Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: boogie2020 ที่ มิถุนายน 14, 2016, 09:33:46
-
ลองดู ๆ clip พวก Tesla ตัวเทพ ๆ แล้วสยอง นี่ขนาดเพิ่งเริ่มพัฒนาไม่กี่ปีนะ ยังได้ขนาดนี้ อีกไม่นาน ...ถ้านับด้าน performance รถใช้เครื่องยนต์จะเอาอะไรมาสู้ละนั้น
เรื่องความแรง - มอเตอร์จะเอาแรงแค่ไหนก็จัดให้ได้ ถ้าแบตพอ 5 5
อัตราเร่ง - ก็คงคล้ายกัน อยากได้ torque แค่ไหน มอเตอร์จัดให้ได้หมด สุดท้าย มันจะเป็น limit ที่ยางกับพื้นถนนแทน
การทรงตัว ช่วงล่าง - CG ต่ำกว่าเห็น ๆ เอามอเตอร์ต่อล้อเลยก็ยังได้
คงมีอยากเดียวที่รถไฟฟ้าสุ้ไม่ได้คงเรื่องเสียง 5 5 (ดู formula-e แล้วกร่อยมาก วิ้ง ๆ ไป ๆ มาๆ 5 5๗
-
ค่า maintenance ค่า แบตแพง ค่ามอเตอร์แพง
-
เอาเบสิกเลยก็ รถใช้น้ำมันขับได้ไกลกว่า
-
ค่า maintenance ค่า แบตแพง ค่ามอเตอร์แพง
ถ้ามันมา เต็มระบบ มีการแข่งขัน ราคาไม่แพงครับ
แบต ประกัน ห้าปี
-
ตามกล้องฟิลม์ไปครับ ;D
-
ณ ช่วงเวลานี้
รถไฟฟ้าที่ใช้งานทั่วไปถือว่าโอเค(ด้าน performance)
แต่ความเร็วปลายยังไงก็ยังสู้รถเครื่องสันดาปไม่ได้ (แต่ต้น-กลาง ไล่บี้กันสนุก)
-
อย่างแรกที่จะเห็นคือเหล่าผู้ถือหุ้นพลังงานจะออกมาดิ้นพราดๆ อย่างที่2รบ.คงทำะอะไรไม่ถูกแล้วก็ดึงเวลาให้ยืดยาวออกไป คาดว่าคนไทยคงใช้รถพรรนี้ช้ากว่าชาวโลกไม่น้อยกว่า10ปี มีลางสัง"หอน"แปลกๆบอกไม่ถูก
-
ถ้าด้าน performance สูไม่ได้หรอกครับ motor เอาไปกินหมดมีแต่เรื่องอื่นที่จะต้องรอดูไปครับ
-
ฟิลลิ่งเกียร์ เสียงเครื่อง และระยะทางที่ไกลกว่า เติมน้ำมันได้เร็วกว่า
-
เมื่อไหร่ที่รถไฟฟ้าทนทานและใช้งานระยะไกลได้ดีจริงแล้วผมไม่เลือกรถระบบสันดาปภายในแล้วครับ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องไปยึดติดเลย :-X
-
อย่างแรกที่จะเห็นคือเหล่าผู้ถือหุ้นพลังงานจะออกมาดิ้นพราดๆ อย่างที่2รบ.คงทำะอะไรไม่ถูกแล้วก็ดึงเวลาให้ยืดยาวออกไป คาดว่าคนไทยคงใช้รถพรรนี้ช้ากว่าชาวโลกไม่น้อยกว่า10ปี มีลางสัง"หอน"แปลกๆบอกไม่ถูก
ไปว่าเขา ว่าตัวผู้บริโภคดีกว่าไหมครับ แค่ทุกวันนี้พอพูดถึงระบบไฮบริดคนก็ร้องยี้ๆๆๆๆๆ ค่าบำรุงรักษาแพง แบตแพง ใช้ยาว 10 ปี ค่าดูแลแพง ขายต่อราคาตก แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่ค่ายรถไม่จำเป็นต้องเอาเทคโนโลยีไฟฟ้ามาขายเมืองไทยแล้วครับ
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามา....พวกรถยนต์น้ำมันก็จะผันตัวเป็นเครื่องไฟฟ้าหมดไงครับ
เราอาจจะได้เห็น Audi R8 เครื่องโซลินอยย์ 10 สูบ (โซลินอยย์คือลูกสูบแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการเหมือนเครื่องยนต์น้ำมันแต่ใช้แรงไฟฟ้าเป็นตัวผลัก)
BMW 3,5 เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือแบบบ้านๆเลยก็ Civic เครื่องไฟฟ้า Mazda 3 เครื่องไฟฟ้า อะไรแบบนั้น
แต่......รถไฟฟ้ากับการใช้งานในบ้านเรามันก็ยังมีคำถามอยู่เช่น ถ้าใช้งานในช่วงฝนตกหรือลุยน้ำท่วมจะปลอดภัยแค่ไหน ระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะจุกจิกหรือไม่ ซ่อมบำรุงรักษาง่ายแค่ไหน เรื่องความทนทานกับสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นต้น
-
ก็จำกัดเฉพาะรถ Sport พันแท้ๆ สาย Nich ไปเลยไงครับ
Hybrid คือคำตอบ ได้ความแรงของมอเตอร์ ไหนจะเครื่องยนต์อีก
แบบ 918 , P1 , LaFerrari
จริงๆเครื่องสันดาปมันก็ตันๆแล้วนะ เรื่องอัตราเร่ง (ตั้งแต่ GTR รุ่นหลังๆละ) เพราะมันทดเกียร์ได้ ยิ่งสมัยนี้คนบ้าเลข 0-100 ด้วย เอะอะอะไร เอา 0-100 มาคุย (ทั้งที่รถบางคันเลข 0-100 ไม่ดีมากนัก แต่หลังจากนั้น .... แรงกว่าคนละเรื่อง)
-------------------------------------
รถไฟฟ้าผมเฉยๆกับมันนะ แรงอัตราเร่ง แล้วไง รู้ว่ามันแรงตั้งแต่พวกรถกอล์ฟละ มันดึงงงง :P
ไม่รู้สิ ผมมองรถ ในมุมเฉพาะของผม แต่สิ่งที่ Tesla ทำ ถ้ามองว่ารถคือยานพาหนะขนส่ง ไม่ใช่มองรถ ในฐานะที่ "รถ" ในฐานะที่ให้ความสนุกในการขับขี่ สังเกตได้ชัดเจนจากการพยายามผลักดันเรื่องรถแบบ Autonomous driving อย่างเต็มที่
รถไฟฟ้า+AutoDriving มามันก็ดีนะ คือรถจะกลายเป็นยานพาหนะที่ขนส่งจุดต่อจุดได้ดี (ซึ่งก็ดีแล้ว บนถนน ได้ความปลอดภัยเพิ่ม) แต่อีกหน่อยมันจะเหมือนกับว่ารถเป็นแค่พาหนะขนส่งชนิดนึงเท่านั้นแหละ (เหมือนกับเวลาไปไหน รถก้ขับเองไม่ต่างจากนั่ง BTS ที่จอดอยู่หน้าบ้าน) ไม่ได้มองรถในแค่ของความสนุกในการขับ หรือเป็นสิ่งสนุก งานอดิเรกที่สิ่งที่คนชอบขับรถเค้าทำๆกัน อีกหน่อยจะไม่มีพวงมาลัยให้ใช้ ผมว่ามันก็เป็นไปได้ เช้ามา นั่งรถ กดปุ่ม รอมันวิ่งออกไปส่ง และแค่นั้น ไอ้เรื่องเลอะกลิ่นอายน้ำมัน งมห้องเครื่อง แต่งรถ คงหายไปเยอะ
ถ้าดูสิ่งที่เทสล่าพยายามทำในตอนนี้ รวมถึงข่าวช่วงหลังๆ เค้าพยายามผลักดันรถยนต์ให้ไปในแนวทางนั้นมากขึ้น ในแนวทางของยานพาหนะ (ซึ่งจริงๆรถยนต์มันก็เกิดมาเพื่อเป็นยานพาหนะ มาตั้งแต่แรกแล้ว)
Tesla ผมไม่ค่อยอยากจะเรียกว่ารถยนต์สำหรับผมน่ะ เท่าที่ดูๆ กระดองภายนอกก็อาจจะใช่ แต่ผมว่ามันน่าจะเป็นการมาถึงของ "รถไฟฟ้า ส่วนบุคคล" มากกว่า
เท่าที่ตามมาระยะนึง เวลาเค้าพัฒนา ไม่ได้สนใจมากกับเรื่อง ฟีลลิ่งพวงมาลัย เสียงเครื่อง การเข้าโค้งที่ความเร็วสูง Lap Time Nurburgring สิ่งที่เค้าสนใจ มีแค่ ทำยังไงให้รถไฟฟ้ามันไปได้ไกล เติมไวขึ้น ระบบขับเองฉลาดขึ้นจนแทนมนุษย์ได้ อะไรแบบนั้นมากกว่า อัตราเร่งแรงๆที่ใส่มา เค้าก็แค่พยายามแสดงให้เห็นว่า มอเตอร์มันก็แรงไม่แพ้สันดาปแล้วนะ และ "แค่นั้น" ;)
----------------
รถไฟฟ้า(รวมถึง Auto Driving) อนาคตผมว่าจะเห็นจนเต็มถนน ในฐานะ "ยานพาหนะ" ส่วนรถสันดาป รถเครื่องยนต์อาจจะยังอยู่ และเป็นกีฬาเพื่อความสนุกสนาน แบบรถโกคาร์ทอะไรแบบนั้นไปก็ได้ครับ
เหมือนสมัยนี้ ยังมีใครขี่ม้าเดินทางอีกไหม ก็ไม่มี ใช้รถยนต์แทนกันหมดแล้ว แต่กีฬาแข่งม้า คนที่ชอบขี่ม้า ก็ยังมีอยู่
ถ้ามันมาผมว่าที่น่าสนใจกว่าคือผู้ผลิตรถสปอร์ต + Super Car แต่ละค่ายจะไปทางไหนยังไงกันมากกว่า ในเมื่อรถในอนาคต .. ไม่ต้องขับ .. แล้ว "ความสนุกในการขับ" จะเอาไปขายใครดี
---------------
ผมไม่ปิดกั้นหรอก มาก็ซื้อนะ รถไฟฟ้า + Autonomous driving ไว้เวลาไปธุระ ไปไหนมาไหน แต่ว่าคงต้องมีรถสันดาปแฮนลิ่งดีๆสักคันติดบ้านไว้สำหรับวัน Trackday อยู่ดีครับ ::)
-
จขกท. เค้าล็อคสเปคถาม performance หนีไปตอบเรื่องอื่นกันหมด เพราะไม่รู้จะยกอะไรไปสู้
เครื่องยนต์ loss สูง ไม่ว่าจะเป็นความร้อนสุญเสีย แรงเสียดทาน ระบบส่งกำลัง เกียร์ ฯ
แรงบิดก้ไม่คงที่ต่ำน้อย กลางดี ปลายเหี่ยว
มอเตอร์ไฟฟ้า efficiency เกือบ 100% แรงบิดมาตั้งแต่กดคันเร่ง loss ต่ำ มอเตอร์อยู่ที่ล้อไม่ต้องใช้ระบบส่งกำลัง
performance ดีกว่าทุกประเด็น ไม่มีข้อเปรียบเทียบ ข้อด้อยมี แต่ไม่ใช่ตัวมัน (งงมั้ยเนี่ย)
เทคโนโลยีขั้นสูง อุปกรณ์ซับซ้อน ระบบไฟฟ้าทั้งคัน ช่างที่ไหนมันจะไปมีปัญญาซ่อม
ได้แค่ถอดเปลี่ยน เหมื่อนช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ในปัจจุบัน บอร์ดไหนเสีย เปลี่ยนบอร์ดนั้น
อุปกรณ์เก็บพลังงาน ยังมีประสิทธิภาพต่ำ สู้น้ำมันยังไม่ได้ ระยะสั้นผู้ผลิตบางรายเลยใช้วิธิเอาเครื่องยนต์มาปันไฟแทน....
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามา....พวกรถยนต์น้ำมันก็จะผันตัวเป็นเครื่องไฟฟ้าหมดไงครับ
เราอาจจะได้เห็น Audi R8 เครื่องโซลินอยย์ 10 สูบ (โซลินอยย์คือลูกสูบแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการเหมือนเครื่องยนต์น้ำมันแต่ใช้แรงไฟฟ้าเป็นตัวผลัก)
BMW 3,5 เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือแบบบ้านๆเลยก็ Civic เครื่องไฟฟ้า Mazda 3 เครื่องไฟฟ้า อะไรแบบนั้น
แต่......รถไฟฟ้ากับการใช้งานในบ้านเรามันก็ยังมีคำถามอยู่เช่น ถ้าใช้งานในช่วงฝนตกหรือลุยน้ำท่วมจะปลอดภัยแค่ไหน ระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะจุกจิกหรือไม่ ซ่อมบำรุงรักษาง่ายแค่ไหน เรื่องความทนทานกับสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นต้น
ลองไปหาคลิปเมืองนอกดูนะครับ ลุยน้ำได้ลึกพอตัวเลยหล่ะ ระบบไฟฟ้าที่เป้นระบบปิดไม่จุกจิกครับเสียยากมาก
ซ่อมบำรุงไม่ยาก ถอดเปลี่ยนๆ แค่นั้น ช่างทั่วไปทำไม่ได้ เพราะระบบอิเลคทรอนิคล้วนๆ
ความทนทานหายห่วง ถ้าผู้ผลิตเค้าเลือกอุปกรณ์เกรดทนความร้อนสูง และซีลกันความชื้นดีพอ
-
รุ้แต่อารมณ์ครับ มอเตอร์ไฟฟ้าก็ยังคงตอบสนองความต้องการคนที่รักในการขับไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะเสียง อารมณ์ความรู้สึก มันหายไปแน่ ลองขับไฮบริดดูจะรู้ว่ามันไม่ได้อารมณ์จริงๆ วิ่งในซอยคนเดินชนรถซะงั้น เงียบยังกะขี่จักรยาน
ตรงข้ามกันอย่างบิ๊กไบท์หรือซุปเปอร์คาร์ ได้ยินเสียงก็มีความสุขแล้ว
เพิ่มเติม
เห็นข่าวว่าปลายปีนี้เปิดขายในไทยแล้วโดยบริษัท เทสลา ออโตโมทีฟ จะนำเข้า Tesla จากอเมริกา
ตัวเบสิค 417 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.3 วินาที
กับตัวทอป 762 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.4 วินาที
ทอปสปีดก็ใช่ย่อย 155 mph X 1.6 น่าจะราวๆ 250 กม./ชม.
เห็นสเปคแล้วตกใจ 0-100 เหนือกว่ารถซุปเปอร์คาร์ซะอีก แต่ราคาก็แรงตามไม่เบาประมาณ 5 M. !!!!
อันนี้หละที่นึกออกว่าเครื่องยนต์สันดาปสู้ได้แน่นอน :D :D :D
-
กระทู้ก่อนหน้าตั้งเรื่อง ทำไม hybrid ไม่เป็นที่นิยมในไทย
ผมเห็นวิจารณ์กันเพียบ เรื่องค่าซ่อมบำรุงแพง แบตแพงมั้ง ทั้งๆที่ รับประกัน 10 ปี ราคาแบต 8 หมื่นกว่าบาท
แต่พอเป็น tesla ผมเห็นมีแต่คนอยากได้ คลั่งไคล้กันมาก
ถึงกับบอกว่าหมดยุคเครื่องสันดาบ
ทั้งๆที่แบต tesla รับประกันแค่ 8 ปี ราคาแบต $12,000 เหรียญ หรือ 4.3 แสนบาท
แพงกว่าแบต prius 5 เท่า
ไม่กลัวค่าบำรุงรักษากันมั่งเหรอ 55555
-
รถไฟฟ้ายังน่าจะเสียเปรียบเรื่องน้ำหนักตัวรถนะครับ ถึงจุดศูนย์ถ่วงจะต่ำแต่น้ำหนักรวมระบบต่างๆน่าจะเยอะอยู่
สมัยก่อน Tesla Roadster ใช้ Lotus Elise เป็นพื้นฐานแต่น้ำหนักตัวสูงกว่ามาก
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามา....พวกรถยนต์น้ำมันก็จะผันตัวเป็นเครื่องไฟฟ้าหมดไงครับ
เราอาจจะได้เห็น Audi R8 เครื่องโซลินอยย์ 10 สูบ (โซลินอยย์คือลูกสูบแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการเหมือนเครื่องยนต์น้ำมันแต่ใช้แรงไฟฟ้าเป็นตัวผลัก)
BMW 3,5 เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือแบบบ้านๆเลยก็ Civic เครื่องไฟฟ้า Mazda 3 เครื่องไฟฟ้า อะไรแบบนั้น
แต่......รถไฟฟ้ากับการใช้งานในบ้านเรามันก็ยังมีคำถามอยู่เช่น ถ้าใช้งานในช่วงฝนตกหรือลุยน้ำท่วมจะปลอดภัยแค่ไหน ระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะจุกจิกหรือไม่ ซ่อมบำรุงรักษาง่ายแค่ไหน เรื่องความทนทานกับสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นต้น
ลองไปหาคลิปเมืองนอกดูนะครับ ลุยน้ำได้ลึกพอตัวเลยหล่ะ ระบบไฟฟ้าที่เป้นระบบปิดไม่จุกจิกครับเสียยากมาก
ซ่อมบำรุงไม่ยาก ถอดเปลี่ยนๆ แค่นั้น ช่างทั่วไปทำไม่ได้ เพราะระบบอิเลคทรอนิคล้วนๆ
ความทนทานหายห่วง ถ้าผู้ผลิตเค้าเลือกอุปกรณ์เกรดทนความร้อนสูง และซีลกันความชื้นดีพอ
ผมเคยดูอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นการ Test Production Car ขับช่วงฝนตก หรือขับลุยหิมะ พวกคลิปเอาไปลุยน้ำท่วมจัดๆหรือขับลุยทะเลทรายผมยังไม่เคยดูเหมือนกัน ต้องขออภัยด้วยครับ
ที่นี้กับการใช้งานจริงในบ้านเรา ที่สามวันดี สี่วันฝนตก บางวันลุยน้ำท่วมซอย (ไม่ใช่น้ำสะอาดด้วยนะ น้ำแบบที่มีขี้ดินขี้โคลนปนๆอยู่)
ในส่วนชองชิ้นส่วนและระบบที่เป็นไฟฟ้า ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะต้องสัมผัสอากาศและน้ำ ความชื้นต่างๆ หรือมี Cover เป็นระบบปิดมิดชิด ผมก็อยากเชื่อว่ามันน่าจะทนครับ
แต่ก็ยังไม่เคยมีการทดสอบที่ชัดเจน (ในสภาพอากาศแบบ้านเรา) เลยขอติดเป็นคำถามไว้ก่อน สำหรับการใช้งานจริงในระยะยาว
-
อนาคตสงสัยจะมีแบตสำรองขายเก็บไว้ในรถ เผื่อแบตหมด คล้ายมือถือ 555
-
สู้ไม่ได้ ก็ต้องตกยุคไปตามกาลเวลาครับ ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะ ของใหม่มา ของเก่าไป ไม่ใช่แค่เรื่องรถ อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายๆอย่างก็มีให้เห็นกันมากมายอยู่แล้ว
-
EV แรงต้นครับ ตอนถีบออกนี่สุดติ่งจริงๆ แต่ปลายๆ ยังไงก็สู้ เครื่องสันดาปไม่ได้ครับ
-
EV แรงต้นครับ ตอนถีบออกนี่สุดติ่งจริงๆ แต่ปลายๆ ยังไงก็สู้ เครื่องสันดาปไม่ได้ครับ
ในการใช้งานจริงคนส่วนใหญ่ใช้ความเร็วไม่เกิน 150 กม./ชม. ความเร็วแค่นี้รถไฟฟ้าไปได้สบายๆ
-
ชาร์ตนาน
แบตแพง
วิ่งในสภาพอากาสหนาวมากร้อนมากได้ไม่ดี
สรุป
เดาว่าไม่รุ่ง ในเร็ววัน
ขาใหญ่คุมopec
ควเป็นได้แค่ทาวเลือกในกลุ่มsegmtเฉพาะ
พลังงานอื่นที่ดีกว่าอาจจะพัฒนาเร็วก่า
-
เสียงหน่อมแน้มไป เครื่องแรงแต่ขู่ใครไม่ได้ (ไม่ได้เกี่ยวกับสมรรถนะเลย)
เอาจริงๆ ความเร็วปลาย แช่ยาวยังสู้เครื่องยนตร์ไม่ได้ มอเตอร์หมุนเร็วจัด(ไม่แน่ใจเทียบกับเทอร์โบใครหมุนจัดกว่า) กินไฟมาก แบตไม่พอใช้สำหรับการวิ่งทางไกล
ดูพวกรถไฮบริดทั้งหลายก็ได้ สเปคดูดี ขับจริงดูดี แต่พอซัดกันจริงๆ แบตหมดปุ๊บเป็นภาระเครื่องทันที ผมเคยใช้พรีอุสมุดบนทางด่วน ก็ดีใช้ได้ แต่พอแบตหมดนี่วิ่งไม่ออกเลย เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าวิ่งต่างจัดหวัดช่วงแซงสิบล้อถ้าแบตหมดก็แย่เหมือนกัน เครื่องสันดาปเทอร์โบยังตอบโจทย์ตรงนี้มากกว่า
-
EV แรงต้นครับ ตอนถีบออกนี่สุดติ่งจริงๆ แต่ปลายๆ ยังไงก็สู้ เครื่องสันดาปไม่ได้ครับ
ในการใช้งานจริงคนส่วนใหญ่ใช้ความเร็วไม่เกิน 150 กม./ชม. ความเร็วแค่นี้รถไฟฟ้าไปได้สบายๆ
มันเหมาะกับรถบ้านครับ แต่ถ้าเป็นพวกเน้น Performance หรือ Hyper car ยังไงเครื่องยนต์สันดาปจะใช้งานได้ดีกว่า
แต่ผมว่าในอนาคตก็คงสามารถพัฒนามอเตอร์ให้สามารถใช้ได้นาน และทำความเร็วมากๆได้อยู่ดีครับ ถึงเวลานั้น ก็คงต้องบอกลาเครื่องยนต์สันดาปล่ะครับ
-
อย่างแรกที่จะเห็นคือเหล่าผู้ถือหุ้นพลังงานจะออกมาดิ้นพราดๆ อย่างที่2รบ.คงทำะอะไรไม่ถูกแล้วก็ดึงเวลาให้ยืดยาวออกไป คาดว่าคนไทยคงใช้รถพรรนี้ช้ากว่าชาวโลกไม่น้อยกว่า10ปี มีลางสัง"หอน"แปลกๆบอกไม่ถูก
ไปว่าเขา ว่าตัวผู้บริโภคดีกว่าไหมครับ แค่ทุกวันนี้พอพูดถึงระบบไฮบริดคนก็ร้องยี้ๆๆๆๆๆ ค่าบำรุงรักษาแพง แบตแพง ใช้ยาว 10 ปี ค่าดูแลแพง ขายต่อราคาตก แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่ค่ายรถไม่จำเป็นต้องเอาเทคโนโลยีไฟฟ้ามาขายเมืองไทยแล้วครับ
::)ขอโทษครับ ไม่ได้มีเจตนาว่าหรอกครับ ตัวผมก็อยากใช้ใจจะขาดไม่ชอบที่กลุ่มโอเปคทำตัวครองโลกอยู่ทุกวันนี้ เหมือนต้องยอมรับชะตากรรม เคยได้ยินญี่ปุ่นคิดค้นรถพลังน้ำเมื่อหลายปีมาแล้ว ทำไมเงียบหายไปเลย ทางเลือกพวกนี้น่าสนใจมากกว่ารถไฟฟ้าอีก
-
ถ้าดูแค่อัตราเร่ง ก็แล้วแต่เอาเครื่องอะไรไปสู้
แต่ยังไง ผมว่าสู้ได้ตีนปลาย กับระยะทางวิ่งครับ
ปล. รัฐบาลก็หนุนรถไฟฟ้าเต็มที่นะ ลองแผนยุทธศาสตร์พลังงานเราดีๆ แต่ๆ โรงไฟฟ้าเราพอไหมครับ แทบไม่ได้สร้างใหม่ไรเลยนะ (แทบจะ)
-
ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ผมชอบรถไฟฟ้า เวลาเร่งเสียงฟังไฮเทคมาก ไม่ดังรังควานชาวบ้านเขาด้วย เคยเจอไอ้พวกแต่งท่อมันไม่ยอมดับเครื่องในหมู่บ้าน ดังสนั่นอยู่นั่นแหละน่ารำคาญมากๆจะฟังเพลงก็ยังไม่ได้เลย อีกทั้งรถไฟฟ้าไม่ปล่อยมลพิษทั้งทางอากาศและทางเสียงในพื้นที่ชุมชนผมยิ่งสนับสนุน และในอนาคตประสิทธิภาพน่าจะไปได้ไกลกว่าเครื่องสันดาปครับ
-
คหสต.เรื่อง feeling ล้วนๆครับ แค่รถเกียร์ CVT กับ Auto ปกติ Feeling ความสนุกก็ต่างแล้ว
อีกอย่างรถ Hybrid ผมก็ใช้นะ แต่ไม่ชอบเหมือนเครื่องล้วนๆ ถ้าให้ใช้รถไฟฟ้าล้วนเลยไม่เอาจริงๆ
สรุปคือผมยังชอบเครื่องล้วนๆมากกว่า Hybrid ยอมรับได้ ใช้ได้ แต่ไฟฟ้าล้วนไม่เอาครับ :-X
-
ฟังๆดูสมาชิกส่วนใหญ่มองว่า combustion engine คงหมดอนาคต
ถึงขีดจำกัดในการพัฒนาต่อจนสุ้motor ไม่ได้
แต่ผมคิดว่า10ปีนี้. Motor ยังไม่บูม และhydrogen จะมา
-
ถ้าจะสู้จริงๆ ก็ต้องเล่นเครื่องใหญ่ๆโหดๆ หรือไม่ก็มาอัด turbo 3-4 ตัว เหมือน BM อ่ะครับ ยังไงมันก็ได้ feeling การขับขี่ในทุกโสตประสาทมากกว่า
รถไฟฟ้าจะทำให้แรงแค่ไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ปัญหาหลักๆคือ ยังวิ่งได้ไม่ไกลพอ กับระยะเวลาในการชาร์จไฟ (ส่วนเรื่องน้ำหนักเครื่อง ในอนาคตเบากว่าแน่นอน เพราะจะมีการนำพวก polymer มาใช้ในการผลิตพวกแบตเตอรี่มากขึ้นเรื่อยๆ)
-
ขอตอบแบบง่ายๆ คือfeeling เสียงเครื่องNAลากรอบมันเป็นอะไรที่ฟินสุดๆที่เราๆคุ้นชินกับมันดีตั้งแต่ขับรถกันมา มันเป็นเสน่ห์ครับผมว่ารถHybridขาดส่วนตรงนี้ไป ผมพยามเปิดใจให้กว้างเกี่ยวกับรถHybridแต่ก็ตอบสนองเรื่องอารมณ์ผมไม่ได้
-
ฟังๆดูสมาชิกส่วนใหญ่มองว่า combustion engine คงหมดอนาคต
ถึงขีดจำกัดในการพัฒนาต่อจนสุ้motor ไม่ได้
แต่ผมคิดว่า10ปีนี้. Motor ยังไม่บูม และhydrogen จะมา
เอ่อ hydrogen มันแหล่งพลังงานครับ ยังต้องเอามาผลิตไฟฟ้า
จ่ายให้ DC motor ขับล้อหมุนเหมือนเดิมนะครับ
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามา....พวกรถยนต์น้ำมันก็จะผันตัวเป็นเครื่องไฟฟ้าหมดไงครับ
เราอาจจะได้เห็น Audi R8 เครื่องโซลินอยย์ 10 สูบ (โซลินอยย์คือลูกสูบแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการเหมือนเครื่องยนต์น้ำมันแต่ใช้แรงไฟฟ้าเป็นตัวผลัก)
BMW 3,5 เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือแบบบ้านๆเลยก็ Civic เครื่องไฟฟ้า Mazda 3 เครื่องไฟฟ้า อะไรแบบนั้น
แต่......รถไฟฟ้ากับการใช้งานในบ้านเรามันก็ยังมีคำถามอยู่เช่น ถ้าใช้งานในช่วงฝนตกหรือลุยน้ำท่วมจะปลอดภัยแค่ไหน ระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะจุกจิกหรือไม่ ซ่อมบำรุงรักษาง่ายแค่ไหน เรื่องความทนทานกับสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นต้น
ลองไปหาคลิปเมืองนอกดูนะครับ ลุยน้ำได้ลึกพอตัวเลยหล่ะ ระบบไฟฟ้าที่เป้นระบบปิดไม่จุกจิกครับเสียยากมาก
ซ่อมบำรุงไม่ยาก ถอดเปลี่ยนๆ แค่นั้น ช่างทั่วไปทำไม่ได้ เพราะระบบอิเลคทรอนิคล้วนๆ
ความทนทานหายห่วง ถ้าผู้ผลิตเค้าเลือกอุปกรณ์เกรดทนความร้อนสูง และซีลกันความชื้นดีพอ
ผมเคยดูอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นการ Test Production Car ขับช่วงฝนตก หรือขับลุยหิมะ พวกคลิปเอาไปลุยน้ำท่วมจัดๆหรือขับลุยทะเลทรายผมยังไม่เคยดูเหมือนกัน ต้องขออภัยด้วยครับ
ที่นี้กับการใช้งานจริงในบ้านเรา ที่สามวันดี สี่วันฝนตก บางวันลุยน้ำท่วมซอย (ไม่ใช่น้ำสะอาดด้วยนะ น้ำแบบที่มีขี้ดินขี้โคลนปนๆอยู่)
ในส่วนชองชิ้นส่วนและระบบที่เป็นไฟฟ้า ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะต้องสัมผัสอากาศและน้ำ ความชื้นต่างๆ หรือมี Cover เป็นระบบปิดมิดชิด ผมก็อยากเชื่อว่ามันน่าจะทนครับ
แต่ก็ยังไม่เคยมีการทดสอบที่ชัดเจน (ในสภาพอากาศแบบ้านเรา) เลยขอติดเป็นคำถามไว้ก่อน สำหรับการใช้งานจริงในระยะยาว
เอามาให้ดูนะครับ https://www.youtube.com/watch?v=nvp6pc9D2sU
-
ใครทันยุคกล้องฟิล์มเปลี่ยนผ่านมากล้องดิจิตอลก็อารมณ์เดียวกันละครับ
แรกๆกูรูด้านกล้องบอก กล้องดิจิตอลไม่สามารถมาทดแทนกล้องฟิล์มได้
ถ้าผลิดเป็นmassได้เมื่อไหร่เทคโนโลยีมันจะไปเร็วมากๆครับ
-
วิ่งใน กทม เปิดแอร์ นั่งสองคน ไม่รู้จะเป้นยังไงนะครับกับระยะทางที่ได้
แต่ใจนี่รอให้เป็นแมสและแซงรถน้ำมันเร็วๆ อย่างน้อยรถโดยสารทั้งหมดเปลี่ยนได้ รถบ้านซื้อหาได้
-
แน่นอน ถ้ามีกระทู้ Tesla ผมมาแน่นอน :) lol
ถ้าราคา model 3 ต่ำ 9 แสนแบบนี้ มีสอยมาขับไทยแน่นอน ๕๕๕ นำเข้าเบ็ดเสร็จ 3 ล้าน ยังไงก็คุ้ม :)
อนาคตน้ำมัน จะอยู่ได้ถึงปี 2018 คับ หลังจากนี้ mass รถไฟฟ้าจะท่วมตลาด ปลายปี 2020 รถน่าจะผลิต อินโด ไม่ก็ ไทย ต่อจากโรงผลิตที่จีน
:)
battery ที่ใช้ทำ model 3 , ทั้ง 3 แสนคัน (ตามยอดจอง ) วัดปริมาณ แบต ที่จะต้องใช้ Lithium ION แค่ 17% โดยประมาณ ของความต้องการตลาดโลก ฉนั่นแบตแพง ยังห่างไกล
เพราะตลาด battery Tesla ก็ลงทุนทำเอง Giga factory :)
อันนี้ review ของคุณ Bjørn Nyland เป็น review 200,000 KM ใน 2 ปี
https://www.youtube.com/watch?v=3pQe5DLuaq0
-
ฟังๆดูสมาชิกส่วนใหญ่มองว่า combustion engine คงหมดอนาคต
ถึงขีดจำกัดในการพัฒนาต่อจนสุ้motor ไม่ได้
แต่ผมคิดว่า10ปีนี้. Motor ยังไม่บูม และhydrogen จะมา
เอ่อ hydrogen มันแหล่งพลังงานครับ ยังต้องเอามาผลิตไฟฟ้า
จ่ายให้ DC motor ขับล้อหมุนเหมือนเดิมนะครับ
ใช้Hydrogen เป็นแหล่งพลังงาน
และจะไปใช้กับเครื่องยนตแบบไหนก้อแล้วแต่ครับ
ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องไปหมุนมอเตอ
-
ถ้ารถยนต์ไฟฟ้ามา....พวกรถยนต์น้ำมันก็จะผันตัวเป็นเครื่องไฟฟ้าหมดไงครับ
เราอาจจะได้เห็น Audi R8 เครื่องโซลินอยย์ 10 สูบ (โซลินอยย์คือลูกสูบแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการเหมือนเครื่องยนต์น้ำมันแต่ใช้แรงไฟฟ้าเป็นตัวผลัก)
BMW 3,5 เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือแบบบ้านๆเลยก็ Civic เครื่องไฟฟ้า Mazda 3 เครื่องไฟฟ้า อะไรแบบนั้น
แต่......รถไฟฟ้ากับการใช้งานในบ้านเรามันก็ยังมีคำถามอยู่เช่น ถ้าใช้งานในช่วงฝนตกหรือลุยน้ำท่วมจะปลอดภัยแค่ไหน ระบบเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะจุกจิกหรือไม่ ซ่อมบำรุงรักษาง่ายแค่ไหน เรื่องความทนทานกับสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นต้น
ลองไปหาคลิปเมืองนอกดูนะครับ ลุยน้ำได้ลึกพอตัวเลยหล่ะ ระบบไฟฟ้าที่เป้นระบบปิดไม่จุกจิกครับเสียยากมาก
ซ่อมบำรุงไม่ยาก ถอดเปลี่ยนๆ แค่นั้น ช่างทั่วไปทำไม่ได้ เพราะระบบอิเลคทรอนิคล้วนๆ
ความทนทานหายห่วง ถ้าผู้ผลิตเค้าเลือกอุปกรณ์เกรดทนความร้อนสูง และซีลกันความชื้นดีพอ
ผมเคยดูอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นการ Test Production Car ขับช่วงฝนตก หรือขับลุยหิมะ พวกคลิปเอาไปลุยน้ำท่วมจัดๆหรือขับลุยทะเลทรายผมยังไม่เคยดูเหมือนกัน ต้องขออภัยด้วยครับ
ที่นี้กับการใช้งานจริงในบ้านเรา ที่สามวันดี สี่วันฝนตก บางวันลุยน้ำท่วมซอย (ไม่ใช่น้ำสะอาดด้วยนะ น้ำแบบที่มีขี้ดินขี้โคลนปนๆอยู่)
ในส่วนชองชิ้นส่วนและระบบที่เป็นไฟฟ้า ถ้าไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะต้องสัมผัสอากาศและน้ำ ความชื้นต่างๆ หรือมี Cover เป็นระบบปิดมิดชิด ผมก็อยากเชื่อว่ามันน่าจะทนครับ
แต่ก็ยังไม่เคยมีการทดสอบที่ชัดเจน (ในสภาพอากาศแบบ้านเรา) เลยขอติดเป็นคำถามไว้ก่อน สำหรับการใช้งานจริงในระยะยาว
เอามาให้ดูนะครับ https://www.youtube.com/watch?v=nvp6pc9D2sU
ลุยได้จริงๆด้วย ขอบคุณที่เอามาให้ดูครับ 8)
-
เสียเวลาชาร์จไฟ ยกเว้นมีแบตสองชุด
-
รอ การไฟฟ้า ผ่าน โซลาร์รูฟก่อนครับ
อ่อ รอ ปตท ไม่มีน้ำมันก่อนครับ
อืม รอ ปตท ไม่สามรถ ผลิตเอทานอลได้ก่อน
อ้าว รอ ปตท ก๊าซธรรมชาติหมดก่อน
อะ รอ ชาติหน้า ครับ สำหรับ ประเทศไทย
-
เหมือนกล้องฟิล์มกับดิจิตอลเด่ะๆ...
15ปีก่อน. ช่างภาพบอกว่าฟิล์มได้ฟิลกว่า ดิจิยังห่วย สีสันบ้าง ความเนียนบ้าง ความเร็วในการประมวลผลบ้าง สารพัดเหตุผล
ณ.ปัจจุบัน บริษัทฟิล์มเทพๆสีเหลืองยังล้มหายตายจากได้เลย ช่างภาพเกือบทั้งหมดใช้ดิจิ ยกเว้นบางสายงานเท่านั้น
ขนาดกล้องระดับตำนาน ยังต้องตามมาดิจิแต่จุดขายเปลี่ยนจากฟิลลิ่งฟิล์มมาเป็นจุดขายอย่างอื่นแทน เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
วกมาที่รถก้อคงเหมือนกัน เครื่องสันดาปยังคงมีอยู่แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหน ถ้าระบบรถไฟฟ้ามันพัฒนาจนจุดดีมันกลบจุดด้อยของตัวเองได้
ผมเองก้อรอวันนั้นอยู่ เพราะถ้ามันดีกว่าจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะยึดติดกับของเก่า....
-
ไม่กี่ปี ตั้งแต่โครงการอพอลโล่ที่คิดจะไปดวงจันทร์กี่ปีมาแล้ว
รถไฟฟ้าไม่ใช่ของใหม่อะไรเลย แต่ติดสารพัดปัญหาจึงไม่ได้ทำเชิงพาณิชย์
ทำไมรถกองทัพไม่ใช่ หรือไม่มีโครงการจะใช้ ยังไม่นับรถแบบเฉพาะต่างๆ
การเหมารวมแบบนี้ ก็ได้แค่การนึกเอาเอง ไม่ใช่ความเหนือกว่าทางวิศวกรรม
f1 ในยุคที่ไม่ตอนรถ รถทามิย่าก็แค่ของเด็กเล่น เพราะพลาดตายจริง
รถไฟฟ้ายุคนี้ยังขาดข้อบังคับอีกมาก หรือยังมีคนตายเพราะรถไม่มากแบบน้ำมัน
นอกจากถนนดำแล้ว เคยไปเห็นรถไฟฟ้าไปในที่ออฟโรดไหม ทำเวลาได้เท่าไหร่
รถบรรทุกตัดได้เลย ส่วนรถไฟดีเซลจะนับเป็นไฟฟ้าก็ได้
เพราะใช้ดีเซลมาปั่นไฟ แต่ไม่มีใครเรียกกัน
ที่เรียกว่ารถไฟฟ้าคือ ใช้ไฟจากรางหรือสายไฟเหนือรถ
ไอน์สไตน์ ฝันจะให้มีหัวจักรนิวเคลียร์ฟิวชั่น หลังปฏิกิริยาจะให้ไฟฟ้าได้
หรือจะไปต้มน้ำดันเฟืองแบบเก่าก็ไม่ว่ากัน
รถไฟฟ้า ที่ใส่ถ่าน ไม่ยืนยงถาวรในทางปฏิบัติ ไม่งั้นดาวเทียม สถานีอวกาศ
คงไม่ทิ้งเป็นขยะอวกาศเพราะขับเคลื่อนตัวเองไม่ได้
ไฟฟ้าไม่สามารถสร้างแรงขับได้เท่าเครื่องสันดาป ไม่งั้นอากาศยานทั้งหลายใช้ไปแล้ว
รอให้คอปเตอร์ไม้ไผ่สร้างได้ก่อน ค่อยพูดยังไม่สาย ตอนนี้ฮ.ที่ไหนก็เครื่องเทอร์ไบน์ทั้งนั้น
-
มันมาแทนได้แน่นอน
ในช่วงชีวิตเราจะได้เห็นแน่ ๆ ครับ
แต่ยังไม่ใช่ 10 ปีนี้ครับ
-
ขึ้นอยู่กับหลายอย่างนะ ราคาที่ขายเท่าไร ค่าซ่อมบำรุงเท่าไร ปัจจัยพื้นฐานมีปั้มไฟฟ้าทีจะรองรับหรือเปล่า
มาจริงราคาเท่้ากับรถน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงพอๆกัน มีปั้มไฟฟ้าที่สามารถเติมไฟได้เหมือนกับน้ำมัน นั้นล่ะครับถึงจะเกิด
-
ความเร็วในการ refuel ยังไงเครื่องยนต์สันดาปก็ชนะ EV ครับ ยกเว้นแต่ EV จะเปลี่ยนแบตใหม่เลยซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายตามมาภายหลังอีก
แล้วรถไฟฟ้านี้จะเอาพลังงานไหนมาปั่นไฟครับ?? โรงไฟฟ้าห้ามสร้างเพิ่ม ไฟฟ้าไม่พอใช้แบบตอนนี้ เอารถไฟฟ้ามาเพิ่มอีกน่าจะเป็นปัญหาได้ครับ
-
ผมมั่นใจว่ามันมาแทนเครื่องสันดาปแน่นอน ถ้าเป็น mass production เมื่อไหร่ มีแต่พัฒนาแบบยกกำลัง
-
ผมว่ารถไฟฟ้ามีข้อจำกัดเรื่องแหล่งพลังงาน อย่างแบตตารี่ลิเทียม ถ้ามีความต้องการเยอะ จะสามารถผลิตได้ในราคาถูกหรือไม่ และการจัดการขยะแบตตารี่จะทำยังไง
คือเพื่อนที่เป็นอาจารย์ที่ญี่ปุ่น ก็โมรถยนต์ธรรมดาให้ใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดได้ (ช่วยกันทำกับลูกศิษย์) แต่ปัญหาคือราคาแบตแพงมากกก