ขอตอบในฐานะเคยทำงานในบริษัทผลิตยางในกลุ่ม tier1 มาเกือบ 20 ปีนะครับ
ยางแต่ละรุ่นก่อนที่จะผลิตออกสู่ตลาดจะมีการทำวิจัยและทดสอบพร้อมๆกับรถรุ่นที่เป็น target ที่จะออกสู่ตลาดเช่นกัน ซึ่งงบในการพัฒนาจะสูงมากทั้งจากในห้องแลป สนามทดสอบ และสภาพถนนจริงในแต่ละภูมิภาคที่จะไปจำหน่าย ซึ่งน่าจะเดาได้ว่ายางราคาถูกเค้าไปลดงบตรงไหน
ทีนี้ในการพัฒนายางแต่ละรุ่นก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มตามประเภทของรถกลุ่มเป้าหมาย เช่นกลุ่ม luxury car, sport/performance car, city car เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ก็จะมีข้อมูลวิจัยมาแล้วว่าลูกค้าส่วนใหญ่เค้า concern เรื่องอะไรบ้าง แล้วจึงออกแบบให้ตรงกับความต้องการให้มากที่สุด ในราคาที่ลูกค้ากลุ่มนั้นรับได้
ถ้าถามว่าทำให้ดีที่สุดทุกด้านได้ไหม เงียบ นุ่ม รีดนำ้ดี เข้าโค้งได้แรงๆ เกาะเป็นตุ๊กแก ดอกยางสึกยาก ขับได้เกิน 300 Km/h ก็ต้องบอกว่าทำได้ครับ แต่ต้นทุนไม่ใช่ถูกๆ ทำออกมาจริงก็คงมีลูกค้านับคนได้ กลายเป็นขาดทุนไปอีก เค้าเลยต้องโฟกัสเป็นกลุ่มแบบนี้แทน
ทีนี้เวลาเราเปลี่ยนยาง (แน่นอนว่าเป็น after market) ถ้าอยากได้ feeling ใกล้เคียงเดิมที่สุดก็ต้องเลือกรุ่นเดิมที่เป็น oem แต่จะไม่เหมือนกัน 100% แน่นอนเพราะมีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน
1 แต่ละ lot การผลิต โรงงานผู้ผลิตรถจะแก้ค่าบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาจาก Lot ก่อนหน้าเช่น on center feeling, แรงสะเทือนที่สะท้อนมาที่พวงมาลัย ทำให้ผู้ผลิตยางที่ bid ได้ใน lot ใหม่ต้องแก้ค่าบางอย่างตาม ผมจึงยืนยันว่ายางที่ติดรถมาเหมาะสมที่สุดแล้ว ยาง after market จะไม่ทำค่าเฉพาะเจาะจงกับรถแต่ละรุ่น แต่จะทำมากลางๆสำหรับใช้ได้กับรถรุ่นอื่นๆด้วย
2 สภาพช่วงล่างที่สึกหรอตามการใช้งานหรือมีการ Modify ไปจากค่ามาตรฐานโรงงาน ย่อมส่งผลด้วยเช่นกัน
ทีนี้เวลาเราไปร้านยาง ส่วนมากเราตัดสินใจจากอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าข้อมูลทางด้านเทคนิค และแน่นอนมีร้านน้อยมากที่สามารถให้ความรู้ที่แท้จริงให้กับลูกค้าได้ (ทั้งๆที่ บ.ยางก็จัดฝึกอบรมให้ไม่ใช่น้อย อาจเป็นเพราะเสียเวลาขายของ, เชียร์รุ่นที่ได้กำไรเยอะๆไว้ก่อน หรืออะไรก็แล้วแต่) ก็ขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของลูกค้าแล้วล่ะว่าจะเลือกยางที่ตรงกับความต้องการและลักษณะการใช้งานของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน แต่ละยี่ห้อแต่ละร่นก็จะมีจุดเด่นของมันอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับจุดด้อยของมันได้ไหม
ขอให้โชคดีในการเลือกยางที่ใช่สำหรับเราครับ