ที่มา :
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1356167530&grpid=02&catid=08&subcatid=0800ค่ายรถอลหม่าน รับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ วงในชี้ "ปิกอัพ-ไฮบริด" อ่วม รถยนต์ไฮบริดเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีขึ้นไป ภาษีเพิ่มขึ้นเท่าตัว หวั่น "โตโยต้า" ย้ายฐานซบมาเลย์ ภาษีจูงใจ 0% จับตาค่ายรถเร่งลงทุน พัฒนาเทคโนโลยี "มิตซูฯ" คาดต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มไม่เกิน 10,000 บาท หลังปีใหม่ค่ายรถเข้าหารือขอความชัดเจนในรายละเอียดอีกรอบ
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า ถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะการกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 และเงื่อนไขระยะเวลาที่ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าบางค่ายรถอาจได้รับผลกระทบหรือสูญเสียผลประโยชน์มาก โดยเฉพาะค่ายรถปิกอัพที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด หรือที่มีแผนจะเปิดตัวภายใน 1-2 ปีนี้ เนื่องจากอายุของรถปิกอัพมีช่วงเวลาค่อนข้างยาว 8-9 ปี เพราะหมายความว่าค่ายรถปิกอัพที่เพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำตลาดได้เพียง 2-3 ปี ก็ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อให้ได้มาตรฐาน CO2 สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่
"อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก่อนที่จะเอาตัวเลขเหล่านี้มาได้มีการศึกษามาอย่างดี โดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาโซลูชั่นที่ใกล้เคียงกับโจทย์ของประเทศไทย และเชื่อว่าทุก ๆ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รู้เรื่องดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งยังมีเวลาเตรียมตัวมาล่วงหน้าพอสมควร" นางเพียงใจกล่าว
ค่ายปิกอัพกระทบหนัก
แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมยานยนต์วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลเบื้องต้นเชื่อว่ากลุ่มผู้ผลิตรถปิกอัพจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยจะเห็นว่ารถปิกอัพโดยเฉพาะในส่วนของรถตอนครึ่ง หรือสเปซแค็บ มีการปรับขึ้นภาษีค่อนข้างสูง คือจาก 3% ขยับมาเป็น 5% หากสามารถจำกัดการปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร แต่หาก CO2 เกินกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตรา 7%
ขณะที่รถปิกอัพดัดแปลงหรือพีพีวี ที่เครื่องยนต์น้อยกว่า 2,250 ซีซี เดิมเสียภาษีที่ 20% แต่ภาษีใหม่ หากปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะเสียภาษี 25% และหากขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,250 ซีซี ภาษีจะขยับไปที่ 50% ส่วนปิกอัพ 4 ประตู หรือดับเบิลแค็บ ที่เครื่องต่ำกว่า 3,250 ซีซี ปล่อย CO2 ต่ำกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีเท่าเดิมที่ 12% แต่หาก CO2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีที่ 15%
ทั้งนี้จะเห็นว่ารถปิกอัพขนาด 1 ตันนั้นมีการปรับโครงสร้างภาษีที่ค่อนข้างชัดเจน ทำให้ค่ายรถยนต์ที่มีรถประเภทนี้ ทั้งโตโยต้า, อีซูซุ, นิสสัน, มิตซูบิชิ, มาสด้า, เชฟโรเลต, ทาทา ฯลฯ จะต้องมีการปรับตัวและพัฒนาสินค้าเพื่อลดการปล่อย CO2 โดยเฉพาะค่ายอีซูซูที่มีสินค้าเฉพาะรถปิกอัพ และรถพีพีวี จึงต้องมีการปรับตัวค่อนข้างมาก
ไฮบริดเกิน 2,000 ซีซี เพิ่มเท่าตัว
นอกจากนี้ในส่วนของรถยนต์ไฮบริดถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างชัดเจน เพราะเดิมเสียภาษีในอัตรา 10% หากพิจารณาจากโครงสร้างใหม่จะเห็นว่า รถไฮบริดที่มีเครื่องต่ำกว่า 2,000 ซีซี และปล่อย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ยังคงเสียภาษีในอัตราเท่าเดิมคือ 10% แต่ในส่วนของเครื่องยนต์ขนาด 2,001-2,500 ซีซี ปล่อย CO2 ระหว่าง 101-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บในอัตรา 20% เครื่องยนต์ขนาด 2,501-3,000 ซีซี ปล่อย CO2 ที่ 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียภาษีที่ 25% และหากปล่อย CO2 เกินกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ต้องเสียภาษีที่ 30%
แหล่งข่าวกล่าวว่า หากพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นว่า อัตราภาษีสรรพสามิตของรถไฮบริดถูกปรับขึ้นทั้งกระดาน ซึ่งค่ายรถยนต์ที่ดูจะได้รับผลกระทบหนักคือค่ายโตโยต้า ที่ได้เปิดตัวรถยนต์ไฮบริดออกสู่ตลาดประเทศไทย เมื่อประมาณ 3 ปีก่อนหน้านี้ กับโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด และตามมาด้วยโตโยต้า พริอุส ซึ่งทั้ง 2 รุ่นได้ขึ้นไลน์ผลิตที่โรงงานเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา และโตโยต้ายังมีแผนที่จะแนะนำรถรุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด สำหรับตลาดในประเทศไทยและภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนค่ายฮอนด้าที่เพิ่งมีการเปิดตัว ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด เครื่องยนต์ 1,300 ซีซี นั้นไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็ก ทำให้การเสียภาษียังอยู่ในเกณฑ์เท่าเดิมที่ 10% หากปล่อย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร
"ในกรณีรถไฮบริดจะเห็นว่าโตโยต้าได้รับผลกระทบหนักที่สุด หลังจากเมื่อ 3 ปีก่อน รัฐบาลจูงใจให้ค่ายรถนำเครื่องยนต์ไฮบริดมาทำตลาด และโตโยต้าก็สนองนโยบาย มีการเปิดตัวรถและขึ้นไลน์ผลิตในประเทศไทย แต่จากโครงสร้างภาษีใหม่ถือว่ากระเทือนกับไฮบริดโดยตรง เราคงต้องจับตาว่าโตโยต้าจะทำอย่างไร เพราะในต่างประเทศอย่างญี่ปุ่น รัฐบาลจูงใจและสนับสนุนรถไฮบริดเป็นเวลาถึง 10 ปี หรืออย่างมาเลเซียก็สนับสนุนภาษีรถไฮบริด 0% ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าโตโยต้าอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปมาเลเซียแทน" แหล่งข่าวกล่าว
อีโคคาร์ ภาษีลดลงอีก 3%
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของ "อีโคคาร์" ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ กลุ่มอีโคคาร์ถือว่าได้รับประโยชน์หรือมีแรงจูงใจค่อนข้างสูง คือเดิมเสียที่ 17% แต่หากปล่อย CO2 ได้ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีที่ 14% และหากพัฒนาให้รองรับการใช้น้ำมันอี 85 ได้จะลดลงเหลือ 12% และหากปล่อย CO2 ที่ระดับ 101-120 กรัมต่อกิโลเมตร ก็จะเสียภาษีในอัตราเท่าเดิมคือ 17%
โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์เพียง 5 ค่ายเท่านั้นที่ได้รับการส่งเสริมอีโคคาร์ คือ นิสสัน, ฮอนด้า, ซูซูกิ, มิตซูบิชิ และโตโยต้า ทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อโครงสร้างภาษีใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว ภาครัฐจะเปิดโอกาสให้ค่ายรถอื่น ๆ นอกเหนือจาก 5 ค่ายเข้ารับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มรถประเภทนี้เพิ่มเติมหรือไม่ หากค่ายอื่น ๆ สามารถพัฒนารถได้ตามเงื่อนไข
มิตซูฯขานรับเร่งลงทุนลด CO2
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเปลี่ยนโครงสร้างภาษีตาม CO2 ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะทั่วโลกก็ใช้แบบนี้ และแฟร์กับสิ่งแวดล้อม แม้จะไม่ได้เอาขนาดของเครื่องยนต์เป็นที่ตั้ง แต่การที่เครื่องยนต์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย ก็ย่อมหมายถึงการใช้เชื้อเพลิงที่น้อย
สำหรับโครงสร้างภาษีใหม่ที่ให้การสนับสนุนรถกลุ่มอีโคคาร์เป็นสิ่งที่เหมาะสม เพราะวัตถุประสงค์ในการทำโครงการนี้ นอกจากจะเป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นรถที่ประชาชนหาซื้อได้ง่าย และพอเหมาะกับความจำเป็น ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย รถยนต์ไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่ จึงไม่มีการปรับขึ้นภาษี บวกกับโครงสร้างภาษีที่สนับสนุนทั้งเอทานอล ซีเอ็นจี ถือว่ารัฐบาลจริงใจในการใช้พลังงานทดแทน มิตซูบิชิเห็นด้วยกับนโยบายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของประเทศไทย
ส่วนการกำหนดค่า CO2 ในกลุ่มรถปิกอัพ โดยถือเกณฑ์ที่ 200 กรัมต่อกิโลเมตรเป็นหลักนั้น เหมาะสมและท้าทาย ซึ่งปัจจุบันมิตซูบิชิอาจยังไม่เข้าเกณฑ์และต้องพัฒนาจุดนี้ ส่วนการปรับภาษีในกลุ่มรถยนต์นั่งขึ้นนั้น เชื่อว่ารัฐบาลอาจต้องการแหล่งที่มาของรายได้เพื่อชดเชยจากการสนับสนุนรถอีโคคาร์และพลังงานทางเลือก และท้ายที่สุด มิตซูบิชิและค่ายรถยนต์ต้องยอมรับในเงื่อนไข สำหรับระยะเวลา 3 ปีนั้นถือว่าเพียงพอ
"การปรับทั้งระบบก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับและเข้าใจได้ ส่วนรถไฟฟ้าและรถปลั๊กอินไฮบริด มองว่าต้นทุนการผลิตค่อนสูง แต่รัฐบาลเก็บภาษีที่ 10% ก็ถือว่ายอมรับได้ในเบื้องต้น และที่สุดลูกค้าคือผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด"
ขณะที่โครงสร้างภาษีรถปิกอัพถือว่าดีและน่าพอใจ และมิตซูบิชิอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางว่าจะเลือกใช้วิธีใด จากที่ประเมินเบื้องต้น การลงทุนพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาตรฐาน CO2 มีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 2% หรือเฉลี่ยไม่เกิน 10,000 บาทต่อคัน
หนุนลูกค้าเลือกซื้อรถต้องดู CO2
นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากประกาศโครงสร้างภาษีใหม่ โดยใช้มาตรฐาน CO2 เป็นตัววัดนั้นถือเป็นทิศทางที่ถูกต้อง และเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งผู้ใช้รถต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มรถปิกอัพที่ถือเป็นรถที่ปล่อย CO2 ค่อนข้างมาก และถือเป็นความท้าทายของผู้ผลิตรถยนต์ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาด และเชื่อว่าอนาคตลูกค้าก็จะได้ใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและราคาถูกลง และมาสด้าเชื่อว่าจะทำให้เกิดการแข่งขันที่เสรี
"จากนี้เราน่าจะได้เห็นค่ายรถแข่งกันพัฒนารถเพื่อให้ได้ตามข้อกำหนดค่า CO2 และเชื่อว่าไม่กระเทือนต่อราคาจำหน่าย เพราะท้ายที่สุดค่ายไหนทำไม่ได้ ก็ต้องขึ้นราคาขายตามโครงสร้างภาษีที่สูง ซึ่งก็จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และลูกค้าก็จะปรับพฤติกรรมจากเดิมที่ซื้อรถโดยการเปรียบเทียบออปชั่นกับราคา แต่อนาคตจะมีเรื่องของ CO2 เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจซื้อด้วย"
สำหรับมาสด้าเองก็ต้องพิจารณาในเรื่องของค่า CO2 และหากจำเป็นจะต้องปรับขึ้นราคาก็คงจะต้องขึ้นให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผลกระทบไปถึงผู้บริโภคน้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้ในส่วนของโปรดักต์แชมเปี้ยนของประเทศไทย ในส่วนรถปิกอัพขนาด 1 ตัน และรถอีโคคาร์ จะเห็นว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยรถปิกอัพมีการปรับขึ้นเกือบทั้งแผง ส่วนรถอีโคคาร์ให้แรงจูงใจค่อนข้างสูง สำหรับมาสด้าแม้จะไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์ แต่หากพัฒนารถมาสด้า 2 ได้เท่าเกณฑ์อีโคคาร์ หรือต่ำกว่ารัฐบาล จะมีสิทธิประโยชน์อย่างไร
หวั่นนโยบายรัฐเปลี่ยนบ่อย
อย่างไรก็ตามมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีของรัฐบาลว่า เนื่องจากที่ผ่านมา 3 ปี รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรถยนต์พลังงานทดแทน ทั้งไฮบริด อี 85 ซีเอ็นจี เมื่อภาคเอกชนมีการลงทุนพัฒนา แต่โครงสร้างภาษีใหม่ที่ออกมาก็มีการปรับขึ้นภาษี ทำให้กระทบกับแผนการลงทุนของค่ายรถ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่านโยบายดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหรือไม่
นอกจากนี้แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากมติ ครม.ยังมีบางประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงและไม่มีความชัดเจน อาทิ การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย (Active Safety) สำหรับรถยนต์นั่ง ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจน คาดว่าสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หรือ สศอ. จะเป็นผู้กำหนด คาดว่าหลังปีใหม่กลุ่มผู้ผลิตจะมีการรวมตัวกันเพื่อขอรับฟังความชัดเจนจากภาครัฐอีกครั้ง