สังเกตให้ดี เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเลยนะ เป็นไปได้ว่าอาจารย์ท่านนั้นอาจโดนตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแน่นอน
เรื่องการสอนเด็กนั้น ต้องบอกก่อนว่าในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ถ้าถามว่าพฤติกรรมทั้งอาจารย์และเด็กเป็นอย่างไร ต้องบอกว่า "หนัก" ทั้งคู่
ในส่วนของเด็ก ถือได้ว่าเด็กเป็นคนที่ไม่รู้จักมารยาทในห้องเรียนเป็นอย่างยิ่ง จะเรียกว่ามารยามทรามก็ว่าได้ เนื่องจากการเปิดเสียงและการคุยโทรศัพท์มือถือระหว่างอยู่ในชั้นเรียน เป็นการรบกวนผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียนด้วยกัน ทำให้อาจารย์ไม่มีสมาธิในการสอน และเพื่อนนิสิตนักศึกษาไม่มีสมาธิในการเรียน เป็นการสะท้อนถึงความอ่อนด้อยการอบรมขัดเกลาจากสถาบันครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนของอาจารย์ ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไร้จรรยาบรรณและเมตตาธรรมเป็นอย่างมาก ผู้ที่เป็นอาจารย์คือผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ควบคู่คุณธรรม ไม่ใช่สักแต่บรรยายและลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงตามแบบฉบับของแนวคิดเชิงอำนาจนิยม ผมไม่ถือว่าเป็นการสั่งสอนด้วยความรักและเมตตา แต่ผมถือว่าเป็นพฤติกรรมกดขี่ทารุณกรรม ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามของผู้เป็นอาจารย์ และต้องไม่ลืมว่านี่เป็นมหาวิทยาลัย ไม่ใช่คุกกวนตานาโม
เรื่องการลงโทษของอาจารย์ต่อเด็กนั้น บางทีมาตรการควรทำทีละลำดับขั้น จากเบาไปหาหนัก อาจเริ่มต้นด้วยการเตือนอย่างสุภาพก่อน จากนั้นอาจจะเริ่มตำหนิ ไปจนถึงกระทั่งการเชิญออกจากห้อง ซึ่งผมถือว่าการเชิญออกจากห้องก็ยังถือเป็นสันติวิธีอยู่ เนื่องจากเป็นมาตรการจำเป็นรักษาประโยชน์ของคนส่วนรวม นั่นคืออาจารย์และนิสิตนักศึกษาอื่น ๆ ที่ตั้งใจเรียน และเป็นการแสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้ไม่พร้อมที่จะเรียนจริง แต่ถ้าใช้ความรุนแรงกับเด็กไม่ว่าจะเป็นทำลายทรัพย์สินเด็ก ไปจนถึงกระทั่งลงมือกับเนื้อตัวร่างกาย แบบนี้ถือว่าไร้เหตุผลและป่าเถื่อน ซึ่งอาจารย์คนนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษทางวินัยได้
ในเรื่องนี้ต้องบอกก่อนว่าการศึกษาของไทยกำลังเผชิญกับปัญหา 3 ประการ คือ
1. ปัญหาครูอาจารย์ไม่มีความเป็นเลิศทางวิชาการมากพอที่จะสอนให้เด็กคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและมีกรอบความคิดที่เป็นรูปธรรม เพราะเนื่องจากโดยครูอาจารย์ในไทยส่วนมากจะมาจากทรัพยากรบุคคลระดับ "หางกะทิ" ไม่ใช่คนระดับหัวแถวแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าอัตราค่าจ้างอาจารย์ต่ำมาก อย่างผมเองเริ่มต้นที่ 1.5 หมื่นทั้ง ๆ ที่จบปริญญาโท เลยต้องกินอุดมการณ์พร้อม ๆ ไปกับบะหมี่ถ้วยและข้าวคลุกปลากระป๋อง ไม่แปลกที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะมาเป็นอาจารย์มากนัก เนื่องจากคนเก่งหลายคนที่ร่ำเรียนมาอย่างหนักหน่วงต่างก็เรียกร้องผลตอบแทนการทำงานที่สูงเป็นเงาตามตัว มีน้อยครับที่อาจารย์จะเป็นคนเก่งระดับ "หัวกะทิ"
2. สังคมไทยเป็นสังคมอำนาจนิยม สอนให้คน "เชื่อฟังอย่างเดียวโดยไม่ไตร่ตรองด้วยเหตุผล" มากกว่า "คิดและใช้วิจารณญาณด้วยเหตุผล" เด็กจึงขาดความคิดอ่านที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่รู้จักใช้ความคิด ไม่รู้จักรับผิดชอบ เนื่องจากไม่ต้องไปคิดอะไรมากมาย แค่นั่งรับการป้อนข้าวเข้าปากเป็นเวลา 2 - 3 ชั่วโมงต่อวิชาก็พอ เพราะว่าแค่ "เชื่ออาจารย์ ฉันไม่ตก" ไม่ต่างจาก "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย"
3. สังคมไทยไม่เคยสอนให้คนมีจิตสำนึกรู้จักหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อคนในสังคม ทำให้คนไทยชอบทำอะไรตามใจ (นั่นคือไทยแท้) ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น เพราะคนไทยรู้จัก "สิทธิ" แต่ไม่รู้จัก "หน้าที่" ไม่รู้จัก "สถานภาพ" และ "บทบาท"
มันเลยเกิดปัญหาในปัจจุบันครับ