Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: bingoman ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2016, 20:05:10
-
เริ่มรู้สึกว่า ณ ตอนนี้รถ BMW สมรรถนะที่ว่าเทพสุดในตลาดมาช้านานในราคาของมัน เหมือนจะโดนเร่งตามและตีคู่ได้จากรถค่ายอื่น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ค่าย premium ด้วยซ้ำ นั่นหมายถึงราคาถูกกว่า BMW ครึ่งนึงหรือแค่ 40-50% ของราคาเต็ม BMW แต่ได้สมรรถนะใกล้เคียง หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ เอาง่ายๆก่อนเช่น
1. BMW X1 18d vs MG GS
คู่นี้ X1 มาเครื่องดีเซลเทอโบ 150 แรงม้า
MG GS มาเครื่องเบนซินเทอโบ 218 แรงม้า
ถ้าไม่เทียบลักษณะ diesel vs benzine ที่ดีเซลแรงบิดเยอะแต่รอบต่ำเลย คู่นี้ X1 ดมฝุ่น MG GS แหงๆละ ยิ่งถ้าขับอยู่ 60, 80 แล้วเหยียบมิดเร่งแซง เกรงว่า GS จะทิ้งหาย
สเป็คก็บอกแล้วว่า BMW X1 0-100 = 9.2 วิ
ขณะที่ MG GS 0-100 น่าจะไม่เกิน 8.5 วิไหม นี่พยายามมองให้ช้ามากๆ แล้วนะครับ ถ้าเป็นค่ายอื่นเช่น Volvo มาเครื่องสเป็กนี้ ใช้เวลาแค่ 6.9 วิด้วยซ้ำตามสเป็ก เช่น V40
ราคา GS, X1 คู่นี้ ก็ต่างกันสิ้นเชิง ผมไม่ทราบว่า MG GS จะราคาเท่าไร แต่ตอนแรกก็เดาว่าน่าจะมาแข่งกับ HRV, CX3 ราคาประมาณล้านนึง แต่ไปๆ มาๆ ด้วยสมรรถนะขนาดนี้ ผมคิดว่าต่อให้มาราคา1.3-1.5 ล้าน มันยังคุ้มค่าและได้สมรรถนะเกินตัวไป 2 เท่าเลย
พูดตามตรง ก็คือเครื่องขนาดนี้ ถ้าเทียบกับพรีเมียมยุโรป มันต้องไปเทียบกับรหัสตัวแรงแล้วเช่น BMW 328i, C300 ผมว่าพรีเมี่ยมยุโรปน่าจะร้อนรน ทุรนทุรายนะ ถึงมันจะแบรนด์คนละชั้นกันก็ตามครับ เพราะตัวท็อปพรีเมี่ยม นั่นราคา 3 ล้าน แต่สมรรถนะโดนรถราคา 1 ล้าน มาตีคู่
เรื่อง feeling รถ MG ผมก็เชื่อว่าน่าจะทำรถมาหนักแน่น ไม่เบาหวิวก๊องแก๊งเหมือนค่ายญี่ปุ่นบางค่าย ขับ 150 ขึ้นไปยังมั่นใจอยู่ ถึงอาจจะไม่สนุกเทียบเท่า BMW ก็ตามแต่ทำมาได้ดีเสมอ ในเรื่องช่วงล่าง
คู่ต่อมา
Honda Civic 1.5 กับ BMW 3-Series
คู่นี้บอกตามตรง ว่าไม่อยากเอามาเทียบกันเลย(หรือผมเป็นคนคิดมากและขี้กังวลเกินไป ปนกับอิจฉา Civic ที่จะราคาถูกกว่าครึ่งนึง) และในอดีต ไม่เคยคิดว่าใครจะมองว่ามันสามารถมีอะไรเทียบกันได้เลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่สมรรถนะและฟิลลิ่ง
แต่เมื่อ Honda Civic ใหม่ จะมาด้วยเครื่อง 1.5 ลิตรเบนซินเทอโบ 173 แรงม้า
นั่นหมายความว่า BMW 320i เบนซินเทอโบตัวธรรมดาในไทย น่าจะรู้สึกไม่ค่อยดีนะ เพราะ 320i มาพร้อมเครื่อง 2,000cc 184 แรงม้า แต่Civicเป็นเครื่องแค่ 1,500cc แต่แรงม้าน้อยกว่า BMW แค่ 11ตัว
บอกตามตรงก็คือ Civic คงไม่ได้ทำมาให้ได้รถแรงแบบ 3 หรือขับขี่เนียนไร้รอยต่อแบบ BMW
แต่ด้วยการวางสมรรถนะระดับนี้ กับเครื่องแค่ 1.5 ลิตร นั่นคงทำให้ Civic 1.5 เป็นรถประหยัดน้ำมันกว่าเดิม ยิ่งวิ่งในเมืองยิ่งประหยัดกว่าคู่แข่งเดิมที่เป็น 2,000cc แต่ขณะเดียวกัน ด้วยการยัดเทอโบมาจนได้ 173แรงม้า ผมถือว่าเยอะเลย และน่าใช้มาก
ผมรู้สึกว่าค่ายพรีเมี่ยมทั้งหลาย เค้านิ่งไปมั้ย ไม่ตื่นตัวกันเลยเหรอ? ว่าค่ายตัวเองโดนรถบ้านวัดรอยเท้า หรือว่าผมคิดไปเองและตื่นเต้นไปเอง ที่รถยนต์แบรนด์ธรรมดาอย่าง Honda, MG จะทำรถได้่สมรรถนะสูงกันขนาดนั้น
แล้วอีกอย่างคือ ณ ช่วงปีหลังสุดนี้ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ option ของรถญี่ปุ่น C และ D segment เหมือนจะเยอะกว่า BMW, Benz ไปแล้ว
เช่น
-Blind Spot Detection ใน Camry, Teana แต่ BMW 3,5 ยังไม่มีเลย ทั้งที่ 3 เพิ่ง LCI ไป คือมองว่ามันเป็นของไร้สาระเหรอ ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ผมคนนึงหละอยากได้มากและอิจฉาทุกครั้งที่เวลาขับไปรถคันข้างๆ แล้วไฟเตือนเค้าติด เช่น Camry, E-Class ผมผิดหวังมาก และไม่เข้าใจว่า BMW มองข้ามอันนี้ไปได้ยังไง
-กล้องรอบคัน เช่นใน Teana, Pajero Sport แต่ใน BMW 3-Series, X1, 520d ใหม่ ก็ไม่มีกล้องรอบคันให้ มีแต่ sensor และจอบอกระยะห่างเป็น graphic แค่นั้นเอง ที่จริง Izuzu ยังมีให้เลย ที่เวลาถอยหลังเป็นกล้องและมีเส้นบอกความกว้างของตัวรถ
-ระบบ infotainment ไม่ต้องพูดถึง เพราะค่ายญี่ปุ่นไม่น้อยกว่าเลย เช่น Mazda3, Honda Civic เดิมๆ ก็มี function เหมือนค่ายยุโรปทั้งนั้น
-option ความปลอดภัย ก็ไม่ต่างกันเลย VSC, EBD, Traction Control, Airbag 6-8ใบ, ABS
ช่วง 1-3 ปีหลังนี้รู้ว่าค่ายญี่ปุ่นจะยัดอะไรใส่ในรถตัวเองให้เยอะขึ้นแบบชัดเจน แล้วที่สำคัญคือเหมือนปฏิวัติสมรรถนะที่ดีมาให้ด้วย เช่น Mazda3
ขณะที่พรีเมียมยุโรปช่วงนี้เป็นยักษ์อืดอาด พยายามแต่จะเอารถ Plug-in Hybrid มาเข้าไทย ทั้งๆที่ลูกค้าไม่ได้เรียกร้อง แน่นอนเพื่อผลกระกอบการจากภาษีรถไฮบริด แต่เอามาเยอะแยะแบบลูกค้าไม่ได้ต้องการ แล้วเอาตัวท็อปธรรมดาทิ้ง มัดมือชกให้ต้องใช้ไฮบริด แแต่พอตัวล่างก็ออพชั่นไม่เต็ม สมรรถนะก็โดนค่ายตลาดๆ ไล่ตาม
การมองข้ามการใส่ออพชั่นลูกเล่นในตัวล่างเช่น 320i, 320d, C200 เทียบกับที่ค่ายญี่ปุ่นเค้าหันมาใส่กันเยอะแยะเนี่ยนะ เหมือนมองข้ามลูกค้า แต่ประมาทรถตัวเองไปมั้ย สมรรถนะก็ไม่ค่อยอัพเกรดขึ้นไปกว่าเดิม ออพชั่นก็เหมือนเดิม เช่น 3,5 LCI ก็ออพชั่นแทบจะเหมือนกับตัวก่อน LCI ทั้งๆที่ก็เห็นแล้วว่าค่ายญี่ปุ่น เค้าใส่ออพชั่นตามมาแล้ว Mazda3 ยังมี HUD เลย แต่BMW ซีรี่3 LCI ก็ยังเฉยๆ ไม่สนใจจำเพิ่้มของเล่นอะไรให้มากนัก
ผมคิดไปเองไหมครับ แต่ผมคิดว่าถ้า BMW มองข้ามออพชั่นเล็กๆ ไป ผมว่าความแตกต่างระหว่าง premium brand กับ non-premium brand มันจะใกล้เคียงกันมาก ยกเว้นสิ่งที่ต่างกันคือ
ราคาแพงกว่าค่ายปกติ 2 เท่า หรือมากกว่านั้น
ภาพลักษณ์ logo ใบพัด/ตราดาว
ผิวสัมผัส
แค่นั้นเอง
แต่รถสมรรถนะดี ต่อไปอาจจะไม่ต้อง BMW แล้ว
ต่อไปซื้อ MG, Honda ก็ขับตีคู่ เร่งแซงฉีก Benz, BMW ได้
อารมณ์ประมาณ BMW 320i, 320d เจอรถ MG GS วิ่งขับงุกงิกๆ เลนขวาไม่หลีกทางให้ BMWจะแซงซ้ายไป พอเบี่ยงหน้าออกแล้วเร่งคันเร่ง เหยียบมิดแทนที่จะแซงง่ายๆ ให้คันอื่นดมฝุ่นแบบที่ผ่านมาตลอดในอดีต แต่ที่ไหนได้เจอ MG GS เหยียบคันเร่งตาม ก็หมดสิทธิ์ที่ BMW จะแซง ต้องรีบเบรคเข้าตามท้าย MG GS อีก
อารมณ์ประมาณขับรถ C-segment ญี่ปุ่นทางไกล แล้วเวลาเจอรถตู้วิ่งช้าแช่ขวา แล้วพอเราจะยอมแซงซ้ายเอง(จำใจ) ปรากฎว่ารถตู้มันเร่ง บางทีแซงไม่พ้นเกือบชนกว่าจะขึ้นหน้ามันได้ บางทีต้องเบรคหัวทิ่มเกือบสอยตูดรถช้าเลนซ้าย การต้องมาลุ้นว่าจะแซงได้ไหม ใช้เวลานานปาไป 10-20 วินาทีงี้ เล่นเอาเสียวกันทั้งบาง
ความรู้สึกของคนบ้าสมรรถนะ แต่ไม่บ้าความหรูหราแบบจขกท. ทำให้รู้สึกว่า BMW อาจจะไม่คุ้มค่ากับราคาแล้ว เพราะสมรรถนะโดนค่ายอื่นเร่งตามมาติดๆ ทุกคนคิดยังไงบ้างครับ
กระทู้ยาวมากเลยขออภัยผู้เกี่ยวข้องครับ
-
ยังมี Ford Focus Minor Change อีกครับที่สมรรถนะใกล้เคียง เครื่องใหม่ขนาด 1.5 ลิตรเทอร์โบ เหมือน New Civic แต่มี 184 แรงม้า แต่ราคาน่าจะเอาเรื่องอยู่
-
เทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน ช่วงล่าง เครื่องยนต์ เกียร์ ตอนนี้เริ่มมาถึงทางตันแล้วมากกว่าครับ
ตอนนี้ก็เห็นเริ่มพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ (autopilot car)
https://www.youtube.com/watch?v=YEn9bQkBXkE
https://www.youtube.com/watch?v=xYqtu39d3CU
https://www.youtube.com/watch?v=tgOqnGDCCO4
https://www.youtube.com/watch?v=VDwMhSobaOg
-
หลายๆอย่าง มันไม่ได้ดูแค่แรงม้า แรงบิด ออปชั่น
ทำไม เสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา ถึงมีหลายราคา หลายระดับ
ทั้งๆที่ถ้ามองถึงจปส.การใช้ มันก็ไม่ได้แตกต่าง
เพราะงั้นรถเองก็เช่นกัน
-
ถ้าเน้นแค่สมรรถนะ BMW อาจจะไม่คุ้มราคาครับ เพราะรถบ้านมันก็สามารถแต่งต่อจนมี 3-4 ร้อยม้าได้ แต่ผมว่ามันได้ความสวยหรูอ็อปชั่นและเทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่รถบ้านไม่ได้ให้มา ซึ่งถามว่า overprice มั้ย มันแน่นอนอยู่แล้วครับ ไม่งั้น 320i รุ่นประกอบไทยราคาไม่ควรเกิน 2 ล้านด้วยซ้ำ แต่มันเกินเพราะยี่ห้อมันมีไว้แบ่งชนชั้นทางสังคมได้ระดับหนึ่งครับ
ส่วนคนเรื่องเทียบ Civic กับ 320i ผมว่ายังห่างชั้นอยู่ครับ ถ้ารถเดิมๆ เลยนะ ผมว่ากดหนักๆ มุดมาก Civic ก็น่าจะเสียวครับช่วงล่างน่าจะไม่ถึงขั้น แต่ GS นี่ต้องรอดูครับ ช่วงล่างรถ MG มันแน่นหนึบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะจูนคันเร่งกับเกียร์มายังไง ถ้าจูนมาอมๆ แบบถนอมเกียร์จัดๆ ถึง 218 ม้าก็ใช่ว่าจะขับสนุกครับ อาจจะยังสู้ X1 ไม่ได้ ต้องรอดู ต่อไป
-
ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ถ้าจะมานั่งดูแค่ แรงม้า แรงบิดแล้ววิเคราะห์เนี่ย มันก็จะเพี้ยนๆไปเยอะเลยครับ รถคันนึงมีมากกว่าเครื่องยนต์แรงๆ นะครับ มีมากกว่าการที่ยัดออฟชั่นลงไปเยอะๆ ในฐานะที่ผมเคยขับรถมาหลายๆ รุ่น ผมจะยกตัวอย่าง รถ 2 รุ่นที่ผมเป็นเจ้าของให้ฟัง golf GTI vs 328i m sport 2รุ่นนี้ผมทำการจูน ecu แล้วทั้ง 2คัน ถ้าเอาตัวเลขเดิมๆตามรีวิวดูเหมือน 328i จะไวกว่า ใช่ไหมครับหรือแม้แต่ในสเปค 328i ไวกว่าพอสมควรทั้งรถจูนและไม่จูน แต่ๆๆๆ เวลาวิ่งจริง GTI ในแง่ความมั่นใจ ความสนุก ความเร้าใจ อัตราเร่ง กลับไปไวกว่า 328i ก็แปลกดีครับ ทั้งๆที่ตัวเลขในสเปคมันเยอะกว่าพอสมควร อันนี้ผมพูดในคนที่ชอบซิ่งๆนะครับ ผมไม่สนหรอกว่า รถจะมี blind sport จะมีอะไรบลาๆๆ ผมจะมองแค่ว่า รถรุ่นนี้เค้าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จุดประสงค์หลักๆของรถคืออะไร มากกว่า
ปล.รถตลาดพัฒนามาดีครับ ยัดออฟชั่นมาดี แต่ก็ไม่ได้เหนือไปกว่ายุโรปแน่นอน มันยังมีอีหลายจุดที่เรามองไม่เห็น ต้องถามกลับกันว่า จริงๆ เราต่างหากที่ซื้อรถยุโรปแพงไป ที่จริงราคาไม่ได้แพงเลย หลายๆท่านก็ทราบดี แต่ด้วยกลไกหลายๆอย่างซึ่งก็ๆไม่อยากจะพูดอ่ะนะ ว่าทำไม ก็นะครับ เรื่องนี้ นานาจิตตัง เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาเรื่องราคา มาวัดกันจริงๆ รถบ้านๆนี่แหละจะเหวอ ต่างประเทศ 2.6-2.7 ล้านขับ cayman S ได้แล้วนะครับ
5555++++++
-
ตัวเลข แรงบิด แรงม้า ok แหละ เหมือนไม่หนีกัน แต่ใครๆ ก็รู้ว่ามันไม่ใกล้กันเลย เมื่อพูดถึงรถทั้งคันและชื่อชั้น
-
เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้นี้ครับ แตกต่างคือภาพลักษณ์ และความพรีเมี่ยม
-
เวลาอยุ่หลังพวงมาลัยผมให้ bmw=iphone honda=oppo mg=i mobile ไม่สนแรงม้าหรืออะไรทั้งนั้นเหมือนกันคือยอมจ่าย
-
เห็นด้วยครับพักหลังพวกรถ jp ทำมาเรียกได้ว่าสวยกว่า แรงกว่า รถพรีเมี่ยมหลายๆคันอีก:(
-
ถ้าคิดอย่างนี้จริง เฉพาะการขับขี่
โฟกัส กับ ซีรี่ย์3 มันใกล้กันเคียงกันมานานแล้วครับ (กัสฉีดตรงไม่มีเทอร์โบ 170 ม้าแล้ว เซทท่อไอเสียใหม่ ไอดีใหม่ ขัดลื่นฝาสูบ สั่งลูกฟอร์จจากอังกฤษ จูนกล่อง น่าจะไปใกล้กับ 180 ม้า เกิดบ้าพลังเซทเทอร์โบลง น่าจะทะลุ 200 ม้าสบายๆ เกียร์รับไหวรึเปล่าอีกเรื่อง)
ทั้งที่คุณจ่ายต่างกันล้านนึง ผมเอาโฟกัส 1 คันตัวท็อป เงินเหลือไปจูนกล่องกับเติมน้ำมันขับเล่นซัก 3 แสนกิโลเมตรพร้อมค่าบำรุงรักษาอีกด้วย
ทั้งฟิลลิ่งการขับ ความสบาย วัสดุที่ใช้ โฟกัสจะแพ้ก็ตรงงานประกอบ และดีไซน์ในห้องโดยสารที่หรูหราสู้ Bee-em ไม่ได้เลย
ฉะนั้น ผมไม่แปลกใจถ้าคุณจะจ่ายเพิ่มอีก 1ล้าน เพื่อแลกกับ งานประกอบสุดเนี๊ยบ การจัดวางอุปกรณ์ดูเยี่ยม เซลล์ดูดี ศูนย์บริการไม่น่าปวดหัว
ถ้ามองแค่เรื่องรถแรง สมรรถนะดีจริงๆแค่เจ้า "มดเขียว" สโกด้า เฟเบี่ย มันคือสุดยอดแล้วกระมั้งครับ
-
มันเป็นเรื่องของคนที่มีเงินซื้อรถที่ดีที่สุด กับ คนที่่พยายามใช้เงินที่มีอยู่ซื้อรถที่คุ้มค่าเงินที่สุด รึเปล่าครับ
-
แล้วไม่เทียบเทคโนโลยี infotainment, interface, ergonomics เลยหรอครับ
แต่ละคนความต้องการก็ไม่เท่ากันนะครับ ม้าเยอะบางค่าย = กินน้ำมัน บางคนก็อาจจะอยากได้น้อยๆครับ
ตัวแรงค่ายพรีเมียมก็มี แค่ราคามันไปไกลจนเทียบกะรถทั่วไปไม่ได้ จะเทียบแค่แบรนด์เฉยๆคงไม่ได้ เพราะแต่ละแบรนด์ก็มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน honda ไม่ใช่ oppo และ bmw ก็ไม่ใช่ iphone
เพราะส่วนตัวผมไม่ชอบ infotainment ของ honda, toyota เลย ใช้ยากมันจึงไม่ใช่เหมือนๆกันแต่แบรนด์ต่างกัน
-
ระดับก็บังห่างกันอยู่ครับ แต่คิดว่า จขกท.มองในแง่ความคุ้มค่ามันลดลง
-
ตำแหน่งการตลาดมันสูงกว่ากันไม่เยอะนะในตลาดโลก แต่เมืองไทย ราคามันห่างก้าวกระโดดไปเองต่างหากละครับ แต่ถ้าถามผมว่ามันต่างกันเยอะมั้ย ผมก็ว่ามันต่างกันเหมาะสมตามระดับราคา (ในเมืองนอก) นะ
แต่ถ้าลองขับรถจริงๆแล้ว รถคันนึงมันมีอะไรมากกว่าแค่อัตราเร่ง 0-100 หรือแรงม้านะ มันยังมีช่วงล่าง แฮนลิ่ง วัสดุภายใน การเก็บเสียง หรืออะไรๆอีกเยอะ
ขับรถระดับทั่วๆไป ไปลองขับรถยุโรป แค่บรรยากาศ การเก็บเสียง ฟีลลิ่งการขับขี่ ทุกๆอย่าง มันก็ต่างกันเยอะละครับ
เรื่องพวกนี้ก็พูดยาก รถตลาดพัฒนาขึ้น ขณะเดียวกันรถพรีเมี่ยมก็ต้องขยับตัวเองพอสมควรเหมือนกัน
สมัยนี้ขนาด Altis 3 focus นี่ได้ภายในวัสดุดีกว่าสมัยก่อนเยอะนะ บุนุ่มหลายจุดเลย หรือพวก Camry Accord นี่ก็ทำดีขึ้นเยอะ จนรถพรีเมี่ยมต้องขยับตัวเอง ทำภายในให้ดูดีขึ้นไปอีกขั้นนึงอีก (ตัวอย่างคือ Mercedes C Class หรือ New E Class นี่อัพตัวเองขึ้นชัดเจนครับ)
-
รู้สึกว่าเปรียบเทียบได้ แต่ยังไม่ใกล้เคียงครับ
-
การที่เปิดตำรา0-100แล้วบอกคุ้มค่าไม่คุ้มค่านี่คุณมองด้านเดียวมากๆ แต่ก่อนตอนผมเด็กๆก็เคยคิดแบบนี้ แต่พอได้สัมผัสได้ขับจริงๆถึงรู้ว่า0-100นั้นเรื่องเล็ก มันยังมีอะไรอีกมากมายที่เราต้องการจากรถมากกว่าอัตราเร่ง ไม่งั้นคนไม่ซื้อรถใหม่กันแล้วครับ หารถขับหลังวาง2เจโบ 3uz ใช้กันทั้งเมืองไม่ดีกว่าหรอ ทำเสร็จงบไม่เกิน3แสน ได้รถระดับ300ม้า 0-100 6วิ สบายๆ
สิ่งหนึ่งที่รถmass แบบcivic,mg gs มันตอบโจทย์แบบรถพรีเมี่ยมเช่น เบรค ช่วงล่าง ภายใน ภาพลักษณ์ โครงสร้างตัวรถ และรายละเอียดเล็กๆอีกมากมาย เอาง่ายๆเริ่มจากโครงสร้างก่อนเลย platform series3 ออกแบบมารองรับแรงม้าจำนวนมากได้สบายๆ ลองนึกภาพcivic 400ม้าแค่นี้ตัวถังก็แทบรับไม่ไหวแล้ว ออกตัวทีจะคุมไหวรึเปล่าก็ไม่รู้ หรือความเร็วที่200+ วัดcivic กับ series3 คนขับเองจะรู้คันไหนมันบังคับง่ายกว่า น่ากลัวน้อยกว่า
ส่วนเรื่อง0-100เนี่ยผมอยากจะบอกว่า20กว่าปีที่แล้วบีเอ็มมันก็ไม่ได้แรงกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไปหรอก ไม่เชื่อลองไปหาดูเวลา0-100ของรถยุคเก่าๆดูแทบไม่หนีกันเลย เบนซ์นี่ยิ่งหนักกว่าแทบจะอืดสุดเลยด้วยซ้ำ มันไม่ใช่พึ่งจะมาตามทันกันสมัยนี้ซะที่ไหน
-
ท่านอย่างมงายกับตัวเลขเลยครับ
1.8 (141 ม้าเอง) + CVT ล้อ 16 ของ altis ได้ 9.5 ถ้าไมล์โม้เยอะจริงๆ ผมว่าไม่เกิน 10 (ล้อ 17 ยัง 10.05)
2.0 (165 ม้า) + skyactiv converter ล้อ 18 ได้ 10.xx
หลักลบแล้วถ้าเอล้อเท่ากันนะ ผมตตว่ามันจะไปคู่ๆกัน แต่ altis แค่ 141 ม้าเนี่ยนะ ไปพร้อม 165 ม้า skyactiv
เลขแรงม้าไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกครับ อย่างหลงๆ
#ขับMazda3
-
ลองมองและสัมผัสอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่อยู่ในกระดาษ specification หรือ brochure ด้วยก็ดีนะครับ
แต่ถ้าปัจจัยในการซื้อรถของคุณมีแค่แรงม้าแรงบิดต่อราคา ก็คำนวณดูครับว่าคันไหนมีแรงม้าแรงบิดต่อราคาดีสุด ก็เลือกคันนั้นไป ง่ายกว่าครับ ;)
เราเป็นผู้บริโภคครับ ต้องรู้ความต้องการของตัวเองก่อนว่าต้องการรถแบบไหน แล้วเลือกรถให้เหมาะกับตัวเอง ถ้า BMW คิดแล้วไม่ตอบโจทย์ (หรือคิดว่าไม่คุ้มในความเห็นของคุณเอง) ก็หาคัันอื่นยี่ห้ออื่นก็ได้นี่ครับ หรือจำเป็นว่ายังไงก็ต้องยี่ห้อนี้ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆว่ายังไงก็ต้องยี่ห้อนี้ก็ไม่ต้องมองยี่ห้ออื่นมาเปรียบเทียบหรอกครับ
-
เอาที่สบายใจ
-
เห็นด้วยและเข้าใจในแง่ที่ จขกท. ต้องการสื่อครับ
ยิ่งเจอกระทู้สเปค MG GS 218 hp มีซันรูฟ ฯลฯ
ผมนี่กลืนน้ำลายเอื้อกเลย... เจอกันบนถนนก็เกรงใจกันหน่อยนะครับพี่ MG :o
ถ้าแบรนด์ยุโรปยังคงคอนเซป งกออฟชั่น อั้นแรงม้า
บ้าปลั๊กอิน ฟินราคาขาย(แพง) โดยที่ตัวเลือกดีๆ ในตลาดก็ผุดกันมาเรื่อยๆ.....อืมม...
ที่บ่นก็คือยังรักในแบรนด์ ช่วยตอบแทนความรัก
ให้ดีๆ หน่อย
-
ผมว่าที่ต่างอีกอันคือเกียร์และการเชื่อมต่อระหว่างกัน
เคยใช้ crv g3 2.4 รู้สึกกำลังเครื่องมันมากมายแต่กดไปแล้วมันไปไม่ถึงล้อ รู้สึกมันเสียกำลังในระบบไปเยอะเกิน
-
ผมบอกได้คำเดียวครับว่า ถ้าจะมานั่งดูแค่ แรงม้า แรงบิดแล้ววิเคราะห์เนี่ย มันก็จะเพี้ยนๆไปเยอะเลยครับ รถคันนึงมีมากกว่าเครื่องยนต์แรงๆ นะครับ มีมากกว่าการที่ยัดออฟชั่นลงไปเยอะๆ ในฐานะที่ผมเคยขับรถมาหลายๆ รุ่น ผมจะยกตัวอย่าง รถ 2 รุ่นที่ผมเป็นเจ้าของให้ฟัง golf GTI vs 328i m sport 2รุ่นนี้ผมทำการจูน ecu แล้วทั้ง 2คัน ถ้าเอาตัวเลขเดิมๆตามรีวิวดูเหมือน 328i จะไวกว่า ใช่ไหมครับหรือแม้แต่ในสเปค 328i ไวกว่าพอสมควรทั้งรถจูนและไม่จูน แต่ๆๆๆ เวลาวิ่งจริง GTI ในแง่ความมั่นใจ ความสนุก ความเร้าใจ อัตราเร่ง กลับไปไวกว่า 328i ก็แปลกดีครับ ทั้งๆที่ตัวเลขในสเปคมันเยอะกว่าพอสมควร อันนี้ผมพูดในคนที่ชอบซิ่งๆนะครับ ผมไม่สนหรอกว่า รถจะมี blind sport จะมีอะไรบลาๆๆ ผมจะมองแค่ว่า รถรุ่นนี้เค้าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จุดประสงค์หลักๆของรถคืออะไร มากกว่า
ปล.รถตลาดพัฒนามาดีครับ ยัดออฟชั่นมาดี แต่ก็ไม่ได้เหนือไปกว่ายุโรปแน่นอน มันยังมีอีหลายจุดที่เรามองไม่เห็น ต้องถามกลับกันว่า จริงๆ เราต่างหากที่ซื้อรถยุโรปแพงไป ที่จริงราคาไม่ได้แพงเลย หลายๆท่านก็ทราบดี แต่ด้วยกลไกหลายๆอย่างซึ่งก็ๆไม่อยากจะพูดอ่ะนะ ว่าทำไม ก็นะครับ เรื่องนี้ นานาจิตตัง เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาเรื่องราคา มาวัดกันจริงๆ รถบ้านๆนี่แหละจะเหวอ ต่างประเทศ 2.6-2.7 ล้านขับ cayman S ได้แล้วนะครับ
5555++++++
+1
-
จะดูแค่ตัวเลขในหน้ากระดาษจริงๆหรอครับ 555 ผมขำ
เอาว่าโตโยต้า ฮอนด้า ผมก็ใช้มาหลายรุ่นยังไม่เห็นว่ามันจะเปรียบเทียบกันได้แบบเห็นได้ชัดเลยคร้บ
มาต่อกันที่เรื่องราคา ราคามันห่ากันแบบนี้ แค่ประเทศเรารึเปล่าครับ
ไอที่บอกว่ารถยุโรปเค้ากั้กออฟชั่นเนี้ย. เค้ากั้กแค่ในประเทศเรารึเปล่าครับ ???
เคยลองไปกางสเปคเมือกนอกเค้าดูบ้างไหม
-
ที่พูดมามีแต่เรื่องอัตราเร่งทั้งนั้นเลยครับ
แต่ถ้าเทียบกับ BMW เรื่องช่วงล่าง พวงมาลัย เบรค การบังคับควบคุม การเก็บเสียง handling มันยังห่างชั้นกับ BMW ความนิ่ง+ความมั่นใจในความเร็วสูงและการเข้าโค้ง เรื่องแบบนี้เปรียบเทียบยากเพราะต้องขับเอง สัมผัสเอง ดูแค่ Spec ในกระดาษก็เหมือนจะงั้นๆ
ที่ความเร็ว 200 ของ series 5 F10 อาจรู้สึกเหมือนกับขับ Civic ที่ความเร็ว 80 กม/ชม. ซึ่งเรื่องพวกนี้มันต้องสัมผัสและรู้ด้วยตัวเองตอนขับครับ
-
ท่านอย่างมงายกับตัวเลขเลยครับ
1.8 (141 ม้าเอง) + CVT ล้อ 16 ของ altis ได้ 9.5 ถ้าไมล์โม้เยอะจริงๆ ผมว่าไม่เกิน 10 (ล้อ 17 ยัง 10.05)
2.0 (165 ม้า) + skyactiv converter ล้อ 18 ได้ 10.xx
หลักลบแล้วถ้าเอล้อเท่ากันนะ ผมตตว่ามันจะไปคู่ๆกัน แต่ altis แค่ 141 ม้าเนี่ยนะ ไปพร้อม 165 ม้า skyactiv
เลขแรงม้าไม่ใช่ทุกสิ่งหรอกครับ อย่างหลงๆ
#ขับMazda3
ส่วนตัวผม ไม่ respect กับค่ายที่ไมล์โม้ครับ
ผมมองว่ามันแอบโกหกผู้บริโภค เพราะ
เลขบนไมล์ 100 วิ่งจริง 93
แปลว่าถ้าจะจับ 0-100 ต้องรอให้บนไมล์ประมาณ 108 ถึง 110 ถึงจะเอาไปใช้จริงได้ เอาไปเทียบกับรถค่ายอื่นได้
ล้อ17 0-100 ใช้10 นิดๆ ผมว่าถ้ามาจับเทียบบน gps จริงๆ เอามาสด้า 3 มาใส่ล้อ 17 ผมว่ามาสด้า 3 เร็วกว่าครับ
-
หลายๆอย่าง มันไม่ได้ดูแค่แรงม้า แรงบิด ออปชั่น
ทำไม เสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกา ถึงมีหลายราคา หลายระดับ
ทั้งๆที่ถ้ามองถึงจปส.การใช้ มันก็ไม่ได้แตกต่าง
เพราะงั้นรถเองก็เช่นกัน
ใช่ครับ ลองไปสัมผัสของจริงดูจะรู้ว่าต่างกันทุกจุด
-
ทีวีดิจิตตอลในรถ
10ปีก่อนเคยใช้ใน bmw ที่มิวนิค
ญป นี่จะมีมายัง
-
ไม่ปฏิเสธความจริงว่าทุกวันนี้รถพรีเมียมที่หลายคนยินดีจ่ายเงินซื้อนั้น ราคาตอนคิดแค่ต้นทุน กับราคาขายหน้าโชว์รูมมันไม่ได้ต่างกันในอัตราส่วนเดียวกับพวกรถญี่ปุ่น แต่มันไม่ใช่บุญที่ได้มาฟรี พวกรถพรีเมียมตั้งสั่งสมบุญมาหลายทศวรรษกว่าที่คนจะยอมรับในความเป็นพรีเมียมได้ Audi ซึ่งแต่ก่อนเป็นแบรนด์ระดับเดียวกับ Toyota/Opel ขยับตัวเองมาอยู่กับ Benz, BMW ได้ต้องอาศัยเวลาสิบกว่าปีกว่าคนจะยอมรับว่าเออพรีเมียมจริง
ความแพงของรถพรีเมียม ส่วนหนึ่งมาจากชื่อชั้นของแบรนด์ ถ้าฮอนด้าเอา HR-V มาทำยังไงก็ได้ให้วิ่งดีเท่า GLA250 คุณคิดว่าฮอนด้าจะขายมันคันละ 2 ล้านกว่าได้มั้ย เบนซ์, BMW ทำได้ แต่ฮอนด้าทำไม่ได้ เพราะทำแล้วผู้บริโภคบอกว่าแบรนด์ Mass ราคานี้ เขารับไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเบนซ์ ราคานี้ถือว่าปกติ คุณอาจจะบอกว่าวัสดุที่ใช้มันต่างกัน แต่แน่ใจไหมว่าส่วนที่ต่างกันนั้นมีมูลค่าหลายแสนบาท? หนังและพลาสติกเกรดดี เพิ่มวัสดุซับเสียงเข้าไป ถึง 200,000 บาทมั้ย หนังชั้นดีหุ้มเบาะกับแผงประตูขนาดไปทำข้างนอกเอง 40,000 ยังเหลือพอ ลายไม้เอาแบบเงาสวยเคาะแล้วไม่ก๊องแก๊ง ทั้งคันไม่ถึง 20,000 นี่ราคาลูกค้าเดินเข้าร้านทำเองนะ ถ้าเป็นราคา B2B ถูกกว่านี้อีก
ดังนั้นถ้าใครบอกว่ารถพรีเมียมแพงเพราะวัสดุ ผมคนนึงล่ะไม่เชื่อ แต่ถ้าบอกว่าแพงเพราะ 1) ชื่อชั้นแบรนด์ทำให้เล่นตัวเรื่องราคาได้ + 2) คุณภาพวัสดุส่วนที่ตามองเห็น ซึ่งดีกว่ารถญี่ปุ่นราคาล้านบาทจริง + 3) เทคโนโลยีในระบบขับเคลื่อน ถ้ามี 2 ใน 3 อย่างนี้ผมจะเชื่อ
ยิ่งเรื่องเทคโนโลยีในระบบขับเคลื่อน มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นจนกว่าเราจะได้สัมผัส ถ้าคุณไดโน่รถยุโรปบ่อยๆจะรู้ว่าในขณะที่รถญี่ปุ่นเกียร์อัตโนมัติยังเสียกำลังผ่านเกียร์กัน 18-25% เกียร์อัตโนมัติของรถยุโรปเช่น 8 สปีดของ BMW กับ 7 สปีดของเบนซ์นั้นเสียกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนน้อยมาก คุณเห็นม้า BMW มี 184 ตัวในโบรชัวร์แต่พอเอามาวัดม้าที่ดุมล้อคุณได้ 180 ตัว เบนซ์ก็เช่นกัน ม้าลงพื้นเยอะ แต่วิ่งไม่ดีเท่า BMW เพราะความตั้งใจจะเซ็ตให้ตอบสนองเป็นผู้ดีกว่า พวก C,E,S-Class เป็นอย่างนั้น แต่ A, CLA จะนิสัยมุทะลุคล้าย BMW เพราะเขาตั้งใจทำให้รถมันวัยรุ่นขึ้น
หรือเรื่องเทคโนโลยีเครื่องยนต์..คุณลองคิดดูดิ๊ว่าเพราะเหตุอะไร Pulsar Turbo พื้นที่หน้าตัดรถเท่า Golf GTi, ล้อและยางเล็กกว่า,เครื่องความจุเล็กกว่า, ความลู่ลมต่างกันไม่มาก ถึงกินน้ำมันแทบไม่ต่างจาก Golf GTi แม้กระทั่งเวลาวิ่งทางไกลนิ่งๆ 110,120kmh? หรือเพราะอะไร BMW ขับหลังหนักตันห้าเครื่อง 2.0 เทอร์โบขับใช้งานจริงกินน้ำมันน้อยกว่า Sylphy Turbo ทั้งที่ทุกอย่างควรจะเสียเปรียบหมดเมื่อวัดเรื่องความประหยัด
นั่นล่ะครับคือการลงทุนก้อนมหาศาลที่ BMW ทำไปก่อนหน้านี้ และเขาต้องมาเอาคืนด้วยการบวกไปที่ราคาของรถ ..ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ผิด มันคือโลกธุรกิจที่ต้องดิ้นเพื่อรอด
-
ถ้าให้ฟรี เลือกคันไหนครับ
BMW สเป็คต่ำ หรือ HD สเป็คสูง.....
ของพวกนี้มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลกแหละครับ บางทีคนเราก้อไม่ได้ซื้อที่ตัวสินค้า แต่เราเลือกซื้อ value ที่ถูก added เข้าไปมากกว่าครับ
บางคนก้อเลือกที่คุ้มมากกว่า ซึ่งต่างคน ต่างสถานะ ต่างความคิดนะครับ จขกท.
-
ผมว่าตัวรถอะต่างไม่มากมานานแล้วแถมอันนี้ขึ้นอยู่กับคนชอบด้วยแต่ล่ะคัน อย่างผมรถที่ใช้ F10 525d กับ Accord G9 HV ผมเลือก accord ก่อนแน่นอนคับ ขับสนุกกว่ามุดมันกว่าและขับสบายกว่าด้วย ดีกว่าขับดีเซล ที่ดึงหลอกๆ รถครึ่งคันเร่งอะคับ เหยียบเต็มแล้วเหี่ยวมากนี่ขนาดเกียร์เทพนะพวงมาลัยแน่นจริงแต่มุดไม่มันคับ ผมเฉยๆมาก คันนี้ผิดเองคับที่ไม่ซื้อ 528i ไม่งั้นคงไม่อยู่ในสภาพนี้ทุกวันนี้เบื่อเลยคับ แต่ถ้าเรื่องแบรนด์แน่นอนคับ BMW, MB มันก้เหมือน LV, chanel ส่วน Honda, toyota ก้เหมือนพวก zara, h&m
ที่ต้องผลักดันตัวเองตลอดถึงขายได้และต้องขายเยอะคับ
-
มันเป็น ค่าทางความรู้สึก
-
+
+
ถ้าคิดในแง่นี้ ผมว่าไปซื้อกระบะมาแต่งจะคุ้มที่สุดครับ
คุ้มกว่าพวก Civic 1.5 อีก
ของแบบนี้มันอยู่ที่ใครชอบแบบไหนก็ใช้แบบนั้น
ผมมีความสุขเวลานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยุโรปมากกว่า
ผมก็ซื้อแบบนั้น ให้ผมไปนั่งอยู่ใน MG GS รถจีนหน้าตาประหลาด
ต่อให้มันมี 400 แรงม้า ผมก็ไม่เอาครับ
...มันก็แค่นี้เอง
-
ส่่วนตัวคิดว่ายังห่าง ไม่ต้องดูตัวเลขหรือลองขับก็ได้ มุดก้มไปดูช่วงล่างดูครับ ปีกนกสองชั้นอลูมิเนียมเทลลิ่งอาร์มอย่างกว้างใหญ่ กับชั้นเดียวก้านเล็กๆ ลูกหมากบูทจุดยึดมากกว่าเป็นเท่าตัว ทั้งหน้าหลัง มันเป็น fact ชัดเจนหรือจะลองเปิดปิดประตูดูก็ชัดเจนครับ ยุโรปกับญี่ปุ่น
แฮนด์ลิ่ง ฟิลลิ่ง ขับจริงก็ยังห่าง อย่างแคมรี่ใหม่หรือแอคคอร์ดที่ว่าเซทช่วงล่างมาดีแล้วหนึบแน่นกว่าตัวก่อนมากๆ ฐานล้อยาวกว้างกว่า serie3 มาก แต่ขับเทียบยังไงก็แพ้ในด้านความรู้สึกครับ เหยียบ 140 ขึ้นไปดูก็รู้ครับ เสียงลมเสียงเครื่องพวงมาลัยการตอบสนองคันเร่ง เบรค เข้าโค้ง ยิ่งขับ ตจว.ยาวๆจะรับรู้ได้ชัดเจน
ถ้าบอกเหนือกว่าผมไม่เชื่อ วิศวกร r&d ยุโรปคงตกงานหมดแล้วเพราะต้นทุนทางความคิดและวัสดุสุงกว่าแต่ทำได้น้อยกว่า แต่ถ้ารู้สึกพอกันหรือชอบกว่าอันนี้ไม่แน่ครับเพราะจริตแต่ละคนไม่เหมือนกัน
EX. เพื่อนผมขับครุซดีเซล ชอบคุยให้ฟังเรื่อยเลยว่า รถเค้ามันคือ 320dดีๆนี่เองไม่เห็นต้องไปซื้อแพงเลย แต่งแล้วแรงกว่าเจ๋งกว่า 320d นะ เซทกล่องโมเครื่องทำช่วงล่างหมดไปหลายแสน ผมก็จัดเลยขอลอง ขยี้พรมสักที กระแทกเบรคซักที อืม.....เออ มันแรงนะแต่แบบปลิวๆไม่หนักแน่นเหมือนเท่าไร ช่วงล่างหนึบจริงแต่กระเด้งกระดอนทรมานตับมากกว่า เบรคสั้นจริงแต่มันเป๋ๆยังไงไม่รู้ มันยังไม่ได้อะครับแต่ไม่อยากบอกมัน 5555 กลัวเสียใจ เพราะมันอยากได้ bm แต่งบไม่ถึงเลยแต่งเลียนแบบทั้งไฟหน้าไฟท้าย และคิดปลอบใจตัวเองแบบนี้
-
สเป็ค อาจจะ ใกล้เคียง
แต่
สมรรถนะ ยังห่าง ครับ
ถึงส่วนตัวผมจะรู้สึกว่า Benz สมัยนี้ มัน ขับไม่ดีเท่าไหร่ ก็ตาม
แต่มันก็ยังห่างกับรถบ้านๆอยู่ดีครับ
-
อีกฟังก์ชั้นหนึ่งที่คิดว่ารถญี่ปุ่น ยังไม่มี Dynamic Driving ที่สามารถ ปรับ eco -> comford -> sport -> sport plus
แล้วก็ software ของ bmw เวลาเลื่อนปุ่ม เมนู graphic ที่แสดงบนหน้าจอ smoot และไวกว่า ของรถญี่ปุ่น
-
มันเป็น ค่าทางความรู้สึก
+1
มันไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้ครับ
-
ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่บริษัทรถมีเป้าหมายคือกำไรมาก่อนนี่ครับ
แล้วคนส่วนใหญ่ มองเรื่องแบรนด์มาก่อน0-100
แบรนด์ที่ภาพลักษณ์ดีกว่า ก็กดราคาลงมาจะเท่าcamry accord อยู่แล้ว
คนซื้อเค้ามองว่าคุ้มก็ซื้อ ทั้งๆที่ การขับขี่คุณแพนก็เคยบอกแล้วว่าสู้Focus 2.0 Gdiไม่ได้ ราคาถูกกว่า2 3เท่า
มันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
อยากแรงต้องslyfhy turbo
อยากเน้นขับขี่ต้องFocus2.0Gdi
อยากโก้ก็ต้องGla200 / X1 18d
-
สเปกในกระดาษใกล้เคียงแต่ความจริงมันห่างกันมากเลยครับ เทียบกันไม่ได้ วิศวกรยานยนต์มันมีมากกว่าที่เขียนลงกระดาษเยอะแยะ ถ้าดูแค่นั้นซื้อกระบะขับ 4 ตัวท๊อป พวก Ranger WT มาจับจูนดีๆ ก็เหนือกว่า Benz, BMW อีกสิ ซึ่งมันไม่ใช่ครับ
-
รถมันก็มีการพัฒนาขึ้นมาตลอดนะครับ ถ้าเอาคำถามนี้ไปตั้งถามใน กลุ่ม BMW ซึ่งหลายๆคนอาจมีทัศนคติ ที่แตกต่างกันออกไป
บางคนอาจไม่ยอมรับในจุดนี้ บางคนอาจรู้สึกเฉยๆ บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องดี ที่ได้รถที่ดีในราคาที่พอคนทั่วๆไปหาซื้อได้
แต่ก็อย่างว่าละครับ MG GS, Civic หรือรุ่นอื่นๆที่จะตามมา ในไทย คนทั่วไป ยังไม่มีใครได้ลองขับ มาเปรียบเทียบกัน อันไหนคือจุดเด่น อันไหนคือข้อด้อย
หลายคนอาจจะรอรีวิวจากทีมงาน เป็นตัวตัดสินว่ามันดี มันสุดยอด แต่มันก็ไม่ใช่เสมอไป สิ่งที่ถูกใจทีมงาน อาจไม่ถูกใจใครหลายคนก็ได้ครับ
แค่จะสรุปเอาสเปคในหน้ากระดาษมาเป็นตัวตัดสิน ดูแล้วมันสูสี หรือเหนือกว่า รถมันออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ใช่ทุกคนจะพอใจหรือชอบมัน
อย่างรถยุโรปหลายๆรุ่น ที่ขึ้นชื่อด้านสมรรถนะ ได้ลองขับแล้ว ซื้อมาใช้งาน บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ
-
กระทู้เอาใจพวกรากหญ้าสิน่ะ
พยายามเข้าไป พยามคิดให้เหมือนกัน จะได้สบายใจ
นั่งนโม เป็นตุเป็นตะ
-
พวกออฟชั่นเนี่ยต้องเข้าใจก่อนนะครับว่ายุโรปเค้าไม่ใส่มาให้เค้าก็ขายได้
รถยุ่นใส่มาจัดเต็มแต่ดูราคาก่อนครับว่าเมื่อก่อนกับปัจจุบันมันต่างกันขนาดไหน กลับกันรถยุโรปกลับถูกลงด้วยซ้ำ ผมอยากให้ลองมองตรงนี้ก่อน
ส่วนสเปคในกระดาษจริงๆมันวัดไม่ได้เสมอไป ต้องลองวิ่งจริงตัวแปรมันมีหลายอย่างครับ
ส่วนสมถรรนะยังไงยุโรปก็กินครับ ส่วนตัวผมเลยนะพวก BLIS กล้อง360 ป้องกันการชน เบรกเองไรเนี่ย ไม่สนใจหรอกครับ
ขอรถขับมั่นเข้าโค้งไม่กลัว เวลาหักหลบกระทันหันแล้วไม่คว่ำ พวงมาลัยคมสั่งได้ เบรกเอาอยู่ แค่นี้ก็ปลอดภัยกว่ารถยุ่นที่มีระบบโน่นนี่นั่นโขละครับ คหสต.
-
ถ้าคิดอีกมุม ทำไม honda ไม่ขายราคาเท่า bmw นะ
ในเมื่อแรงเท่าๆกัน
ลองถามยามที่โบกรถตาม รร. จะรู้ครับว่าอะไรต่าง
-
ถ้าเอาราคามาเปรียบเทียบด้วย เจ้าของกระทู้พูดได้ถูกต้อง
แต่ถ้ามองตัวเลยเทียบแรงม้ามัน ไม่ได้ผิด แตไม่ถูก สิ่งหนึ่งที่ HD TOYOTA สู้ bmw benz ไม่เคยจะได้เลยคือ เกียร์
-
ผมว่ามันเพราะเรื่องการแข่งขันกันล้วนๆ ผลดีก็ตกกับผู้บริโภคไปนั่นเอง
-
1.ราคารถยุโรป ในประเทศไทย มันแพงเว่อร์ครับ
civic ขายในอเมริกา คันละ 6.5 แสน ขายในไทย 9แสน ราคาซิวิคไทยแพงกว่าที่อเมริกา 40%
BMW 3series ขายในอเมริกาคันละ 1.1ล้าน ขายในไทยคันละ 2.8ล้าน ราคาบีเอมไทยแพงกว่าที่อเมริกา 250 %
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณอยู่เมกา บีเอ็มมันแพงกว่าซีวิค แค่5แสน แต่ในไทยบีเอมแพงกว่าซีวิคเกือบ2ล้าน
ถ้าผมบอกว่าการตั้งราคารถยุโรปของบ้านเรามันเพี้ยน มันมีปัญหา คุณจะเชื่อไหม แต่เขาจะลดทำไมล่ะ ในเมื่อตั้งราคาแบบนี้ ก็มีคนซื้อ
จขกท พูดถูกครับ บีเอม มันไม่ได้ดีกว่าซีวิค3เท่า อย่างที่ราคามันเป็น ก็เพราะในความเป็นจริงในตลาดโลก บีเอมมันแพงกว่าซีวิคแค่60-70% ไม่ได้ต่างกัน3เท่าแบบบ้านเรา
2.เทคโลโนยี ช่วงล่างมันถึงทางตันแล้ว
ทำไมผมถึงกล้าพูดแบบนี้ ก็คุณลองไปขับ E90 แล้วมาขับ F30 คุณจะพบว่า ช่วงล่างมันไม่ได้พัฒนาไปไหนแล้ว มันมาสุดทางตั้งแต่10ปีก่อนแล้ว
ทุกวันนี้ อาศัยกลยุทธ์การตลาด เช่นรุ่นนี้ปรับให้นุ่มขึ้น รุ่นหน้าปรับให้แข็งขึ้น มันจะเล่นมุขนี้วนไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกว่ารุ่นใหม่ ขับแล้วต่างจากรุ่นเก่า
ซึ่งจริงๆแล้วที่มันต่างคือ มันต่างที่การเซ็ทอัพ ไม่ได้ต่างที่เทคโนโลยีอะไรเลย
ในขณะที่รถญี่ปุ่นมันยังมาไม่สุดทาง มันถึงก้าวกระโดด ลองไปขับแคมรี่ avc30 แล้วมาขับตัวปัจจุบัน avc50 จะพบว่ามันต่างกันคนละโลกเลย ตัวปัจจุบันมันขับดีกว่ามากจริงๆ
ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าของการซื้อรถในประเทศไทย ถ้ารถยุโรปยังตั้งราคาเพี้ยนแบบนี้ ก็ต้องบอกว่า ซื้อรถญี่ปุ่นคุ้มกว่าเยอะครับ
รถไม่เหมือนนาฬิกา ที่คุณสามารถบินไปซื้อ submarine ที่ยุโรปในราคา 7500 ดอลล่าร์ เท่าๆกันทุกที่ได้
แต่คุณอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องเจอราคาของรถยุโรป ที่แพงแบบไม่มีสาเหตุแบบนี้
ความคุ้มค่า ไม่มีแน่นอน ในการซื้อรถยุโรปที่ประเทศไทย
แต่เราซื้อกันด้วยความพอใจล้วนๆ
เวลาเราอ่านรีวิวจากเมืองนอก ส่วนมากจะเป็นสื่ออังกฤษ กับ อเมริกัน
เขาให้คะแนนโดยพิจารณาจากราคาด้วย
ถ้าเอาราคารถเมืองไทย ไปให้เขารีวิว
ผมเชื่อว่าเขาคงช็อก ราคารถยุโรป 1 คัน แพงกว่า หรือเท่ากับบ้าน1หลัง
-
x1ใหม่ กับ mg gs ยังไม่เคยเห็นคันจริงเลยตอบไม่ถูก แต่ถ้า civic กับ 3series ผมว่ารถมันคนละเกรดนะครับ เทียบกันไม่ได้ คนซื้อ civic กับคนซื้อ 3series ก็น่าจะคนละกลุ่มด้วย ผมว่าเวลาเขาซื้อคงไม่เอารถ 2 คันนี้มาเทียบสมรรถนะกันก่อนตัดสินใจซื้อหรอกครับ
-
ตลาดคนละกลุ่มกันครับ.....คนใช้รถพรีเมี่ยมเค้าไม่มองรถยนต์บ้านๆทั่วๆไปอยู่แล้วต่อให้รถบ้านๆแรงกว่ารถพรีเมี่ยมรุ่นล่างสุดก็ตาม :-X ถ้าว่ากันถึงเรื่องอัตราเร่งพุ่งตรงๆอย่างเดียวจะบอกว่ารถญี่ปุ่นบ้านๆรุ่นแพงที่สุดไล่ตามรถยุโรปรุ่นถูกสุดได้ทันก็ถูกครับ แต่ถ้ามีเรื่องของความนิ่งที่ความเร็วสูง ความสมดุลย์ในการเข้าโค้ง มีการยกเรื่องการขับขี่แบบรีดเร้นสมรรถนะแบบเอาให้ถึงขีดสุดเต็มที่แบบแข่งในสนามรถญี่ปุ่นยังห่างชั้นจากรถยุโรปอยู่ดีครับ
ความแตกต่างของรถยุโรประดับพรีเมี่ยมกับรถญี่ปุ่นระดับทั่วๆไปมันมีมากมายและความแตกต่างพวกนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับสมรรถนะที่รถจะทำได้ด้วย ยกตัวอย่างเรื่องของช่วงล่าง ที่รถยุโรปนิ่งกว่าและเข้าโค้งได้แรงกว่าทั้งทางตรงและในโค้งส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนใช้เหล็กขึ้นตัวถึง คานกันกระแทก จุดยึดต่างๆด้วยเหล็กเกรดที่มีความเหนียวสูงกว่า ยามที่เข้าโค้งเร็วๆแรงๆการให้ตัวบิดตัวของตัวถังก็จะน้อยกว่าส่งผลให้มีความสามารถในการรักษาเสถียรด้านมุมล้อดีกว่า ถ้ามามองเรื่องของอัตราเร่งที่ว่ากระทบไหล่รถยุโรปได้สบายๆ อย่าลืมว่ารถยุโรปแบกน้ำหนักมากกรถญี่ปุ่นมากกว่าร่วมร้อยกิโลกรัมเป็นส่วนใหญ่และยังมีเรื่องของระบบขับเคลื่อนที่รถยุโรปเป็นระบบขับหลังที่จะมีการสูญเสียกำลังในระบบไปมากกว่าระบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย เสียเปรียบขนาดนี้แล้วยังไม่แพ้รถญี่ปุ่นที่น้ำหนักน้อยกว่ามาก(ส่งผลในเรื่องของเสถียรภาพทางตรงและในโค้ง)อีก ถ้าจะบอกรถญี่ปุ่นบ้านๆดีเทียบเท่ารถยุโรปพรีเมี่ยมแล้วผิดถนัดครับ :-X
ถ้ามามองเรื่องของพัฒนาการเรื่องเทคโนโลยีลองมาคิดดูกันนะว่ารถยุโรปอย่างเบนซ์และBMWมีการพัฒนาระบบเกียร์และเครื่องยนต์ใส่ในรถตัวเองทุกๆครั้งที่ไมเนอร์เชนจ์ ทั้งเพิ่มจำนวนระดับเกียร์และมีการใส่เครื่องยนต์บล็อคใหม่ลงไปแทน ในขณะที่รถญี่ปุ่นไมเนอร์เชนจ์แต่ละทีพูดถึงแต่เรื่องของกันชนหน้าหลังแบบใหม่ไฟตัดหมอกโฉมใหม่ อย่างมากก็ปรับจูนECUแก้ปัญหาที่มีมากในตอนขายช่วงแรกๆ มีแต่เปลือกนอกที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจสำคัญของรถอย่างเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเลย จะบอกพัฒนาการรถญี่ปุ่นสูงกว่าก็ไม่ถูกอีกเช่นกัน ในขณะที่รถยุโรปยังคงมุ่งมั่นกับการพัฒนาระบบเกียร์อัตโนมัติให้มีการสูญเสียกำลังในระบบน้อยลงให้เกล้เคียงเกียร์ธรรมดามากขึ้น แต่รถญี่ปุ่นเล่นง่ายๆยกCVTมาลงเลยเพราะมีดีเรื่องการถ่ายกำลังและต้นทุนการผลิตถูก ความทนทานช่างหัวมันไปพึ่งเรื่องของวัสดุที่ทนทานขึ้นแทน ในระยะยาวต่อจากนี้รถญี่ปุ่นเองนั่นแหละที่จะพัฒนาช้ากว่ารถยุโรปเพราะมัวแต่ตีกรอบล้อมรอบตัวเองให้หมกมุ่นแต่CVT..... :-X
-
รถบ้านๆเริ่มแรง หวังว่าบีเอ็มบ้านเราคงเลิกตอนแรงม้า และ/หรือ บริการปลดล๊อกฟรีนะครับ ไม่งั้นคงต้องไปจ่ายตังปลดแรงม้าหนีบ้างละ
-
ไล่กันไม่ทันหรอกครับ ไม่งั้น toyota honda nissan คงยุติรถ premium ของตัวเองแล้วมาเน้นยี่ห้อหลักของตัวเองดีกว่า แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ตัวอย่างเช่น ลูกสูบ ก้าน ข้อเหวี่ยง พวกนี้สามารถทำให้รถเพิ่มแรงม้าได้ 10 - 30% แต่ในราคาที่แตกกันไปตามวัสดุที่เลือกใช้
-
1.ราคารถยุโรป ในประเทศไทย มันแพงเว่อร์ครับ
civic ขายในอเมริกา คันละ 6.5 แสน ขายในไทย 9แสน ราคาซิวิคไทยแพงกว่าที่อเมริกา 40%
BMW 3series ขายในอเมริกาคันละ 1.1ล้าน ขายในไทยคันละ 2.8ล้าน ราคาบีเอมไทยแพงกว่าที่อเมริกา 250 %
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณอยู่เมกา บีเอ็มมันแพงกว่าซีวิค แค่5แสน แต่ในไทยบีเอมแพงกว่าซีวิคเกือบ2ล้าน
ถ้าผมบอกว่าการตั้งราคารถยุโรปของบ้านเรามันเพี้ยน มันมีปัญหา คุณจะเชื่อไหม แต่เขาจะลดทำไมล่ะ ในเมื่อตั้งราคาแบบนี้ ก็มีคนซื้อ
จขกท พูดถูกครับ บีเอม มันไม่ได้ดีกว่าซีวิค3เท่า อย่างที่ราคามันเป็น ก็เพราะในความเป็นจริงในตลาดโลก บีเอมมันแพงกว่าซีวิคแค่60-70% ไม่ได้ต่างกัน3เท่าแบบบ้านเรา
2.เทคโลโนยี ช่วงล่างมันถึงทางตันแล้ว
ทำไมผมถึงกล้าพูดแบบนี้ ก็คุณลองไปขับ E90 แล้วมาขับ F30 คุณจะพบว่า ช่วงล่างมันไม่ได้พัฒนาไปไหนแล้ว มันมาสุดทางตั้งแต่10ปีก่อนแล้ว
ทุกวันนี้ อาศัยกลยุทธ์การตลาด เช่นรุ่นนี้ปรับให้นุ่มขึ้น รุ่นหน้าปรับให้แข็งขึ้น มันจะเล่นมุขนี้วนไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกว่ารุ่นใหม่ ขับแล้วต่างจากรุ่นเก่า
ซึ่งจริงๆแล้วที่มันต่างคือ มันต่างที่การเซ็ทอัพ ไม่ได้ต่างที่เทคโนโลยีอะไรเลย
ในขณะที่รถญี่ปุ่นมันยังมาไม่สุดทาง มันถึงก้าวกระโดด ลองไปขับแคมรี่ avc30 แล้วมาขับตัวปัจจุบัน avc50 จะพบว่ามันต่างกันคนละโลกเลย ตัวปัจจุบันมันขับดีกว่ามากจริงๆ
ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าของการซื้อรถในประเทศไทย ถ้ารถยุโรปยังตั้งราคาเพี้ยนแบบนี้ ก็ต้องบอกว่า ซื้อรถญี่ปุ่นคุ้มกว่าเยอะครับ
รถไม่เหมือนนาฬิกา ที่คุณสามารถบินไปซื้อ submarine ที่ยุโรปในราคา 7500 ดอลล่าร์ เท่าๆกันทุกที่ได้
แต่คุณอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องเจอราคาของรถยุโรป ที่แพงแบบไม่มีสาเหตุแบบนี้
ความคุ้มค่า ไม่มีแน่นอน ในการซื้อรถยุโรปที่ประเทศไทย
แต่เราซื้อกันด้วยความพอใจล้วนๆ
เวลาเราอ่านรีวิวจากเมืองนอก ส่วนมากจะเป็นสื่ออังกฤษ กับ อเมริกัน
เขาให้คะแนนโดยพิจารณาจากราคาด้วย
ถ้าเอาราคารถเมืองไทย ไปให้เขารีวิว
ผมเชื่อว่าเขาคงช็อก ราคารถยุโรป 1 คัน แพงกว่า หรือเท่ากับบ้าน1หลัง
มาขุดกระทู้อ่านๆย้อนหลังเพราะกำลังหาข้อมูลรถยุโรปรุ่นนึงอยู่ มาเจอคอมเม้นท์นี้ โดนใจมากๆ ครับ
-
ถ้าไล่ทันจริงๆคงไม่มีแบร์ดพรีเมี่ยมอย่าง Lexus ของ TOYOTA เกิดขึ้นหรอกครับ
-
1.ราคารถยุโรป ในประเทศไทย มันแพงเว่อร์ครับ
civic ขายในอเมริกา คันละ 6.5 แสน ขายในไทย 9แสน ราคาซิวิคไทยแพงกว่าที่อเมริกา 40%
BMW 3series ขายในอเมริกาคันละ 1.1ล้าน ขายในไทยคันละ 2.8ล้าน ราคาบีเอมไทยแพงกว่าที่อเมริกา 250 %
พูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณอยู่เมกา บีเอ็มมันแพงกว่าซีวิค แค่5แสน แต่ในไทยบีเอมแพงกว่าซีวิคเกือบ2ล้าน
ถ้าผมบอกว่าการตั้งราคารถยุโรปของบ้านเรามันเพี้ยน มันมีปัญหา คุณจะเชื่อไหม แต่เขาจะลดทำไมล่ะ ในเมื่อตั้งราคาแบบนี้ ก็มีคนซื้อ
จขกท พูดถูกครับ บีเอม มันไม่ได้ดีกว่าซีวิค3เท่า อย่างที่ราคามันเป็น ก็เพราะในความเป็นจริงในตลาดโลก บีเอมมันแพงกว่าซีวิคแค่60-70% ไม่ได้ต่างกัน3เท่าแบบบ้านเรา
2.เทคโลโนยี ช่วงล่างมันถึงทางตันแล้ว
ทำไมผมถึงกล้าพูดแบบนี้ ก็คุณลองไปขับ E90 แล้วมาขับ F30 คุณจะพบว่า ช่วงล่างมันไม่ได้พัฒนาไปไหนแล้ว มันมาสุดทางตั้งแต่10ปีก่อนแล้ว
ทุกวันนี้ อาศัยกลยุทธ์การตลาด เช่นรุ่นนี้ปรับให้นุ่มขึ้น รุ่นหน้าปรับให้แข็งขึ้น มันจะเล่นมุขนี้วนไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกว่ารุ่นใหม่ ขับแล้วต่างจากรุ่นเก่า
ซึ่งจริงๆแล้วที่มันต่างคือ มันต่างที่การเซ็ทอัพ ไม่ได้ต่างที่เทคโนโลยีอะไรเลย
ในขณะที่รถญี่ปุ่นมันยังมาไม่สุดทาง มันถึงก้าวกระโดด ลองไปขับแคมรี่ avc30 แล้วมาขับตัวปัจจุบัน avc50 จะพบว่ามันต่างกันคนละโลกเลย ตัวปัจจุบันมันขับดีกว่ามากจริงๆ
ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าของการซื้อรถในประเทศไทย ถ้ารถยุโรปยังตั้งราคาเพี้ยนแบบนี้ ก็ต้องบอกว่า ซื้อรถญี่ปุ่นคุ้มกว่าเยอะครับ
รถไม่เหมือนนาฬิกา ที่คุณสามารถบินไปซื้อ submarine ที่ยุโรปในราคา 7500 ดอลล่าร์ เท่าๆกันทุกที่ได้
แต่คุณอยู่ในประเทศไทย ก็ต้องเจอราคาของรถยุโรป ที่แพงแบบไม่มีสาเหตุแบบนี้
ความคุ้มค่า ไม่มีแน่นอน ในการซื้อรถยุโรปที่ประเทศไทย
แต่เราซื้อกันด้วยความพอใจล้วนๆ
เวลาเราอ่านรีวิวจากเมืองนอก ส่วนมากจะเป็นสื่ออังกฤษ กับ อเมริกัน
เขาให้คะแนนโดยพิจารณาจากราคาด้วย
ถ้าเอาราคารถเมืองไทย ไปให้เขารีวิว
ผมเชื่อว่าเขาคงช็อก ราคารถยุโรป 1 คัน แพงกว่า หรือเท่ากับบ้าน1หลัง
มาขุดกระทู้อ่านๆย้อนหลังเพราะกำลังหาข้อมูลรถยุโรปรุ่นนึงอยู่ มาเจอคอมเม้นท์นี้ โดนใจมากๆ ครับ
คิดตรงกับผมเลย คนไทยส่วนใหญ่อวยค่ายยุโรปก็เพราะราคาที่พวกเราต้องจ่ายเหมือนเป็นของเทพ
ถ้าทำใจได้ มีตังค์ คงไม่มีปัญหา