Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: solo ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2024, 09:59:06
-
https://www.headlightmag.com/2024-02-28-world-news-apple-closes-apple-car-project-titan/
-
เขาอาจจะมองแล้วว่ามันไม่คุ้มกับมาจิ้นที่ได้ หรือป่าวครับ
เพราะอย่าลืมว่ามือถือค่ายนี้มาจี้นก็เยอะมากแล้วนะ ผมว่าเขาทำในทางที่เขาถนัด แล้วไปเป็นพาร์ทเนอร์เอาดีกว่าคิดเองทำเอง นะ
-
พัฒนา ซอฟท์แวร์ ขายให้บริษัทรถกำไรเยอะกว่า
คงคิดแล้วว่า ถ้าทำรถขายได้ไม่คุ้มเสีย
-
รถ EV ยังไงก็รอดครับแต่ Apple มองว่า Margin มันเริ่มจะไม่คุ้มแล้วทำช้าไป สู้รอแบตให้ถูกกว่านี้แล้วลุยดีกว่าแล้ว ยิ่งตอนนี้ AI ขายได้ต้องรีบทำออกมาแข่ง
-
ในข่าวบอกว่า เป้าหมายคือมาแข่งกับ tesla ซึ่งนั้นน่าจะหมายความว่าอาจจะมีขายแค่ในอเมริกา
แต่อยู่ๆก็พับไป ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับข่าวนี้
https://www.headlightmag.com/2024-01-16-world-news-us-ev-sales-report-slowly/
-
เขาอาจเป็นนกรู้ ว่าคงสู้เขาบ่ได้
เลยไม่ดันทุรังไป ให้เหน็ดเหนื่อย
สู้ขายไอโฟนไป เก็บเรื่อยๆ
ไม่ต้องเหนื่อย รับเหนาะๆ 1แสนล้าน ;D
-
อาจจะไม่ถนัด เลยไม่ทำดีกว่า ตัว software อาจจะทำได้ แต่ตัว hardware อาจจะต้องลงทุนมากหน่อย
ถ้าอนาคตดูมีโอกาส จะเอากลับมาอีกครั้งก็ได้ครับ
-
ถ้ามองแต่ในตลาดรถก็มองได้แบบนี้เหมือนกัน
แต่ข่าวในธุรกิจโลกคือกังวลกับเศรษฐกิจมากกว่า
ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเริ่มมีบริษัทยักษ์ใหญ่เลย์ออฟพนักงานไปมากมายเพื่อกระชับบริษัท อันนี้นกรู้ยิ่งกว่า
คือในโลกเศรษฐกิจจะมีข่าวใหญ่ประมาณ something big กำลังจะเกิดขึ้นปีนี้และจะกระทบไป 3-5 ปี
ทำให้อะไรที่กำไรแน่ๆก็ทำ หรือถ้ามีความเสี่ยงประมาณนึง หรือยังไม่เกิด ก็จะพับแผนไปก่อน
ตลาดอสังหาก็เตือนว่าขายได้ขายก่อน ถือแต่อันที่คุ้มทุนหรืออาจจะมีมูลค่าเพิ่มสูงที่สุดที่คัดแล้วไว้
แล้วพอเกิด ซัมติงบิ๊ก ก็ค่อยกลับมาซื้ออีกที
กลับมาพวกบริษัทที่กระชับไว้แล้ว พอมีเหตุก็สามารถเลย์ได้อีกรอบ ตัวเลขจะได้ไม่ดูสูงจนน่าเกลียดถ้าทำครั้งเดียว :-X
-
ไม่คุ้มลงทุนมากกว่าครับ เพราะไปจับมือกับใครไม่ได้จริงๆจังๆ
จริงๆ apple ถ้าเทียบมันก็คือ tesla ขาย service อย่างเดียวก็พอละ
รอดไม่รอดไม่ทราบ แต่บอกว่าเป็นนกรู้ไม่น่าใช่ องค์กรใหญ่ขนาดนี้เค้าไม่มานั่งเทียนเดาหรอกครับ มันมี research/stats มันแค่ไม่คุ้มการลงทุนมากกว่า
สู้ทำ apple carplay os จับมือกับ partner แยกกัน dev ฝั่ง os คนถนัดรถก็ dev ฝั่ง machine learning ด้านขับไปไม่เสีย 2 ต่อครับ
-
มันคนละประเภทธุรกิจ เค้าประเมินแล้วเค้าน่าจะไม่ไหว ปล่อยเจ้าใหญ่สู้กันไปก่อนดีกว่า
เกิดลงทุนไปเยอะแล้วเจ๊งเพราะไม่ชำนาญ มันจะกระทบธุรกิจหลัก ซึ่งไม่ดีแน่ๆ
-
ตามนิสัย Apple ครับ ของทุกอย่าง เขาต้องเป็น proprietary เป็น eco system ของเขาเองทั้งหมด
ทีนี้ จะทำรถยนต์ มันก็คือต้องทำเหมือน Tesla กลาย ๆ นั่นแหละ ต้องทำทุกอย่างเอง ตั้งโรงงานขึ้นรูปเอง ทั้งแท่นชาร์จเอง .... แล้วไอที่จะทำพวกนี้ มันคนละ field กะส่วนงาน programmer - semi conductor - microship ที่ Apple เก่งเลย ก็คงคล้าย ๆอย่างที่หลายๆ ท่านว่า ทำไป margin น้อยและเสี่ยง เลยพับไปก่อนดีกว่า
ปล. ผมเห็นเพจ FB เมืองนอกเองก็คล้ายๆ page IO ที่เชียร์ Hydrogen car เยอะแหะช่วงหลัง ๆ ลงข่าวปั่น ๆ ลงข่าวคล้าย ๆ กันคลิ๊กเข้าไปก็ไปที่เดียวกัน แต่สร้างเพจมาหลายๆ อัน ไว้สร้างกระแสรถไฮโดรเจน แล้วพยายามมาโพสโจมตี EV ตลอด ๆ
-
เหมือนอ่านเจอว่าโยกคนไปพัฒนา AI ของตัวเองครับ ตลาด AI ดูจะสดใสกว่า สาวกก็อยู่ฝั่งนี้มากกว่า
ทำรถออกมาก็ต้องมาแข่งกับเทสล่า ซึ่งมั่นใจว่าถ้ามีตราแอปปิ้ลไปแปะราคามันแพงกว่าเทสล่าแน่นอน คิดไงๆก็ไม่น่าจะทำ margin ได้ดี
-
เขามองว่า การทำรถยนต์ขาย เป็นภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาว
จึงขอเก็บพลังทางการเงิน ไว้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับ AI
ถ้า AI ด้อยกว่าคู่แข่ง
อู่ข้าวอู่น้ำ อย่าง โทรศัพท์ กับ คอมพิวเตอร์
ก็จะสูญเสีย ส่วนแบ่งทางการตลาด
-
บอกแล้วว่า ถ้าแบรนด์มือถือทำตลาดรถ EV บอกตรงๆเลยนะว่า ยาก ที่รถ EV แบรนด์มือถือที่จะขายดี
Tesla รถ EV สุดทางไหนก็สุดทางนั้น
Apple สมาร์ทโฟน สุดทางไหนก็สุดทางนั้น
จะแปลงมาเป็นรูปแบบอื่นบ่ได้
-
ไม่เกี่ยวว่า EV ไปไม่รอดเลยครับ
ที่แอปเปิ้ลยกธงขาวเหตุผลไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่า "มันไม่คุ้มครับ" อาจจะพิมพ์ยาวหน่อยแต่ก็พยายามอธิบายในมุมมองคนตาม Tech ละกัน
คือในฝั่งสาย Tech เขาจะพยายามหากินด้วยวิธีการ "Lock-in" (ไม่ใช่ล็อคอินเข้าระบบนะ) ให้ลูกค้าไม่สามารถหนีไปแบรนด์อื่นได้ง่ายนัก
อย่าง Apple งี้ ดูพวก Apple Watch หรือ Airpods (หูฟัง) ก็ได้ครับ เขาออกสินค้าพวกนี้มาเพื่อให้ลูกค้าอยู่กับ iPhone ให้ได้นานที่สุด
เพราะย้ายไปแบรนด์อื่นปุ๊ป สองอย่างนี้คือใช้งานแย่มาก (Airpods) หรือแย่สุดก็ใช้งานไม่ได้เลย (Apple Watch)
หรือแม้แต่การซ่อมแซม เปลี่ยนแบต ถ้าไม่ได้ผ่านศูนย์บริการที่เขาได้รับการรับรองจากทางแอปเปิ้ลโดยตรงก็จะเกิดปัญหายิบๆย่อยๆขึ้นมา
ซึ่งอันหลังสุด Tesla เคยทำอยู่ในช่วงปี 63 จนกระทั่งปีที่แล้ว ถ้า Tesla คันไหนมีการเปลี่ยนอะไหล่นอกศูนย์บริการที่มีเครื่องมือรองรับก็ชาร์จผ่าน Supercharge ไม่ได้ (อ้างว่าไม่ปลอดภัย)
สรุปโดนบีบจากทางคุ้มครองผู้บริโภค & สภาก็เลยต้องยอมเปิดให้ใช้งานได้เหมือนเดิม
พอเห็นแบบนี้แล้ว แอปเปิ้ลก็ลำบาก แถมตัวเองก็ไม่มี Know-How ในการทำรถเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนต้องนับ 1 ใหม่
แล้วผลิตออกมาก็ใช่ว่าจะสบาย คู่แข่งตัวใหญ่สุดก็เทสล่า เขามีทั้งเทคโนโลยีขับอัตโนมัติ (ที่ยังไม่สมบูรณ์แต่ก็พอใช้ได้) แล้วมี Know-How การทำ EV มาอย่างน้อยๆก็เกือบ 10 ปีละ
ขาดทุนแน่ๆช่วงแรก แถมไม่มีอะไรจะล็อคลูกค้าไว้ด้วย เห็นเคสเทสล่าแล้วเขาก็ไม่กล้าขยับอะไรอีก
แล้วจะกั๊กพวกฟังก์ชั่นอะไรไว้ใน Apple Car อย่างเดียว ไปๆมาๆก็จะส่งผลลบกับตัวเองมากกว่า
สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกถูกคือพับแผนไปเลยดีกว่า แล้วไปพัฒนา Apple Carplay เอา อาจจะทำให้ดีจนดีลกับพวกบริษัทรถ ICE ที่ทำพวกคอมพิวเตอร์ไม่เก่งมากนัก
วินๆทั้งสองฝ่าย บริษัทรถก็ได้ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย ลดต้นทุนเวลาไปวิจัยทำเองอะไรเอง แอปเปิ้ลก็ได้ขายซอฟต์แวร์ แถมถ้าเล่นเกมฉลาดก็อาจจะผูกขาดในตลาดนี้ไปเลยก็ได้
สรุปสั้นๆ : ทำไปไม่คุ้มเหนื่อย ตัวเองเก่งทำซอฟต์แวร์ก็ทำ Carplay ให้มันดี แล้วอนาคตขายให้บริษัทรถ ผูกขาดตัวระบบคอมไปได้อีกถ้าเดินหมากดีๆ
-
ev ไปไม่รอด ขำ ติ่งน้ำมันนี่อยู่แต่ในกะลาจริงๆ
รถไฟฟ้าตอนนี้มันเลยจุดที่รอด/ไม่รอด มานานแล้ว
ตอนนี้เหลือแค่คำถามเดียว คือจะมาแทนรถน้ำมันส่วนใหญ่ได้ตอนไหน
-
https://autolifethailand.tv/register-ev-bev-thailand-feb-2024/