ใช้ prius ปี12 รุ่น Top Option ที่มีแผงโซลาร์อยู่ครับ มองไม่ค่อยออกว่ามีแผงโชลาร์เพราะรถสีดำ แผงโซลาร์กลืนไปกับสีรถ 555 ปัจจุบันใช้มาประมาณ 11x,xxx กม.
ถ้าจะซื้อรถปี 12-14 ลองเอาเลขตัวถังเช็คกับทางศูนย์ว่าเจ้าของเดิมได้เอารถไป update software เพื่อขยายเวลารับประกัน inverter เป็น 15 ปีหรือไม่ (จากเดิม 3 ปี or 100,000 กม.) (inverter ราคาประมาณ 8 หมื่นบาท)
ข้อดีก็ประหยัดน้ำมัน ถ้าขับทางไกลก็ระดับ 20 กม./ลิตร สบายๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้รถรุ่นอื่นๆเครื่องปกติที่ไม่ไฮบริดก็อาจทำได้ใกล้เคียงนี้ แต่ความแตกต่างในด้านความประหยัดจะเห็นชัดเมื่อใช้ในพื้นที่รถติดๆในเมือง รถผมใช้ในเมืองในพื้นที่ที่รถติด ในรอบระยะทางที่วัด 4,138.7 กม. , ความเร็วเฉลี่ย 18 กม/ชม , กินน้ำมัน 15.61 กม/ลิตร ( onboard แสดง 16.13 กม/ลิตร , 6.2 ลิตร/100กม )
แต่ถ้าใครต้องจอดซ้อนบ่อยๆคงไม่สะดวกเพราะปลดเกียร์ว่างเพื่อเข็นไม่ได้ (สำหรับผมไม่เป็นข้อเสียเพราะปกติไม่จอดซ้อนหรือจอดในที่ที่ต้องให้คนอื่นเข็นอยู่แล้ว)
นอกจากเรื่องราคาตกลงมาเยอะ (ผมตามดูราคาแค่ช่วงแรกๆช่วงนั้นตกเยอะ ตอนนี้ไม่ได้ตามราคาละ ขับอย่างเดียว 55) สิ่งที่คนทั่วไปกังวลอีกอย่างคือราคาอะไหล่(โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบไฮบริด)
ข้างล่างนี้คือราคาอะไหล่ที่ผมเคย search ไว้หลายปีแล้วตั้งแต่ตอนเลือกซื้อ ปัจจุบันไม่ทราบว่าเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เพราะรถผมอะไหล่เหล่านี้ยังไม่เสีย ยกเว้นแบตไฮบริดที่เสียตามอายุของมัน
- แบตไฮบริด 86,250 บาท
- มอเตอร์คอพวงมาลัย 30,300 บาท
- Inverter ราคา 81,400 บาท
- กล่อง ECU ราคา 33,250 บาท
- คอมเพรสเซอร์แอร์ 45,000 บาท
- ปั๊มเบรคไฟฟ้า 63,500 บาท
- ไฟหน้า led คู่ละ 44,000 บาท
ตั้งแต่ใช้มา ไม่มีเสียจุกจิกอะไรเลย มีแค่แบตที่เสียเมื่อปี 17 ตอนเลขกิโล 89,348 เปลี่ยนฟรี เสียค่าธรรมเนียมอะไรซักอย่าง (ค่ากำจัดแบตรึเปล่าไม่แน่ใจ) 1,800 บาท จากการสอบถามทางศูนย์ว่าถ้าต้องเสียเงินเองราคาเท่าไหร่ ศูนย์บอกว่าประมาณ 80,000 บาท พอๆกับที่เคย search ข้อมูลไว้ ตอนแบตเสียก็สามารถขับได้อยู่ ไม่ต้องจอดเรียกรถยก แต่จะกินน้ำมันมากกว่าปกติเท่านั้น
ด้วยความไม่จุกจิก ถึงแบตเสียก็ยังพอขับต่อกลับมาได้ ผมไว้ใจขับไปเที่ยวเขาเที่ยวทะเลเหมือนรถปกติทั่วไปได้อย่างไม่กังวลครับ