ที่มันดูตันเพราะเรามองเรื่องแรงครับ แต่ถ้าเรื่องมลภาวะ มันพัฒนาไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ
รถสมัยก่อนอย่างพวกเครื่อง SR20DE 2.0 ลิตร 150 ม้า ตอนนั้นปล่อย CO2 ทะลุ 200 นะครับ
พอปี 2003 เลยเริ่มทยอยถูกปลดระวางไปทีละนิด ทุกวันนี้เครื่อง NA 2.0 ลิตรปล่อยมลภาวะ
แค่ 150-160 กรัมต่อกิโลเมตร
การพัฒนาเครื่อง NA ให้ได้ทั้งมลภาวะต่ำ ประหยัด และแรงม้าสูงควบคู่ไปด้วยกันนั้นเป็นเรื่องยาก
เพราะ CO2 นั้นเป็นสิ่งที่มากับความจุเครื่องยนต์ จริงอยู่ว่าเวลากดคันเร่งเต็มรถ NA 300 ม้ากับ
เทอร์โบ 300 ม้าต้องเผาน้ำมันใกล้เคียงกัน แต่เวลาวัด CO2 ตอนวิ่งในเมืองกับตอนจอดนิ่งๆ
ยังไงๆเครื่องความจุเล็กติดเทอร์โบก็ได้เปรียบ เครื่อง 3.0 ลิตร 230 ม้า NA กับ 2.0 เทอร์โบ 230 ม้า
NA แรงบิดเครื่องโบก็ติดตีนไวกว่า ปล่อยมลภาวะก็น้อยกว่า..หรือถ้าจะทำ 2.0 ลิตร NA 230 แรงม้า
ก็ได้ถ้าจะทำ แต่พอทำมาเสร็จก็ใส่ได้แต่ในรถเล็กๆ เพราะแรงบิดมันไม่เยอะ สมมติฮอนด้าทำเครื่อง K20
ฝาแดงขายต่อ ก็จะเวิร์กกับรถอย่าง Civic EP, EK, หรือรถเบาๆ แต่ถ้ารถหนัก ไม่เวิร์ก ลองดู FD Type-R
เดิมๆจากโรงงานก็ได้ว่าแม้ม้าจะเยอะแต่วิ่งจริงๆโดน EK วาง K20 ที่ตัวเบาๆกว่ากินเป็นทุ่ง
แต่ถ้าทำเครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบ สบายมาก จะใส่รถเล็ก รถขนาดกลาง หรือ SUVหนักตันกว่าๆ
ก็วิ่งออกตัวและเร่งแซงได้ มันทำให้เกิดความคุ้มค่าในการแชร์เครื่องใช้ในตระกูลมากขึ้น
นี่ล่ะครับ เครื่อง NA เลยไม่ค่อยมีใครอยากเอาทองไปเทใส่เอางบไปเทให้ BMW เลิกยุ่งกับเครื่อง NA แล้ว
Mercedes, VW ก็เลิกแล้ว Toyota ยังทำอยู่แต่ก็ไม่ได้ใส่งบพัฒนาไปมากนัก Honda ก็เช่นกัน สังเกตได้ว่า
เครื่อง R กับ L และ K ยุคหลังๆไม่ได้ดีไปกว่าตอนแรกที่มันออกมามากนักยกเว้นเรื่องมลภาวะอย่างเดียว
Nissan เองหลังจากที่คบกับเบนซ์ก็พยายามเอาเทคโนโลยีเทอร์โบมาใช้ แต่ก็เลิกทำเครื่อง NA เจ๋งๆไปแล้ว