ได้มีโอกาสไปทำข่าวการแข่งขันรถยนต์ ADAC Zurich 24 Hours Nürburgring
ในการแข่งจะมีการออกบูธของแต่ละค่ายรถยนต์
เจอบูธของค่ายรถยนต์ TOYOTA เจอ C-HR Hybrid จอดเด่นอยู่เลยไปเก็บภาพมาให้ชมกัน
สเป็คที่ขายจริงในยุโรปมี 2 รุ่น ให้เลือก
- เบนซิน 1.2L Turbo มีทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ CVT ส่วนระบบขับเคลื่อน
มีทั้งขับเคลื่อน4ล้อและ 2ล้อหน้า
- เบนซิน ไฮบริด 1.8L เกียร์ E-CVT ขับเคลื่อน 2ล้อหน้า
-----------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับในตลาดโลกจะมีให้เลือก 4 รูปแบบเครื่องยนต์ ด้วยกัน
เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร Turbo รหัส 8NR-FTS DOHC 4 สูบแถวเรียง
16 วาล์ว Direct Injection D4 VVT-iw (intake) / VVT-i (exhaust)
ขนาด 1.2 ลิตร 1,197 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 71.5 x 74.5 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 185 นิวตันเมตร ที่ 1,500 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์
ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT
เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร Hybrid รหัส 2ZR-FXE DOHC 4 สูบแถวเรียง
Atkinson cycle 16 วาล์ว VVT-i ขนาด 1.8 ลิตร 1,798 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก
80.5 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.04 : 1 กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 3,600 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า PERMANENT
MAGNET SYNCHRONOUS ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิด 163 นิวตันเมตร
แบตเตอรี่แบบ Ni-MH ( Nickel metal Hydride ) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ แบบ CVT
รวมพละกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้ กำลังสูงสุด 122 แรงม้า
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร NA จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT
กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิด 193 นิวตันเมตร ที่ 3,800 รอบ/นาที
(ยังไม่มีรายละเอียดแน่ชัดว่าจะเป็นเครื่องยนต์บล๊อกใด)
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ (สำหรับตลาดรัสเซียเท่านั้น)
ทางด้านมิติตัวถังของ Toyota C-HR มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ยาว x กว้าง x สูง : 4,350 x 1,795 x 1,565 มิลลิเมตร
(รุ่น Hybrid สูง 1,555 มิลลิเมตร) ระยะฐานล้อ : 2,640 มิลลิเมตร
ความจุห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย 370 ลิตร
ส่วนในสนามแข่ง ADAC Zurich 24 Hours Nürburgring
ทีม Toyota Gazoo Racing ส่งToyota C-HR เข้าแข่งในสนามนี้ด้วย ในรถหมายเลข326
โดยส่งลงแข่งในคลาส SP2T สามารถสร้างชื่อเสียงได้โดยที่เป็นรถ Crossover คันเดียว
ในการแข่งขันในครั้งนี้ และสามารถวิ่งจบ 24ชั่วโมง ได้ลำดับที่ 3 ในคลาส โดยวิ่งได้ 97 รอบสนาม
ส่วนในเมืองไทยจะได้ใช้เมื่อไหร่ต้องรอลุ้นกันแต่อาจจะต้องรอถึง ปี 2018 ต้องติดตามกันต่อไป
ปล.ขอบคุณภาพในสนามแข่งจากพี่ อาคม รวมสุวรรณ