ผู้เขียน หัวข้อ: ขอไอเดียหน่อยครับ ภาครัฐควรส่งเสริมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอย่างไรยุค EV  (อ่าน 3025 ครั้ง)

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,150
หลายท่านคงทราบอยู่แล้วว่าอุตสาหกรรมชิ้นส่วนในไทยมีมูลค่าสูงมาก

แต่การเกิดของ EV จะต้องเกิดแน่นอน ทั้งเพราะเทคโนโลยีและมลพิษ

ซึ่งการเกิดของ EV จะทำให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและของเหลว ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 4ล้านล้านบาทต่อปี ล่มสลาย

ตอนนี้เลยเกิดภาวะขัดขากันเอง เพราะถ้าอุตสาหกรรมนี้เหลือ 0 โดยที่ไม่มีมาตรการรองรับ ประเทศไทยล่มจมแน่

คำถามคือ เราจะมีมาตรการอย่างไรได้บ้าง ที่จะทำให้เกิดเงินหมุนเวียน 4 ล้านล้าน เมื่อ EV เกิดเต็มตัวครับ

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,190
    • อีเมล์
Distribution มีอยู่ในทุกวงการ ซึ่งรวมวงการรถยนต์เหมือนกัน

ผมว่าผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ชิ้นส่วนจะโดนน้อยสุด เพราะต่อให้เป็นรถ EV ยังไงก็ต้องใช้ชิ้นส่วน จะมากน้อยก็ว่ากันไป จะผลิตในประเทศหรือนำเข้าก็ต้องคอยโดยดูนโยบาย ณ ตอนนั้น

แต่เรื่องเชื้อเพลิงน่าจะกระทบยอดสุด แต่มันก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว มันยังมีภาคคมนาคม ภาคขนส่ง ที่ผมเชื่อว่า ในระยะ 20 ปี นี้ รถบรรทุก EV คงเข้ามาในประเทศไทยไม่ได้ อาจจะมีรถ BUS ที่เป็น EV อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงน้อยมาก ต่อให้เมืองนอกมี EV-Truck แต่ผมว่า มันก็ยังไม่ได้เป็น production ออกมาเป็น mass ขนาดนั้น

สิ่งที่เกิดตามมาในยุค EV ที่น่าห่วง คือ แบตเตอรี่ ครับ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การผลิต (ชิ้นส่วน เซลล์ และ แผ่นธาตุ) และ การหมดอายุและทำลาย ผมว่าประเด็นหลังนี้ คนพูดถึงน้อยมาก แทบไม่เคยได้ยินเลยก็ว่าได้ เพราะพูดถึงแต่การผลิตรถ EV การเกิดยุด EV Car กันซะมากกว่า

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
ลดสรรพสามิตแบตตอนนี้มันอยู่ 8%

เปิดเสรีนำเข้าเซลแบตได้

เลิกเรื่องมาก เลิกหลอกตัวเองไปวันๆว่าเป็นฮับผลิตรถยนต์ (เทคโนโลยีเก่า และขยับไปทำของใหม่ไม่ได้) ก่อนจะทำตัวเองล่มสลาย

ผู้บริโภคไม่สนว่าพวกคุณจะล้มตายไปหรือเปล่า เจออีวีผลิตจีน อีวีเกาผลิตอินโดหรือเวียดนาม เหนือกว่า ถูกกว่า ไฮเทคกว่า เค้าก้อซื้อแล้ว ไม่มีมามุขชาตินิยมหรอก

ออฟไลน์ deertesla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,245
Distribution มีอยู่ในทุกวงการ ซึ่งรวมวงการรถยนต์เหมือนกัน

ผมว่าผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ชิ้นส่วนจะโดนน้อยสุด เพราะต่อให้เป็นรถ EV ยังไงก็ต้องใช้ชิ้นส่วน จะมากน้อยก็ว่ากันไป จะผลิตในประเทศหรือนำเข้าก็ต้องคอยโดยดูนโยบาย ณ ตอนนั้น

แต่เรื่องเชื้อเพลิงน่าจะกระทบยอดสุด แต่มันก็ไม่ได้หายไปซะทีเดียว มันยังมีภาคคมนาคม ภาคขนส่ง ที่ผมเชื่อว่า ในระยะ 20 ปี นี้ รถบรรทุก EV คงเข้ามาในประเทศไทยไม่ได้ อาจจะมีรถ BUS ที่เป็น EV อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงน้อยมาก ต่อให้เมืองนอกมี EV-Truck แต่ผมว่า มันก็ยังไม่ได้เป็น production ออกมาเป็น mass ขนาดนั้น

สิ่งที่เกิดตามมาในยุค EV ที่น่าห่วง คือ แบตเตอรี่ ครับ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การผลิต (ชิ้นส่วน เซลล์ และ แผ่นธาตุ) และ การหมดอายุและทำลาย ผมว่าประเด็นหลังนี้ คนพูดถึงน้อยมาก แทบไม่เคยได้ยินเลยก็ว่าได้ เพราะพูดถึงแต่การผลิตรถ EV การเกิดยุด EV Car กันซะมากกว่า
ใช่ครับพูดถึงแต่ข้อดีรถไฟฟ้า แต่ข้อเสียรถไฟฟ้าทำไมไม่พูดถึงกันโดยเฉพาะแบตเตอรี่ ที่เห็นว่ารีไซเคิลยาก เป็นสารพิษอันตราย

ออฟไลน์ XMSL

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 827
อ่านคำถามแล้วงงๆ เดาว่ารูปแบบการจัดระบบซัพพลายเชนคงต้องดูว่าค่ายรถจะเอายังงัยด้วย เดินเกมส์ผิดจะกลายเป็นเสียอำนาจการทำตลาดไปเลย ถามว่ารัฐต้องทำยังงัย? ผมว่ารัฐเองก็เปิดกว้างแง่นโยบายอย่างเดียวครับ..คงชี้นำอะไรไม่ได้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านแบบนี้

ออฟไลน์ akewizard

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,614
ผมไม่แน่ใจนักว่าตัวเลข 4 ล้านล้านในระบบอุตสาหกรรมมันจะล่มไปทั้งหมดครับ
ในกลุ่มปิโตรเคมีอาจจะมีผลโดยตรง แต่ใน part อื่นๆผมว่าคงไม่กระทบอะไรนัก

ถ้าวันนึงรถยนต์ EV มีบทบาทมากขึ้นแต่มันก็ยังต้องใช้ชิ้นส่วนแบบเดียวกับรถยนต์เครื่องน้ำมันอยู่ดี
ระบบช่วงล่าง ระบบเบรค บุชยาง ลูกปินล้อ ยางรถยนต์ หรืออื่นๆมันก็ใช้เหมือนๆเดิม (ยกเว้นว่าจะทำรถต้านแรงดึงดูดแบบใน starwar ได้ คงได้ปฏิวัติระบบอุตสาหกรรมกัน)

ออฟไลน์ ariazero

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 621
ทำพื้นทีี่สาธารณะ สร้าง จุดชาร์ต EV ให้เอกชนมีส่วนร่วมลงทุนแล้วลดภาษีน้ำเข้าชิ้นส่วน ห่างกัน การทำ อุปกรณ์การชาร์ต EV กระจายตามทางหลวง เริ่มจาก เส้น สุวรรณภูมิ

พัทยา ขยายไปพระราม 2 และอื่นๆ (เมื่อไหร่ ถนนเสร็จ?) ทำที่พักทาง ให้แม่กิมลั้ง มารวมๆกัน ทำเป็นจุดพักรถ ใครถือกุญแจ EV รับฟรี กาแฟ 1 แก้ว ร้อนหรือเย็น

ที่ไหนมีสนามบิน สร้างจุดชาร์ต ไม่เกิน 100 กิโลเมตรด่วน (สร้างที่กันขโมยด้วย น่าจะหลายตัง คนน่าจะมาขโมยสายชาร์ต )

'8X Familia, '91 TFR ,
'94 Sunny B13, '98 520i (E28), '99 Sunny B14,
'08 Vios, '08 C200, '08 Vitara
'15 Vios, '17Accord G9 MC, '17 X1 18i

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,363
ครม. เพิ่งอนุมัติการนำเข้าเครื่องจักรมานะครับ รวมทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยถูก

https://thejournalistclub.com/2020/01/28/%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%a1-%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%95%e0%b8%b8/


ออฟไลน์ เนื้อน่องไม่หนัง

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,692
ในส่วนของภาครัฐให้ปรับโครงสร้างภาษีส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้อุตสาหกรรมรถ ev เกิดในไทยได้และแข่งขันกับรถผลิตในประเทศและรถไฟฟ้าที่นำเข้าจาก ไม่ใช้รอให้ทะลักเข้ามาจากจีนล้วนๆ
ตัวผมไม่ค่อยสนับสนุนโครงการกระตุ้นให้คนปรับมาใช้รถไฟฟ้าเท่าไร่ อยากให้คนที่สมัครใจเปลี่ยนด้วยพร้อมมากกว่า
ในเรื่องของมลพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต/ทำลายแบตเตอรี่ ถ้าได้ถูกส่งไปกำจัดในโรงงานที่ได้มาตรฐาน น่าจะปลอดภัย และสร้างมลพิษน้อยกว่า มลพิษจากการเผาไหม้ที่ปัจจุบันมีทั้ง รถแต่ง รถอุดegr รถควันดำ


MacH1

  • บุคคลทั่วไป
ในส่วนของภาครัฐให้ปรับโครงสร้างภาษีส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้อุตสาหกรรมรถ ev เกิดในไทยได้และแข่งขันกับรถผลิตในประเทศและรถไฟฟ้าที่นำเข้าจาก ไม่ใช้รอให้ทะลักเข้ามาจากจีนล้วนๆ
ตัวผมไม่ค่อยสนับสนุนโครงการกระตุ้นให้คนปรับมาใช้รถไฟฟ้าเท่าไร่ อยากให้คนที่สมัครใจเปลี่ยนด้วยพร้อมมากกว่า
ในเรื่องของมลพิษที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต/ทำลายแบตเตอรี่ ถ้าได้ถูกส่งไปกำจัดในโรงงานที่ได้มาตรฐาน น่าจะปลอดภัย และสร้างมลพิษน้อยกว่า มลพิษจากการเผาไหม้ที่ปัจจุบันมีทั้ง รถแต่ง รถอุดegr รถควันดำ

โควต้านำเข้ามาทดลองตลาดของบีโอไอนี้คนไม่รู้เรื่องกันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ทำให้ค่ายรถเตรียมเผ่นกันหมดแล้ว ถึงออกบัตรส่งเสริมให้ พวกค่ายรถก็เฉยๆก้อจะคืนบัตร

ภาษีสรรพสามิตแบตนะหมกเม็ด ไปแก้หรือยัง วันๆมาออกแต่ prๆ 

คหสต. ถ้าถึงมีผลิตไทย ผมเชื่ออีวีผลิตจีน จะแบรนด์จีน แบรนด์ฝรั่งแล้วแต่ เป็นตัวเลือกแรกมากกว่า ทั้งเรื่องดีไซน์ สมรรถนะ เทคโน และราคา

ออฟไลน์ Odd_yim

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 439
    • อีเมล์
ผมคิดว่า การมาของ EV จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งระบบมากกว่าครับ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่กระทบหนักจะเป็นพวกที่ผลิตเครื่องยนต์สันดาปมากกว่า พวกตัวถัง กระจก ยาง เบรก ต่าง ๆ ก็ยังสามารถผลิตให้  EV ได้อยู่ คงไม่ถึงกับล่มสลายหรอกครับ ส่วนพวกปิโตรเคมี อาจจะกระทบบ้าง แต่ก็สามารถพัฒนาเพิ่มมูลค่าได้อยู่ เช่น มีข่าวว่า ปตท จับมือกับองค์การเภสัช พัฒนาเรื่องยา หรือจะไปตั้งโรงผลิตไฟฟ้า ที่น่าห่วงเรื่อง Disruption น่าจะเป็นพวกแบงก์ มากกว่าครับ

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,593
    • อีเมล์
ปัญหาที่ทำให้รถไฟฟ้าในไทยไม่ได้และสิ่งที่อาจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยล่มสลาย มีสาม อย่างครับ
1. ภาษีแบตเตอรี่ ที่แพงมาก คิดเป็น 28% ของราคาแบต  อ้างอีงจาก  https://eit.or.th/paperseminar/EV-1.pdf  ซึ่งแบตเตอรี่รถBEV ใช้ลูกใหญ่ ราคาแบตคิดเป็นเกือบ 50% ของราคารถ ทำให้เมื่อเทียบรุ่นใกล้เคียงกันแล้ว  ราคารถ BEV จึงสูงมากๆ ลองดูตัวอย่างนิสสันลีฟ หรือ benz ที่ยกเลิกการผลิต BEV ในไทยเค้าก็คงเห็นภาระตรงนี้
2. การชาร์จไฟทำไม่ได้จริง ภาษี demand charge สำหรับภาคเอกชน ที่คิด 200บาท/kw; demand charge คือ การเอาต้นทุนค่าสร้างโรงไฟฟ้า การเดินสายส่ง มารวมเป็นค่าไฟด้วย ซึ่งจะคิดเฉพาะแท่นชาร์จรถไฟฟ้าเท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่คิด ดังนั้นแท่นชาร์จของเอกชนจึงไม่เกิด เพราะเปิดไปก็ไม่คุ้ม แท่นชาร์จที่ตอนโดผมคิด 50 บาท/ชม  ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้จากคลิป ขับ MG ไปเชียงใหม่ว่าแท่นชาร์จหาได้ยากมากเลย

นอกจากภาษีแบตที่แพงแล้ว ทางรัฐ คิดค่าทำลายแบตเตอรี่ บวกเข้าไปตั้งแต่ตอนซื้อเลย ซึ่งจะคิดตามความจุแบต รถEV ที่ใช้แบตใหญ่เสียตรงนี้แพงเหมือนกัน ดังนั้นคนที่กลัวว่าแบตจะทำลายไม่ถูกต้องก็สบายใจได้เลย เพราะเค้าคิดค่าทำลายแบตมาแต่แรกอยู่แล้ว

3. ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนถูกมาก ลองนึกถึงราคาMG EV ล้านสอง กับ nissan leaf สองล้าน นะครับ

ทีนี้กลับมาที่คำถาม จขกท ครับ
จะทำอย่างไรถ้า ถูกรถไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ ?
คำตอบก็คงต้องกลับไปดูในอดีตเทคโนโลยี่ที่ถูก dusrupt มาก่อนครับ
- รถม้า--> รถไฟ มีคนขี่รถม้าต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายการสร้างรถไฟก็มีการจ้างงานมากขึ้น
- เทียนไข มาเป็นไฟฟ้า ก็มีคนต่อต้านว่ามันอันตราย ไฟดูดตายได้ แต่สุดท้ายเทียนไขก็ตายไป
- กล้องฟิลม์ มาเป็นกล้อง ดิจิตอล อันนี้ kodak ตายไปเลย แต่ fuji อยู่ได้เพราะเค้าปรับตัว ทุกวันนี้มาทำกล้อง digital แล้วอยู่ได้ 
- nokia มาเป็น iphone อันนี้ nokia ไม่ปรับตัวเลย ตายสนิท

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ปรับตัวให้เร็วครับ

รถยนต์ ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์ เทรนด์โลกปัจจุบัน ไม่ว่ายุโรป หรือ จีน ก็เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ดังนั้น ก็คงเป็นอย่างที่ จขกท ว่า ยังไงก็ถูก disrupt

ดังนั้นต้องรีบปรับตัว
โดยภาครัฐ
-ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ให้เกิดขึ้นในไทย ด้วยการลดภาษีลง
-ลดค่าdemand charge
-แก้ไขปัญหาเรื่องภาษีรถไฟฟ้าจากจีนที่นำเข้ามา ปัจจุบันแทบไม่เสียภาษีเลย
ภาคเอกชน
- บริษัทรถยนต์ที่ลงทุนในไทย  ควรกลับมามองความเป็นจริง และควรเร่งพัฒนารถไฟฟ้า ให้มากกว่านี้  หากไม่รีบพัฒนาก็คงเหมือนบริษัทต่างๆที่ถูกdisrupt ไป ซึ่งตอนนี้ ก็ต้องเผชิญความท้าทายกับ tesla และ รถไฟฟ้าจากจึนอยุ่
- ถ้าบริษัทเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนาและถ่ายทอด มาเมืองไทย ธุรกิจรถยนต์ก็อยู้ได้

ตอนนี้รูปแบบ ผมคาดการณ์ ว่าน่าจะเป็นสองแบบ
1. ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คือคิดภาษีแท่นชาร์จกับแบตเตอรี่เยอะๆ  บริษัทรถยนต์หน้าเดิมๆ อยู่ได้ในระยะสั้น ถึงระยะกลาง ไทยก็กลายเป็นที่ระบายเทคโนโลยีเก่าๆ พร้อมกับมลพิษทางอากาศ  แต่ในระยะยาวเมื่อเทรนด์โลกเลิกใช้รถน้ำมัน ผลิตไปก็ไม่คุ้ม เมื่อนั้นจะลำบากเพราะ รถไฟฟ้าจากจีนที่แทบไม่ต้องเสียภาษีก็ยึดตลาดเมืองไทยไว้เรียบร้อยแล้ว อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ตั้งแต่ ต้นจนปลายทางsupply chainต่างๆ  จะตายสนิทไปเลย
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ออกกฏให้ บริษัทต่างๆ ได้ประโยชน์ สนับสนุนการสร้างแท่นชาร์จ ลดภาษีแบต และพยายามให้ไทยเราเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ หาทางป้องกันการไหลเข้ามาของรถไฟฟ้าจีน ค่อยๆทำไป อาจจะลำบากช่วงต้น ช่วงกลาง แต่ระยะยาวแล้ว ไทยจะยังสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ของภูมิภาคนี้ได้และยังมีเงินทุนหมุนเวียนในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในส่วนของเหลวต่างๆ แรงงานและการผลิตอาจshift มาในรูปแบบของแบตเตอรี่ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 29, 2020, 21:44:20 โดย koko86 »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
ปัญหาที่ทำให้รถไฟฟ้าในไทยไม่ได้และสิ่งที่อาจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยล่มสลาย มีสาม อย่างครับ
1. ภาษีแบตเตอรี่ ที่แพงมาก คิดเป็น 28% ของราคาแบต  อ้างอีงจาก  https://eit.or.th/paperseminar/EV-1.pdf  ซึ่งแบตเตอรี่รถBEV ใช้ลูกใหญ่ ราคาแบตคิดเป็นเกือบ 50% ของราคารถ ทำให้เมื่อเทียบรุ่นใกล้เคียงกันแล้ว  ราคารถ BEV จึงสูงมากๆ ลองดูตัวอย่างนิสสันลีฟ หรือ benz ที่ยกเลิกการผลิต BEV ในไทยเค้าก็คงเห็นภาระตรงนี้
2. การชาร์จไฟทำไม่ได้จริง ภาษี demand charge สำหรับภาคเอกชน ที่คิด 200บาท/kw; demand charge คือ การเอาต้นทุนค่าสร้างโรงไฟฟ้า การเดินสายส่ง มารวมเป็นค่าไฟด้วย ซึ่งจะคิดเฉพาะแท่นชาร์จรถไฟฟ้าเท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่คิด ดังนั้นแท่นชาร์จของเอกชนจึงไม่เกิด เพราะเปิดไปก็ไม่คุ้ม แท่นชาร์จที่ตอนโดผมคิด 50 บาท/ชม  ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้จากคลิป ขับ MG ไปเชียงใหม่ว่าแท่นชาร์จหาได้ยากมากเลย

นอกจากภาษีแบตที่แพงแล้ว ทางรัฐ คิดค่าทำลายแบตเตอรี่ บวกเข้าไปตั้งแต่ตอนซื้อเลย ซึ่งจะคิดตามความจุแบต รถEV ที่ใช้แบตใหญ่เสียตรงนี้แพงเหมือนกัน ดังนั้นคนที่กลัวว่าแบตจะทำลายไม่ถูกต้องก็สบายใจได้เลย เพราะเค้าคิดค่าทำลายแบตมาแต่แรกอยู่แล้ว

3. ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนถูกมาก ลองนึกถึงราคาMG EV ล้านสอง กับ nissan leaf สองล้าน นะครับ

ทีนี้กลับมาที่คำถาม จขกท ครับ
จะทำอย่างไรถ้า ถูกรถไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ ?
คำตอบก็คงต้องกลับไปดูในอดีตเทคโนโลยี่ที่ถูก dusrupt มาก่อนครับ
- รถม้า--> รถไฟ มีคนขี่รถม้าต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายการสร้างรถไฟก็มีการจ้างงานมากขึ้น
- เทียนไข มาเป็นไฟฟ้า ก็มีคนต่อต้านว่ามันอันตราย ไฟดูดตายได้ แต่สุดท้ายเทียนไขก็ตายไป
- กล้องฟิลม์ มาเป็นกล้อง ดิจิตอล อันนี้ kodak ตายไปเลย แต่ fuji อยู่ได้เพราะเค้าปรับตัว ทุกวันนี้มาทำกล้อง digital แล้วอยู่ได้ 
- nokia มาเป็น iphone อันนี้ nokia ไม่ปรับตัวเลย ตายสนิท

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ปรับตัวให้เร็วครับ

รถยนต์ ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์ เทรนด์โลกปัจจุบัน ไม่ว่ายุโรป หรือ จีน ก็เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ดังนั้น ก็คงเป็นอย่างที่ จขกท ว่า ยังไงก็ถูก disrupt

ดังนั้นต้องรีบปรับตัว
โดยภาครัฐ
-ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ให้เกิดขึ้นในไทย ด้วยการลดภาษีลง
-ลดค่าdemand charge
-แก้ไขปัญหาเรื่องภาษีรถไฟฟ้าจากจีนที่นำเข้ามา ปัจจุบันแทบไม่เสียภาษีเลย
ภาคเอกชน
- บริษัทรถยนต์ที่ลงทุนในไทย  ควรกลับมามองความเป็นจริง และควรเร่งพัฒนารถไฟฟ้า ให้มากกว่านี้  หากไม่รีบพัฒนาก็คงเหมือนบริษัทต่างๆที่ถูกdisrupt ไป ซึ่งตอนนี้ ก็ต้องเผชิญความท้าทายกับ tesla และ รถไฟฟ้าจากจึนอยุ่
- ถ้าบริษัทเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนาและถ่ายทอด มาเมืองไทย ธุรกิจรถยนต์ก็อยู้ได้

ตอนนี้รูปแบบ ผมคาดการณ์ ว่าน่าจะเป็นสองแบบ
1. ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คือคิดภาษีแท่นชาร์จกับแบตเตอรี่เยอะๆ  บริษัทรถยนต์หน้าเดิมๆ อยู่ได้ในระยะสั้น ถึงระยะกลาง ไทยก็กลายเป็นที่ระบายเทคโนโลยีเก่าๆ พร้อมกับมลพิษทางอากาศ  แต่ในระยะยาวเมื่อเทรนด์โลกเลิกใช้รถน้ำมัน ผลิตไปก็ไม่คุ้ม เมื่อนั้นจะลำบากเพราะ รถไฟฟ้าจากจีนที่แทบไม่ต้องเสียภาษีก็ยึดตลาดเมืองไทยไว้เรียบร้อยแล้ว อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ตั้งแต่ ต้นจนปลายทางsupply chainต่างๆ  จะตายสนิทไปเลย
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ออกกฏให้ บริษัทต่างๆ ได้ประโยชน์ สนับสนุนการสร้างแท่นชาร์จ ลดภาษีแบต และพยายามให้ไทยเราเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ หาทางป้องกันการไหลเข้ามาของรถไฟฟ้าจีน ค่อยๆทำไป อาจจะลำบากช่วงต้น ช่วงกลาง แต่ระยะยาวแล้ว ไทยจะยังสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ของภูมิภาคนี้ได้และยังมีเงินทุนหมุนเวียนในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในส่วนของเหลวต่างๆ แรงงานและการผลิตอาจshift มาในรูปแบบของแบตเตอรี่ครับ

จะเอาอะไรไปแลกกับขอร้องจีนเรื่อง อีวี 0% ดีคับ? สิทธิสินค้าเกษตรทุกรายการ? สิทธิต่างชาติถือหุ้นกิจการ และที่ดินเกิน 51%? etc...

นี่คือการค้าเสรีคับ ไม่พอใจ แล้วไปเซ็นทำไม? หันกลับมาดูตัวเองก่อน ก็ไม่เคยพัฒนาศักยภาพตัวเองมาตลอดสี่สิบกว่าปี เลยแข่งสู้ไม่ได้งัย

วิธีที่จะสู้พอได้คือ ต้องทำให้ต้นทุนถูกลงกว่านี้ ผ่านกลไกภาษีอื่นๆเช่น สรรพสามิตชิ้นส่วน, tax rebate สำหรับคนซื้ออีวีทำในไทย, ลด vat ของรถอีวีทำในไทย

ส่วน อีวีจีน 0% มันคือดีย์ เพราะเป็น wake up call ทำให้เราต้องตื่น เลิกหลอกตัวเองไปวันๆว่าเป็นฮับ  อีกอย่าง0% มันเป็นการปลดแอกผู้บริโภคที่โดนเอาเปรียบ กั๊กทุกอย่าง โคกสับฟันกำไรมานาน ทำไมพวกผมต้องยอมทนใช้ของกั๊กๆ ล้าสมัย ราคาแพงๆ? ทุกคนอยากได้ใช้ของดีทั้งนั้น  เอามุขชาตินิยมไปโยนทิ้งถังขยะได้ละคับ มันล้าสมัย ตอแหลหลอกผู้บริโภคเจนนี้และเจนถัดๆไปไม่ได้ละ           

พวกอุตสาหกรรมภายใจต่างหากที่ต้องปรับตัวกันเอง พวกคุณอยู่รอดไม่อยู่รอดไม่เกี่ยวกับพวกผม  พวกผู้บริโภคเค้าไม่สนจัยเลยว่า พวกคุณจะล่มสลาย ขายของไม่ได้ เผลอๆดีใจด้วยซ้ำ ว่าทำไมต้องไปช่วยพวกที่เอาเปรียบมานาน
 

ออฟไลน์ panjap

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,259
เรื่อง demand charge จบไปแล้ว ตอนนี้ กพช มีมติให้ใช้ค่าไฟแบบ EV แล้ว ซึ่งคิดอีกแบบนึงถูกกว่าเดิมเยอะ

ส่วนเรื่อง supply chain พวกบ.ชิ้นส่วนก็ผลิตต่อไปไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไงเครื่องยนต์เราก็ผลิตไม่ได้อยู่แล้ว พวกที่จะกระทบก็ทำท่อไอเสีย พวกนี้มากกว่า ส่วน หม้อน้ำ ที่ต้องมีขนาดเล็กลง เพราะรถ EV ยังใช้น้ำระบายความร้อนแบตอยู่ดี
รถ mine ev ที่ผลิตอยู่ตอนนี้ก็ใช้ vendor ในไทยทั้งนั้น ยกเว้นมอเตอร์ที่ยังทำไม่ได้เอง

ออฟไลน์ ชายโอ๊ต

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,034
ปัญหาที่ทำให้รถไฟฟ้าในไทยไม่ได้และสิ่งที่อาจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยล่มสลาย มีสาม อย่างครับ
1. ภาษีแบตเตอรี่ ที่แพงมาก คิดเป็น 28% ของราคาแบต  อ้างอีงจาก  https://eit.or.th/paperseminar/EV-1.pdf  ซึ่งแบตเตอรี่รถBEV ใช้ลูกใหญ่ ราคาแบตคิดเป็นเกือบ 50% ของราคารถ ทำให้เมื่อเทียบรุ่นใกล้เคียงกันแล้ว  ราคารถ BEV จึงสูงมากๆ ลองดูตัวอย่างนิสสันลีฟ หรือ benz ที่ยกเลิกการผลิต BEV ในไทยเค้าก็คงเห็นภาระตรงนี้
2. การชาร์จไฟทำไม่ได้จริง ภาษี demand charge สำหรับภาคเอกชน ที่คิด 200บาท/kw; demand charge คือ การเอาต้นทุนค่าสร้างโรงไฟฟ้า การเดินสายส่ง มารวมเป็นค่าไฟด้วย ซึ่งจะคิดเฉพาะแท่นชาร์จรถไฟฟ้าเท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่คิด ดังนั้นแท่นชาร์จของเอกชนจึงไม่เกิด เพราะเปิดไปก็ไม่คุ้ม แท่นชาร์จที่ตอนโดผมคิด 50 บาท/ชม  ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้จากคลิป ขับ MG ไปเชียงใหม่ว่าแท่นชาร์จหาได้ยากมากเลย

นอกจากภาษีแบตที่แพงแล้ว ทางรัฐ คิดค่าทำลายแบตเตอรี่ บวกเข้าไปตั้งแต่ตอนซื้อเลย ซึ่งจะคิดตามความจุแบต รถEV ที่ใช้แบตใหญ่เสียตรงนี้แพงเหมือนกัน ดังนั้นคนที่กลัวว่าแบตจะทำลายไม่ถูกต้องก็สบายใจได้เลย เพราะเค้าคิดค่าทำลายแบตมาแต่แรกอยู่แล้ว

3. ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนถูกมาก ลองนึกถึงราคาMG EV ล้านสอง กับ nissan leaf สองล้าน นะครับ

ทีนี้กลับมาที่คำถาม จขกท ครับ
จะทำอย่างไรถ้า ถูกรถไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ ?
คำตอบก็คงต้องกลับไปดูในอดีตเทคโนโลยี่ที่ถูก dusrupt มาก่อนครับ
- รถม้า--> รถไฟ มีคนขี่รถม้าต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายการสร้างรถไฟก็มีการจ้างงานมากขึ้น
- เทียนไข มาเป็นไฟฟ้า ก็มีคนต่อต้านว่ามันอันตราย ไฟดูดตายได้ แต่สุดท้ายเทียนไขก็ตายไป
- กล้องฟิลม์ มาเป็นกล้อง ดิจิตอล อันนี้ kodak ตายไปเลย แต่ fuji อยู่ได้เพราะเค้าปรับตัว ทุกวันนี้มาทำกล้อง digital แล้วอยู่ได้ 
- nokia มาเป็น iphone อันนี้ nokia ไม่ปรับตัวเลย ตายสนิท

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ ปรับตัวให้เร็วครับ

รถยนต์ ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์ เทรนด์โลกปัจจุบัน ไม่ว่ายุโรป หรือ จีน ก็เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ดังนั้น ก็คงเป็นอย่างที่ จขกท ว่า ยังไงก็ถูก disrupt

ดังนั้นต้องรีบปรับตัว
โดยภาครัฐ
-ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ให้เกิดขึ้นในไทย ด้วยการลดภาษีลง
-ลดค่าdemand charge
-แก้ไขปัญหาเรื่องภาษีรถไฟฟ้าจากจีนที่นำเข้ามา ปัจจุบันแทบไม่เสียภาษีเลย
ภาคเอกชน
- บริษัทรถยนต์ที่ลงทุนในไทย  ควรกลับมามองความเป็นจริง และควรเร่งพัฒนารถไฟฟ้า ให้มากกว่านี้  หากไม่รีบพัฒนาก็คงเหมือนบริษัทต่างๆที่ถูกdisrupt ไป ซึ่งตอนนี้ ก็ต้องเผชิญความท้าทายกับ tesla และ รถไฟฟ้าจากจึนอยุ่
- ถ้าบริษัทเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนาและถ่ายทอด มาเมืองไทย ธุรกิจรถยนต์ก็อยู้ได้

ตอนนี้รูปแบบ ผมคาดการณ์ ว่าน่าจะเป็นสองแบบ
1. ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คือคิดภาษีแท่นชาร์จกับแบตเตอรี่เยอะๆ  บริษัทรถยนต์หน้าเดิมๆ อยู่ได้ในระยะสั้น ถึงระยะกลาง ไทยก็กลายเป็นที่ระบายเทคโนโลยีเก่าๆ พร้อมกับมลพิษทางอากาศ  แต่ในระยะยาวเมื่อเทรนด์โลกเลิกใช้รถน้ำมัน ผลิตไปก็ไม่คุ้ม เมื่อนั้นจะลำบากเพราะ รถไฟฟ้าจากจีนที่แทบไม่ต้องเสียภาษีก็ยึดตลาดเมืองไทยไว้เรียบร้อยแล้ว อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ตั้งแต่ ต้นจนปลายทางsupply chainต่างๆ  จะตายสนิทไปเลย
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ออกกฏให้ บริษัทต่างๆ ได้ประโยชน์ สนับสนุนการสร้างแท่นชาร์จ ลดภาษีแบต และพยายามให้ไทยเราเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ หาทางป้องกันการไหลเข้ามาของรถไฟฟ้าจีน ค่อยๆทำไป อาจจะลำบากช่วงต้น ช่วงกลาง แต่ระยะยาวแล้ว ไทยจะยังสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ของภูมิภาคนี้ได้และยังมีเงินทุนหมุนเวียนในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในส่วนของเหลวต่างๆ แรงงานและการผลิตอาจshift มาในรูปแบบของแบตเตอรี่ครับ

จะเอาอะไรไปแลกกับขอร้องจีนเรื่อง อีวี 0% ดีคับ? สิทธิสินค้าเกษตรทุกรายการ? สิทธิต่างชาติถือหุ้นกิจการ และที่ดินเกิน 51%? etc...

นี่คือการค้าเสรีคับ ไม่พอใจ แล้วไปเซ็นทำไม? หันกลับมาดูตัวเองก่อน ก็ไม่เคยพัฒนาศักยภาพตัวเองมาตลอดสี่สิบกว่าปี เลยแข่งสู้ไม่ได้งัย

วิธีที่จะสู้พอได้คือ ต้องทำให้ต้นทุนถูกลงกว่านี้ ผ่านกลไกภาษีอื่นๆเช่น สรรพสามิตชิ้นส่วน, tax rebate สำหรับคนซื้ออีวีทำในไทย, ลด vat ของรถอีวีทำในไทย

ส่วน อีวีจีน 0% มันคือดีย์ เพราะเป็น wake up call ทำให้เราต้องตื่น เลิกหลอกตัวเองไปวันๆว่าเป็นฮับ  อีกอย่าง0% มันเป็นการปลดแอกผู้บริโภคที่โดนเอาเปรียบ กั๊กทุกอย่าง โคกสับฟันกำไรมานาน ทำไมพวกผมต้องยอมทนใช้ของกั๊กๆ ล้าสมัย ราคาแพงๆ? ทุกคนอยากได้ใช้ของดีทั้งนั้น  เอามุขชาตินิยมไปโยนทิ้งถังขยะได้ละคับ มันล้าสมัย ตอแหลหลอกผู้บริโภคเจนนี้และเจนถัดๆไปไม่ได้ละ           

พวกอุตสาหกรรมภายใจต่างหากที่ต้องปรับตัวกันเอง พวกคุณอยู่รอดไม่อยู่รอดไม่เกี่ยวกับพวกผม  พวกผู้บริโภคเค้าไม่สนจัยเลยว่า พวกคุณจะล่มสลาย ขายของไม่ได้ เผลอๆดีใจด้วยซ้ำ ว่าทำไมต้องไปช่วยพวกที่เอาเปรียบมานาน
เห็นด้วยเลยครับ พวกเราเป็นผู้บริโภค ควรจะด้ของที่ดี ที่ทันสมัยและคุ้มค่าต่อราคาได้แล้ว

ส่วนนโยบายบ้านเราจะหนีเทคโนโลยีรักษ์โลกพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ต่างชาติเค้าพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เรายิ่งหนียิ่งล้าหลัง
พวกอุตสาหกรรมต้องปรับตัวให้ได้และให้ไว ใครช้า ก็ตายกันไป แต่ผมไม่เชื่อว่าจะถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจบ้านเราล่มหรอกครับ
"ศัตรูแห่งความก้าวหน้า คือเวลาที่เสียไป"