Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: ottojud ที่ ตุลาคม 24, 2013, 08:46:53
-
เพราะดูจากสเปคแล้วราคาแล้ว ถือว่า คัมรี่ ให้น้อยมากถึงมากที่สุด ที่ผ่านๆมาฟันกำไรไปพุงกางเลยมั้งครับ โตโยต้า ไทยแลนด์
-
ต้นทุนจริงๆมันน้อยนิดครับ(ไม่นับค่าวิจัย หรือ ความต้องการกำไร)
มันมีให้เห็นหลายเคส เช่นford focus ทั้งขายน้อย และoptionเต็ม ราคาไม่แพงแบบคู่แข่งด้วย ทำไมอยู่ได้
หรือเคส mazda3 ตัวเก่าที่นำเข้ามา ก็ไม่ได้ขายแพงกว่าตัวที่ผลิตที่ไทยเลย สะท้อนว่าต้นทุนไม่ได้มีผลกับราคาขายโดยตรงเลย
ผมว่ารถยนต์ในไทยเริ่มมีอะไรที่ดีมากขึ้น ราคาเริ่มนิ่งตัวและอ๊อฟชั่นเริ่มมากขึ้น ไม่แน่ใจว่า aec จะเกี่ยวกับส่วนนี้ด้วยรึเปล่า
-
โรงงานผลิตเกือบทุกประเภท ถ้ากำไรไม่เป็น 100-200% ขึ้น ทำไปก้อไม่คุ้มครับ ไปเป็น distributor ดีกว่า ฉะนั้นโรงงานผลิตรถยนต์กำไรเยอะอยู่แล้ว ลองคิดดูว่าราคารถยนต์ที่ญี่ปุ่นมันถูกขนาดไหน เค้ายังกำไรกันได้ แล้วราคารถประกอบในประเทศอย่างเราราคาเป็นยังไง เพียงแต่ว่า Camry น่าจะกำไรเยอะกว่า Teana ครับ
-
ผมว่าพวก BMW Benz น่าจะฟันกำไรต่อคันเน้นๆ
ดูราคาเทียบกับต่างประเทศ หรือผู้นำเข้าอิสระแล้วยิ่งตอนลดราคา ลดที 3-4 แสน
นี่ขนาดประกอบในประเทศนะครับ
-
กำไรคงเยอะอยู่นะครับ แต่พี่โตขึ้นชื่อเรื่องกั๊ก option อยู่แล้ว
-
กำไรเยอะจริงแต่ค่าโฆษณาก็เยอะครับ toyota
เช่นvios ทั้ง ทีวี วิทยุ แต่เห็นในท้องถนนไม่เยอะเลยนะ
-
อยู่ที่ว่าจะมองกำไรในมุมไหนครับ
แต่เอาจริงๆแล้วรถคันนึงเทียบกับราคาที่ขายปลีกแล้วกำไรไม่เยอะหรอกครับ
อาจจะเห็นว่ารถระดับเดียวกันให้ออพชั่นเยอะกว่า แต่ขายราคาถูกกว่า ออชั่นที่เพิ่มมาคิดเป็นต้นทุนจริงๆแล้วมันเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ระบบพื้นฐานทั้งหมดมันมีเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วแค่ติดเซ็นเซอร์เพิ่มบางตัว กับปุ่มกดสำหรับสั่งงานอีกนิดหน่อย
ส่วนซอฟท์แวร์เค้ามีเป็นยูนิตเตรียมไว้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เอามาต่อเพิ่ม อาจจะมีค่าลิขสิทธิ์อีกนิดหน่อย
ราคาท่ีตั้งไว้ส่วนหนึงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการทำส่วนลด การทำโปรโมชั่น
กำไรที่ได้จากตัวรถส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปใช้ในเรื่องอื่นเพิ่มเติมด้วยครับ
การพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการ (เราจ่ายเงินเพื่อให้เรามีบริการที่ดีขึ้น ทั่วถึงขึ้น และเอาใจเรามากขึ้น)
การโฆษณา (เราต้องจ่ายเงินเพื่อให้เค้าทำให้เราอยากซื้อ)
CSR (เราจ่ายเงินเพื่อทำให้เรารู้สึกดีว่าซ์้อของจากคนที่เหมือนจะช่วยเหลือสังคม)
ส่วนเรื่องพวกโบนัสพนักงานอะไรนี่อยู๋ที่ความสามารถของแต่ละส่วนงานครับว่าสามารถเพิ่มproductivityของตัวเองได้ขนาดไหน
-
อยู่ที่ว่าจะมองกำไรในมุมไหนครับ
แต่เอาจริงๆแล้วรถคันนึงเทียบกับราคาที่ขายปลีกแล้วกำไรไม่เยอะหรอกครับ
อาจจะเห็นว่ารถระดับเดียวกันให้ออพชั่นเยอะกว่า แต่ขายราคาถูกกว่า ออชั่นที่เพิ่มมาคิดเป็นต้นทุนจริงๆแล้วมันเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ระบบพื้นฐานทั้งหมดมันมีเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วแค่ติดเซ็นเซอร์เพิ่มบางตัว กับปุ่มกดสำหรับสั่งงานอีกนิดหน่อย
ส่วนซอฟท์แวร์เค้ามีเป็นยูนิตเตรียมไว้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เอามาต่อเพิ่ม อาจจะมีค่าลิขสิทธิ์อีกนิดหน่อย
ราคาท่ีตั้งไว้ส่วนหนึงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการทำส่วนลด การทำโปรโมชั่น
กำไรที่ได้จากตัวรถส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปใช้ในเรื่องอื่นเพิ่มเติมด้วยครับ
การพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการ (เราจ่ายเงินเพื่อให้เรามีบริการที่ดีขึ้น ทั่วถึงขึ้น และเอาใจเรามากขึ้น)
การโฆษณา (เราต้องจ่ายเงินเพื่อให้เค้าทำให้เราอยากซื้อ)
CSR (เราจ่ายเงินเพื่อทำให้เรารู้สึกดีว่าซ์้อของจากคนที่เหมือนจะช่วยเหลือสังคม)
ส่วนเรื่องพวกโบนัสพนักงานอะไรนี่อยู๋ที่ความสามารถของแต่ละส่วนงานครับว่าสามารถเพิ่มproductivityของตัวเองได้ขนาดไหน
อันนี้เห็นด้วยครับ
ในความรู้สึก Toyota และ Honda ดูทำอะไรให้สังคมมากกว่า Nissan นะครับ Nissan ออกแนวไปเที่ยว เสียตังมากกว่า
แต่มันก็เอากำไรเกินควรมานานแล้วครับ
-
ค่าพัฒนาศูนย์บริการ เจ้าของศูนย์ออกเองนี่ครับ
คุยกับเจ้าของศูนย์จันทบุรี เค้าบอกออกเองครับ
แต่ต้องทำตามแบบของ TMT
-
อยู่ที่ว่าจะมองกำไรในมุมไหนครับ
แต่เอาจริงๆแล้วรถคันนึงเทียบกับราคาที่ขายปลีกแล้วกำไรไม่เยอะหรอกครับ
อาจจะเห็นว่ารถระดับเดียวกันให้ออพชั่นเยอะกว่า แต่ขายราคาถูกกว่า ออชั่นที่เพิ่มมาคิดเป็นต้นทุนจริงๆแล้วมันเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ระบบพื้นฐานทั้งหมดมันมีเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วแค่ติดเซ็นเซอร์เพิ่มบางตัว กับปุ่มกดสำหรับสั่งงานอีกนิดหน่อย
ส่วนซอฟท์แวร์เค้ามีเป็นยูนิตเตรียมไว้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เอามาต่อเพิ่ม อาจจะมีค่าลิขสิทธิ์อีกนิดหน่อย
ราคาท่ีตั้งไว้ส่วนหนึงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการทำส่วนลด การทำโปรโมชั่น
กำไรที่ได้จากตัวรถส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปใช้ในเรื่องอื่นเพิ่มเติมด้วยครับ
การพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการ (เราจ่ายเงินเพื่อให้เรามีบริการที่ดีขึ้น ทั่วถึงขึ้น และเอาใจเรามากขึ้น)
การโฆษณา (เราต้องจ่ายเงินเพื่อให้เค้าทำให้เราอยากซื้อ)
CSR (เราจ่ายเงินเพื่อทำให้เรารู้สึกดีว่าซ์้อของจากคนที่เหมือนจะช่วยเหลือสังคม)
ส่วนเรื่องพวกโบนัสพนักงานอะไรนี่อยู๋ที่ความสามารถของแต่ละส่วนงานครับว่าสามารถเพิ่มproductivityของตัวเองได้ขนาดไหน
ผมเห็นด้วยนะ แต่ไม่ทั้งหมด
อยากให้ดูรถค่าย isuzu ดูออฟชั่นความปลอดภัยที่ให้มาของดีแม็กเทียบวิโก้ก็ิกินขาดละ
แล้วถ้าตัว Mu-X ออกมาออฟก็กินฟอร์อีก (หน้าตาไม่นับ)
แต่ isuzu เขาก็มีเงินพัฒนาศูนย์บริการหลังการขายได้ดีไม่แพ้กันนะครับ
-
คงฟันไปมากกว่าค่ายรองพอควร. เครื่อง เกียร์ ( 2.0 ) เดิมๆ ไม่ต้องมีค่าพัฒนา ออฟชั่นจุกจิกที่น้อยกว่ามาก
แต่ในเมื่อมันขายได้ แล้วจะเสียเงินค่าพัฒนาไปทำไม คนไทยก็ยังซื้อกันตรึมๆ :-\
แต่ผมว่าก็ยังไม่ฟันหัวแบะแบบค่ายยุโรป ตอนผมออก 520d sport ได้ส่วนลด+ของแถมร่วม6แสนบาท
ลดขนาดนี้ยังกำไร แสดงว่าต่อคันคงได้ร่วมล้านบาทเลยทีเดียว
-
ถ้าเอารถเพียวๆน่ะใช่ แต่ประกอบด้วยค่าการตลาด การบริการ การบริหาร อื่นๆ.......... มันอาจไม่มากอย่างที่คิดหรอกครับ
ผมจำไม่ผิดปีที่ GM ก่อนหน้าปีนึงที่จะโดน Toyota ล้มแชมป์ยอดขายทั่วโลก ปีนั้น Toyota เป็นแชมป์กำไลนะครับ คือขายได้น้อยกว่าแต่กำไลมากกว่า
แต่ว่าปัจจุบันกำไลของโตมัน ค่อยๆน้อยลงเพราะ คู่แข่งมากค่าการตลาดที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
-
ผมมองว่าต้นทุนรถไม่สูงนะของโตต้า เพราะ ส่วนใหญ่ เครื่องเดิม เกียร์เดิมใช้ยันลูกบวช(อาจจะดีจริง)
ส่วนที่มองว่าเอามาทำ CSR อันนั้นมันน่าจะเอามารวมเป็นต้นทุนหลักนะครับ.. เพราะมันคือการคืนกำไรให้สังคม
ไม่ใช่ลดต้นทุนเพราะต้องทำ CSR อันนี้ผมว่ามันไม่ใช่แระ....
-
ถ้าเอาราคาตอนเปิดตัวเลย ไม่มีลด ไม่มีแถม น่าจะซัก 50:50
-
เคยได้ยินมาว่าต้นทุนของ D-seg อยู่ที่หลักแสนต่อคัน น่าจะ 6-7 แสน นี่เครื่องเดิมเกียร์เดิม ออปชันตัดแหลก คงจะสัก 6 แสน
แล้วราคาอยู่ที่ล้านสาม คิดว่าจะได้เท่าไหร่ละครับ
-
อยู่ที่ว่าจะมองกำไรในมุมไหนครับ
แต่เอาจริงๆแล้วรถคันนึงเทียบกับราคาที่ขายปลีกแล้วกำไรไม่เยอะหรอกครับ
อาจจะเห็นว่ารถระดับเดียวกันให้ออพชั่นเยอะกว่า แต่ขายราคาถูกกว่า ออชั่นที่เพิ่มมาคิดเป็นต้นทุนจริงๆแล้วมันเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ระบบพื้นฐานทั้งหมดมันมีเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วแค่ติดเซ็นเซอร์เพิ่มบางตัว กับปุ่มกดสำหรับสั่งงานอีกนิดหน่อย
ส่วนซอฟท์แวร์เค้ามีเป็นยูนิตเตรียมไว้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เอามาต่อเพิ่ม อาจจะมีค่าลิขสิทธิ์อีกนิดหน่อย
ราคาท่ีตั้งไว้ส่วนหนึงเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการทำส่วนลด การทำโปรโมชั่น
กำไรที่ได้จากตัวรถส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปใช้ในเรื่องอื่นเพิ่มเติมด้วยครับ
การพัฒนาเครือข่ายศูนย์บริการ (เราจ่ายเงินเพื่อให้เรามีบริการที่ดีขึ้น ทั่วถึงขึ้น และเอาใจเรามากขึ้น)
การโฆษณา (เราต้องจ่ายเงินเพื่อให้เค้าทำให้เราอยากซื้อ)
CSR (เราจ่ายเงินเพื่อทำให้เรารู้สึกดีว่าซ์้อของจากคนที่เหมือนจะช่วยเหลือสังคม)
ส่วนเรื่องพวกโบนัสพนักงานอะไรนี่อยู๋ที่ความสามารถของแต่ละส่วนงานครับว่าสามารถเพิ่มproductivityของตัวเองได้ขนาดไหน
หลายแสนแหละครับ ไม่งั้นจะลดเป็นแสนได้หรือใครจะยอมขายขาดทุน ส่วนพวกค่าโฆษณานู่นี่หรือความสะดวกสบายเมื่อไปใช้บริการก็เงินเรานั่นแหละครับ
ส่วนcsrถามว่าดีมั้ยก็ดีนะคืนกำไรให้สังคม แต่อันที่จริงก็เงินเราอีกนั่นแหละ แต่ที่เค้าต้องทำเพราะมันเอาไปหักภาษีได้บวกกับได้หน้าอีกด้วย
-
กำไรเละครับ ดูจากโบนัสพนักงานโตโยต้าได้
สงสัยจะใช้ Lean production มา Lean options และ Lean customer satisfaction จนไม่เหลือะไร
-
กำไรเละครับ ดูจากโบนัสพนักงานโตโยต้าได้
สงสัยจะใช้ Lean production มา Lean options และ Lean customer satisfaction จนไม่เหลือะไร
ถูกใจครับ ลีนออฟชั่น 555+
-
กินว่าน่าจะกินจนอิ่มแล้วแหละ แตถ้าผมเป็นผู้บริหาร Toyota ผมจะใส่ option มาแบบจัดเต็มตั้งแต่ทีแรก เพราะว่า แแบรนด์ก็ดี อะไรก็ดี คือถ้าใส่มาตั้งแต่ตอนแรกลูกค้าก็ไม่หายครับ