Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Inwsatan ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:11:40

หัวข้อ: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Inwsatan ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:11:40
ผมอาจจะได้ย้ายที่ทำงานไป30โลกลับ30โลรวม60โลตอนแรกเล็งมาสด้า2ไว้แต่เห็นกระแสตอนนี้เจ๊งกระจายเลยหวั่นๆผมควรเลือกอะไรดีครับvios city m2หรือไปอีโคคาร์ดีกะใช้ซัก10ปีไมล์น่าจะไกล้ๆ2แสน
แอบเสียดายm2ประหวัดดีแต่ถ้าพังรัวก็ไม่ไหว
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: choomodify ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:14:27
JAZZ GK จ๊ะ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ABUSEz ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:15:49
ผมก็เคยมอง m2 ไว้ บอกตรงๆถ้าดีเซล ก็แอบหวั่นเหมือนกัน แต่ถ้าเล็งเบนซินไม่น่าจะมีปัญหานะครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: akewizard ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:28:44
ดูรุ่นที่เป็นเบนซินแทนก็ได้ครับ ประหยัดไล่ๆกับตัวดีเซล.....
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:39:41
ซิตี้ วีออส แจ๊ส พวกนี้เลยกลางอายุตลาดไปแล้ว

ถ้าไม่รังเกียจว่ารถตกรุ่น 3 ตัวนี้หลับตาจิ้มยังได้เลย
ทนพอกัน สมรรถนะไม่ต่างกัน แค่ชอบภายนอกมั้ย ชอบภายในมั้ย แค่นั้นเลย

แต่ถ้ารอได้ เข้าใจว่ายาริสซีดานกำลังมา
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SHRTheCrown ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:55:13
แจ๊สมั้ยครับ

ของผมรุ่น idsi 2003 จะแตะสี่แสนโลแล้ว ยังสบายๆอยู่เลยครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Devil13 ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:56:58
แล้วแต่ชอบเลย ชอบทรงไหนเลือกคันนั้น
ถ้ารัก มาสด้า2 เล่นเบนชินก็ได้นะ  8)

มันไม่สำคัญเหรอกว่าอะไรอยู่ในห้องเครื่อง
มันสำคัญที่ใครอยู่หลังพวงมาลัย  ;)
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: DiKiBoyZ ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 19:57:25
ถ้าหวั่นเรื่องซ่อม ซึ่งไม่รู้จะเกิดหรือไม่

แนะนำ H และ T แน่นนอน และถ้าเหลือตัวเลือกแค่นี้ เลือก Jazz
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Sacrifice ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 20:22:38
city ก็ทนนะ ใช้มาจะ 5 ปีแล้วไม่เจอปัญหาอะไรจุกจิกเลย
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ยิ้มละไม ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 20:39:34
H กับ  T เลือก ที่ชอบเลย ระยะยาว T ได้เปรียบเรื่องอะไหล่ ซ่อมบำรุงกว่า
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: oatekung ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:03:04
ผมเคยทำงาน ไปกลับร้อยโล
เคยทำงานที่เลิกตี1ตี2
ที่แรก ทำงานเหมือนซอมบี้ ไม่มีเวลาส่วนตัว ครอบครัว ตื่นนอนก็ต้องเด้งไปทำงานเลย
ที่สองผมขับรถตกถนนเกือบตายเพราะนอนน้อย
ตอนนี้มาทำ โฮมออฟฟิศ ที่บ้านตัวเอง
อยากให้คำแนะนำว่า ให้หางานที่ใกล้บ้าน
ใกล้ครอบครัว ใกล้คนที่เรารักดีกว่าครับ
เวลาที่เหลือเราเอามาดูแลครอบครัว หรือต่อยอดธุรกิจอะไรได้
ตอนผมขับวันละร้อยโลผมใช้ อัลติสติเแก๊สครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: a601970 ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:10:15
ย้ายไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงานเถอะครับ
หรือไม่ก็หางานใกล้ๆบ้าน
อย่าเอาเงินไปลงกับรถ อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับถนน มันไม่คุ้ม
ชีวิตยังมีอีกหลายอย่างที่ึคุ้มค่ากว่ารถยนต์เยอะครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Trafalgar ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:11:30
จริงครับ

หาที่ทำงานใกล้บ้านดีที่สุดครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: rotaryman ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:12:30
ควรเป็น B segment  ขึ้นไปครับ 60 โล ผมว่าเอาเรื่องอยู่รถใหญ่มั่นใจกว่าทั้งการควบคุมเร่งแซง ความผ่อนคลายเวลาขับ รุ่นใหนก็ได้แล้วแต่ชอบครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: e:smart Hybrid ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:29:47
ไปกลับ 60 โลนี่จริงๆ ไม่ไกลนะคับ

ถ้ารถไม่ติดขับสบาย รวมถึงวิ่งสบายกว่าในเมืองใกล้ๆ แต่รถติดคับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nuntapon.s ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:40:24
30โล ถนนโล่งๆนี่ถือว่าใกล้มากนะ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ariazero ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 21:58:23
ถ้าวิ่ง ไป30 กลับ30  โล เข้า-ออกกรุงเทพ ผมเชียร์ Mazda 2 รุ่น Diesel งับ

แต่ถ้าระหว่างจังหวัตแล้วโล่งๆ ไม่ค่อยมีรถ แนะนำ Jazz หรือ City ตามชอบ

ตามโจทย์นะ


 
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Inwsatan ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 22:01:20
ขอบคุณสำหรับหลายๆคำแนะนำครับถนนต่างจังหวัดโล่งๆขับไม่เกิน30นาทีถึงครับแต่เป็นเลนสวนมีขึ้นเขาลงเขาบ้าง
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Tien.W ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 22:33:57
Jazz / Vios / City

หลับตาจิ้มได้เลยครับ ได้เครื่อง 1.5 กำลังวังชา ดีกว่า eco car แล้วก็ความทนทานหายห่วง ครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: wa330 ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 22:48:57
ขอบคุณสำหรับหลายๆคำแนะนำครับถนนต่างจังหวัดโล่งๆขับไม่เกิน30นาทีถึงครับแต่เป็นเลนสวนมีขึ้นเขาลงเขาบ้าง
เอาเกียรMT
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Harem ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 23:16:43
GK MT ครับ ต่างจังหวัดถนนโล่งๆมีขึ้นลงเขา มันน่านัก
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Mekkub ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 23:18:26
Mazda2 ปัญหามันไม่หนักเท่า CX-5 ครับตอนนี้ประเด็นเจ้าปัญหาของ CX-5 คือไอ้ตัว DPF ที่เป็นอุปกรณ์ใช้เพื่อกำจัดเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดโดยเอาน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อเผาเขม่าอีกที แต่ไม่รู้เพราะเมืองไทยรถติดหนักหรือน้ำมันมาตรฐานต่ำ หรือเป็นที่ไออุปกรณ์ตัวนี้เองก็ไม่รู้ทำให้ DPF มันตันครับ พอตันแล้วน้ำมันที่จะเอามาเผาเขม่าก็ดันเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องเอง ซึ่งผู้ใช้รถเองก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันตันเมื่อไหร่ พอตันก็อาการเดียวกับเครื่องฮีทจนฝาโก่งนั่นแหล่ะครับ(ไม่ชัวร์เรื่องการทำงานของระบบนี้นะครับ แต่อ่านคร่าวๆมาเห็นว่าการทำงานประมาณนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ในรถรุ่นใหม่ๆเครื่องดีเซลก็มักติดเจ้าตัวนี้มาเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนด้วยไม่ได้มีเฉพาะมาสด้า)

ประเด็นคือมาสด้าไทยตีก็ทำมึนๆไปวันๆ ไม่เห็นออกพาร์ทอะไรมาแก้ไข (ผมติดตามมาตั้งแต่เคสแรกๆ จนตอนนี้มีหลายๆเคสเกิดขึ้นแบบเดียวกันแล้ว) บางศูนย์แนะนำให้ถอดไอ้ตัว DPF ออกเลยด้วยซ้ำหลังหมดประกัน(5555 มันใช่หรอ) ซึ่งในคลับเห็นพอหมดประกันก็ไปถอดกันทั้งนั้นนะครับ คงคิดว่าควันดำ มีเขม่าก็ยังดีกว่าเครื่องพัง แต่มันก็แก้ปลายเหตุสุดๆแหล่ะครับ ตอนนี้คนใช้ 2.2 D skyactive ก็คงเสียวๆกันทุกคนว่ารถตัวเองจะบึ้มหลังหมดประกันรึเปล่า หรือจะไปถอดตัว DPF ตอนก่อนหมดประกันประกันก็ขาดอีก

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูความรับผิดชอบของมาสด้าประเทศไทยหลัง Global ประกาศ recall ออกมาแล้วหล่ะครับ แต่สำหรับผม CX-5 ใหม่จะสวยงามแค่ไหนแต่ให้ซื้อคงขอเป็นเครื่องเบนซิลธรรมดาแล้วกันหรือไม่ก็ไปยี่ห้ออื่นดีกว่าดูจากการตีมึนที่ผ่านๆมาก็แนวๆฟอร์ดเฟียสต้ารุ่นแรกๆที่มีปัญหาเลยครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: dekdemo ที่ กรกฎาคม 23, 2017, 23:23:50
เน้นประหยัด ถ้าขับ MT ได้ ไม่สนกระบะตอนเดียว หรือตอนครึ่ง กันหรือครับ?
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 01:03:53
มันก็ไม่ได้พังไวไปไวอะไรขนาดนั้น
ชอบประหยัดมาสด้าสองตอบโจทย์สุดๆครับ ถ้าชอบเป็นทุนเดิมเก็บไว้ไปพิจารณา
ถ้าชอบอัตราเร่งวีออส ซิตี้ตอบโจทย์ มีแทรคชั่นให้ตั้งแต่ตัวล่าง
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 02:09:15
Mazda 2 เบนซินครับได้ทั้งความประหยัด   ปัญหาเรื่องเขม่าไม่มีจึงไม่ต้องกลัวเครื่องสดุด
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Krongbun ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 07:03:18
ผมเคยทำงาน ไปกลับร้อยโล
เคยทำงานที่เลิกตี1ตี2
ที่แรก ทำงานเหมือนซอมบี้ ไม่มีเวลาส่วนตัว ครอบครัว ตื่นนอนก็ต้องเด้งไปทำงานเลย
ที่สองผมขับรถตกถนนเกือบตายเพราะนอนน้อย
ตอนนี้มาทำ โฮมออฟฟิศ ที่บ้านตัวเอง
อยากให้คำแนะนำว่า ให้หางานที่ใกล้บ้าน
ใกล้ครอบครัว ใกล้คนที่เรารักดีกว่าครับ
เวลาที่เหลือเราเอามาดูแลครอบครัว หรือต่อยอดธุรกิจอะไรได้
ตอนผมขับวันละร้อยโลผมใช้ อัลติสติเแก๊สครับ

 ;D จริง เวลามีค่ามาก
เคย ขี่มอไซค์ไป 38โล กลับ 38โล
สลบทุกวัน แต่ดีเป็นแค่ช่วงฝึกงาน 4 เดือน

ถ้าเก๋งดีเซลห่วงปัญหา แล้วมองกระบะดีเซลไว้มั่งไหมครับ  :D
แรงเหลือๆๆๆๆๆๆ เหลือเยอะเลยหล่ะ hahaha
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: zixes ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 07:44:38
ทางที่ขับรถติดแค่ไหนครับ ถ้าไม่ติดมากก็จัดได้เลยครับ

ผมก็เอา 2 มาเพื่อขับรถไปกลับที่ทำงานวันละ 100 โลเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mrpich ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 08:47:14
เล่นสวน ขึ้นเขา ลงเขาบ้าง
Cx3 น่าสนนะครับ เพิ่มตังค์อีกหน่อย 2.0 เบนซิน เรี่ยวแรงเหลือเฟือ ชื่อเสียยังไม่ค่อยมี
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: coolcarrera ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 09:16:15
DPF มันคืออุปกรณ์ที่ไว้ดักเขม่า ต้องการน้ำมันดีเซลที่เป็นมาตรฐานอย่างน้อยก็ Euro 5 ขึ้นไป ซึ่ง Euro 5 เนี่ยมี sulfur แค่ 10 ppm
แต่น้ำมันดีเซลในไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ประมาณ 50 ppm (euro 4) จะมี euro 5 จริงๆก็แค่พรีเมียมของเจ้าตลาด 2 ที่ ซึ่งเอาจริงๆก็คงไม่มีคนที่ขับรุ่นนี้แล้วเติมแบบนั้นทุกครั้ง

ตราบใดที่น้ำมันดีเซลยังอยู่ที่มาตรฐานนี้รถดีเซลที่มี dpf ก็เหมือนนับถอยหลังรอตันครับ auto / manual regen ให้ตายก็ไม่รอด
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ariazero ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 09:17:28
ขอบคุณสำหรับหลายๆคำแนะนำครับถนนต่างจังหวัดโล่งๆขับไม่เกิน30นาทีถึงครับแต่เป็นเลนสวนมีขึ้นเขาลงเขาบ้าง

ลืมทุกอย่างที่พูดกันมาแล้วไปออก D-max 1.9 MT  Cab 4 เลยด่วนๆ ครับผม ราคาพอๆกันเลยต่อ Carryboy ขนอะไรได้อีกหลายอย่าง 
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: sukhontha ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 10:17:14
จิ๊บ ๆครับ  ตอนผมทำงานใหม่ ๆ  แมงกะไซด์  วิ่งไปกลับ ร้อยกว่า  ทำงานอยู่  8 ปี..... มันดีออก..

ส่วนรถ  ถ้าสภาพถนนดี ๆ  ก็ไปตามข้างบนแนะนำ  ...
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: flybigbear ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 12:30:16
ขอบคุณสำหรับหลายๆคำแนะนำครับถนนต่างจังหวัดโล่งๆขับไม่เกิน30นาทีถึงครับแต่เป็นเลนสวนมีขึ้นเขาลงเขาบ้าง

แนะนำครับ เล่นกระบะ แคป, 4ประตู ก็ PPV ทุกประเภทให้เลือกขับเคลื่อน4ล้อครับ

ลืมรถระบบเก่งไปเลยครับ

เอาไปแต่งช่วงล่างด้วยก็ดีครับ

Most recommended
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Mighty-X ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 15:02:45
เชียร์กระบะด้วยคนครับ
เห็นว่าต้องขึ้นเขา ขึ้นดอยด้วย น่าจะเหมาะกว่าครับ

อันที่จริง
ถ้าเป็นตจว.ไป-กลับ 60 โล
ผมไม่ถือว่าเยอะนะ
ยิ่งถ้าถนนโล่งๆ รถไม่แน่น ขับแปปๆก็ถึงแล้วล่ะครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: wa330 ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 15:54:42
ไหนๆก็เชียรกระบะกันเยอะละ ผมเสริมเลยดีกว่า
เผื่องบทำช่วงล่าง เปลี่ยนโช้ค หน้าโหลด2นิ้ว หลัง3ดัดแหนบรองกล่อง
แม็ก18 TE37  ยางหน้า 245/45/18 ยางหลัง 275/40/18 ยางไทก็ได้ไม่แพงแล้ว
ทำแค่นี้เล่นโค้งไม่แพ้ b-seg เจ้าตลาดเดิมๆใส่ยาง195/55/15
เครื่องก็จะรีแม็บหรือลงกล่องเพิ่มก็ตามสะดวกเลย รับลองหนุกหนาน
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SM. ที่ กรกฎาคม 24, 2017, 16:36:57
2 เบนซิน สิครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: littlecat ที่ กรกฎาคม 25, 2017, 11:46:04
ผมใช้mazda 2 เบนซิน
ไปกลับราว60โล ถ้าไปรับส่งแฟนก็อาจจะ80โล ขับย่านรถติด
น้ำมันตกเดือนละ2400-2700
ครบหมื่นประมาณสามสี่เดือน ตอนนี้6หมื่นนิดๆในระยะเวลาจะสองปี ยังไม่มีอะไรพังเปลี่ยนของเหลว กรอง ตามระยะ
ก็ถือว่าคุ้มนะครับ
หัวข้อ: Re: ทำงานไปกลับ60โลเอาไงดีครับ
เริ่มหัวข้อโดย: kumpol2511 ที่ กรกฎาคม 25, 2017, 14:36:47
Mazda2 ปัญหามันไม่หนักเท่า CX-5 ครับตอนนี้ประเด็นเจ้าปัญหาของ CX-5 คือไอ้ตัว DPF ที่เป็นอุปกรณ์ใช้เพื่อกำจัดเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดโดยเอาน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อเผาเขม่าอีกที แต่ไม่รู้เพราะเมืองไทยรถติดหนักหรือน้ำมันมาตรฐานต่ำ หรือเป็นที่ไออุปกรณ์ตัวนี้เองก็ไม่รู้ทำให้ DPF มันตันครับ พอตันแล้วน้ำมันที่จะเอามาเผาเขม่าก็ดันเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องเอง ซึ่งผู้ใช้รถเองก็ไม่อาจทราบได้ว่ามันตันเมื่อไหร่ พอตันก็อาการเดียวกับเครื่องฮีทจนฝาโก่งนั่นแหล่ะครับ(ไม่ชัวร์เรื่องการทำงานของระบบนี้นะครับ แต่อ่านคร่าวๆมาเห็นว่าการทำงานประมาณนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ในรถรุ่นใหม่ๆเครื่องดีเซลก็มักติดเจ้าตัวนี้มาเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนด้วยไม่ได้มีเฉพาะมาสด้า)

ประเด็นคือมาสด้าไทยตีก็ทำมึนๆไปวันๆ ไม่เห็นออกพาร์ทอะไรมาแก้ไข (ผมติดตามมาตั้งแต่เคสแรกๆ จนตอนนี้มีหลายๆเคสเกิดขึ้นแบบเดียวกันแล้ว) บางศูนย์แนะนำให้ถอดไอ้ตัว DPF ออกเลยด้วยซ้ำหลังหมดประกัน(5555 มันใช่หรอ) ซึ่งในคลับเห็นพอหมดประกันก็ไปถอดกันทั้งนั้นนะครับ คงคิดว่าควันดำ มีเขม่าก็ยังดีกว่าเครื่องพัง แต่มันก็แก้ปลายเหตุสุดๆแหล่ะครับ ตอนนี้คนใช้ 2.2 D skyactive ก็คงเสียวๆกันทุกคนว่ารถตัวเองจะบึ้มหลังหมดประกันรึเปล่า หรือจะไปถอดตัว DPF ตอนก่อนหมดประกันประกันก็ขาดอีก

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอดูความรับผิดชอบของมาสด้าประเทศไทยหลัง Global ประกาศ recall ออกมาแล้วหล่ะครับ แต่สำหรับผม CX-5 ใหม่จะสวยงามแค่ไหนแต่ให้ซื้อคงขอเป็นเครื่องเบนซิลธรรมดาแล้วกันหรือไม่ก็ไปยี่ห้ออื่นดีกว่าดูจากการตีมึนที่ผ่านๆมาก็แนวๆฟอร์ดเฟียสต้ารุ่นแรกๆที่มีปัญหาเลยครับ
DPF มันคืออุปกรณ์ที่ไว้ดักเขม่า ต้องการน้ำมันดีเซลที่เป็นมาตรฐานอย่างน้อยก็ Euro 5 ขึ้นไป ซึ่ง Euro 5 เนี่ยมี sulfur แค่ 10 ppm
แต่น้ำมันดีเซลในไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ประมาณ 50 ppm (euro 4) จะมี euro 5 จริงๆก็แค่พรีเมียมของเจ้าตลาด 2 ที่ ซึ่งเอาจริงๆก็คงไม่มีคนที่ขับรุ่นนี้แล้วเติมแบบนั้นทุกครั้ง

ตราบใดที่น้ำมันดีเซลยังอยู่ที่มาตรฐานนี้รถดีเซลที่มี dpf ก็เหมือนนับถอยหลังรอตันครับ auto / manual regen ให้ตายก็ไม่รอด

ที่บ้าน ผมใช้ cx5 2.2d ภรรยาใช้ mazda 1.5d  ระยะ 80,0000โล กับ 40,000โล  ยังไม่มีปัญหาแต่ตรวจสอบถังพักน้ำบ่อยๆ  cx5 ต่อประกันกับ มาสด้าขยายความคุัมครองเพิ่มอีก 2 ปี แต่ทั้ง 2คัน หมดประกันเมื่อไรก็คงถอด dpf หรือ egr ออกเหมือนกัน ต้องขออภัยไม่ใช่ไม่รักโลกแต่ มาสด้า  co2 ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว(น่าจะไม่เกิน 100 จำหน่วยไม่ได้)  ชอบอยู่ครับ ทั้ง2รุ่น และคิดว่า "มาสด้า (ญี่ปุ่น) "คงต้องแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่เป็นปัญหาใหัจบ(เช่นที่เคยมีมาสด้า3เบนซินลอตแรกๆเเครื่องดับเพราะท่อน้ำมันไม่ทนแกสโซฮอลน์) เพราะในโฉมใหม่และอีกหลายรุ่นเช่น cx8,9 " มาสด้ายังใช้เครื่องดีเซลชุด  1.5dและ2.2 ตัวนี้อยู่"