แท็กซี่มีสองแบบคือ รถส่วนบุคคล เขียว-เหลือง หรือเข้าร่วมกับ สหกรณ์ (หลากสี)
- สหกรณ์คือเป็นการรวมกลุ่มกันจัดตั้งสหกรณ์ ครับ ตัวสหกรณ์แท็กซี่ก็ทำหน้าที่เหมือนๆกับ สหกรณ์อื่นๆทั่วไป
มีคณะกรรมการ มีประธานที่ต้องเลือกกัน มีหุ้นและปันผลมีสวัสดิการณ์สำหรับสมาชิก จุดจอดรับผู้โดยสาร แต่ก็นั่นแหละครับบางสหกรณ์ตำแหน่งก็ผูกขาด
แต่ละสหกรณ์ก็จะมีการณ์เก็บค่าบำรุงและอื่นๆแตกต่างกันไป
- รถร่วมสหกรณ์ต้องสังกัดศูนย์วิทยุ ศูนย์วิทยุนี่ปัจจุบันมี 12ศูนย์ ก็มีทั้งเป็นสหกรณ์เองและมีสหกรณ์อื่นร่วมด้วย ศูนย์วิทยุนี่แหละที่ทำหน้าที่คล้ายๆกับ Uber
คือจัดหารถให้ลูกค้า และมีการเรียกเก็บค่ารายเดือน
- ไฟแนนซ์ ก็มีแบบต่างๆดังนี้
1.)ไฟแนนซ์ที่เป็นผู้ประกอบการรถแท็กซี่(สหกรณ์) แต่ไม่มีศูนย์วิทยุของตนเอง ก็จะบังคับให้สังกัดอยู่กับเขา ส่วนศูนย์วิทยุก็เข้าร่วมกับผู้อื่น
2.)ไฟแนนซ์ที่เป็นผู้ประกอบการรถแท็กซี่(สหกรณ์) และมีศูนย์วิทยุเป็นของตนเอง ถ้าท่านใช้บริการของไฟแนนซ์ ประเภทนี้ ท่านจะเข้าสู่ระบบของเขาทั้งหมดแบบครบวงจร
3.)ไฟแนนซ์ที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการรถแท็กซี่(สหกรณ์) และไม่มีศูนย์วิทยุของตนเอง ท่านจะต้องเข้าร่วมกับ สหกรณ์ที่ไฟแนนซ์เห็นชอบด้วย ส่วนศูนย์วิทยุท่านสามารถเลือกเองได้
ถ้าผมจำไม่ผิดที่ต้องเข้าสหกรณ์เนื่องจากแท็กซี่บุคคล(เขียว เหลือง) สามารถจดทะเบียนได้แค่สองคันก็หนึ่งคน ทำให้อู่ต่างๆที่มีรถเยอะจำเป็นต้องเข้าร่วมสหกรณ์
เรียบเรียงข้อมูลจาก
https://www.suvarnabhumitaxi.co.th/Member.html
ที่ผมมองว่า Uber ที่ต่อไปจะเริ่มมีปัญหาเนื่องจาก เมื่อมันถูกกฎหมาย ก็จะเริ่มมีคนมาทำเยอะขึ้น ทีนี้คนก็ไม่อยากขับแท็กซี่เพราะเงื่อนไขมันเยอะ
ก็กลายเป็นว่า อู่แท็กซี่เดิมก็ผันตัวมาให้เช่ารถวิ่งกับ Uber แทน เพราะรถที่วิ่ง Uber มันรถอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรถ 1500cc ขึ้นไปพวก ALtis
อาจจะใช้รถที่ถูกกว่านั้น ทีนี้พวกคนขับแท็กซี่เดิม ที่เคยก่อปัญหา ก็จะมาขับ Uber มากขึ้น ปัญหาจากคนพวกนี้ก็จะตามมาที่ Uber แต่ถึงตอนนั้น Uber เองอาจจะมีมาตรการณ์ที่ดีกว่าภาครัฐก็เป็นได้
เรื่องหารถให้คนมาเช่ากับเป็น Uber ตอนนี้มีอยู่แล้วครับ
ทาง Uber สนับสนุนให้อีกต่างหาก
แต่ผมว่า ทำไปก็เหนื่อยเปล่า ค่าแรงได้น้อยแบบคนเช่า taxi ขับเช่นกัน
เพียงแต่ว่าพวกนี้ไม่ได้ทำในรูปแบบสหกรณ์ และคนก็รู้ว่าไม่คุ้ม เพราะส่วนแบ่ง
รายได้ Uber ให้มาน้อยมากอยู่แล้วครับ แต่สิ่งที่ดีสำหรับผู้บริโภคคือการสกรีนคน
ยังมีทำเป็นปกติ การให้คะแนน Uber คันไหนไม่ดีก็ยังทำเป็นปกติ คนขับ Uber จะ
เหนียมทุกคนเพราะกลัวคนนั่งเล่น ขอใช้คำว่าเล่นครับ
จากข้อมูลตรงนี้ดังนั้น มันไม่ได้เพิ่มจุดแยกของปัญหาครับ
ดังนั้นทางเลือกยังเหมือนเดิมคือ
แท็กซี่ในระบบ หรือ
จะเป็นรถรับส่งส่วนบุคคลในระบบเครือข่าย
ซึ่งมีรถให้เช่าทั้งคู่ แต่อย่างหลังที่เป็นแบบผิดกฎหมายกลับดูน่ามั่นใจกว่า
แต่กดรายได้คนที่มาขับกระจาย ดังนั้น ถ้าจะให้อยู่กันรอดทุกฝ่าย รัฐควรขยับ
เข้ามาจัดการเรื่องผลตอบแทน เรื่องภาษีจากรายได้ Taxi ปกติต้องได้รายได้สูงกว่าอยู่แล้ว
เพราะเป็นแบบทำทั้งตัวเต็มที่ fully dedicated ถูกสังคมมองว่าเป็นชนชั้นแรงงานขับ taxi อีกต่างหาก
เงินเขาควรจะได้เยอะที่สุดคือถูกแล้ว ส่วน Uber หรือเครือข่ายแนวนี้ ให้มีการควบคุม
ส่วนแบ่งรายได้ให้ดีกว่านี้ ให้อยู่กันได้ ไม่ใช่ให้เหมือนการเข้าข่ายหลอกลวงแบบนี้
ตัวบริษัทปัจจุบันยังขาดทุนนี่ก็อีกเรื่อง บริษัทต้องไปจัดการเอาเอง ผมมองว่าระบบนี้มัน
ออโต้ล้วนๆ มีคน support พอสมควรก็น่าจะพอ ไม่เข้าใจว่าขาดทุนอะไร
พนักงาน 3000 คนกับตึกขนาดใหญ่ ผมว่ามันเป็นต้นทุนตั้งต้นของทุกบริษัทอยู่แล้ว
แต่บุคลากร 3000 นี่ ปกติผมเห็นแค่รับตอบอีเมล์ กับ maintain ระบบ
คนเยอะไปมั้ย ขนาดคนเท่าโรงงานผลิตรถขนาดใหญ่เลย