Skyactiv Technology มี 5 องค์ประกอบดังนี้
1. SKYACTIV-ENGINE เทียบได้กับ VW Bluemotion Mercedes BlueEfficiency BMW EfficientDynamics Honda Earthdreams Nissan PureDirve แบ่งเป็น 2 หัวข้อย่อย ดังนี้
I. SKYACTIV-G - เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอัตราส่วนการอัดสูงถึง 14.0:1 อัตราส่วนการอัดยิ่งสูงยิ่งประหยัดน้ำมัน
- ให้ค่าไอเสีย Co2 ลดลง 15% และผ่านมาตรฐานข้อบังคับมลพิษยูโร 5 Euro stage 5
- ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมถึง 15% ขณะที่ได้แรงบิดเพิ่มขึ้น 15%
II.SKYACTIV-D ใครใช้อยู่ ระวังเรื่องน้ำดัน เครื่องสั่น ระวังกันด้วยนะจ๊ะ - เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในรายเดียวที่มีอัตราส่วนกำลังอัดต่ำสุด เพียง 14.0:1
- ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมถึง 20% เพราะเผาไหม้สมบูรณ์กว่าและสะอาดกว่า
- Two-stage Turbocharger เทอร์โบชาร์จเจอร์สองชั้น ตอบสนองต่อเนื่องทุกรอบความเร็วได้สูงสุดถึง 5,200 รอบต่อนาที
- เป็นเครื่องยนต์น้ำหนักเบาและทนทาน
- ให้ค่าไอเสีย Co2 ลดลง 20%
3. SKYACTIV-DRIVE เทคโนโลยีระบบเกียร์อัตโนมัติ ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้น 7% รวมทุกข้อดีของระบบเกียร์ที่มีอยู่เข้าไว้ด้วยกัน
- ประหยัดน้ำมันทุกรอบความเร็ว
- ออกตัวแรงแม้อยู่บนเนิน
- ตอบสนองดี
- เปลี่ยนเกียร์ราบรื่น
4. SKYACTIV-BODY เทียบได้กับ Toyota GOA Honda G-Con- เทคโนโลยีโครงสร้างตัวถัง SKYACTIV-BODY คือ 1 ใน 5 นวัตกรรมใหม่ของรถจากเทคโนโลยีสกายแอคทีฟของมาสด้า ทั้งแข็งแรงทั้งปลอดภัย
5. SKYACTIV-CHASSIS เทียบได้กับ Toyota TNGA Subaru SGP BMW/MINI UKL/CLAR VAG MQB/MEB Suzuki Heartechเทคโนโลยีช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
- น้ำหนักของแชสซีลดลงถึง 14% เสริมความแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งเดียว เพื่อความคล่องตัวและการควบคุมที่ดีในทุกช่วงความเร็ว
- ระบบบังคับเลี้ยวเจนเนอเรชั่นใหม่ ผ่อนแรงด้วยพลังงานไฟฟ้า ช่วยให้การควบคุมได้ดั่งใจ ปลอดภัย
- ระบบรองรับการสะเทือนใหม่เพื่อคุณภาพห้องโดยสารขั้นสูง ระบบรองรับการสะเทือนด้านหลัง ปรับทิศทางการเคลื่อนที่ของ Trailing Link ให้ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้น และลดการยกตัวที่ส่วนท้ายของรถ ช่วยลดอาการเมารถ
และ SKYACTIV-X คืออะไร?- เครื่องยนต์เบนซินนั้น จุดระเบิดโดยใช้หัวเทียนส่งประกายไฟ ทำให้เกิดการเผาไหม้ ซึ่งเรียกว่าเป็นการจุดระเบิดแบบ SI (Spark Ignition) ซึ่งทำให้สามารถควบคุมการสั่งจุดระเบิดได้ดีไปจนถึงรอบสูง แต่เครื่องยนต์เบนซินนั้น ต้องการส่วนผสมระหว่างอากาศ กับ น้ำมันที่ค่อนข้างพอดี มีเชื้อเพลิงเป็นอัตราส่วนมาก หรือ น้อยไป ก็จะจุดไม่ติด
- นอกจากนี้การจุดระเบิดยังเป็นแบบส่งประกายไฟจากศูนย์กลาง และ ลามไปรอบห้องเผาไหม้ ทำให้ใช้เวลาในการเผาไหม้นานกว่าเครื่องยนต์ดีเซล เมื่อเทียบกับจังหวะการเคลื่อนที่ขึ้น/ลง ของลูกสูบ
- เครื่องยนต์ดีเซล จุดระเบิดโดยใช้หัวฉีดเชื้อเพลิงเป็นตัวกำหนด เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น และ วาล์วไอดีกับไอเสียปิดหมด อากาศภายในห้องเผาไหม้จะถูกอัดจนเกิดความร้อน ซึ่งเมื่อถึงจุดที่เหมาะสม น้ำมันดีเซลก็จะถูกฉีดเข้าไปทำให้เกิดการลุกไหม้ และ จุดระเบิด เราเรียกว่าการจุดระเบิดแบบ CI (Compression Ignition) เครื่องยนต์ดีเซลไม่ค่อยเรื่องมากกับส่วนผสมระหว่างอากาศ และ น้ำมัน จะใส่ส่วนผสมให้บางสุดๆก็ยังเดินเบาได้
- แถมเวลาจุดระเบิด การระเบิด และ เผาไหม้ยังเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ไม่ได้วาบจากหัวเทียนจุดเดียว ทำให้ได้พลังงานดีโดยใช้เชื้อเพลิงไม่มาก แต่ข้อเสียคือหมุน 7,000-8,000 รอบต่อนาทีไม่ได้ เพราะต้องให้เวลาสำหรับการอัดอากาศ และ ยิงน้ำมันเข้าไปจุดระเบิด นอกจากนี้ยังมีมลภาวะจากการเผาไหม้สูง เขม่าเยอะ และ ในบางประเทศราคาเชื้อเพลิงดีเซลก็แพง และ ผันผวนกว่าเบนซิน
อ้างอิงจากhttps://www.marketingoops.com/digital-life/what-is-skyactiv-technology/http://www.headlightmag.com/mazda-skyactiv-x-spcci-detail-report/