Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: e:smart Hybrid ที่ กันยายน 25, 2017, 18:57:55
-
อยากทราบความเห็นครับ ว่า
สมมุติว่าเราเป็นคนธรรมดาๆ ทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป
หรือเป็นคนที่เกษียณจากการทำงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีภาพลักษณ์ในสังคม
ขับรถในเมืองตลอด ออกต่างจังหวัดก็แค่ แถวๆ หัวหิน ระยอง สระบุรี ไกลๆ ก็นั่งเครื่องบินไป
ระหว่าง การที่เราใช้รถราคา สัก 1 ล้าน ขึ้นไป เช่น Altis 1.8 ตัว E sport หรือ V หรือพวก MU-X ตัวล่าง
แต่ต้องใช้รถคันนั้นไม่ต่ำกว่า 10 ปี คือ จะขาย ในช่วง 10-12 ปี ไม่เกิน 15 ปี โดยเข้าศูนย์ช่วงแรก
พอครบรับประกันก็ซ่อมข้างนอก ราคาขาย จะเหลือประมาณ 10-20% ของราคารถ คือ 1-2 แสน
กับเราใช้พวกรถในกลุ่ม 5-6 แสนไม่เกินนี้ เช่น Yaris Attract MZ2 sedan โดยใช้ประมาณ 5 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปีก็ขาย
เข้าศูนย์ตลอดจนขายไป ราคาขายจะเหลือประมาณ 30-50% ของราคารถ คือ 1.5-3 แสน ไม่เกินนี้
แล้วก็ไปซื้อใหม่ รถเกรดเท่าเดิม sedan ราคาเท่าเดิม
เท่ากับว่าถ้า 10 ปีเท่ากัน เปลี่ยนรถไป 2 คันครับ คือ ขายคันเดิม ไปถอยคันใหม่ ก็เอาเงินตรงคันเดิมไปต่อยอดคันใหม่
แบบไหนดีกว่ากันครับ
เราไม่เอาเรื่องการขับขี่ รถใหญ่มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่านะครับ เอาแค่ว่า ใช้งานได้
รถดี เงียบ นุ่มสบายเหมือนกัน (รถแพงอาจดีกว่าหน่อย)
ผมคำนวนค่าใช้งาน (หรือค่าเสื่อม) ประมาณ 10% ต่อปีครับ ถ้าต่ำกว่านั้น ถือว่ากำไรใช้งาน
-
มันอยู่ที่คุณ ว่าจะเบื่อกับการซ่อมรถหรือเปล่า รถอายุยิ่งเยอะมันก็ต้องซ่อมบ่อย
ถ้าไม่เบื่อซ่อมก็ใช้รถนานได้
ถ้าเบื่อจะซ่อมก็ต้องเปลี่ยนรถบ่อย
กับหา size ที่อยากได้ก่อน มันหลากหลายเกินไป มีตั้้งแต่รถใหญ่ ถึงรถเล็ก
รถทุกคันมันก็ใช้ 10 ปีได้หมด
-
ผมถามต่อยอดได้ไหมครับ
ว่าจะตั้งกระทู้พอดี
จขกท.ถามถึงรถใหม่
แล้วถ้าเป็นมือสองละครับ
คือระหว่างซื้อรถใหม่ กับ รถมือสองปีใหม่
เช่น สมมุติ มาสด้า 3 (หรือรุ่นอื่นที่เล็กหรือใหญ่กว่าก็ได้)
รถใหม่ 1000000 ซื้อและใช้ยาวไป 10 ปีจนขายซื้อใหม่
กับมือสองอายุไม่เกิน 1-2ปี ราคา +- 800000
แต่ขายทุก 2-3 ปี
รวม 10 ปี จะเปลี่ย 3-4 ครั้ง
ส่วนต่างก็ต่อยอดจากรถเก่าไป
แบบนี้จะน่าสนใจกว่าซื้อมือหนึ่ง แล้วใช้ยาว 10 ปีไหมครับ
ส่วนต่างที่ต้องเพิ่มซื้อใหม่ ต่างกันไม่น่าเกิน 200000
-
ถ้าไม่เน้นว่าต้องป้ายแดงเท่านั้น ผมก็ซื้อมือ 2 พวก Fortuner ใช้ดีกว่า ในราคา 5-7 แสน หรือเก๋งอย่างคัมรี่ 3-4 แสนบาท
ถ้าเน้นว่าต้องป้ายแดง เท่านั้น คงต้องเลือกไปที่ Yaris Attract MZ2 sedan โดยใช้ประมาณ 7-10 ปี เพราะงบประมาณเราไม่เยอะจะมาซื้อรถแพงกว่านี้มากก็ไม่ไ่ด้ มันถูกจำกัดที่ตัวเลือกด้านเงินไปเรียบร้อย
-
ถ้าเทียบ B กับ C Segment ผมว่าเล่น C Segment ใช้ยาวๆดีกว่าครับ
-
ผมเลือกรถถูกใช้ยาวเกิน 10 ปีครับ ไม่ก้มือสองรถใหญ่ใช้ยาว
-
รถพื้นฐาน B segment แล้วกันครับ
อีก 5-7 ปี เทคโนโลยีหรือขนาดรถอาจกระเถิบเข้าใกล้ C segmentตอนนี้ก็ได้
แต่แน่นอน ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา ผมเลือก C ตอนนี้เลย 555
-
ถ้าเอาแค่ใช้งานได้ ยังไงก็ดีเหมือนกัน ก็เอารถเล็กใช้ 12 ปี หมดประกันซ่อมข้างนอกสิครับ เอาจริงๆซื้อรถ 3 ปี หมดประกันมาแล้วเลยดีกว่า ให้คนซื้อรถใหม่เขารับค่าเสื่อมราคาไป ผมว่าทางนี้ optimal สุด
-
ผมเลือกซื้อแพงใช้ 10 ปีครับ..
-
ถ้าตัดเรื่องความปลอดภัยทิ้งไป รถใหญ่นั่งสบายกว่า ทิ้งไป ใช้รถธรรมดา ๆ พอ แบบนี้ต้องเลือกรถราคาถูกและเปลี่ยนรถบ่อย ๆ
คหสต. ใช้รถเล็ก ถ้าลองเกิดอุบัติเหตุสักครั้ง ความคิดคุณจะเปลี่ยนทันที
-
ผมเลือก6แสนใช้5-7ปีเปลี่ยนครับ แต่ขอเป็นเครื่อง1500ซีซี ใช้ง่ายจอดสบาย ไปได้ทั่วประเทศ (ไปมาหมดแล้วครับไกลแค่ไหน ชันแค่ไหน สบม.)
ข้อดีอีกอย่างของรถเล็ก คือขับทางไกล 80-90-100 ไม่ง่วงเหมือนขับรถใหญ่
-
ซื้อพอที่มีกำลังส่งครับ ส่วนจะใช้ยาวกี่ปีนั้นไม่เคยคิดใช้ไปจนกว่าจะมีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนครับ
-
มันอยู่ที่คุณ ว่าจะเบื่อกับการซ่อมรถหรือเปล่า รถอายุยิ่งเยอะมันก็ต้องซ่อมบ่อย
ถ้าไม่เบื่อซ่อมก็ใช้รถนานได้
ถ้าเบื่อจะซ่อมก็ต้องเปลี่ยนรถบ่อย
กับหา size ที่อยากได้ก่อน มันหลากหลายเกินไป มีตั้้งแต่รถใหญ่ ถึงรถเล็ก
รถทุกคันมันก็ใช้ 10 ปีได้หมด
ส่วนตัวผมชอบรถขนาดประมาณนี้นะคับ ไม่ชอบใหญ่ๆ
พอใจใน size นี้ คือ 4-4.5 เมตร มีท้ายเก็บของพอควร (sedan) หรือเบาะพับได้ (Hatchback)
รถใหญ่กว่านี้สำหรับ ผม คือ เกินความต้องการไปมากครับ
ที่ผมเทียบ altis กับ MU-X เพราะมันเป็นรถทั่วๆ ไปที่ใครๆ ก็ซื้อได้
ถ้ารวย ผมคงเอาเลือก พวก 118I หรือ GLA หรือ CT200H ครับ
ถ้าไม่เน้นว่าต้องป้ายแดงเท่านั้น ผมก็ซื้อมือ 2 พวก Fortuner ใช้ดีกว่า ในราคา 5-7 แสน หรือเก๋งอย่างคัมรี่ 3-4 แสนบาท
ถ้าเน้นว่าต้องป้ายแดง เท่านั้น คงต้องเลือกไปที่ Yaris Attract MZ2 sedan โดยใช้ประมาณ 7-10 ปี เพราะงบประมาณเราไม่เยอะจะมาซื้อรถแพงกว่านี้มากก็ไม่ไ่ด้ มันถูกจำกัดที่ตัวเลือกด้านเงินไปเรียบร้อย
ผมไม่ค่อยชอบรถเก่าครับ เคยใช้ สามห่วง มาเมื่อนานมาแล้ว ไม่ไหวแล้วครับ...ขี้เกียจวิ่งไปอู่เอารถไปซ่อม
ถ้าซื้อคงเอารถ ใหม่ หรือไม่เก่ามาก พวกไม่เกิน 3 ปี
ผมเคยไปดู Toyota sure รถแพงมาก พอคำนวนมา ซื้อรถใหม่ แบบ Yaris คุ้มกว่า ราคาถูกกว่าเต็มที่ก็ 4 แสน ไม่คุ้มครับ
-
ถ้าเอาแค่ใช้งานได้ ยังไงก็ดีเหมือนกัน ก็เอารถเล็กใช้ 12 ปี หมดประกันซ่อมข้างนอกสิครับ เอาจริงๆซื้อรถ 3 ปี หมดประกันมาแล้วเลยดีกว่า ให้คนซื้อรถใหม่เขารับค่าเสื่อมราคาไป ผมว่าทางนี้ optimal สุด
ครับ ผมเคยหาแต่ ผมเน้นรถ certify มันแพงมาก ออกรถใหม่ คุ้มกว่าครับ
ผมเคยใช้รถอายุ 10 กว่าปีครับ
ไม่ชอบตรงมันทำประกันชั้น 1 ไม่ได้ครับ
ถ้าตัดเรื่องความปลอดภัยทิ้งไป รถใหญ่นั่งสบายกว่า ทิ้งไป ใช้รถธรรมดา ๆ พอ แบบนี้ต้องเลือกรถราคาถูกและเปลี่ยนรถบ่อย ๆ
คหสต. ใช้รถเล็ก ถ้าลองเกิดอุบัติเหตุสักครั้ง ความคิดคุณจะเปลี่ยนทันที
ครับ แต่ผมเคยใช้ มาร์ช รถมันเล็กไป ขับแล้วน่ากลัวครับ
คันใหม่มาเลยเอา sedan ปลอดภัย ใหญ่กว่าเดิมครับ
-
ผมถามต่อยอดได้ไหมครับ
ว่าจะตั้งกระทู้พอดี
จขกท.ถามถึงรถใหม่
แล้วถ้าเป็นมือสองละครับ
คือระหว่างซื้อรถใหม่ กับ รถมือสองปีใหม่
เช่น สมมุติ มาสด้า 3 (หรือรุ่นอื่นที่เล็กหรือใหญ่กว่าก็ได้)
รถใหม่ 1000000 ซื้อและใช้ยาวไป 10 ปีจนขายซื้อใหม่
กับมือสองอายุไม่เกิน 1-2ปี ราคา +- 800000
แต่ขายทุก 2-3 ปี
รวม 10 ปี จะเปลี่ย 3-4 ครั้ง
ส่วนต่างก็ต่อยอดจากรถเก่าไป
แบบนี้จะน่าสนใจกว่าซื้อมือหนึ่ง แล้วใช้ยาว 10 ปีไหมครับ
ส่วนต่างที่ต้องเพิ่มซื้อใหม่ ต่างกันไม่น่าเกิน 200000
ผมเคยอยากทำเหมือนกันครับ แต่เห็นราคาแล้ว ซื้อรถใหม่คุ้มกว่า
ใจผมตั้งใจจะใช้เจ้า Ativ 7-10 ปีครับ
แต่มาดูตอนขายมาร์ช เออ มันก็คุ้มดีนี่น่า รถเล็กราคาตกน้อย เปลี่ยนง่ายขายคล่อง
แบบนี้ใช้สัก 5-7 ปีเทคโนใหม่มาใช้คันใหม่ดีกว่า
-
เลือกซื้อแพงใช้ยาวครับ. ไม่ชอบชีวิตหนี้สักเท่าไหร่ดูไม่คล่องตัว
จริงๆเลือกตามที่ต้องการ ณ เวลานั้นๆ. ตอนนี้อยากได้รถใหญ่เงียบๆแรงมีพอใช้งาน
คันล่าสุดกำลังจะผ่านปีที่7 แต่คงขายก่อน 10ปี เพราะประกันเกียร์หมดแล้ว และไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาอื่นที่กำลังจะตามมา
คันหน้าคงเลือกเจ้าตลาดและหวังว่าจะผ่าน 10 ได้สบายๆ
-
ปกติที่บ้านจะเปลี่ยนรถทุก 10-11 ปีค่ะ เป็นเวลาที่รู้สึกว่าราคามือสองของรถมันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แน่นอนว่า ยิ่งเก่ามันยิ่งถูกลง แต่เราจะไม่บาดเจ็บมากเท่ากับปีแรกๆ
ตอนนี้เท่าที่สังเกตดู W203 เราน่าจะปล่อยได้ 550K - 600K (ซื้อมา 2.95 M) ส่วน W169 น่าจะได้สัก 300K - 350K (ซื้อมา 1.69M) ซึ่งก็พอรับได้ค่ะ
ส่วน Mazda 2 ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ไปให้ถึง 10 ปีเหมือนกัน แต่ตอนนี้ขอเอาให้ถึง 5 ปี โดนไม่มีปัญหาเครื่องยนต์ก่อนละกันค่ะ :-X
-
ปกติที่บ้านจะเปลี่ยนรถทุก 10-11 ปีค่ะ เป็นเวลาที่รู้สึกว่าราคามือสองของรถมันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แน่นอนว่า ยิ่งเก่ามันยิ่งถูกลง แต่เราจะไม่บาดเจ็บมากเท่ากับปีแรกๆ
ตอนนี้เท่าที่สังเกตดู W203 เราน่าจะปล่อยได้ 550K - 600K (ซื้อมา 2.95 M) ส่วน W169 น่าจะได้สัก 300K - 350K (ซื้อมา 1.69M) ซึ่งก็พอรับได้ค่ะ
ส่วน Mazda 2 ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะใช้ไปให้ถึง 10 ปีเหมือนกัน แต่ตอนนี้ขอเอาให้ถึง 5 ปี โดนไม่มีปัญหาเครื่องยนต์ก่อนละกันค่ะ :-X
เคยสนใจ MZ2 Sedan 1.3 คับ ชอบความประหยัด แต่พอเห็นค่าดูแลรักษาที่สูง ปัญหาเรื่องการทำสี ของศูนย์บริการที่น้อยกว่ายี่ห้ออื่น
สุดท้ายเลยยอมครับ
ไม่กล้าซื้อสักที เลยออก Toyota แทน ;D
-
ถ้าสมมติเป็นวัยเกษียณแล้ว ผมเลือก C-seg รุ่นท้อปแล้วใช้ยาวๆไปเลยครับ
-
ที่บ้านผมไม่มีกำหนดที่จะเปลี่ยนรถ ขายรถ ซื้อรถ ที่แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับ ความจำ โอกาส จังหวะและความพร้อมครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่า ที่บ้านจะซื้อ 2 คันภายใน 6 เดือน หลังจากที่ไม่ได้ซื้อรถใหม่มา 12 ปี แต่ถ้าตามความคิดผม รถคันนึง คงใช้อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 12 ปี ยกเว้นคันที่จะเก็บ ก็คงเก็บไปเรื่อยๆตามกำลังที่เรามี ส่วนรถรุ่นไหน Segment ไหน ผมคงเลือกรถที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดอะครับ
อย่าง Jazz ซื้อมา 745,000 ผ่านไป 7 ปีคงเหลือราว 2แสนกว่าๆ แต่คันนี้เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่ ผมกะเก็บยาวๆ เหลือเท่าไหร่ ช่างมัน 555
-
ถ้าสมมติเป็นวัยเกษียณแล้ว ผมเลือก C-seg รุ่นท้อปแล้วใช้ยาวๆไปเลยครับ
ใช่ครับ
แนวคิดนี้ มาจากพ่อผม ที่เกษียณเลย
เขาเห็นผมขาย มาร์ช ได้ 203,000 บาท ราคาซื้อมา 4.59 แสน นี่คือขายเต้นท์นะครับ
ดูๆ แล้ว ได้กำไรดีมากๆ เทียบกับ Altis CNG ปีเดียวกัน ราคา 2.5-2.8 แสน
เลยถึงบางอ้อ กันว่า ถ้าเราใช้รถไม่มาก ไม่ได้วิ่งอะไรมากมาย ไม่ได้ต้องการภาพลักษณ์
เอารถเก๋ง B-seg จะเป็น Eco car or 1.5 คุ้มกว่า ไปถอยรถแพงๆ
เปลี่ยนได้ง่าย บ่อยๆ สัก 5-7 ปี ทำประกันอะไหล่ 5 ปี เข้าศูนย์ตลอด
ใช้สบายใจกว่า ใช้รถแพงๆ แต่ต้องใช้ยาวๆ และมาซ่อมครับ
จากความคิดพ่อ ผม เห็นด้วยเลยครับ
มามองย้อน แบบนี้ ผมไม่ต้องซื้อ Toyota ก็ได้
ขอแค่รถคันนั้น ราคาไม่แพงมาก สัก 5-6 แสน
เป็นยี่ห้อติดตลาด
เช่น Honda Mazda ราคาขายต่อดีๆ
หรือ Mitsu (ไม่แน่ใจเรื่องราคาขายต่อ)
มีรับประกัน 5 ปีให้ซื้อหรือแถม หรือมีพวกบำรุงรักษา
ผมว่า ใช้ได้ทั้งนั้นครับ
-
ซื้อ รถถูก 5-7 ปี เปลียน 1 ทีครับ
เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตากันมั่ง เทคโนโลยีก็เปลี่ยนทุกปี อายุเราก็ใช่ว่าจะมีกันเยอะ บางคน 60 ปีก็จะม่องเท่งแล้ว
คิดเป็นจำนวนรถ 5 ปีก็ได้ 12 คันพอดี เปลี่ยนๆมั่งเถอะครับ
ผมเลือกที่จะซื้อรถ 5แสน - 3 ล้าน เอามานอนเล่นในโรงรถ2-3คัน 4-5ปี ดีกว่า ซื้อรถตูมเดียวเลย 8-10 ล้านแล้วใช้ 10 ปี ยังไม่รู้เลยว่าจะใช้มันถึงใหมกลัวมันพังก่อน
-
ถ้าเป็นผม ผมเลือกรถแพงแล้วใช้ยาวเกิน 10 ปีแล้วค่อยขายครับ ส่วนตัวผมว่ารถที่มี Segment ใหญ่กว่า มาตรฐานความปลอดภัยย่อมสูงกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องขับถนอมเครื่องยนต์หน่อยเท่านั้นเอง
-
รถใหญ่ใช้นานครับ เพราะรถถูกขนาดมั้นไม่ได้อะครับ ตัวผมก็ไม่ได้ใหญ่นะสูงก็ประมาณ 180 ปกติขับ Altis หน้าหมู ไปลองขับ Mirage แล้ว ลองนั่ง city vios ตัวล่าสุดแล้วมันไม่ได้อะครับ ขาแข้งมันวางได้ไม่เต็มที่ และได้ลอง Ativ มาก็เหมือนจะกว้างดีแต่พอผมไปนั่งหลัง ปลายผมที่ไปโดนหลังคาพอดีถ้านั่งตรงๆ สรุปว่าสำหรับผมถ้าไม่ให้มองที่การขับขี่ก็ติดที่เรื่องขนาดอยู่ดีแหละครับ
-
หากห่วงเรื่องราคาขาย ก็น่าจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเข้าเช็คระยะ ค่าประกัน
เป็นผมเอารถเล็กดีกว่าครับ เก่าก็เปลี่ยน ได้ใช้รถใหม่ด้วย เทคโนโลยีมันพัฒนาเรื่อยๆ
-
เทียบยากหน่อยครับ
ยกตัวอย่าง ลุงผมซื้อ FTN ตัวท๊อป 4x4 13 ปีแล้ว
ราคาขายต่อโครตแข็ง ซื้อมา 1.3 ขายต่อยังได้ 5 แสน
และยังคงใช้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะรถมันทนหายห่วง
ในขณะที่พ่อผม ซื้อแคมรี่ 1.4 ล้าน ใช้มา 14 ปี
ราคาขายตอนนี้หล่นลงไปเหลือ 2 แสน แถมปล่อยยาก หาคนซื้อไม่ค่อยได้
สำหรับผม ซื้อรถใหญ่ไปเลย ดูแลดีๆ 10 ปีมันอยู่กับเราได้สบายๆครับ
สำคัญคือเรื่องความปลอดภัย กับสมรรถนะ ซึ่งรถใหญ่ ต่อให้เป็นรุ่นเก่า ก็เหนือกว่ารถเล็ก
-
ถ้าเอาแบบท่านว่า ใช้งานได้เท่านั้น ไม่สนสิ่งอื่นเลย ตัวแค่ตัวเงิน แนะนำจัด B seg เลยครับ ตัวถูกสุดด้วยครับ
-
มันอยู่ที่ตัวบุคคลครับ
แต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน พื้นฐานการใช้งาน การซ่อมบำรุงต่างกัน ความคุ้มค่าก็ต่างกัน
ผมเคยตอบหลายครั้ง ทำไมผมไม่ใช้รถป้ายแดง ใช้แค่รถมือสอง สองสามแสน ผมใช้รถสามแสน อย่างจะขาดทุน ก็ไม่เกินสามแสน ไม่เกินนี้ คันสุดท้ายที่ขายไป ซื้อสองแสนเจ็ด ใช้ไปสองปี ขายไปสองแสน คันใหม่ซื้อมาสองแสนสาม ... อยากเปลี่ยนรถเมื่อไรผมก็เปลี่ยน ถ้าซื้อเป็นล้าน ตัดสินใจยากครับ....
-
ผมมองว่าถ้าตัวเราไปถึงจุดๆนึง แล้วมีฐานะพอที่จะไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้เงิน
สิ่งแรกที่ผมจะนึกคือคำว่า Quality of life ก่อนเลย แล้วใช้เงินเพื่อตอบโจทย์ตรงนั้นเป็นเรื่องหลัก แล้วจะว่าไปคำๆนี้ ความหมายในความคิดของแต่ละคนก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ซึ่งผมเชื่อว่าถ้ามันยังมาไม่ถึงจริงหลายอย่างที่คิดว่ามันน่าจะใช่ในวันนี้เอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเมื่อเวลามาถึงครับ แต่ถ้าต้องเลือกก็เน้นความปลอดภัยในชีวิตเป็นหลักใหญ่ครับ เพราะคนเราถ้าเกษียณแล้วก็คงอยากจะมีเวลาได้อยู่กับความสุขนั้นนานๆ ผมมองแบบนั้นแหละครับ
-
ดีกว่ากันคือดีในแง่การเงินรึเปล่าครับ เพราะไม่สนการขับขี่ ไม่สนภาพลักษณ์บ้าบอคอแตกทั้งหลาย แบบนี้คิดง่ายเลย
ใช้รถที่ถูกที่สุดที่ดูแลง่ายที่สุดครับ7ปีขาย แล้วซื้อใหม่ ทำแบบนี้ 21ปีใช้เงินไม่ถึงค่าเสื่อมรถดีๆ10ปีหรอกครับ ได้เปลี่ยนรถใหม่บ่อยกว่าด้วย
สมมติตอนนี้Camry 1.5ล้าน ผ่านไปสิบปีขายเหลือไม่ถึง5แสน เท่ากับหายไปล้านนึง
Ativ อีก7ป ข้างหน้า คงเหลือ 2-3แสนก็หายไปแค่ 2-3แสน ซื้อคันใหม่ทำแบบเดียวกันอีกสองครั้งก็หายไม่เกิน9แสน แถมได้รถใหม่ไม่ต้องซ่อมหนักด้วย
-
ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋า
-
มันมีหลายปัจจัยครับ
บางคนมองว่ารถเป็นแค่พาหนะ พาจาก A--> B เลือกรถรุ่นอะไรก็ได้ ขอแค่ขับได้พอ
บางคนมองการอยู่ในรถบนท้องถนนมีความเสี่ยง ก็ยอมเสียเงินซื้อรถที่ระบบ safety ดีๆ เพื่อช่วยให้ผ่อนหนักเป็นเบากรณีเจออุบัติเหตุ
บางคนมีความสุขเวลาอยู่ในรถ เพราะชีวิตต้องอยู่ในรถวันละหลายชั่วโมง
บางคนขับมาหมดแล้ว รถราคาไม่แพง รถราคาแพง อิ่มตัว ขับรถอะไรก็ได้
ฯลฯ
แต่สุดท้าย ทุกอย่างอยู่ที่ งบประมาณที่คุณมีครับ ซื้อรถให้เหมาะกับตัวคุณ ใช้แล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อน ครอบครัว Happy แค่นั้นก็พอแล้วครับ
สมัยก่อนผมมองว่ารถอะไรก็ได้ ขอให้ขับถึงจุดหมายพอ แต่พอมีเจ้าตัวเล็กความคิดก็เปลี่ยน มองเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นครับ
ดังนั้นถ้าถามตอนนี้ ผมจิ้มไปที่รถราคาแพงแล้วใช้นานครับ
-
เท่าที่อ่านดู ในคำถามก็มีคำตอบของเจ้าของกระทู้อยู่ในตัวแล้วนะครับ
-
ยังคงคอนเซป บาลานซ์ชีวิตให้ดีครับ
ในมุมผมทุกอย่างมีขั้นกลางๆให้เลือก
คือน้อยกว่านี้ไม่ดี แต่มากกว่านี้ก็ยังไม่จำเป็นเท่าไหร่(และมากขึ้นไปสูงได้มากๆๆ)
คือถ้าจะมองแต่คอนเซปการเงินอย่างเดียว ตามที่จขกทว่ามามันโอเคที่สุดแล้ว
แต่ชีวิตจริงมันประกอบด้วยหลายๆอย่าง
ทั้งขนาด ทั้งการใช้งาน ทั้งอรรถประโยชน์ ฯลฯ
คอนเซปนี้ลองไปใช้สัก 10 กว่าปีก่อนสิครับ
รับรองไม่น่าผ่าน ถ้าตอนนั้นป้ายแดงรถเล็กมีประมาณ toyo soluna ให้เลือกเท่านั้น
เพราะขนาด การขับขี่ ฯลฯ หลายๆอย่างไม่น่าผ่านความรู้สึกขั้นต่ำของหลายๆคน
ยุคก่อน แบ่งลูกค้าตามระดับความมีตัง รถเล็กสำหรับคนจนมีรายได้น้อย
แต่ยุคนี้เริ่มเบนเข้าสู่การใช้งาน รถเล็กสำหรับคนชอบความคล่องตัว คนทั่วไปใช้ได้
-------
เข้าโจทย์ ถ้าของผมก็คือซื้อดีที่สุดที่เราไหว และครอบคลุมการใช้งานมากที่สุดครับ
บ้านผมสายช่าง ก็จะมองความคุ้มค่า และการใช้งานมาก่อน
ดูแลไปเรื่อยๆ ใช้นานๆครับ ตามอีโก้ให้สมกับสายช่าง ;D
ประมาณว่าใช้พัง ใช้ไม่ทน แสดงว่าดูแลไม่เป็น ไม่ใส่ใจมากกว่า
คือจะสอนให้ทุกคนในบ้านใส่ใจกับทุกสิ่งครับ
-
คหสต ผมจะซื้อรถที่ ผ่อนแล้วไม่เหนื่อย ยังเหลือกินเหลือใช้ครับ เพราะเคยเจอคนซื้อรถแพง ผ่อนเดือนละ 40-50% ของรายได้ ดาวน์ต่ำสุด ผ่อนงวดบอลลูน ภาระอื่นก็มีอีกไม่ใช่น้อยๆ สุดท้ายเหลืองวดบอลลูนอีกเกินครึ่งล้าน ไม่มีปัญญาจ่าย ที่ผ่อนมาทั้งหมด 4-5 ปี สูญเลยครับ
-
ถ้าถามตัวผม ผมขอเลือกรถที่ตัวเองชอบดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนตัวผมเอง ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผมมานั่งบวกส่วนต่างรถที่เสียไป (บางคันใช้ 8 เดือนขาย บางคันไม่ถึง 1 ปี ขาย)
ผมเสียเงินกับรถไป 7 หลักกลางๆ เพราะไปซื้อรถที่ตัวเองไม่ชอบ สุดท้ายก็จอดแช่ไม่ได้ใช้ แล้วก็ขายขาดทุนไป - -
จนสุดท้ายได้รถที่ตัวเองชอบ นี่ขับมา 1 ปีพอดี ยังไม่เบื่อเลยครับ ฟินทุกครั้งที่ได้ขับ
-
อัสติส 10 ปี ถ้าวิ่งปีละ 20000กม. ค่าดูแลไม่น่าแพงนะครับไม่น่าจะโทรมมากด้วย
ถ้าขับเยอะๆแบบรถบริษัท 5 ปี 3แสนกม.+เปลืย่นรถบ่อยๆน่าจะคุ้มกว่า
ส่วนเรื่องรถใหญ่รถเล็กหลักๆเลยคืองบครับ
-
เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าอายุมาก
ผมจะใช้แค่ city หรือ civic แค่นั้นแหละ
รู้สึกว่ามันไม่แพง ดูแลง่าย ศูนย์ก็ใกล้บ้าน
ใช้ๆมันไปไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย แค่นั้นชีวิตผมก็มีความสุขแล้ว
-
ถ้า มีเงิน 1,000,000 บาท
เลือกรถ
- 1,000,000 บาท -> Top C segment
- 800,000 บาท -> Entry C segment
- 600,000 บาท -> Entry B segment
คัน 1,000,000 บาท ใช้ 10 ปี ขายได้ 200,000 บาท สรุปเงินเหลือ 200,000 บาท
คัน 800,000 บาท ใช้ 10 ปี ขายได้ 150,000 บาท สรุปเงินเหลือ 350,000 บาท
คัน 600,000 บาท ใช้ 5 ปี ขายได้ 280,000 บาท แต่ระยะเวลาคือ 10 ปี จึงซื้อ 2 คัน สรุปเงินเหลือ 360,000 บาท
จากตัวเลขนี้
ผมจะเลือก 800,000 บาท ครับ เพราะ ระยะเวลา 10 ปี รถที่ segment สูงกว่าแลกกับเงินส่วนต่าง 10,000 บาท ผมยอมครับ
-
ด
ถ้าไม่เน้นว่าต้องป้ายแดงเท่านั้น ผมก็ซื้อมือ 2 พวก Fortuner ใช้ดีกว่า ในราคา 5-7 แสน หรือเก๋งอย่างคัมรี่ 3-4 แสนบาท
ถ้าเน้นว่าต้องป้ายแดง เท่านั้น คงต้องเลือกไปที่ Yaris Attract MZ2 sedan โดยใช้ประมาณ 7-10 ปี เพราะงบประมาณเราไม่เยอะจะมาซื้อรถแพงกว่านี้มากก็ไม่ไ่ด้ มันถูกจำกัดที่ตัวเลือกด้านเงินไปเรียบร้อย
ผมไม่ค่อยชอบรถเก่าครับ เคยใช้ สามห่วง มาเมื่อนานมาแล้ว ไม่ไหวแล้วครับ...ขี้เกียจวิ่งไปอู่เอารถไปซ่อม
ถ้าซื้อคงเอารถ ใหม่ หรือไม่เก่ามาก พวกไม่เกิน 3 ปี
ผมเคยไปดู Toyota sure รถแพงมาก พอคำนวนมา ซื้อรถใหม่ แบบ Yaris คุ้มกว่า ราคาถูกกว่าเต็มที่ก็ 4 แสน ไม่คุ้มครับ
แสดงว่าคุณยังไม่ค่อยเข้าใจประเภทของรถ ธรรมชาติรถปิคอัพหรือ PPV มันออกแบบมาถึกทน สมบุกสมบันมากอยู่แล้ว ใช้งานได้ระยะยาวค่าซ่อมบำรุงต่ำ ถ้าไม่ใช่กระบะไฮโซ เพราะฉะนั้นรถปิคอัพหรือ PPV ใช้งาน 10 ปี การซ่อมแซมค่อนข้างน้อย ถึงมืซ่อมก็ไมไ่ด้แพงหรือหนักหนาอะไร ส่วนมากอาการไม่จุกจิกหรือไม่ลุกลามต่อไปจุดอื่น ถ้ารถไม่เคยชนมาหนักหรือเกิดปัญหาเครื่องฮีทเครื่องพังจากจุดอื่นมาก่อน การซื้อมือ 2 ไม่ค่อยมีปัญหากับการซ่อมหรือจุกจิกซ่อมแบบรถเก๋งหรือรถยุโรปครับ
อย่างผมใช้ Vigo Fortuner ผมใช้เบนซินนะ ตอนแรกที่ผมบอกเครื่องยนต์เบนซินวิ่งได้ขั้นต่ำ 1 ล้านกิโลเมตร เกียร์ Auto วิ่งได้ขั้นต่ำ 5-8 แสนกิโลเมตร ถ้าเครื่องดีเซลขั้นต่ำ 2 ล้านกิโลเมตร คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อ ที่จริงหลักการไม่ได้มีอะไรมากก็ตามที่ยกตัวอย่างที่กล่าวมาเลย การซื้อรถมือ 2 ไม่ได้น่ากลัว ถ้าดูเป็น แต่ก็ต้องรู้จักรถและเข้าใจธรรมชาติของรถรุ่นนั้นๆ ด้วย
ถ้าไปใช้ค่าย Ford Ranger เกียร์พังที่ 2- 3 แสนโล ท่ออินเตอร์แตกหลังจากหมดประกันไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือไปใช้รถเก๋งยุโรป เตรียมค่าซ่อมปีล่ะ 1 แสนอย่างที่สมาชิกในนี้เาบอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน
แต่เราต้องรู้จักรถ รุ่นนั้น ๆ ก่อน จะได้เตรียมตัวถูก
เปรียบแค่ 3 ห่วง ก็ได้เพราะผมก็เคยใช้มาก่อน ใครว่า 3 ห่วงซ่อมถูก ถึกทน จริงบางข้อและไม่จริงอีกหลายข้อ เพราะโดยโครงสร้างรถเก๋งเล้กสู้ปิคอัพไมไ่ด้อยู่แล้วเรื่องความทนทานและค่าซ่อม 3 ห่วงไม่จุกจิกแต่เฉพาะเครื่องกับเกียร์ แต่ส่วนควบอื่นไม่ดีไปด้วย โดยเฉพาะช่วงล่างถ้าไม่เล่นของแท้หมดมักไม่ค่อยจบแบบยาว ๆ ใช้ไม่ทนเท่าเดิม ที่นิยมเพราะแท๊กซี่สมัยนั้นเอาไปทำและมีอู่เยอะ เสียก็เข้าซ่อมอู่แท๊กซี่หาคันอื่นไปต่อ แต่รถบ้านอยากใช้ดีดีมันจะซ่อมแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ยอมรับสภาพจุกจิก
รถยิ่งเล็กการสึกหรอจะสูงกว่ารถใหญ่ในการใช้งานที่เหมือนกัน มันเป็นไปตามทฤษฎีอยู่แล้วครับ
-
ปล. แต่ไม่คิดอะไร ดูรถเก่าไม่เป็นหรือไม่มีพื้นฐานเข้าใจรถเพียงพอ รถใหม่ก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
-
ถ้า มีเงิน 1,000,000 บาท
เลือกรถ
- 1,000,000 บาท -> Top C segment
- 800,000 บาท -> Entry C segment
- 600,000 บาท -> Entry B segment
คัน 1,000,000 บาท ใช้ 10 ปี ขายได้ 200,000 บาท สรุปเงินเหลือ 200,000 บาท
คัน 800,000 บาท ใช้ 10 ปี ขายได้ 150,000 บาท สรุปเงินเหลือ 350,000 บาท
คัน 600,000 บาท ใช้ 5 ปี ขายได้ 280,000 บาท แต่ระยะเวลาคือ 10 ปี จึงซื้อ 2 คัน สรุปเงินเหลือ 360,000 บาท
จากตัวเลขนี้
ผมจะเลือก 800,000 บาท ครับ เพราะ ระยะเวลา 10 ปี รถที่ segment สูงกว่าแลกกับเงินส่วนต่าง 10,000 บาท ผมยอมครับ
ขอมองต่างมุมนิด1ครับ สำหรับผม ต่างกันมากกว่า10000ครับ....เงิน2แสนตลอดระยะเวลา10ปีผมสามารถทำให้เกิดดอกผลได้1-2แสน....ส่วนต่างค่าซ่อม5ปีหลังต่างกันอีก50000-1แสน
-
สำหรับผม คำนวนแล้ว ค่าเฉลี่ยต่อปี หายไปประมาณ 50,000 บาท ก็โอเคครับ
รถ segment ใหญ่กว่า ต้องเสียเงินมากกว่า อยู่แล้วครับ ค่าน้ำมันก็ด้วย
ตัวอย่างของบ้านผมนะครับ ไม่นับค่าบำรุงรักษา
Volvo 940 1,300,000 -> 300,000 ใช้ไป 14 ปี = 71,428 บาท/ปี
Nissan Neo 799,000 -> 240,000 ใช้ไป 11 ปี = 50,818 บาท/ปี
Mitsu strada 491,000 -> 230,000 ใช้ไป 7 ปี = 37,285 บาท/ปี (คนที่ซื้อต่อ ใช้ไป 10 ปี ขายได้ 150,000 คุ้มมาก)
Honda City 628,000 -> 250,000 ใช้ไป 9 ปี = 42,000 บาท/ปี
Honda Jazz(มือสอง) 450,000 -> 200,000 ใช้ไป 7 ปี = 35,714 บาท/ปี
ถ้าอยากได้ ก็ซื้อเถอะครับ แต่ละ segment น่าจะ ต่างกันไม่เกิน ปีละ 30,000 บาท ถ้าไม่มีปัญหา ก็น่าซื้อ
ที่สำคัญคือ ต้องดูรถตลาดๆ ที่มีอนาคตด้วยครับ ราคาขายต่อไม่ตกดีครับ
-
แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ไปซี เซ็ก เลยนะครับ ถ้าถูกใจมากๆก้ เอายุ
-
คนธรรมดา ทำงานประจำ ใช้งานทุกวัน เอาพวกBเพราะประหยัดน้ำมัน
ถ้าเกษียณแล้วเลือกเซ็กเม้นที่สูงกว่า เพราะต้องการความสบายเป็นหลัก อย่างอื่นเรื่องรอง
-
ดีกว่ากันคือดีในแง่การเงินรึเปล่าครับ เพราะไม่สนการขับขี่ ไม่สนภาพลักษณ์บ้าบอคอแตกทั้งหลาย แบบนี้คิดง่ายเลย
ใช้รถที่ถูกที่สุดที่ดูแลง่ายที่สุดครับ7ปีขาย แล้วซื้อใหม่ ทำแบบนี้ 21ปีใช้เงินไม่ถึงค่าเสื่อมรถดีๆ10ปีหรอกครับ ได้เปลี่ยนรถใหม่บ่อยกว่าด้วย
สมมติตอนนี้Camry 1.5ล้าน ผ่านไปสิบปีขายเหลือไม่ถึง5แสน เท่ากับหายไปล้านนึง
Ativ อีก7ป ข้างหน้า คงเหลือ 2-3แสนก็หายไปแค่ 2-3แสน ซื้อคันใหม่ทำแบบเดียวกันอีกสองครั้งก็หายไม่เกิน9แสน แถมได้รถใหม่ไม่ต้องซ่อมหนักด้วย
ใช่ครับ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ
ผมว่าขายรถปีที่ 6 ไป 7 คุ้มสุดแล้ว...อยู่ใน range 30-50% ได้
รองลงมา คือปีที่ 9 ไป 10 ครับ อันนี้ถ้ารถไม่เปนอะไร แต่มันก็ต้องขายเพราะประกันชั้น 1 อาจจะไม่ให้ทำแล้วก็ได้ครับ
ถ้าถามตัวผม ผมขอเลือกรถที่ตัวเองชอบดีกว่าครับ
ไม่เช่นนั้นจะเหมือนตัวผมเอง ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผมมานั่งบวกส่วนต่างรถที่เสียไป (บางคันใช้ 8 เดือนขาย บางคันไม่ถึง 1 ปี ขาย)
ผมเสียเงินกับรถไป 7 หลักกลางๆ เพราะไปซื้อรถที่ตัวเองไม่ชอบ สุดท้ายก็จอดแช่ไม่ได้ใช้ แล้วก็ขายขาดทุนไป - -
จนสุดท้ายได้รถที่ตัวเองชอบ นี่ขับมา 1 ปีพอดี ยังไม่เบื่อเลยครับ ฟินทุกครั้งที่ได้ขับ
ผมตั้งคำถามกับตัวเองครับ ว่า ถ้าขยับไปใช้รถสูงขึ้นจะเป็นไง สุดท้าย ผมรู้สึกว่า
ถ้าผมไปกระบะ ถึงผมจะชอบรถสูงๆ ลุยๆ มาก แบบ D-max 1.9 Z AT 4 ประตู แต่ด้วยการใช้งานไม่เหมาะสมกับผมเลยครับ
เคยคิดมาหลายรอบเรื่องกระบะเพราะกลัวน้ำท่วม สุดท้าย เงินที่เพิ่มไป ผมว่ามันไม่คุ้ม เพราะการใช้งานผมอยู่ในเมืองครับ
ซอยแคบ ที่จอดรถน้อย ขับลำบาก
ผมว่ากระบะแพงไปมากจริงๆ ครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้เพื่อทำงานขนของ ผมคงเอาตัว cab และมี Eco car คู่กันคุ้มกว่าครับ
-
ด
ถ้าไม่เน้นว่าต้องป้ายแดงเท่านั้น ผมก็ซื้อมือ 2 พวก Fortuner ใช้ดีกว่า ในราคา 5-7 แสน หรือเก๋งอย่างคัมรี่ 3-4 แสนบาท
ถ้าเน้นว่าต้องป้ายแดง เท่านั้น คงต้องเลือกไปที่ Yaris Attract MZ2 sedan โดยใช้ประมาณ 7-10 ปี เพราะงบประมาณเราไม่เยอะจะมาซื้อรถแพงกว่านี้มากก็ไม่ไ่ด้ มันถูกจำกัดที่ตัวเลือกด้านเงินไปเรียบร้อย
ผมไม่ค่อยชอบรถเก่าครับ เคยใช้ สามห่วง มาเมื่อนานมาแล้ว ไม่ไหวแล้วครับ...ขี้เกียจวิ่งไปอู่เอารถไปซ่อม
ถ้าซื้อคงเอารถ ใหม่ หรือไม่เก่ามาก พวกไม่เกิน 3 ปี
ผมเคยไปดู Toyota sure รถแพงมาก พอคำนวนมา ซื้อรถใหม่ แบบ Yaris คุ้มกว่า ราคาถูกกว่าเต็มที่ก็ 4 แสน ไม่คุ้มครับ
แสดงว่าคุณยังไม่ค่อยเข้าใจประเภทของรถ ธรรมชาติรถปิคอัพหรือ PPV มันออกแบบมาถึกทน สมบุกสมบันมากอยู่แล้ว ใช้งานได้ระยะยาวค่าซ่อมบำรุงต่ำ ถ้าไม่ใช่กระบะไฮโซ เพราะฉะนั้นรถปิคอัพหรือ PPV ใช้งาน 10 ปี การซ่อมแซมค่อนข้างน้อย ถึงมืซ่อมก็ไมไ่ด้แพงหรือหนักหนาอะไร ส่วนมากอาการไม่จุกจิกหรือไม่ลุกลามต่อไปจุดอื่น ถ้ารถไม่เคยชนมาหนักหรือเกิดปัญหาเครื่องฮีทเครื่องพังจากจุดอื่นมาก่อน การซื้อมือ 2 ไม่ค่อยมีปัญหากับการซ่อมหรือจุกจิกซ่อมแบบรถเก๋งหรือรถยุโรปครับ
อย่างผมใช้ Vigo Fortuner ผมใช้เบนซินนะ ตอนแรกที่ผมบอกเครื่องยนต์เบนซินวิ่งได้ขั้นต่ำ 1 ล้านกิโลเมตร เกียร์ Auto วิ่งได้ขั้นต่ำ 5-8 แสนกิโลเมตร ถ้าเครื่องดีเซลขั้นต่ำ 2 ล้านกิโลเมตร คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเชื่อ ที่จริงหลักการไม่ได้มีอะไรมากก็ตามที่ยกตัวอย่างที่กล่าวมาเลย การซื้อรถมือ 2 ไม่ได้น่ากลัว ถ้าดูเป็น แต่ก็ต้องรู้จักรถและเข้าใจธรรมชาติของรถรุ่นนั้นๆ ด้วย
ถ้าไปใช้ค่าย Ford Ranger เกียร์พังที่ 2- 3 แสนโล ท่ออินเตอร์แตกหลังจากหมดประกันไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือไปใช้รถเก๋งยุโรป เตรียมค่าซ่อมปีล่ะ 1 แสนอย่างที่สมาชิกในนี้เาบอกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นกัน
แต่เราต้องรู้จักรถ รุ่นนั้น ๆ ก่อน จะได้เตรียมตัวถูก
เปรียบแค่ 3 ห่วง ก็ได้เพราะผมก็เคยใช้มาก่อน ใครว่า 3 ห่วงซ่อมถูก ถึกทน จริงบางข้อและไม่จริงอีกหลายข้อ เพราะโดยโครงสร้างรถเก๋งเล้กสู้ปิคอัพไมไ่ด้อยู่แล้วเรื่องความทนทานและค่าซ่อม 3 ห่วงไม่จุกจิกแต่เฉพาะเครื่องกับเกียร์ แต่ส่วนควบอื่นไม่ดีไปด้วย โดยเฉพาะช่วงล่างถ้าไม่เล่นของแท้หมดมักไม่ค่อยจบแบบยาว ๆ ใช้ไม่ทนเท่าเดิม ที่นิยมเพราะแท๊กซี่สมัยนั้นเอาไปทำและมีอู่เยอะ เสียก็เข้าซ่อมอู่แท๊กซี่หาคันอื่นไปต่อ แต่รถบ้านอยากใช้ดีดีมันจะซ่อมแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ยอมรับสภาพจุกจิก
รถยิ่งเล็กการสึกหรอจะสูงกว่ารถใหญ่ในการใช้งานที่เหมือนกัน มันเป็นไปตามทฤษฎีอยู่แล้วครับ
สามห่วง มันไม่ได้ทนหมดนะคับ
อย่างผม ที่เจอ คือ อะไหล่ช่วงล่างแพงมาก ผมเลยเอารถไป ซ่อมลูกหมาก อัดโช๊ค สุดท้าย เน่าเลยครับ
ทำแค่ปีเดียวก็ไม่แน่นแล้ว มีเสียงครับ
แต่ผมขายรถไปก่อน
อีกอย่าง คือ ทำประกันได้แค่ 3+ 2+ เสี่ยงมากเลยครับ ตอนนั้นผมมือใหม่ด้วยไม่รู้ว่าผ่านมาได้ไงเหมือนกันครับ
สำหรับผม คำนวนแล้ว ค่าเฉลี่ยต่อปี หายไปประมาณ 50,000 บาท ก็โอเคครับ
รถ segment ใหญ่กว่า ต้องเสียเงินมากกว่า อยู่แล้วครับ ค่าน้ำมันก็ด้วย
ตัวอย่างของบ้านผมนะครับ ไม่นับค่าบำรุงรักษา
Volvo 940 1,300,000 -> 300,000 ใช้ไป 14 ปี = 71,428 บาท/ปี
Nissan Neo 799,000 -> 240,000 ใช้ไป 11 ปี = 50,818 บาท/ปี
Mitsu strada 491,000 -> 230,000 ใช้ไป 7 ปี = 37,285 บาท/ปี (คนที่ซื้อต่อ ใช้ไป 10 ปี ขายได้ 150,000 คุ้มมาก)
Honda City 628,000 -> 250,000 ใช้ไป 9 ปี = 42,000 บาท/ปี
Honda Jazz(มือสอง) 450,000 -> 200,000 ใช้ไป 7 ปี = 35,714 บาท/ปี
ถ้าอยากได้ ก็ซื้อเถอะครับ แต่ละ segment น่าจะ ต่างกันไม่เกิน ปีละ 30,000 บาท ถ้าไม่มีปัญหา ก็น่าซื้อ
ที่สำคัญคือ ต้องดูรถตลาดๆ ที่มีอนาคตด้วยครับ ราคาขายต่อไม่ตกดีครับ
ครับ ผมพอตั้งนโยบายว่าจะสมัครรับประกัน 5 ปี
ผมเริ่มรู้สึกว่า แบบนี้ผมใช้รถสัก 6-7 ปีขายคุ้มกว่า
แบบนี้ผมอาจจะไม่ต้องใช้ Toyota ก็ได้ เพราะถ้าไม่เข้าอู่นอก ซ่อมศูนย์ รถตลาด ยี่ห้อไหนก็คงไม่ต่างกันมาก (เว้น นิสสัน ที่รถจุกจิก)
เล็งๆ ไว้ว่า แบบนี้ ผมอาจจะไปคบ Honda หรือ Mazda ก็ได้ หรือ Mitsu (ไม่แน่ใจเรื่องราคาขายต่อ)
-
ซื้อพอที่มีกำลังส่งครับ ส่วนจะใช้ยาวกี่ปีนั้นไม่เคยคิดใช้ไปจนกว่าจะมีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนครับ
+1 ซื้อรถ อย่าให้กระทบการเงินในบ้านครับ เอาเท่าที่จ่ายไหว เปลี่ยนเมื่อจำเป็น ตอนไหนก็ตอนนั้นครับ
-
ซื้อรถถูกแล้วใช้ 10 ปีคับ
-
มี choice ใช้รถถูก ลากยาวนานๆมั้ยครับ :-* :-* :-*
-
เวลาซื้อผมมองแค่ห้าปี ไม่เคยมองถึง10ปี
แล้วหลังจากห้าปีจะเก็บไว้มั้ย อันนี้จะตัดสินใจจากการใช้งานระหว่าง 5ปี