ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุผลใดที่ในบ้านเราถ้าใช้งานเกิน 5 ปี รถยุโรปยังคงจุกจิกกว่ารถญี่ปุนอยู่ครับ  (อ่าน 8081 ครั้ง)

ออฟไลน์ Niti

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,033
  • Live is short. Live it!
สงสัยเฉยๆ นะครับ ว่าด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ต่อให้มี philosophy หลายอย่างไม่ตรงกัน สำหรับการใช้งานระยะยาว รถยุโรปเองก็น่าจะสามารถทำให้ใช้ได้อย่างสบายใจได้เทียบเท่ารถญี่ปุ่นไหมครับ สังเกตุว่าระดับการใช้งานแบบหลัง 5 ปีไปนี่ไม่มีใครไม่บ่นเรื่องรถยุโรปเลย

ที่ถามเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้รถที่บ้านทุกคันกลายเป็นญี่ปุ่นหมดแล้ว ไม่เหลือยุโรปเลย จากเดิมที่เคยมีปนอยู่ 2-4 คัน ตลอด  :P
-------------------------------------------------------------
In: 350Z DE / New Fortuner TRD / Harrier XU60*2 / Alphard AH30
Out: Miata NC RHT / 86 / IS250
-------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ kez

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,591
  ต้องถามว่าซ่อมแบบเข้า 0 ตลอดหรือเปล่า

 แล้วเปลี่ยนทุกอย่างตามที่เค้่บอกกริอเปล่า

 ถ้าเปลี่ยนทุกอย่างก็ใช้ได้นาน.

 แต่ผู้ใช้มักเปลี่ยนไม่หมด เพราะมันแพง   พอไม่ซ่อมมันก็เริ่มงอแง แล้วบอกว่าจุกจิก

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,463
ไม่รู้นะ  อาจจะเป็นการออกแบบก็ได้

ผมใช้รถมือสอง คันที่ใช้อยู่  ซื้อปี 55    ถ้ารวมอายุทั้งหมด  ก็  16 ปีแล้ว  เรื่องเครื่องยนต์ไม่เห็นมีอะไรจกจิก  ถ้าเป็นพวกคำเตือนในด้านความปลอดภัย  หรือพวกเอเซสเซอรีอาจจะรำคาญบ้าง  ว่าแต่รู้และเข้าใจมันหรือเปล่า

ออฟไลน์ raygun

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,051
.
.
เป็นความเชื่อผิดๆครับ
รถยุโรปในบ้านเรากับรถญี่ปุ่นในบ้านเรานี่ต่างกันมาก แค่ออฟชั่นระบบต่างๆ
รถยุโรปก็เยอะกว่ามากแล้ว แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันก็มีจุดให้เสียได้มากกว่า

อีกเหตุผลก็ตามความเห็นบนบอกเลยครับ เข้าศูนย์และทำทุกอย่างตามที่เค้าบอกรึเปล่า?
ส่วนใหญ่พอหมดประกันก็ซ่อมอู่นอกกันแล้ว แล้วก็บ่นว่ามันไม่ทน ทั้งๆที่จริงๆมันทน
แต่แค่ค่าบำรุงรักษามันแพงกว่ารถญี่ปุ่นแค่นั้นเอง

ส่วนตัวผมใช้ CLA250 มาเข้าปีที่ 6 แล้ว มันยังไม่เคยมีอะไรเสียเลยแม้แต่อย่างเดียว
แต่เข้าศูนย์ตามระยะแค่นั้นจบ สำหรับผมแบบนี้คือไม่จุกจิกเลย

ออฟไลน์ Seatar

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 158
    • อีเมล์
หตุผลที่จุกจิกกว่าเพราะไม่ได้มีความรู้บวกกับงกครับ เสียดายเงิน ถ้าเข้าศูนย์และเปลี่ยนอะไหล่สำคัญๆ ตลอดที่ไม่ใช่พวกยางปัดน้ำฝนหรือสายพาน มันไม่จุกจิกเลย ส่วนมากเข้าอู่แล้วเน้นซ่อม (ราคาจึงถูกกว่าเปลี่ยน) ของเสียที่เอาไปซ่อมให้ใช้งานได้อีกครั้งมันก็ไม่ดีเหมือนอะไหล่ป้ายแดงจากโรงงานหรอกครับ

ออฟไลน์ AMG GT

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,961
ไม่อยากจะพูดเลยว่าคุณภาพสายไฟในส่วนที่มองไม่เห็นนั้นรถยุโรป.......
ปล.ถ้าเอาเทียบราคาเท่าๆกัน lexus benz bmw    lexus ก็ยังทนกว่าอยู่ดีนะระบบไฟฟ้าก็เยอะพอๆกันด้วย

ออฟไลน์ bankiesdluffy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 349
Benz ตากลมที่บ้าน
20 กว่าปี ก็ไม่มีจุกจิกอะไรนะครับ
แต่ก็อย่างว่า คงขับไปซ่อมไป เปลี่ยนไปจนครบหมดทุกอย่างแล้ว

ถ้าไม่นับเคส defect
ถ้ายอมเสียเงินเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ
มันก็จะไม่จุกจิกนะครับ
แต่ทีนี้อะไหล่มันแพง
บางทีเราก็งกใส่ของเทียบมั่ง ของมือสองมั่ง
มันก็ต้องทำใจว่าอาจจะไม่ทนเท่าของแท้เบิกใหม่

บวกกับรถสมัยใหม่มันมีระบบจุกจิกกว่ารถสมัยก่อนด้วยมั้งครับ
ยิ่งมีจุดนู่นนี่นั่นให้เสียเยอะ
ระบบไฟฟ้า เซนเซอร์ เยอะแยะไปหมด

ออฟไลน์ ภูมิใจไหม?

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,143
  • SNK vs Playmore
หวังว่า Supra จะตัด option ออกเยอะ ๆ แล้วขายถูกกว่า Z4 แยะ ๆ

แล้วบำรุงรักษาถูก ๆ ช่างโตโยต้าไม่ต้องเกาหัวแกรก ๆ

บ่นในกระทู้นี้ได้ไหม อิอิ

ออฟไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,535
เคยอ่านเจอชบางชิ้นส่วนรถยุโรปชอบเปลี่ยนจากโลหะไปใช้พลาสติก แถมเป็นพลาสติกที่เสื่อมจากสภาพแวดล้อมได้ง่าย พอเจอใช้งานหนักๆ ตามสภาพอากาศบ้านเราก็เอาไม่อยู่ ต้องรออะไหล่ลอตใหม่ที่แก้ไขแล้วถึงจะดีขึ้น แต่อะไหล่ศูนย์ก็แพงกว่าญี่ปุ่นมากๆ
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ NoBiReacto

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 763
    • อีเมล์
รถญี่ปุ่นถ้าเทียบกับสมัย10ปีก่อนน่ะใช่ครับ ทนมากๆ เพราะไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรเยอะแยะ
มาสมัยนี้ เริ่มอัดออพชั่นมาเพิ่มขึ้นระบบไฟฟ้าเยอะขึ้น กลายเป็นว่าบางอย่างเริ่มเสียเริ่มพังก่อน5ปีก็มี

ออฟไลน์ harvard

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 100
ขับขี่ดีกว่า ซับซ้อนมากกว่า เสียมากกว่า ซ่อมมากกว่า

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
เอาง่ายๆ เทียบแค่ยี่ห้อเดียวกัน แต่ต่างรุ่นย่อย

MINI r56 One vs CooperS

One เครื่องหัวฉีดท่อไอดี NA vs CooperS เครื่องฉีดตรงเทอร์โบ

CooperS ระบบน้ำมัน ปั๊มแรงดันสูง หัวฉีด คอยล์จุดระเบิด เทอร์โบ ระบบราวลิ้นรับแรงมากกว่าเครื่องร้อนกว่า พังเร็วกว่า ไม่มีคันไหนทีแสนกว่าโลไม่พังสักอย่าง ความทนทานของพวกนี้ไม่มีอยู่แล้ว

One ไม่มีปั๊มแรงดันสูง ไม่มีหัวฉีดตรง ไม่มีเทอร์โบ ไม่มีพัดลมหลายเสต็ป ไม่มีความร้อนสูง  = ไม่พัง  ใช้ทสเหมือนรถโตโยต้า Vios  ห้าแสนกว่าโลผมก็เจอมาแล้ว



ออฟไลน์ bmmac

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 319
มันจะเหมือน สุนัขไซบีเรียนมั้ยครับ ที่เข้ามาแรก ๆ ทนอากาศบ้านเราไม่ได้ อายุสั้น
แต่ตอนนี้ ส่วนใหญ่มาเกิดที่ีนี่ สายพันธุ์แข็งแรงขึ้น ทนอากาศบ้านเราได้มากขึ้น
กลับกัน
ถ้ารถยุโรป เกิดเมืองไทยเลย ทุกชิ้นส่วน ไทยทำ หมด คัดผู้ผลิตวัสดุชั้นดี ให้สมราคา
มันจะทนและ เข้ากับเมืองไทยรึเปล่าครับ

ออฟไลน์ bmmac

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 319
เอาง่ายๆ เทียบแค่ยี่ห้อเดียวกัน แต่ต่างรุ่นย่อย

MINI r56 One vs CooperS

One เครื่องหัวฉีดท่อไอดี NA vs CooperS เครื่องฉีดตรงเทอร์โบ

CooperS ระบบน้ำมัน ปั๊มแรงดันสูง หัวฉีด คอยล์จุดระเบิด เทอร์โบ ระบบราวลิ้นรับแรงมากกว่าเครื่องร้อนกว่า พังเร็วกว่า ไม่มีคันไหนทีแสนกว่าโลไม่พังสักอย่าง ความทนทานของพวกนี้ไม่มีอยู่แล้ว

One ไม่มีปั๊มแรงดันสูง ไม่มีหัวฉีดตรง ไม่มีเทอร์โบ ไม่มีพัดลมหลายเสต็ป ไม่มีความร้อนสูง  = ไม่พัง  ใช้ทสเหมือนรถโตโยต้า Vios  ห้าแสนกว่าโลผมก็เจอมาแล้ว

นี่ครับ ถ้าสมมุติว่า เปลี่ยนวัสดุที่สามารถทนความร้อนได้มากกว่า เพื่อตลาดเมืองไทย หรือตลาดเมืองร้อน รถยุโรป ก็จะทน และไม่จุกจิกหรือเปล่าครับ

ออฟไลน์ Tien.W

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,195
    • อีเมล์
อย่าลืมว่า รถยุโรป ส่วนหนึ่ง ถูกคุมเรื่องของ วัสดุที่ย่อยสลาย หรือ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ดังนั้น ความทนทานของวัสดุหลายๆอย่าง มันจึงไม่ทนทานนัก อีกทั้ง รถที่เกิดมาในเมืองหนาว กับ เมืองร้อน มันก็ต่างกันนะครับ

นอกนั้น ก็เป็นเรื่องของการดูแล ของเจ้าของเอง แหละ

ออฟไลน์ CarameLon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,387
ช่างที่เชี่ยวชาญรถหยุ่นมีจำนวนมากกว่ารถฝรั่ง ทำให้ค่าซ่อมแพง
หลัง5ปีขึ้นไป ก็จะจ่ายค่าซ่อมเป็นหลายรายการ ตามอะไหล่ที่เสื่อม
จะมีก็แต่คนไทยขี้เสียดายตังก็เลยบ่นไปเรื่อย หาว่าจุกจิก
TOYOTA WISH SPORT 2.0>>>CRV-2.4L 4WD GEN3>>>TOYOTA Camry 2.4 2010>>>BMW 520 ตาเหยี่ยว>>>BMW X3 2011 >>>BMW 520D 2010 >>>BMW 525D ก่อน LCI >>>BMW 116i M-sport >>>BMW X1 2.0 S-drive 2016 >>>Mercedes GLA200 >>>Mercedes C Class C350e >>> BMW330e+BMWS1000R

ออนไลน์ XMSL

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 827
เดาเอานะครับ..รถยุโรปใช้เมืองหนาวเป็นหลัก ห้องเครื่องแน่นระบบระบายความร้อนเล็ก ระบบปรับอากาศเล็ก พอมาเจออากาศร้อนๆอย่างเมืองไทย อุปกรณ์ที่โดนความร้อนเยอะๆก็รวน โดยเฉพาะซีลหรือสายยาง รวมทั้งสายไฟและฉนวนที่มียางเป็นส่วนประกอบ สรุปง่ายๆคือทนร้อนไม่เก่งเท่าพี่ยุ่น

ออฟไลน์ Pegasus7700

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,815
ลองอธิบายคำว่า จุกจิก เพิ่มเติม และยกตัวอย่างชัดๆ
ผมว่ามันแตกประเด็นได้เยอะครับ

บางคนมองว่าการที่ซ่อมเองไม่ได้ ก้อเรียกว่าจุกจิก. ทั้งๆที่มี่ซ่อมเองไม่ได้ เพราะมันซับซ้อน และกัวหมดประกัน ไม่ใช่จุกจิก
...ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป...

MERCEDES BENZ W212 '12
FORD FOCUS 2.0 Gdi '13
HONDA Civic RS '20
VOLVO XC60 Hybrid Inscription '19
FORD EVEREST 2.0 Bi Turbo '22

ออฟไลน์ dht_tubes

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,636
    • อีเมล์
ผมว่าคำถามลักษณะนี้ จะยังคงมีไปอีกช่วงเวลานึง เพราะรถในเทคโนโลยี่แบบเดิม ที่ไม่ใช้ระบบไฟฟ้ามากเท่ารถยุค 10 ปีหลังๆ ไม่มีพวกกล่อง ECU ต่างๆ มันยังมีในตลาดรถบ้านเราเยอะ

เมืองไทยใช้รถนานเกิน 10 ปีมาก ดังนั้นคนที่อยู่ช่วงกำลังจะเปลี่ยนผ่าน อ่านมาก ฟังมามาก ย่อมเกิดความกังวลใจ เพราะโดยสรุป มันก็ไม่พ้นเรื่องเงินที่ต้องหามาจ่าย มาซ่อม มาดูแลรถคันที่ใช้อยู่

ดังนั้น คำว่า จุกจิก ของคนที่เพิ่งเคยใช้ ย่อมเยอะกว่าคนที่ใช้มาหลายปี ผ่านอะไรมาเยอะกว่าอยู่เป็นเรื่องธรรมดา

คงต้องเจาะเป็นจุดๆไป เป็นยี่ห้อๆไป เป็นคันๆไปด้วยครับ ไม่งั้นไม่ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์จริง จะมีแต่ความเห็นที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งด้านลบ และ ด้านบวก ต่อแบรนด์นั้นๆ ต่างกันไปเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า

รถบางคันจุกจิก เพราะเจ้าของขี้เหนียว ก็เห็นเยอะแยะไปครับ
รถบางคันเคลือบสีเป็นหมื่น แต่ใช้ยางมือสอง ก็ยังมีให้เห็น

ดูเป็นเคสๆไปดีกว่าครับ

ออฟไลน์ arya

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 553
โดยรวมแล้วมาตรฐานการผลิตรถญี่ปุ่น ดีกว่า รถยุโรปคับ

และการออกแบบชิ้นส่วนและวัสดุที่เรียบง่ายกว่า และเน้นการทดสอบวัสดุ และการใช้งานรถในสภาพการใช้งานจริงมากกว่า (ผมมักไม่ค่อยเห็นรถยุโรปวิ่งทดสอบการใช้งานจริงในบ้านเราสักเท่าไร)

สไตล์การทำงานญี่ปุ่นทำงานจริงจังกว่า ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆมากกว่า ทำ R&D เยอะ ทดสอบจนมั่นใจก่อนนำมาผลิตจริง

ผมพูดในภาพรวมการทำงานและมาตรฐานในการผลิตรถยนต์นะครับ

อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีข้อยกเว้น จึงต้องดูเป็นรุ่นๆไปด้วยครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2019, 22:40:17 โดย arya »

Nonlamer

  • บุคคลทั่วไป
ก็เพราะมุมมอง แนวคิด ปรัชญา และวัฒนธรรมขององค์กรที่แตกต่างครับ พวกนี้ส่งผลถึงกระบวนการพัฒนา ตรวจสอบ และการผลิต จะบอกว่าคือทุกๆอย่างเลยก็ว่าได้

แต่ก็เหมาไม่ได้ว่าเป็นทุกยี่ห้อของบริษัทญี่ปุ่น ก็ต้องดูเป็นแต่ละองค์กรไป

ออฟไลน์ neung23

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,661
มันต่างกันตั้งแต่ปรัชญาการออกแบบนู่นคับ

เทียบรถรุ่นต่อรุ่น รถยุโรปแค่กล่องสมองกลควบคุมมันก็มากมายกว่ามหาศาลแล้วคับ

เรื่องเมืองหนาวเมืองร้อนตัดไปได้เลย สายไฟ แผงประตู วัสดุทุกอย่างที่เอามาใช้กับรถที่ออกขายภูมิภาคร้อน ก็ต่างกับรถที่ส่งขายเมืองหนาวบางส่วนอยู่แล้ว แต่ด้วยวัสดุศาสตร์ในปัจจุบันมันดีขึ้นมาก จนใช้วัสดุเดียวกันได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ชุดสายไฟเมนของรถที่เป็นกำใหญ่ๆนั่นแหละ แต่ก่อนเปลืองฉนวนหุ้มสายต่างกัน เดี๋ยวนี้ผ่าตัดดูก็เหมือนกันกับรถยุโรปที่ส่งขาย ญป แต่ผลิตที่เยอรมัน

รถญี่ปุ่นไฟส่วนมากใช้รีเลย์คุมตัวนึงต่อไฟ1วงจร ไฟหน้า รีเลย์1ตัว สวิตซ์
แต่รถยุโรปใช้ สวิตซ์ > Light control module คุมไฟส่องสว่างรถก็ไฟส่องสว่าง ระบบถุงลมก็อีกกล่อง ระบบเครื่องก็อีกกล่อง แยกกัน วิ่งในบัสไลน์1ชุด แค่นี้ก็ต่างกันเยอะแล้ว ฉนั้น ช่างต้องเข้าใจพวกพื้นฐานพวกนี้ก่อนเลย ไม่ใช่หาว่าซ่อมยาก ซ่อมเย็น อะไหล่แพง

รถญี่ปุ่นไฟไม่ติด เช็ค หลอดไฟ รีเลย์ ฟิวส์ ถ้าไม่หาย สายไฟจากสวิต ไปรีเลย์ หลอดไฟ
ยุโรปไฟไม่ติด หลอด สวิต ชุดสายไฟ กล่อง LCM

ผมใช้ e60 อยู่ ชุดสายไฟในโคมชอบเปื่อย ฉนวนหุ้มแตก ละลาย เปื่อย ทำให้สายทองแดงมันออกมาช็อตกันเอง บางคันรวนไปช็อตกล่อง LCM ก็มีให้เห็นบ่อยๆ ก่อนจะช็อตถึงนั้น ฟิวส์โดนก่อน กว่าจะถึงกล่อง

ที่ผมกล่าวคือ ระบบมันยุ่งยากกว่าแต่แรกอยู่แล้ว พอปล่อยจนกล่องไฟพัง หลอดไม่ติด เปลี่ยนหลอดก็ไม่ติด ก็ต้องซ่อมกล่องสมองกล แต่สาเหตมันคือสายไฟในโคมเปื่อย ลามไปอย่างอื่น

ง่ายๆตามที่บอกคือ มันต่างกันตั้งแต่การออกแบบมาแล้วคับ แล้วที่ต้องทำมาแบบนั้น
ผมเห็นข้อดีคือ สมอง1ตัว มันสามารถรับการใช้งาน ตามกฎหมายในแต่ละที่ที่รถไปจำหน่ายได้ง่าย เช่นไฟ DRL ในบางประเทศให้ติดหลอด ชนิดนั้นชนิดนี้ ตำแหน่งนี้ อีกประเทศไม่ต้อง อีกประเทศต้องติดหน้า ติดหลังด้วย บางประเทศติดแค่หน้าพอ ..... ซึ่งกล่องสมองกลมันสามารถรองรับการใช้งานแตกต่างพวกนี้โดยแก้แค่ ซอฟแวร์ ไม่ใช่ ฮาร์ดแวร์





2013 W204 C250 AMG Plus
2011 Prius
2010 X5 xDrive 4.8i
2003 E39 523i Sport

ออฟไลน์ the kit

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,313
คำว่ารถยุโรปมันกว้างมาก แต่โดยรวมมันก็ยัง "จุกจิก" มากกว่ารถ Jap อยู่ดี
รถยุโรป ที่ จขกท.พูดถึง  ผมขอหมายถึง ยุโรปยี่ห้อดัง โดยมาก คือ สองยี่ห้อที่ "ต้องมี" (รึเปล่า?) 

ไม่ใช่หลัง 5 ปีไม่มีใครพูดถึง แต่ "คนมีตังค์" เขาเปลี่ยนรถไป ตั้งแต่ก่อน 5 ปี หรือส่วนใหญ่จะเปลี่ยนหรือขายไปก่อน "หมดระยะประกัน"

รถยุโรปหลัง 5 ปี เป็นรถที่ "นักเล่น" คือ คนชอบรถรุ่นนั้นรุ่นนี้ ตั้งแต่ป้ายแดง แต่ราคามันยังแรงไป รอราคาที่มันพอ "คว้าได้" มาเป็นเจ้าของ
ซึ่ง "นักเล่น" เองก็ศึกษา ปห. และเรื่องจุกจิกที่จะต้องเจอมาพอสมควร และ "พร้อมรับ" สถานการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว
จึง "ไม่บ่น" มากเท่า "คนมีตังค์ เจ้าของมือแรกรถใหม่ป้ายแดง"

"อะไรว่ะ ซื้อก็แพง แถมยังใช้ไม่กี่ร้อย กี่พันโล ป้ายแดงก็ยังอยู่ ทะนุทะนอมยิ่งกว่าลูกที่บ้าน เคลือบแก้ว ติดกันรอย ฯลฯ
แม่งขับอยู่ดีๆ Error Code ขึ้น หรือดับไปซะอย่างงั้น!!???"

"ทุบเลยดีไหม!!??" ฯลฯ อีกหลายคำพูด...

แต่ผิดกับ "นักเล่น" ก็บอกแล้วว่า "พร้อมรับ" และ "ตั้งรับ" ไว้แล้ว
คำพูดเหล่านี้ จะไม่มีออกมา อย่างมากก็บ่นอุบอิบ "อะไหล่แพงฉิบ, หายากนะตัวนี้, มึงจะย่อยสลายอะไรของมึง"
และส่วนใหญ่ "นักเล่น" จะมีรถ Jap ติดโรงรถไว้อย่างน้อย 1 คัน เพื่อเป็นคันที่วิ่งหาอะไหล่!!

แต่ก็มีคนซื้อมาตั้งแต่ "มือหนึ่ง" ซ่อมจนชินชาแล้ว
ขายก็ขายไม่ลง เพราะราคาเหลือ 30กว่า% ของราคาซื้อ ต้องใช้ไป หรือไว้ขี่โชว์ เฉพาะออกงานก็มีเยอะ
และก็ปลอบใจตัวเองว่า "ราคาเท่ากับ Civic แต่ขี่ดีกว่าเยอะ โก้กว่าเยอะ @#$%^%"

"ซ่อมให้มันถึง มันก็อยู่รับใช้อีกนาน" มันก็จริง แต่เคยมองค่าซ่อมไหม ว่าหมดกับมันไปเท่าไร
เวลาขับไป ตจว. หรือทางเปลี่ยวๆ มั่นใจเท่ารถ Jap ไหม?

แต่ก็มีนะ แค่ซ่อมตามระยะ ไม่เจอ ปห.หนักก็มี ถือว่า "โชคดีมาก"
"Make It Count"

ออฟไลน์ IS2000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,183
    • อีเมล์
จากประสบการณ์ส่วนตัวผมว่ารถญี่ปุ่นระยะยาวทนและจุกจิกน้อยกว่ารถยุโรปครับ และเรื่อง maintenance ก็ง่ายกว่าด้วย รถยุโรปถ้าดูแลถึงก็ทนมากแต่ก็ยังต้องเข้าอู่บ่อยกว่ารถญี่ปุ่นครับ ผมมีรถญี่ปุ่นแนว high performance ใช้มา 16 ปีจอดเป็นส่วนใหญ่ไม่เคยมีอะไรต้องซ่อม ส่วนรถยุโรปยี่ห้อ P ใช้งานแบบเดียวกันอายุจะ 10 ปีหลังๆมาเริ่มมีอะไหล่ช่วงล่างต้องเปลี่ยนและมี code ต่างๆที่ต้องไปลบออกช่วง service ครับ
1 3 5
├┼┼╕
2 4 6 R

ออฟไลน์ tatum0022

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 760
    • อีเมล์
อุปกรณ์มันต้องดูครับ รถยุโรปอุปกรณ์เยอะ มีเรื่องให้บ่นอยู่แล้วครับ ผมใช้ทั้งสอบฝั่ง ญี่ปุ่นปวดหัวน้อยเพราะไม่ค่อยจะมีอะไรให้พัง แต่ล่าสุด Fortuner ผมคอมแอร์เสีย ยังตกใจอยู่เลย รถพึ่งหมดประกัน พังแล้ววว ดังนั้นไม่ต้องอะไรมากครับ ใครใช้อะไรก็ต้องซ่อมทั้งนั้น ถ้าคันนั้นประกอบไม่ดี ตัวเราขับไม่ดี ฯลฯ โทษตัวเองก่อนดีกว่าครับ
E220d AMG 17' BBS RI-D
C200 AMG Carlsson add on 12'
Fortuner 2.8 E4 16'
Camry Hybrid 10'
Jazz JP 12'
vios 13'
Preruner 08'
Austin Mini Mark1 1962

ออฟไลน์ bingoman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,367
Benz, BMW, Audi: build to enjoy

Toyota, Honda, Mitsu: Build to last

ออฟไลน์ jobs168

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 58
จุกจิกจริงครับ เทียบกับ lexus ที่ระบบเยอะพอๆกัน น่าจะเห็นภาพนะครับ


ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,190
    • อีเมล์
เห็นด้วยกับบางท่าน

ผมใช้ทั้งยุโรป และ ญี่ปุ่น

ถ้าบอกว่า ยุโรป อุปกรณ์เยอะ ออฟชั่นเยอะ ระบบไฟฟ้าเยอะ เลยฟังไว อายุสั้น ซ่อมเยอะ ซ่อมบ่อย

ผมเห็นตรงกับท่านบนคือ Lexus ผมว่าอุปกรณ์ไม่ต่างกันกับยุโรปเลยนะ ทำไมปัญหาน้อย ทน แทบไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อมเลย ซ่อมตามอาการพอ (แอบอิจฉา)

มันหมดยุคอ้างว่า รถขับดี รถออฟชั่นเยอะ เลยจุกจิก เป็นเรื่องธรรมดา ผมมีคำถามในหัวตลอดว่า "รถขับดี ออฟชั่นเยอะ มันจำเป็นต้องจุกจิกด้วยเหรอ..?"

ยุโรป มีเข่าทรุดไปทีนึงละ ค่าเปลี่ยนโหดเอาเรื่องเลย  :'( :'(