แรกๆ ก็ตื่นตาตื่นใจ หลังๆ ไปจะเป็นลม ทดสอบ FORD RANGER RAPTOR NEXT GEN
หลังจากเปิดตัวในงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมเฝ้ารอเวลาที่จะได้ลองขับ Ford Ranger Raptor New Gen นานถึง 5 เดือน ในที่สุดก็ได้อยู่หลังพวงมาลัยของ Raptor รุ่นปี 2022 รถที่ Ford Performance ภูมิใจนำเสนอภาคสานต่อของกระบะสมรรถนะสูงที่ถูกปรับปรุงใหม่หมดทั้งคัน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Ranger Raptor รุ่นแรกที่ผมเคยขับในปี 2018 นับเป็นรถปิกอัพที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อเทียบกับรถกระบะในตลาดของประเทศไทยแบบไร้คู่แข่ง สำหรับนักล่าตัวใหม่ มาพร้อมแพลตฟอร์ม T6.2 ของ Ford ซึ่งพัฒนาและออกแบบในออสเตรเลียทั้งหมด เป็นการถ่ายเทวิวัฒนาการของแพลตฟอร์ม T6 ของรุ่นก่อน ทำให้ Ranger Raptor รุ่นใหม่ ต้องเจอกับเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างแรกเลยก็คือ เครื่องยนต์ ขุมกำลังดีเซลเทอร์โบ 2.0 ลิตร 157kW (213 แรงม้า) แรงบิด 500 นิวตันเมตร หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบชาร์จคู่ 3.0 ลิตร Twin-Turbo EcoBoost V6 ความจุ 2,956 ซีซี. ส่งกำลังจากเครื่องสูบ V ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10R60 10 สปีด low-range transfer case, locking front and rear differentials ชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์ที่ปรับปรุงใหม่ เครื่องยนต์ Ecoboost ถูกจูนให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 391 แรงม้า (292kW) แรงบิดเพิ่มเป็น 583 นิวตันเมตร กำลังสูงสุดอยู่ที่ 5,650 รอบต่อนาที ในขณะที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 3,500 รอบต่อนาที ตัวเลขเหล่านี้ สำหรับเจ้าของ Raptor รุ่นแรก พอมาลองขับรุ่นใหม่ ก็จะสัมผัสได้ทันทีว่ารถรุ่นใหม่นั้นเร่งความเร็วได้ดีขึ้น ความต่อเนื่องของย่านกำลัง ในการไต่ระดับความเร็วจาก 120 ไปจนถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นเร็วกว่าเดิมมาก
โหมดการขับขี่บนถนน
Normal : ออกแบบมาเพื่อความสบาย ประหยัดน้ำมัน และสมรรถนะในการขับขี่
Sport : ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้นสำหรับการขับขี่บนถนนอย่างมีจิตวิญญาณ
Slippery : โหมดผิวถนนลื่น เพื่อการขับขี่อย่างมั่นใจบนพื้นผิวที่ลื่นหรือไม่เรียบ
โหมดการขับขี่แบบออฟโรด
Rock Crawl : ให้การยึดเกาะและโมเมนตัมที่ดีที่สุดบนพื้นผิวที่หลวม
Sand : โหมดขับบนทางทราย สำหรับใช้ในทรายที่อ่อนนุ่มและสภาพหิมะที่ลึก เพิ่มประสิทธิภาพการส่งกำลังและการเปลี่ยนเกียร์
Mud/Ruts : โคลน/ร่อง เพื่อการยึดเกาะทางวิบากสูงสุดในระหว่างการออกตัวและรักษาโมเมนตัมของรถ
Baja : ปรับแต่งเพื่อสมรรถนะออฟโรดความเร็วสูงพร้อมระบบทั้งหมดที่ตั้งค่าไว้สำหรับการขับด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
Ford Ranger Raptor ตัวใหม่ ราคา 1,869,000 บาท ยังเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ permanent all-wheel-drive system 4A -4WD drivetrain ใช้ชุดคลัตช์ Borg Warner ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างหลากหลาย ทั้งขับสองล้อหลังในสถานการณ์ปกติ และขับเคลื่อนสี่ล้อทั้ง Low และ High โดยแยกการส่งแรงบิดไปยังด้านหน้า/ด้านหลังด้วยสมองกลไฟฟ้า ถือเป็นจุดเด่นเพราะเป็นสิ่งที่ Raptor รุ่นเก่าไม่สามารถทำได้ และจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องขับฝ่าทางวิบากออฟโรด ระบบกระจายแรงบิดที่เรียกว่า Torque On Demand ในเจเนอเรชันล่าสุดนี้ ยังสามารถล็อกเฟืองทดกำลังหน้า-หลังร่วมกันได้อย่างเต็มที่ เพื่อการกระจายแรงบิดของการขับเคลื่อนสี่ล้อที่ใช้ความเร็วสูง (4H) นอกจากนี้ ยังสามารถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 2H ได้เหมือนรถกระบะขับหลังทั่วไป สำหรับการลุยทางโหดที่ต้องใช้ความเร็วต่ำในโหมดขับสี่แบบ 4L ด้วย locking front and rear differentials ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แชสซีใหม่ที่หนาบึ้กของ Raptor Next Gen ออกแบบมาเพื่อรับงานหนัก เอาไปขับลุยไม่ต้องกลัวบิดหรือแตก แชสซีได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโรดความเร็วสูง มีความแกร่งมากพอที่จะรับแรงกระแทกที่เกิดจากการขับบนทางวิบาก ระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อกทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง ช่วยเรื่องการทรงตัวและการควบคุมรถ
แชสซีด้านหน้าเพิ่มความแข็งแรงของจุดยึดหูโช้คที่ถูกขยายความสูงขึ้นมา ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ช็อก Ford Performance tuned-and-tested FOX 2.5 Live Valve internal bypass shock absorbers รวมถึงระบบวัตต์ลิงค์ที่ด้านหลัง ช่วยให้เพลาเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระ โดยที่มีการขยับตัวในแนวราบน้อย ตะขอเกี่ยว 2 ตำแหน่งด้านหลัง รองรับน้ำหนักจากการลากจูงได้ 3.8 ตัน โครงสร้างแท่นยึดยางอะไหล่ที่ถูกเสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับยางอะไหล่ขนาด 17 นิ้ว รองรับโช้คแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ความก้าวหน้าของโช้คอัพที่ใช้เทคโนโลยีในสนามแข่ง เพื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมประสิทธิภาพการทรงตัวเหนือระดับ ใน Raptor รุ่นนี้ องค์ประกอบบางอย่างของช่วงล่างยังคงคล้ายกับรุ่นที่แล้ว โช้คอัพโมโนทิวบ์ของ Fox มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว วาว์ลบายพาสภายในที่ทำงานได้ดีขึ้น มีความสอดคล้องไปกับสภาพเส้นทางได้อย่างยอดเยี่ยม (ใช้คำว่า "ยอดเยี่ยม" เพราะมันวิ่งได้เนียน ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น) คราวนี้ไม่มีลูกสูบลอยอยู่ภายใน แต่กลับมีการบีบอัดตัวแปรที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง Fox เรียกระบบนี้ว่า 'Live Valve' เป็นห้องเพิ่มเติมที่ด้านล่างของโช้คอัพซึ่งตั้งฉากและมีสายไฟสองสามเส้นเชื่อมต่ออยู่ เป็นวิธีการเพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงาน ในการควบคุมการไหลของน้ำมันภายในกระบอกโช้ค โดยมีการเปิดและปิดวาล์วแบบอัตโนมัติ เพื่อลดหรือเพิ่มการหน่วงและการอัดที่สอดคล้องกันตลอดการขับเคลื่อนไปบนผิวถนนที่แตกต่างกัน
รูปแบบของระบบกันสะเทือนถือเป็นจุดเด่นและประสิทธิภาพการขับเคลื่อนของรถ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน ปีกนกคู่ พร้อมระยะห่างระหว่างล้อ 1,710 มิลลิเมตร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มใหม่ ส่วนประกอบหลัก เช่น แขนควบคุมและจุดยึดต้องออกแบบและติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆ ใหม่ทั้งหมด ล้ออัลลอยลายแกร่ง รองรับการลุยแหลกด้วยความแข็งแรงของล้อขอบ 17 นิ้ว ยางกึ่งออฟโรดสมรรถนะสูง ไซส์ 285/70 R17 ยังคงใช้แบรนด์เดิม นั่นก็คือยาง BFGoodrich รุ่น KO2 all-terrain แบบเดียวกันกับยาง Raptor เจนแรก KO2 all-terrain มีแก้มยางความหนาสามชั้น ยางรุ่นนี้ติดตั้งกับล้ออัลลอยของ Ford Performance ได้อย่างลงตัว KO2 วิ่งอย่างเนียนทั้งทางลาดยาง ทางปูนซีเมนท์และทางวิบากทั้งดิน โคลน ทราย ลูกรัง และหินลอย
Ford Ranger Raptor รุ่นปี 2023 ถูกปรับรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด หน้าตาที่แตกต่างไปจากรถกระบะ F-Series ของ Ford ไฟหน้าแบบ Dark Accent Matrix LED headlamps with LED DTRLs เดินเส้นล้อมกรอบไฟหน้าด้วยไฟหรี่กลางวัน LED Daytime Running Light แบบ C-clamp และกระจังหน้า block letter Grille ตัวอักษร F-O-R-D ที่โดดเด่น โดยรวมแล้ว Raptor ใหม่ กว้างขึ้น 100 มิลลิเมตร กันชนหน้ามีไฟตัดหมอก LED ขนาดเล็กอยู่บริเวณมุมด้านล่างของกันชนทั้งสองฝั่ง ด้านล่างมีแผ่นโลหะกันกระแทก Super Alloy front skid plate ฝากระโปรงหน้าเชื่อมโยงเส้นสายได้อย่างลงตัวระหว่างแก้มข้างและส่วนหน้า พลาสติกหุ้มซุ้มล้อสีเทา-ดำ คงต้องระวังเวลาใช้งานกันพอสมควร เพราะถ้าเอาไปลุยหนักๆก็อาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ ด้านข้างมีกาบบันได Black Powder coated die cast aluminum side steps ใช้เหยียบขึ้นไปสู่ห้องโดยสาร เนื่องจากขนาดความสูงที่มากกว่ารถกระบะทั่วไป การมีกาบบันไดข้างช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกจากห้องโดยสารได้ดี แต่ถ้าจะเอาไปลุยหนักๆ ควรถอดออกจะดีกว่ามาก
มิติตัวถังยาว 5360 มิลลิเมตร กว้าง 2028 มิลลิเมตร สูง 1926 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 3270 มิลลิเมตร ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 272 มิลลิเมตร ระยะแทร็กล้อหน้า-หลัง 1,710 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2,475 กิโลกรัม น้ำหนักรถบวกน้ำหนักบรรทุกสูงสุด รวม 5,370 กิโลกรัม มุมเข้าใกล้ 32° มุมลาดเอียง 24° มุมจาก 27° (24° เมื่อติดตั้งคานลาก) ความจุถังเชื้อเพลิง 80 ลิตร (เบนซิน) เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทุกแง่มุมของ Ranger Raptor ได้รับการออกแบบมาโดยมีสมรรถนะของเครื่องยนต์ ระบบเกียร์และระบบรองรับเป็นหัวใจหลัก ช่วงล้อที่ถูกขยายให้กว้างขึ้น บวกกับความสูงของตัวรถที่เพิ่มขึ้น โป่งข้างซุ้มล้อของรถที่ขยายออกเพื่อให้มีความสอดคล้องกับแทร็กองล้อที่กว้างกว่า Ranger รุ่นมาตรฐาน โช้คอัพของ FOX Racing Shox ปีกนกอลูมิเนียม รวมถึงล้อและยางที่ถูกออกแบบให้สามารถรองรับการขับขี่แบบออฟโรด กระบะท้ายมีพื้นที่กว้างมากกว่ารถกระบะทั่วไป ฝาท้ายกระบะมีระบบผ่อนแรงเปิด-ปิด พร้อมจุดเชื่อมต่อพลังงานไฟฟ้าสองตำแหน่งที่คอยป้อนพลังงานยามออกไปแคมป์ปิ้ง ทั้งแบบ 12V 180W และ AC230V 400W MAX ไฟท้ายทรงตั้งหลอด LED สว่างคมชัดใช้ได้ ตำแหน่งของไฟเลี้ยว LED ที่มุมบนทำให้สังเกตได้ง่าย ไฟเบรกดวงที่สามอยู่เหนือมือจับที่เปิดฝาท้าย กันชนหลังออกแบบได้ดีทั้งความแข็งแรงสวยงามและใช้เป็นที่เหยียบเพื่อขึ้นไปบนกระบะท้าย ท่อระบายไอเสียทรงกลมฝั่งละท่อ พร้อมจุดลากเหล็กรูปตัวยูที่เอาไว้ลากจูง ฝากระบะท้ายปั๊มตัวอักษร Ranger และแถบป้าย Raptor พลาสติกสีดำที่มุมบนด้านขวาของฝากระบะท้าย จากรูปลักษณ์ที่ดุดัน สื่อถึงสมรรถนะที่เหนือกว่ารถกระบะไซส์กลางทุกรุ่นที่มีขายในประเทศไทย Ranger Raptor Next Gen ที่มีดีเอ็นเอของ Ford Performance ได้กลายมาเป็นรถออฟโรดสมรรถนะสูงที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทยแล้วถูกส่งออกไปขายทั่วโลก
ภายในของ Ranger Raptor Next Gen นั้นเหมือนกับ Ranger รุ่นใหม่ตัวถังดับเบิ้ลแค็บ แต่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น เบาะที่นั่ง ใช้การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำแหน่งที่นั่งนักบินในเครื่องบินขับไล่ F22 Raptor พื้นที่เบาะคู่หน้ามีขนาดใหญ่ แดชบอร์ดคอนโซลตกแต่งด้วยพลาสติกสีส้ม ช่องแอร์ทรงรังผึ้งท่ีสวยงาม บางจุดของห้องโดยสาร พวกแผงประตู เบาะ และขอบของแดชบอร์ด บุด้วยวัสดุแบบใหม่ที่มีส่วนผสมของหนังที่คล้ายกับหนังกลับ Alcantara การออกแบบตัวเบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง มีรูปทรงที่โอบอุ้มสรีระของคนของ การออกแบบเบาะที่นั่งในลักษะดังกล่าวจะช่วยทำให้นั่งขับได้สบายตัวขึ้นมากไม่ว่าจะขับบนไฮเวย์ หรือเอาลงไปรูดบนทางลูกรังด้วยความเร็วสูง
เบาะหลังแบบสามที่นั่ง เอาเข้าจริงๆ นั่งสองคนจะสบายตัวกว่ามาก เบาะหลังใช้หนังและวัสดุตกแต่งเพิ่มเติมรวมถึงธีมสีเหมือนกับเบาะคู่หน้า ลวดลาย Code Orange ปรากฏอยู่ทั่วทั้งห้องโดยสาร โดยเฉพาะบริเวณช่องแอร์และพวงมาลัยที่ประทับตรา Raptor พวงมาลัยหุ้มหนังแท้ มีแถบหนังสีส้มอยู่ตรงกึ่งกลางด้านบน เพื่อเป็นแนวทางในการเล็งตำแหน่งองศาของพวงมาลัยในแนวรถซิ่ง หนังที่ใช้หุ้มรอบวง มีสัมผัสพิเศษแบบอ่อนนุ่มบางจุด มันมาพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชันและแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift ทำให้ Raptor อยู่เหนือกว่า Ranger หรือ Everest รุ่นท็อป รวมถึงวัสดุไมโครไฟเบอร์ที่คล้าย Alcantara บนช่องเก็บของหน้ารถ แผงประตู และงานตกแต่งบนเบาะนั่ง
นอกจากจอแสดงผลอินโฟเทนเมนท์แนวตั้งขนาด 12 นิ้ว ที่ใหญ่ขึ้นแล้ว Ford Ranger Raptor Next Gen ยังแตกต่างจาก Ranger จากการใช้แผงหน้าปัดดิจิตอล instrument cluster TFT tft thin film transistor ขนาด 12.3 นิ้ว ที่ปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้อย่างน่าประทับใจ ความคมชัดของจอภาพมาตรวัดที่แสดงตำแหน่งเกียร์เอาไว้ตรงกลาง ควบรวมการแสดงผลที่มีความหลากหลาย โดยยังคงใช้หลักการเดิมของมาตรวัดแบบคลาสสิกที่คุ้นเคย เชื่อมโยงด้วยสีสันและความชัดเจนท่ีน่ามอง มาตรวัดรอบทรงกลม ตรงกลางเป็นจอภาพแสดงข้อมูล MID multi function display แสดงข้อมูลที่สำคัญเช่น อุณหภูมิในหม้อน้ำ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ระดับเชื้อเพลิงในถังต่อระยะทางที่สามารถไปถึง อัตราสิ้นเปลือง ระบบอินโฟเทนเมนท์ การเชื่อมต่อ การนำทาง อุณหภูมิภายนอก ฯ จอภาพมาตรวัดคลัสเตอร์ที่ด้านหน้าคนขับสามารถแสดงการนำทางแบบสด พร้อมด้วยข้อมูลทางเทคนิคและกลไกมากมาย สำหรับเวลาที่คุณต้องการเรียกดูข้อมูล คลัสเตอร์ดิจิทัลยังสามารถปรับแต่งได้ตามการผสมผสานข้อมูลต่างๆ
จอภาพมอนิเตอร์กลางวางตำแหน่งในแนวตั้งของระบบอินโฟเทนเมนต์ก็ดีเช่นกัน มีการผสมผสานความซับซ้อน คุณสมบัติที่หลากหลาย และความสะดวกในการใช้งานเข้าด้วยกัน มีเมนูและตัวเลือกมากมายให้ใช้งาน โดยเฉพาะปุ่มทางลัดที่ด้านบนสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการแสดงผลกลับไปที่ส่วนหลักได้ แม้ว่าจอแสดงผลจะมีขนาดที่ยาวผิดปกติ แต่ Ford ออกแบบให้ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ (โซนคู่) โดยวางตำแหน่งอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียงที่เน้นความสำคัญทั้งหมดของการใช้งาน ซึ่งช่วยได้ดี เพราะปุ่มหมุนเหล่านี้ใช้งานขณะเดินทางได้ง่ายกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการสัมผัสไปที่หน้าจอในขณะที่รถกำลังขับเคลื่อน หน้าจอมอนิเตอร์กลางวางตัวในแนวตั้งขนาดใหญ่ ทำให้คุณมีทุกอย่างที่ต้องการในโลกยุคใหม่ เช่น การเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย เชื่อมต่อ Android Auto, ระบบนำทางแบบ3D, บริการสตาร์ทรถจากระยะไกลและการระบุตำแหน่ง (ผ่านแอพ FordPass), วิทยุดิจิตอล ระบบเสียงที่ได้รับการอัพเกรดของ B&O sound system (Bang & Olufsen) ลำโพง 8 ตำแหน่งรอบห้องโดยสารที่เหนือกว่าเครื่องเสียงจากโรงงานในรถกระบะทั่วไป
อุปกรณ์ความปลอดภัยจัดมาให้อย่างครบ มีทั้งแบบใช้งานได้ดีและเกินความจำเป็นสำหรับนักขับที่มีฝีมือในการควบคุมระดับแชมป์แรลลี่ เช่น : การเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go , การจดจำป้ายจราจร, การตรวจสอบจุดบอด พร้อมระบบเตือนการเข้าใกล้สิ่งกีดขวางด้านหลัง, การเตือนออกนอกเลนพร้อมกับการสั่นเบาๆ และดึงพวงมาลัยกลับอย่างค่อยเป็นค่อยไป อันนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี สำหรับนักขับที่ชอบเผลอ ระบบช่วยจอด ไฟหน้าอัตโนมัติ Adaptive LED ที่ฉลาด ทำงานเร็ว แบ่งช่องแสงไฟในขณะที่ยกไฟสูงคาเอาไว้ เพื่อไม่ทำให้แสงไฟไปรบกวนรถยนต์รอบตัว Adaptive LED ของ Raptor Next Gen มีกำลังในการส่องสว่างไกลเฉียดๆ 600 เมตร กล้อง 360 องศา เซนเซอร์จอดรถด้านหน้าและด้านหลัง ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง และระบบช่วยจำกัดความเร็วอัจฉริยะ สำหรับการตรวจสอบจุดบอดยังสามารถกดปุ่มตรวจการณ์บริเวณหลังซุ้มคันเกียร์ ระบบจะแสดงผลด้วยภาพ 360 องศา กับกราฟิกของระบบขับเคลื่อน เหมาะสำหรับเส้นทางวิบาก ที่ต้องการการวางตำแหน่งของรถให้ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
วิศวกรของ Ford Performance แนะนำให้ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน 95 หรือ 98 (ในบางประเทศ) สำหรับ Ranger Raptor รุ่นใหม่ โดยมีการยืนยันจาก Ford ว่า ระบบเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ V6 Twin Turbo ถูกปรับตั้งให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงมาตรฐาน 91 ได้ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงและทำระยะทางได้น้อยลง ทั้งนี้ เนื่องจาก Raptor ได้รับการพัฒนาระบบเชื้อเพลิงใหม่หมด โดยเผื่อไว้สำหรับภูมิภาคที่มีมาตรฐานค่าออกเทนต่ำ อีกเรื่องที่มีความสำคัญก็คือ เวลาเติมน้ำมันก็อย่าเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ดับเครื่อง แล้วลงมาดูว่าหัวจ่ายน้ำมันถูกต้องหรือเปล่า อย่าไปคิดว่าเด็กปั๊มเค้าจะรู้ว่าต้องเติมอะไร เพราะอาจเกิดการเข้าใจผิดคิดว่านี่คือกระบะดีเซลแล้วยัดหัวจ่ายน้ำมันดีเซลเข้าไป แบบนั้นก็เรื่องใหญ่เลยละครับ ลงจากรถ ดูให้แน่ใจว่าที่ยัดเข้าไปก่อนจะกดเติมว่านั่นคือหัวจ่ายเบนซินเป็นใช้ได้ เมื่อดูว่าเติมน้ำมันได้ถูกต้องแล้ว ก็ถือโอกาสเดินตรวจรอบๆ รถ ดูสภาพของยางว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่า การลงมาตรวจสอบด้วยตัวเองเวลาเติมเชื้อเพลิงจะดีกว่านั่งอยู่บนรถแล้วปล่อยให้เด็กปั๊มเข้าใจไปเองนะครับ
Ford Ranger Raptor ใหม่ ผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมและการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อทำให้รถรุ่นใหม่เหนือชั้นกว่า นั่นหมายถึงองค์ประกอบที่สำคัญในขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการพัฒนา Ranger ท่ามกลางภูมิประเทศที่โหดร้าย ส่งผลต่อโปรแกรมการปรับจูน Raptor Next Gen ในทางกลับกัน มันมีประสิทธิภาพมากกว่า Raptor รุ่นเก่า เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเป็นเครื่องยนต์ที่ว่องไว แต่ท้ายที่สุดก็มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานใหม่ เนื่องจากขนาดและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น มวลเหนือสปริงที่สูงขึ้นทำให้ Raptor ใหม่ จำเป็นต้องมีกำลังมากกว่าเดิม ระบบกันสะเทือนและชุดบังคับเลี้ยวไฟฟ้า กลายเป็นดาวเด่นของการควบคุม ทำให้ระบบส่งกำลังต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปรับตัวให้ทันกับช่วงล่างระดับเทพ เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ 3.0 ลิตร เป็นสัตว์ร้ายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง กำลัง 391 แรงม้า และแรงบิด 583 นิวตันเมตร เพียงพอที่จะทำให้นักล่ารุ่นใหม่กระฉับกระเฉงมากกว่าเดิม ซึ่งเท่ากับกำลังเพิ่มขึ้น 85 เปอร์เซ็นต์ และแรงบิดเพิ่มขึ้น 16.6% เครื่องยนต์นี้ทรงพลังและตอบสนองได้ดี โดยมีเสียงท่อระบายท้ายที่กระหึ่มหนักแน่นน่าประทับใจ เครื่องยนต์ Ecoboost เร่งความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง จากการทำงานของระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ - เทอร์โบหนึ่งตัว รับผิดชอบในการอัดไอดีของกระบอกสูบทั้งสามตำแหน่ง มันสามารถป้อนอากาศได้อย่างรวดเร็วโดยมีอาการรอรอบเพียงเล็กน้อย เพื่อให้แรงดันบูสต์เพิ่มขึ้น เมื่อจุดติด Raptor Next Gen จะพุ่งทะยานแหวกกระแสลมอย่างมุ่งมั่นพร้อมๆ กับเข็มวัดระดับเชื้อเพลิงที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อัตราสิ้นเปลือง 6.8 กิโลเมตรต่อลิตร เมื่อใช้ความเร็ว 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เป็นมิตรต่อคนที่กระเป๋าบาง และเมื่อปรับโหมดขับเคลื่อนให้ตอบสนองอย่างเต็มประสิทธิภาพใน Sport Mode พร้อมๆ กับการใช้คันเร่งอย่างต่อเนื่องเพื่อขับในย่านความเร็วสูง อัตราสิ้นเปลืองก็จะเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
https://www.thairath.co.th/news/auto/testdrive/2502537