ผู้เขียน หัวข้อ: คาดการรุ่นรถยนต์ที่แต่ละค่ายขอใช้สิทธิส่งเสริมจาก BOI ครับ  (อ่าน 4333 ครั้ง)

ออฟไลน์ Deaw

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,073
    • อีเมล์
เกือบทุกค่ายที่ขอรับการส่งเสริมจาก BOI ในการผลิตรถยนต์พลังงานสะอาด
ไม่รู้ว่าตอนนี้ในแต่ละค่ายอยู่ในสถานะไหน แต่เท่าที่หาข้อมูลได้มีเพียง Toyota ที่ได้รับการอนุมัติและผลิตออกมาจริงเพียงรายเดียว
อยากทราบว่าค่ายอื่นๆ มีอัพเดทถึงไหน และมีแผนจะปล่อยรถรุ่นไหนออกมาบ้างครับ

กลุ่ม HIBRID
1. Toyota: Camry, CHR, Altis
2. Honda: ??
3. Nissan: Kicks e-power??
4. Mazda: ??
5. Suzuki: ??


กลุ่ม PHEV/EV
1. BMW: ??
2. Benz: ??
3. Fomm: ??
4. EA: Mine...??
5. MG: eHS??
6. Mitsubishi: OutlanderPHEV??
7. Nissan: ??
8. Honda: ??
9. Toyota: ??

ใครมีข้อมูลอะไรบ้าง มาแชร์กันครับ

ออฟไลน์ MaximaLotion

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 74
ส่วนตัวคิดว่าด้าน EV คงยากแล้วละครับเพราะหลายเจ้าก็ไปตั้งโรงงานผลิตที่อินโดกันไปเยอะแล้ว (ยกเว้นยี่ห้อไทยอย่าง Mine ที่รถก็ไม่รู้จะได้ทำจริงจังตอนไหนก็ไม่รู้แถมหายยาวอีกตอนนี้)

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,896
    • อีเมล์
ครม. อนุมัติ ปรับปรุงอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563- 31 ธ.ค. 2565 รวมทั้งปรับอัตราภาษีรถกระบะที่ใช้มาตรฐานยูโร 5 และบี20 ให้ลดลงด้วย 0.5-2% หวังลดค่าเฉลี่ยรถยนต์ที่ปล่อยฝุ่นลง 5 เท่า เหลือ 100 กรัม/คัน/ปี ซึ่งจะทำให้ฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์ลดลง 76 ล้านกรัม/ปี

โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ครม. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงภาษียานพาหนะ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5-PM10) ตามที่รัฐบาลได้สนับสนุนให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กรมสรรพสามิตเสนอ คาดสูญเสียรายได้จากงบส่วนนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาท

ซึ่งมาตรการที่ได้รับการอนุมัติมีดังนี้
1. ปรับลดภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้มีอัตราภาษีพิเศษ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และฝุ่นจากท่อไอเสีย โดยปรับลดอัตราภาษีที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 2% ให้ลดลงเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2565 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี และหลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 - 31 ธันวาคม 2568 จะให้ใช้อัตราภาษีที่ 2% และรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตหลังปี 2568 ให้ใช้อัตราภาษีที่ 8% ตามเดิม ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะสูญเสียรายได้ราว 300 ล้านบาท
2. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) โดยปรับลดอัตราภาษีรถบนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทั้ง 2 ชนิด เพื่อยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จากมาตรฐานยูโร 4 (PM ไม่เกิน 0.025) ในปัจจุบันเป็นมาตรฐานยูโร 5 (PM ไม่เกิน 0.005) ให้เร็วยิ่งขึ้น โดยคาดว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 100 ล้านบาท

ซึ่งหากรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซลไม่น้อยกว่า 20% เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง จะสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยฝุ่น PM ลงได้ ทั้งยังจะเป็นการลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศอีกด้วย

สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการปล่อยฝุ่น PM หรือการที่เครื่องยนต์สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของบี20 ได้ มีดังนี้
1. รถยนต์กระบะ (No Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 2.5% เหลือ 2% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ 3%
2. รถยนต์กระบะ (Space Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 4% เหลือ 3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 6% เหลือ 5%
3. รถยนต์กระบะ (Double Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 10% เหลือ 9% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 13% เหลือ12%
4.รถยนต์กระบะ4 ประตู (Double Cab) แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 175 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีจาก 8% เหลือ 6%
สำหรับมาตรการนี้คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านบาท

ทางด้านนายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การที่ ครม.เห็นชอบมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษPM คาดว่า จะทำให้ต้นทุนทางภาษีของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในปี 2563-2565 รวมถึงผู้ผลิตรถกระบะที่ใช้เครื่องยนต์ยูโร 5 ที่ปล่อยฝุ่น PM ไม่เกิน 0.005 กรัม/กิโลเมตร และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลบี 20 ลดลง โดยประเมินว่าหากรถราคาคันละ 1 ล้านบาท จะลดลงคันละ 2-3 หมื่นบาท และหากค่ายรถมีการทำโปรโมชันราคาก็จะลดลงได้อีก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้เพิ่ม

อย่างไรก็ตาม คาดว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์ พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ให้มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เร็วยิ่งขึ้น และจะลดค่าเฉลี่ยรถยนต์ที่ปล่อยฝุ่น PM ลง 5 เท่า เหลือ 100 กรัม/คัน/ปี และส่งผลให้ปริมาณฝุ่น PM ที่ปล่อยมาจากรถยนต์ในแต่ละปี ลดลง 76 ล้านกรัม/ปี และที่สำคัญจะลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน และค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วย
----------------------------------------------------------
ลิ้งค์ข่าว https://www.bltbangkok.com/News/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2

ทีนี้ดูซิจะบอกรัฐฯไม่สนับสนุนกันอีกไหม ....มากกว่านี้คงต้องแถมเงินให้ผู้ผลิตด้วยมั้ง ....

ออฟไลน์ XMSL

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 827
เป็นข้อมูลปกปิดที่ผู้ขอส่งเสริมก็ไม่อยากให้คู่แข่งรู้กันครับ

ออฟไลน์ panjap

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,259
Mine ต้นปีหน้าได้เห็นรถออกมาวิ่งโชว์แน่ๆ 20 คันเป็นอย่างต่ำ และ งานมอเตอร์โชว์เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

ออนไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,535
ที่จริงรถกระบะ (หรือประเภทอื่นก็ตาม) ถ้าค่า CO2 >200 g/km ต่อให้เป็นเครื่องยนต์ Euro 5 ก็ไม่ควรลดภาษีให้หรอก ยังไงก็ถือว่ามลพิษสูงมาก
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
honda พาสื่อมวลชนไปลองขับ ไฮบริด 2 ตัว
2.0 hybrid วางใน CRV
กับ 1.5 hybrid วางใน ..... คาดว่า ซิตี้

แต่ไทม์ไลน์ ไม่ชัดเจน แต่เดาว่าคงจะช้าๆเนิบๆตามสไตล์พี่ฮอนที่วางแผนละเอียดรอบคอบ(จนเกินไป) บางที่ก็ปรับตัวช้ากว่าเค้า อย่าง บริโอ้

ออฟไลน์ Mr. RO

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 183
    • อีเมล์
ครม. อนุมัติ ปรับปรุงอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563- 31 ธ.ค. 2565 รวมทั้งปรับอัตราภาษีรถกระบะที่ใช้มาตรฐานยูโร 5 และบี20 ให้ลดลงด้วย 0.5-2% หวังลดค่าเฉลี่ยรถยนต์ที่ปล่อยฝุ่นลง 5 เท่า เหลือ 100 กรัม/คัน/ปี ซึ่งจะทำให้ฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์ลดลง 76 ล้านกรัม/ปี

โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ครม. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงภาษียานพาหนะ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5-PM10) ตามที่รัฐบาลได้สนับสนุนให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ตามที่กรมสรรพสามิตเสนอ คาดสูญเสียรายได้จากงบส่วนนี้ประมาณ 1,500 ล้านบาท

ซึ่งมาตรการที่ได้รับการอนุมัติมีดังนี้
1. ปรับลดภาษีสรรพสามิต สำหรับรถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า (Electric Powered Vehicle) สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนให้มีอัตราภาษีพิเศษ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และฝุ่นจากท่อไอเสีย โดยปรับลดอัตราภาษีที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 2% ให้ลดลงเหลือ 0% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2565 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี และหลังจากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 - 31 ธันวาคม 2568 จะให้ใช้อัตราภาษีที่ 2% และรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตหลังปี 2568 ให้ใช้อัตราภาษีที่ 8% ตามเดิม ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะสูญเสียรายได้ราว 300 ล้านบาท
2. ปรับลดอัตราภาษีรถยนต์กระบะ และรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) โดยปรับลดอัตราภาษีรถบนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลทั้ง 2 ชนิด เพื่อยกระดับมาตรฐานการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จากมาตรฐานยูโร 4 (PM ไม่เกิน 0.025) ในปัจจุบันเป็นมาตรฐานยูโร 5 (PM ไม่เกิน 0.005) ให้เร็วยิ่งขึ้น โดยคาดว่ามาตรการนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 100 ล้านบาท

ซึ่งหากรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลใช้เชื้อเพลิงประเภทไบโอดีเซลไม่น้อยกว่า 20% เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง จะสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยฝุ่น PM ลงได้ ทั้งยังจะเป็นการลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศอีกด้วย

สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการปล่อยฝุ่น PM หรือการที่เครื่องยนต์สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของบี20 ได้ มีดังนี้
1. รถยนต์กระบะ (No Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 2.5% เหลือ 2% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ 3%
2. รถยนต์กระบะ (Space Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 4% เหลือ 3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 6% เหลือ 5%
3. รถยนต์กระบะ (Double Cab) ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 10% เหลือ 9% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 4% เหลือ3% ส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดลงจาก 13% เหลือ12%
4.รถยนต์กระบะ4 ประตู (Double Cab) แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 175 กรัม/กิโลเมตร ปรับลดอัตราภาษีจาก 8% เหลือ 6%
สำหรับมาตรการนี้คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ราว 1,000 ล้านบาท

ทางด้านนายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การที่ ครม.เห็นชอบมาตรการปรับลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เพื่อให้สอดรับกับนโยบายการลดมลพิษPM คาดว่า จะทำให้ต้นทุนทางภาษีของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในปี 2563-2565 รวมถึงผู้ผลิตรถกระบะที่ใช้เครื่องยนต์ยูโร 5 ที่ปล่อยฝุ่น PM ไม่เกิน 0.005 กรัม/กิโลเมตร และรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลบี 20 ลดลง โดยประเมินว่าหากรถราคาคันละ 1 ล้านบาท จะลดลงคันละ 2-3 หมื่นบาท และหากค่ายรถมีการทำโปรโมชันราคาก็จะลดลงได้อีก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้คนไทยหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้เพิ่ม

อย่างไรก็ตาม คาดว่า มาตรการนี้จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์ พัฒนามาตรฐานการปล่อยมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ให้มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM ตามมาตรฐานยูโร 5 ได้เร็วยิ่งขึ้น และจะลดค่าเฉลี่ยรถยนต์ที่ปล่อยฝุ่น PM ลง 5 เท่า เหลือ 100 กรัม/คัน/ปี และส่งผลให้ปริมาณฝุ่น PM ที่ปล่อยมาจากรถยนต์ในแต่ละปี ลดลง 76 ล้านกรัม/ปี และที่สำคัญจะลดผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชน และค่าใช้จ่ายภาครัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลด้วย
----------------------------------------------------------
ลิ้งค์ข่าว https://www.bltbangkok.com/News/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2

ทีนี้ดูซิจะบอกรัฐฯไม่สนับสนุนกันอีกไหม ....มากกว่านี้คงต้องแถมเงินให้ผู้ผลิตด้วยมั้ง ....

ผมว่ามาตรการนี้ ดูจะช่วยแค่กระบะ นะเพราะประเทศอื่นๆผลิตกระบะขนาดนี้ยังไม่เยอะมากเมื่อเทียบกับไทย
แต่รถแบบอื่นๆที่เป็นรถๆไฟฟ้า นะ ก็นำเข้าจากจีนนะราคาก็ไม่ต่างๆ สำหรับผู้ผลิตรถรายใหญ่นะ ไม่รู้จะมาออกแรงลงทุนในไทยเพื่ออะไร
ถ้าบอกถ้าซื้อรถไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศแล้วรัฐ ช่วยส่งเสริมเพิ่มเติม เช่น
เอา 25-40% ของราคารถไฟฟ้าทีผลิตในประเทศ โดย% จะได้ส่วนลดขึ้นกับรายได้ผู้ซื้อ เอาไปทะยอยลดหย่อนภาษีได้ 4 ปีแบบนี้อ่ะ
เช่นสมมติคนมีรายได้สักเดือนละ 80,000 บาท มีฐานภาษีเสียภาษี20% ถ้าซื้อรถไฟฟ้าก็จะให้ลดหย่อนได้ 30% รถไฟฟ้าในประเทศคันละ 1,000,000บาท ก็จะเอาไปลดหย่อนได้ 300,000 บาท แต่แบ่งทะยอยลดหย่อนปีละ 75,000 บาทรายได้ปีละ 960,000บาท ก็คือ
ลดหย่อนจากฐานภาษีที่ต้องเสียภาษี 20% ในแต่ละปีก็จะลดภาษีได้ 15,000บาท รวมแล้วคือ  60,000 บาท
แต่ถ้ามีรายได้เดือนละ 600,000 บาท ก็เสียภาษีฐาน 15% อันนี้อาจให้ลดหย่อนภาษีได้ 35% ของราคารถที่ซื้อ สมมติซื้อรภไฟฟาราคา  700,000
ก็จะให้ลดหย่อนได้  245,000 บาท ทะยอยลดหย่อนได้ปีละ 61,250 บาท โดยได้ลดหย่อน 15% ก็คือปีละ 9,187.50 บาท รวม 4 ปี คือได้ส่วนลดไป
36,750 บาท
คือสรุปต้องมีการกระตุ้นช่วยให้คนอยากซื้อรถ EV ที่ผลิคในประเทศด้วย อุตสาหกรรม EV ในประเทศถึงไปได้
คืออย่างน้อยก็ได้ช่วยแรงงานที่อยู่ในอุตสากรรมนี้ให้ยังมีงานทำต่อไป
แต่ถ้าออกมาตรการเท่าที่ทำอยู่นะ ไม่ช้าอุตสาหกรรมอุตสาหรรมรถยนต์ก็คงจะเป็นอดีตในอนาคตที่ไกลนัก

แต่ถ้าจะให้ดีควรออกแบบให้อุตสาหกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียง รับจ้างผลิตให้กับบริษัทใหญ่จากต่างประเทศเท่านั้น
ควรจะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมนี้ให้อยู่ในมือคนไหยบ้าง แต่จะทำอย่างไร
ส่วนตัวให้ใช้แนวคิด ทำรถ DIY เลยครับ ให้มีผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ประกอบรถไฟฟ้าให้วิ่งในเมืองได้แต่จำกัดความเร็ว
แต่ต้องส่งเสริมให้มีมาตรฐานในการตรวจสอบการประกอบกับ และรัฐอาจกำหนด Module ของรถที่จะยอมให้ทำการประกอบได้จะไปเอาของค่ายไหนหรือที่จะยอมให้เป็นมาตรฐานกลางไหนมาใช้ก็ได้ครับ งั้นเงินก็รั่วไหลไม่ตรงอยู่ในมือคนไทยจริงสักทีครับ
แต่ก่อนจะทำอื่นๆใด ทำให้การบังคบกฎหมายให้ทั่วถึงเป็นธรรม และบังคับจริงจังและทั่วถึงด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2019, 16:19:20 โดย Mr. RO »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
BEV ของ BMW, Nissan ผมได้ยินวงในว่า จะเผ่นไปที่อื่นแล้วคับ โควต้านำเข้าไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า มันห่วยเกินทน

BMW สั่งจากโรงงานใน shenyang เพราะ ix3, i4 เตรียมออกจากที่โน้นแล้วปีหน้า

Nissan ได้ยินว่าจะไปเอารถมาจากอินโด

PHEV
MG eHS
Mitsu Outlander PHEV