วันนี้ได้มีโอกาสขับ CHR ตัว Entry ที่เป็นเครื่อง 1.8 เบนซินมาครับ โดยคราวนี้ขับเส้นทางบางจากถึงสะพานยูเทิร์เมกะบางนา ไปกลับ ระยะรวม 24 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมเดินทางประจำ
จากโพสที่แล้วที่ไปลองตัว Hybrid มารู้สึกไม่ค่อยประทับใจในสมรรถนะและอ็อปชั่นที่ขาดๆ เกินๆ วันนี้เลยมาลองตัว1.8 เบนซิน กำลัง 140 แรงม้า แรงบิด 175 นิวตันเมตร ที่ราคา 979,000 บาท
สิ่งที่อยากให้ได้รู้กันก่อนก็คือน้ำหนักตัวของ CHR นั้นไม่เบาเลยนะครับ ตัวนี้น้ำหนักหน้าเว็บโตโยต้า 1,380 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วได้ดังนี้ครับ
HRV 1261 กก.
CX-3 1271 กก.
MG ZS 1256 กก.
MG GS 1.5T 1460 กก.
Subaru XV 1415 กก.
จะเห็นได้ว่า CHR มีน้ำหนักใกล้เคียงรถ C-SUV มากกว่า B-SUV พอสมควรเลยครับ
หลังจากออกจากศูนย์บริการผมก็ได้เริ่มต้นวิ่งถนนเส้นสุขุมวิท มุุ่งสู่บางนาตราด พบว่าวิสัยทัศน์เวลาขับ "ดีมาก" ดีกว่า B-SUV ทุกรุ่นที่ขับมา เบาะผ้าดีมาก นั่งสบายมาก ไม่ต้องมี Lumbar support ก็รู้สึกได้เลยว่าต่อให้ขับยาวๆ คงไม่ปวดหลัง
ที่ความเร็วต่ำระบบ Auto Hold ทำงานได้ดี แก้เมื่อยได้เลยเพราะออกจากศูนย์มารถก็ติดทันที ความนุ่มเงียบของช่วงล่างเมื่อวิ่งผ่านฝาท่ออยู่ในเกณฑ์ที่ผมประทับใจมาก
ที่ไม่ประทับใจน่าจะเป็นอาการ Jerk หรือกระตุกที่ความเร็วต่ำ น่ารำคาญเหมือนเกียร์ดูอัลคลัทช์ ที่กระตุกแบบนี้อาจจะเพราะโตโยต้าจูนคันเร่งมาไว เหยียบเบาๆ ก็ได้อารมณ์เหมือนคิกดาวน์ ทำให้รถพุ่ง กระตุกนั่นเอง
เมื่อเลยเขตรถติดผมก็วิ่งเข้าสู่บางนาตราด ไม่รอช้ากระทืบคันเร่งจาก 60-120 ไม่ได้จับเวลา แต่เร็วพอสมควร ขอใช้ว่า "พอสมควร" แต่ไม่ได้เร็วมากอย่างที่หวังไว้ ถ้าจำกันได้ Altis 1.8 นั้นอัตราเร่งอยู่หัวแถว แต่สำหรับ CHR ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าคู่แข่งเป็น 100 กก. ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันไม่แรงกว่า HRV และสู้ CX-3 หรือ MG GS ไม่ได้แน่นอน เผลอๆ สวิฟท์ที่ไปลองมาวันก่อน ช่วงออกตัวจะแรงกว่าด้วยซ้ำ ช่วงออกตัวรู้สึกรอบขึ้นมาก่อนแต่รถค่อยๆ วิ่งไปราวๆ 1 วิกว่าๆ ถึงเริ่มพุ่ง แต่ไม่ได้ฟีลหัวติดเบาะเท่าไร
ลองเปลี่ยนเลนที่ความเร็ว 120 ก็สามารถทำได้ดี ไม่ย้วยและยังนุ่มนวลอีกต่างหาก
เมื่อทำความเร็วคงที่ที่ 120 km/h ขึ้นราวๆ 2100 รอบ ผมมองที่จอ ขึ้นการกินน้ำมันสำหรับ Gasohol 95 นั่ง 2 คนน้ำหนักรวมราวๆ 150 กก. 6.5-7 L/100 KM หรือราวๆ 14-15 km/l ก็จัดว่าพอใช้ได้ครับ ที่ความเร็ว 120 ช่วงล่างนุ่มๆ ชิวๆ เสียงรบกวนก็ไม่ได้เข้ามามากอย่างที่หลายคนบอกไว้ ที่สำคัญคือทดสอบลำโพงเสียบเบสชัดมากกกก รวมๆ แล้วลำโพงดีใช้ได้ทีเดียว
จอสามารถ Miracast Google Map เข้าไปได้ แต่ถ้าอยากให้แสดงผลโดยที่จอไม่ดับต้องไปปลดล็อคข้างนอก
ที่รู้สึกไม่น่าเชื่อก็คือรุ่นล่างสุดให้ฟังค์ชันอำนวยความสะดวกที่มีประโยชน์มาเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าออโต้, Parking Sensor 8 จุด, Cruise Control, Auto Brake Hold, กล้องมองหลัง และอื่นๆ อีกมากมาย
พอวนกลับมาถึงศูนย์ที่หน้าจอขึ้นว่าใช้น้ำมันเฉลี่ย 7.3 L/100KM หรือ 13.69 km/l ซึ่งก็จัดว่าปานกลางครับสำหรับเส้นทางนี้ เส้นทางนี้ผมเดินทางประจำ ถ้าเป็น Nissan Sylphy จะวิ่งได้ราวๆ 14.2 km/l ส่วน MG5 จะวิ่งได้ 11.8 km/l รวมๆ แล้วถ้าเทียบกับน้ำหนักตัวก็จัดว่ารับได้ครับ
ที่น่าตินิดนึงน่าจะเป็นเรื่องการควบคุมล้อเมื่อเหยียบเบรคเวลาเข้าโค้ง เนื่องจากขากลับผมขึ้นสะพานทางด่วนที่โค้ง ระหว่างนั้นมีกระบะเบียดเข้ามาผมเลยเหยียบเบรคแรงนิดนึง ปรากฏว่าพวงมาลัยมีอาการไม่นิ่งและกระชาก รู้สึกได้ ทำเอาตกใจไปเลย เกือบเสียการควบคุม
สรุป
ผมว่า CHR เป็นรถที่น่าจะใช้เดินทางไกลได้สบายมากๆ ด้วยช่วงล่างที่นุ่มนวล ลำโพงที่เสียงดีและระบบอำนวยความสะดวกเต็มคัน แต่ถ้าคุณต้องการรถที่แรงขับสนุก คิดว่ายังไง CX-3 ก็ตอบโจทย์มากกว่า หรือถ้าต้องการรถใหญ่และขับสนุกด้วยก็อาจจะต้องเลือก MG GS หรือถ้าต้องการเอนกประสงค์+เป็นเจ้าตลาด HRV ก็จะดีที่สุดในกลุ่มนี้ครับ