบอกว่าเทคโนโลยีดีเซลเพิ่งจะดีกว่าเมื่อไม่นาน ผมไม่เห็นด้วยเลย

ผมว่าทัศนคตินั่นละ เป็นเรื่องสำคัญ
ตอนมี Di ใหม่ๆ ก็บอกว่าเสียงดัง ซ่อมยาก โน่น นี่ นั่น
ตอนหันมาใช้ common rail กัน ก็บอกว่า เสียทีซ่อมกันอาน สู้ Di แบบเดิมไม่ได้ ดูแลง่าย ไม่มีไฟฟ้ามากมาย
พอมี เบนซิน Di  ก็อีกละ ไฟฟ้าเยอะ จุกจิก ซ่อมยาก

เป็นเรื่องของ knowledge กับ attitude จริงๆครับ

ซึ่งผู้ผลิตเค้าสำรวจมาแล้วว่า แทนที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติ  เค้าทำออกมาให้ตรงกับทัศนคติไปเลยดีกว่า  เรื่องการเปลียนทัศนคติ คงไม่ใช่งานของผู้ผลิตรถยนต์

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 09:12:40 »
อคติผมอยู่ที่ CO ไม่ใช่เบนซินครับ ไม่มีอคติใดๆกับเบนซิน รถที่ใช้อยู่ในบ้านมีทั้งเบนซินและดีเซล (แต่ก็ยอมรับตรงๆ นะครับว่าชอบเครื่องดีเซลมากกว่า)

เรื่อง NOx จะอันตรายเมื่ออยู่รวมกับ HC ซึ่งข้อนี้ผมได้แจ้งไปแล้วว่า เป็นมลพิษที่มาจากการผสมกันของไอเสีย จะโทษเครื่องเบนซินหรือเครื่องดีเซลฝ่ายเดียวไม่ได้

และจุดที่ผมพูดต่อคือ ดังนั้น ผลกระทบที่มาจากเบนซิน (โทษดีเซลไม่ได้) คือตายเร็ว และผลกระทบจากดีเซล (โทษเบนซินไม่ได้) คือตายผ่อนส่ง

ใน CO ผมก็เขียนย้ำแต่แรกว่าไม่สะสม และในฝุ่นผมก็เขียนย้ำว่าเป็นฝุ่นที่ลอดผ่านการกรองหยาบได้ ผมไม่ได้อวยดีเซลเวอร์เกินไปนะครับ โปรดเข้าใจใหม่



จุดที่เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนไม่เถียงคือมลพิษของเครื่องแต่ละตัวคืออะไร แต่มลพิษแต่ละตัว อันตรายแค่ไหน อันนี้ต่างคนมองไม่เหมือนกัน

ทีนี้จุดที่ผมมองก็คือ นอกจากตัวความอันตรายของตัวมลพิษเองแล้ว คนเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเองจากอะไรได้มากกว่า เขม่า หรือ CO?

ถ้าโลกเต็มไปด้วย CO กับโลกที่เต็มไปด้วยเขม่าควัน อะไรที่เรามีแนวโน้มจะป้องกันตัวเองได้มากกว่า

ผมถามว่าระหว่างการป้องกันตนเองจาก CO กับจากฝุ่นเขม่า อะไรน่าจะง่ายกว่า? หรือถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตนเองเลย

รับมลพิษไป อะไรจะอันตรายมากกว่า ระหว่างฝุ่น ที่สะสมในร่างกายแต่เรามีโอกาสหลายปีเพื่อรู้ทันและหลีกเลี่ยงกับ CO ที่พลาดครั้งเดียวตาย

ซึ่งผมมองถึงภัยของ CO มากกว่าฝุ่นครับ ผมมองที่ตัวไอเสีย ไม่ได้มองว่าเครื่องอะไรครับ อคติผมอยู่ที่ CO ครับไม่ใช่เบนซิน ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว CO ก็เป็นประเด็นใหญ่สุดที่ผมยกมาพูด

แม้เบนซินจะมีแคตก็ยังปล่อย CO ในปริมาณสูงมาก ไหนจะการเสื่อมสภาพของแผ่นธาตุตามอายุอีก หากอนาคตเราพัฒนาแคตดีกว่านี้ได้ผมก็เปลี่ยนความคิด



สุดท้าย ต้องขออภัยหากทำให้ท่านใดไม่สบายใจ สิ่งที่ผมพูดไปเพราะต้องการโต้เถียงและแสดงความคิดเห็น

เพราะบางครั้งการโต้เถียงก็ทำให้เกิดความรู้ หากมีข้อมูลที่แน่นกว่าผมก็เปลี่ยนความคิดได้ทันที

(เมื่อก่อนนี้ผมเคยคิดว่าการวิ่งนิ่งๆ ความเร็วคงที่ไม่เบรกเลย ไฮบริดน่าจะสิ้นเปลืองเท่ารถธรรมดา จะประหยัดกว่าเมื่อมีการใช้เบรก

แสดงความเห็นแล้วสมาชิกท่านหนึ่งทักผมว่า "เครื่องในไฮบริดจะทำงานตามวัฏจักร Atkinson นะ" ผมไปคิดดูว่าจริง ผมก็เปลี่ยนความคิดทันที)

ถ้าไม่พูด ถ้าไม่มีการโต้เถียง ความรู้ก็ไม่เกิด หากทำให้ใครไม่สบายใจต้องขออภัยนะครับ

ออฟไลน์ Gunn

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 233
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 09:25:12 »
เรื่องค่าไอเสียระหว่างดีเซล กับเบนซิน บอกตรงๆว่าไม่เคยใส่ใจครับ ว่าใครจะมากกว่าใคร  ตราบใดที่ประเทศเรายังไม่มีกฎหมายที่จะจัดการจริงๆจังๆกับไอ้พวกรถบรรทุก รถเมล์ รถกระบะซิ่งแต่งปั๊ม พ่วงกล่อง ดันราง ควันดำปี๋ , พวกเผาขยะข้างทาง ชาวไร่ชาวนาที่จุดไฟเผาวัชพืช เผาไร่ปรับสภาพดิน ฯลฯ มีประโยชน์อะไรที่มานั่งกำหนดค่าไอเสียยูโรนั่น ยูโรนี่

ออฟไลน์ Insideout

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 566
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 09:33:43 »
ตอบในฐานะคนทั่วไปแบบบ้านๆ

คนเลือกดีเซลเพราะความชอบส่วนตัวเป็นเรื่องหลัก

ชอบเพราะ?
1. ชอบพลัง แรงบิด ขับแล้วมันภูมิใจ
2. ชอบเทคโนโลยีเครื่องดีเซลในรถยุโรปเป็นการส่วนตัว
3. ชอบเสียงเครื่องดีเซล แม้จะดังกว่าเบนซินนี่แหละ แต่มันมีแรงดึงดูด

เรื่องประหยัดค่าน้ำมัน ผมว่าเป็นเรื่องรอง หรือผลพลอยได้จากความชอบมากกว่า
ดีเซลยุโรป ราคาขนาดนี้ คนซื้อส่วนใหญ่ไม่ได้แคร์เรื่องค่าน้ำมันเท่าไหร่หรอก

คนที่ไม่ชอบเพราะ?
1. เสียงดังน่ารำคาญ กรูซื้อรถหลายล้าน เสียงหยั่งกะรถกระบะ (ไม่ใช่ผมพูดนะ มีคนคิดงี้จริงๆ)
2. ควันดำ
3. ราคาแพงกว่า เอาตังค์ไปแต่งรถเบนซินเพิ่มได้อีกเพียบ



ออฟไลน์ oak_s

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 89
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 10:11:35 »
พ่อผมอายุจะ 50 ละ ขับ cruze 2.0 diesel turbo (2012) ผมว่ามันก็เป็นรถที่ดีคันนึงเลยนะครับจากที่ได้นั่ง
ใช้มาปีนึงละยังไม่มีปัญหาอะไรกับเครื่องยนต์เลยครับ เคยมีแต่จอดติดไฟแดงแล้วรถอื่นชนตูด ต้องเปลี่ยนกันชนใหม่ 555555
จากเดืมขับโคโรล่ารุ่นเก่า(มากกว่า10ปี) ค่าน้ำมันเดือนละ 2หมื่น เป็นเพราะเครื่องเก่ามาก แล้วพ่อผมไม่ชอบแก๊ส
พอเปลี่ยนมาเป็นครูซดีเซลค่าน้ำมันเหลือหมื่นเดียวเองครับ +-1000 ในระยะทางเดียวกัน

ผมว่าเครื่องดีเซลคุ้มนะครับ อยากให้หลายๆคนลอง เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ไปไกลมากครับ   

ออฟไลน์ Slipknot`

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 21,866
  • *** HLM.COM ***
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 10:50:23 »
มองแบบบ้านๆนะครับ

คนทั่วไปมองว่าดีเซลต้องเป็นพวก รถขนของ รถกระบะ ภาพลักษณ์ไม่ได้ เสียงดัง

และไม่รู้ว่ามันประหยัดกว่าเบนซิน

ส่วนราคาแพงกว่าเบนซิน ผมมองว่าคนทั่วไปไม่ทราบครับ

ปล.เพราะส่วนใหญ่รถตลาดแทบไม่มีดีเซลเลยครับ ไม่นับกระบะ PPV SUV cruze2.0 focus mk2 2.0

ส่วนใหญ่ก็เบนซินทั้งนั้น คนทั่วไปเลยเข้าถึง ดีเซลยาก

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,352
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 11:02:57 »
ว่าไป เรื่องนี้คงคุยกันได้ีอีกยาวครับ ตัวอแปร หรือ หัวข้อที่คุยกันมันมีหลากหลาย

ส่วนตัวเองก็ใช้ทั้งคู่เหมือนกันครับ เบนซิน ดีเซล ตัวผู้ ตัวเมีย

แต่ที่อยากเห็นในตลาดมากๆคือ ดีเซล และ เบนซิน ไม่เกิน 1.6 ลิตร มีหอยในรถ B+C segment ผลิตบ้านเราครับ  ;D

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,475
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 11:27:03 »
มุมองของคนทั่วไป(ธรรมดาๆ)เขาจะมองเก๋งดีเซลแบบนี้
-เครื่องดัง
-แพงกว่าเบนซิน 1-2 แสน
-ควันดำ
-ไม่รู้ว่าดีเซลประหยัดกว่าเบนซิน
-ส่วนใหญ่คิดว่าซื่อเบนซินไปติดกล่อง E85 ไม่ก็ลง GAS ซึ่งประหยัดกว่าดีเซลอีก
ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นแบบนั้น  เงินส่วนเกิน ใช้เป็นค่าแก๊สได้เป็นแสนโล  แถมไอเสียสะอาดกว่าอีก..ครับ

ผมขอโทษหากข้อความของผมเป็นประเด็น  จริง ๆ ผมเน้นที่ gas lpg ครับ  ไม่เปรียบเทียบน้ำมันสองชนิด  แต่เทียบน้ำมันกับ แก๊ส  ว่าแก๊สสะอาดกว่าเยอะ  ต่อให้ราคาเชื้อเพลิงต่อ กม.เท่ากันกับดีเซล ผมก็ยังคงเลือกใช้แบบนี้อยู่ดี  ส่วนประเด็นความปลอดภัย ผมยอมรับว่าด้อยกว่าดีเซลเยอะ แต่สำหรับคนที่เสพ lpg จนติดแล้ว คงเลิกยาก ครับ

ออฟไลน์ final

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 12:40:05 »
อคติผมอยู่ที่ CO ไม่ใช่เบนซินครับ ไม่มีอคติใดๆกับเบนซิน รถที่ใช้อยู่ในบ้านมีทั้งเบนซินและดีเซล (แต่ก็ยอมรับตรงๆ นะครับว่าชอบเครื่องดีเซลมากกว่า)

เรื่อง NOx จะอันตรายเมื่ออยู่รวมกับ HC ซึ่งข้อนี้ผมได้แจ้งไปแล้วว่า เป็นมลพิษที่มาจากการผสมกันของไอเสีย จะโทษเครื่องเบนซินหรือเครื่องดีเซลฝ่ายเดียวไม่ได้

และจุดที่ผมพูดต่อคือ ดังนั้น ผลกระทบที่มาจากเบนซิน (โทษดีเซลไม่ได้) คือตายเร็ว และผลกระทบจากดีเซล (โทษเบนซินไม่ได้) คือตายผ่อนส่ง

ใน CO ผมก็เขียนย้ำแต่แรกว่าไม่สะสม และในฝุ่นผมก็เขียนย้ำว่าเป็นฝุ่นที่ลอดผ่านการกรองหยาบได้ ผมไม่ได้อวยดีเซลเวอร์เกินไปนะครับ โปรดเข้าใจใหม่



จุดที่เป็นข้อเท็จจริงที่ทุกคนไม่เถียงคือมลพิษของเครื่องแต่ละตัวคืออะไร แต่มลพิษแต่ละตัว อันตรายแค่ไหน อันนี้ต่างคนมองไม่เหมือนกัน

ทีนี้จุดที่ผมมองก็คือ นอกจากตัวความอันตรายของตัวมลพิษเองแล้ว คนเราสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัวเองจากอะไรได้มากกว่า เขม่า หรือ CO?

ถ้าโลกเต็มไปด้วย CO กับโลกที่เต็มไปด้วยเขม่าควัน อะไรที่เรามีแนวโน้มจะป้องกันตัวเองได้มากกว่า

ผมถามว่าระหว่างการป้องกันตนเองจาก CO กับจากฝุ่นเขม่า อะไรน่าจะง่ายกว่า? หรือถ้าเราไม่รู้จักป้องกันตนเองเลย

รับมลพิษไป อะไรจะอันตรายมากกว่า ระหว่างฝุ่น ที่สะสมในร่างกายแต่เรามีโอกาสหลายปีเพื่อรู้ทันและหลีกเลี่ยงกับ CO ที่พลาดครั้งเดียวตาย

ซึ่งผมมองถึงภัยของ CO มากกว่าฝุ่นครับ ผมมองที่ตัวไอเสีย ไม่ได้มองว่าเครื่องอะไรครับ อคติผมอยู่ที่ CO ครับไม่ใช่เบนซิน ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว CO ก็เป็นประเด็นใหญ่สุดที่ผมยกมาพูด

แม้เบนซินจะมีแคตก็ยังปล่อย CO ในปริมาณสูงมาก ไหนจะการเสื่อมสภาพของแผ่นธาตุตามอายุอีก หากอนาคตเราพัฒนาแคตดีกว่านี้ได้ผมก็เปลี่ยนความคิด



สุดท้าย ต้องขออภัยหากทำให้ท่านใดไม่สบายใจ สิ่งที่ผมพูดไปเพราะต้องการโต้เถียงและแสดงความคิดเห็น

เพราะบางครั้งการโต้เถียงก็ทำให้เกิดความรู้ หากมีข้อมูลที่แน่นกว่าผมก็เปลี่ยนความคิดได้ทันที

(เมื่อก่อนนี้ผมเคยคิดว่าการวิ่งนิ่งๆ ความเร็วคงที่ไม่เบรกเลย ไฮบริดน่าจะสิ้นเปลืองเท่ารถธรรมดา จะประหยัดกว่าเมื่อมีการใช้เบรก

แสดงความเห็นแล้วสมาชิกท่านหนึ่งทักผมว่า "เครื่องในไฮบริดจะทำงานตามวัฏจักร Atkinson นะ" ผมไปคิดดูว่าจริง ผมก็เปลี่ยนความคิดทันที)

ถ้าไม่พูด ถ้าไม่มีการโต้เถียง ความรู้ก็ไม่เกิด หากทำให้ใครไม่สบายใจต้องขออภัยนะครับ

ถ้าโลกเต็มไปด้วยทั้งสองสารพิษที่คุณกล่าวมา ไม่ว่าตัวไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ คุณบอกเองว่าเขม่ามันเล็ดรอดการกรองมาได้ เพราะฉะนั้นคงต้องใส่หน้ากากกันแก๊สพิษอย่างเดียวถึงจะเอาอยู่

อย่างที่บอกว่าไม่มีทางที่จะมีใครสูดดม CO ไปครั้งเดียวแล้วตายทันที จำนวนมันไม่ได้มีมหาศาลขนาดนั้น และอีกอย่างมันไม่สะสม แต่เขม่าจากดีเซลมันสะสม คงทำนองเดียวกับควันบุหรี่น่ะแหละ ทุกวันนี้สารก่อมะเร็งมีมากและบางอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ตายเร็วดีกว่าตายผ่อนส่งนะครับ

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 680
    • อีเมล์
Re: ตลาดรถเก๋งเมืองไทยกับเครื่องดีเซล???
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 18:39:14 »
การจะบอกว่า CO หรือเขม่าควันดำ อันตรายกว่ากัน มันคงแล้วแต่มุมมองของแต่ละท่านจริงๆ ครับ เพราะมลพิษทั้งสองตัวตอนนี้ในบรรยากาศมันมีน้อยทั้งคู่

มุมมองของผมคือลองนึกถึง ภูมิประเทศแบบแอ่ง 2 แอ่ง อากาศไม่ถ่ายเท

แอ่งแรก เต็มไปด้วย CO ซึ่งใครเข้าไปต้องรีบออกจากแอ่งทันที แต่ตัว CO ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่รู้ตัว??

แอ่งสอง เต็มไปด้วยควันดำ ซึ่งมีสีดำ และกลิ่นเตะจมูกชัดเจน แต่ถึงจะดมทุกวันก็ยังมีเวลาเป็นปีๆ ก่อนจะเกิดเป็นมะเร็ง??



แต่หลายท่านก็มีมุมมองด้านอื่น ที่ทำให้เขม่าควันดำอันตรายกว่า CO ก็เป็นสิทธิทางความคิดครับ เพราะคงไม่ปฏิเสธว่า "อันตราย" กับไปคนละด้าน

จุดที่เห็นต่างคืออันตรายด้านใดที่มีโอกาสโดนมากกว่า ความเห็นของคุณ final และ 6162002 ประมาณบรรทัดล่างนี้ใช่ไหมครับ

"เลือกระหว่างชีวิตที่เจอก๊าซพิษที่ไม่สะสมประมาณบางๆ นานๆ ครั้ง กับชีวิตที่เจอควันทุกวัน" อันนี้ให้ผลลัพธ์ทางความคิดตรงข้ามเลย

เพราะอย่างแรก เพราะถึงจะไม่รู้ตัว แต่ถ้ารอดมาได้มันก็ไม่บั่นทอนสุขภาพระยะยาว

แต่ผมอยากให้มองอีกมุมว่าควันน่ะ อย่างน้อยเรายังรู้ตัวว่ากำลังดมอะไรเข้าไป และหาทางหลีกเลี่ยงได้ตามสถานการณ์เฉพาะ

คนที่รู้ตัวแล้วยังดมควันทุกวันเป็นปีๆ โดยไม่คิดหลีกเลี่ยง สุขภาพคงโดนเล่นจากปัจจัยอื่นล่วงหน้าไปก่อนแล้วนะครับ



คุณ sukhontha ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่เอาข้อความคุณมาเป็นประเด็นครับ โดยลำพังข้อความนั้นไม่ใช่ประเด็นใหญ่เลยครับ