Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Majorchanges ที่ พฤศจิกายน 12, 2023, 14:52:39
-
ตามหัวข้อเลยค่ะ ลังเลระหว่าง All New Honda CRV (RS) กับ Tesla Model Y ค่ะ ทุกคนมีความเห็นยังไงบ้างคะ ราคาพอๆ กันประมาณ 1.7 ล้าน
อายุ 35 ปี พักอยู่คอนโดมีที่ชาร์ตน้อย ขับในเมืองกทม.เป็นหลัก ปกติขับคนเดียวแต่ชอบ SUV ค่ะ และถ้ามีข้อมูลเกี่ยวกับค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา ราคามือ 2 (ประมาณ 5 ปีข้างหน้า) ของทั้ง 2 รุ่นจะดีมากค่ะ และถ้าเกิดอุบัติเหตุ รถไฟฟ้าจะอันตรายกว่ามั้ยคะ ควรซื้อไฮบริดใช้ก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หรือซื้อแบบไฟฟ้าไปเลยดีคะ (รถคันแรก) ขอบคุณมากค่ะ
-
อยู่คอนโดคิดว่าคงใช้ระยะทางไม่เยอะ ชาร์จสัปดาละครั้งน่าจะได้ครับ
จากการใช้งานที่บอกมา ผมคิดว่าได้หมดทั้งคู่ครับ
อาจลองย่อยดูดีกว่าว่าคาดหวังอะไรจากตัวรถแค่ไหน แล้วคันไหนจะเหมาะกับเรามากกว่าครับ
ส่วนตัวรถคันแรกเชียร์ รถที่ศูนย์เยอะซ่อมง่ายครับ - คือการเฉี่ยวชนอาจเกิดขึ้นได้ครับ ยิ่งรถคันแรก และขับในเมืองอีก ถ้าศูนย์น้อย รออะไหล่ อยู่อู่นาน มันเสียโอกาศใช้รถครับ
รถไฟฟ้าอาจไม่ได้เสียจุกจิกเท่าน้ำมัน แต่ถ้าเสียและไม่มีประกัน คิดว่าค่าซ่อมอาจแพงกว่าครับ
ประกันรายปีแพงกว่า ถ้าต้องเปลี่ยนยางก็อาจแพงกว่า เพราะตัวรถมันอยู๋ระดับที่สูงกว่า สมรรถณะดีกว่าครับ
ราคาขายต่อ cr-v 5 ปี เหลือประมาณ 50% ครับ ส่วนรถไฟฟ้า ยังคงตอบไม่ได้ครับว่า จากการใช้งาน และกลุ่มลูกค้าในไทย ราคาจะเหลือเท่าไหร่
มีจะเคสของ MG ZS ev ที่ราคาตกหนักมาก 1-2 ปี เหลือ 50% แต่อาจมีผลมาจากตัวแบรนเองด้วยครับ
-
รุ่นพี่จะเอาTesla เข้าเซอร์วิสต้องจองผ่านแอป ได้คิวที่ 168ถึงกับอึ้งไปเลย
รถที่ทั้งประเทศมีศูนย์เดียวก็แบบนี้
-
รุ่นพี่จะเอาTesla เข้าเซอร์วิสต้องจองผ่านแอป ได้คิวที่ 168ถึงกับอึ้งไปเลย
รถที่ทั้งประเทศมีศูนย์เดียวก็แบบนี้
คิวที่ 168 เลขโคตรสวยเลย อิ-ลิ่ว-ปา = รวย รวย รวยยยยยยโว้ย...
รถเค้าดีครับ ขายขาด ใช้แล้วไม่ต้องเซอร์วิส เลยไม่ต้องขยายศูนย์บริการ
-
ถ้ารถคันแรกเอา Crvครับ Teslaมีศูนย์อยู่ที่เดียว เกิดมีอะไรขึ้นมาจะไม่สะดวก
-
CRV ครับ
Tesla ประกันน่าจะเอาเรื่องอยู่แพงกว่ารถน้ำมันยุโรปมาก
ลองเช็คดูครับ เท่าที่ทราบเข้าศูนย์รอนานมาก
-
Model Y ประกันชั้น 1 ราคา 40,000-55,000 บาท
ค่าบำรุงรักษาหลักๆ สลับยางทุก 10,000km (ทำ bquick ได้) เปลี่ยนกรองแอร์ทุกๆ 20,000-40,000 km (ทำข้างนอกได้)
ของ crv รอผู้รู้ท่านอื่นมาตอบ
จากลักษณะการใช้คือได้หมดทุกคัน ถ้าคอนโดอยู่ใน กทม แนะนำแวะชาร์จ supercharge อาทิตย์ละครั้งก็สะดวกดี
ข้อควรระวังคือ 0 ซ่อมตัวถังเทสล่าน้อย ชนหนักรอคิวยาว
ถ้าสนใจเทสล่ามาก อยากแนะนำคือให้ไปลองเช่าขับสัก 1 อาทิตย์ครับ ดูว่าเราไหวไหม ถ้าคิดว่าลำบาก ไม่ตอบโจทย์ ก็ไป CRV ครับ
-
ราคาตกหนักทั้ง 2 รุ่นครับ ให้เลือกเอา crv รถใช้ทุกวันรอซ่อนนานไม่ได้ครับ
-
ถ้าจำเป็นต้องใช้รถทุกวัน และเป็นคันเดียว หารถที่ดูแลง่ายๆครับ
-
สองตัวเลือกนี้ CRV ครับ มีปัญหาอะไรศูนย์ซ่อมเยอะ อุ่นใจกว่า แล้วค่าประกันไม่แพงเท่า Tesla แถมราคาขายต่อยังไงดีกว่ารถไฟฟ้าล้วนแน่นอน
-
ตราบใดที่ทั้งประเทศมีศูนย์บริการอยู่ศูนย์เดียว ผมว่าอย่าเพิ่งเล่น Tesla เลยครับ
จริงอยู่ว่ารถมันไม่ได้เสีย วันนี้ พรุ่งนี้ แต่โอกาสเกิดอุบัติเหตุมันมีได้ทุกวันนะครับ
-
ถ้าโจทย์สำคัญคือต้องมีรถใช้ตลอดเวลา หรือเวลาเข้าศูนย์สามารถเข้าได้ทันที CRV น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ ตามที่เพื่อนๆบอก tesla มีข้อจำกัดมากเรื่องศูนย์บริการ โดยเฉพาะเมื่อตัวรถเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าคิดว่ารอ 2-3เดือนได้ ระหว่างนั้นเช่ารถขับเอา แบบนี้อยากลองรถไฟฟ้าก็ลองได้ครับ
-
ถ้าแค่สองตัวเลือกนี้ผมเลือก CRV ครับ เหตุผลเหมือนหลายๆ ท่านตามด้านบน
แต่ถ้าเป็นรถคันแรก เป็นผม ผมจะมองพวก HRV ดูก่อนครับ กะว่าอีก 4-5 เปลี่ยนใจไปรถไฟฟ้าก็ยังขายได้ราคาไม่ขาดทุนเท่ากับ CRV ครับ
หรือถ้าอยากได้รถไฟฟ้าจริงๆ ไม่ลองดู Volvo XC40, C40 ดูเหรอครับ ถึงศูนย์จะเยอะไม่เท่า Honda แต่ก็มากกว่า Tesla แน่ๆ
-
ตัวเลือกเหมือนผมเลยแต่ของผมอยู่ต่างจังหวัดรถไม่ติดมีบ้านของตัวเองสามารถติด wall charge ได้ไม่มีปัญหา
แต่ผมต้องขับรถ ตราด-ระยองทุกเดือนเลยลองเช่ารถไฟฟ้ามาลองใช้งานดูผลที่ได้คือ
ต้องเผื่อเวลาเพิ่มประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อชาร์จระหว่างทางเพราะเวลาจุ่ม 120km/h นานๆแบตไหล และผมเป็นพวกไม่ชอบจอดรอนานๆ
สรุปจอง CRV RS ไปล่ะได้รถธันวา
-
ถ้ายังไม่รู้ว่าจะใช้ยาวไหม ใช้รถน้ำมันหรือรถไฮบริด ราคาขายต่อ ณ 3-4ปีข้างหน้า น่าจะยังไม่ต่ำกว่า 1ล้านบาท หรือยังแตะๆ 9แสนบาทอยู่
แต่รถ EV เรายังไม่มี reference
-
ถ้าเป็นรถคันเดียว เทสล่าไม่เหมาะอย่างแรงครับ ตรงที่ศูนย์ซ่อมตัวถึงมีศูนย์เดียวเนี่ยแหละ
-
ชอบ crv เพราะสวยกว่าล้วนๆ
-
รุ่นพี่จะเอาTesla เข้าเซอร์วิสต้องจองผ่านแอป ได้คิวที่ 168ถึงกับอึ้งไปเลย
รถที่ทั้งประเทศมีศูนย์เดียวก็แบบนี้
Tesla ไม่มีเช็คระยะครับ เข้า Service ต่อเมื่อเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ แต่ซ่อมนานจริงครับ ของผมเกือบ 2 เดือนแล้วยังรออะไหล่อยู่เลยครับ
-
ถ้าโจทย์สำคัญคือต้องมีรถใช้ตลอดเวลา หรือเวลาเข้าศูนย์สามารถเข้าได้ทันที CRV น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ ตามที่เพื่อนๆบอก tesla มีข้อจำกัดมากเรื่องศูนย์บริการ โดยเฉพาะเมื่อตัวรถเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าคิดว่ารอ 2-3เดือนได้ ระหว่างนั้นเช่ารถขับเอา แบบนี้อยากลองรถไฟฟ้าก็ลองได้ครับ
+1
-
ไป Volvo EV เลยค่ะ Honda นี่ ค่ายจอมหมกเม็ดไม่ค่อยน่าใช้
-
ถ้าไม่ติดเรื่องภาพลักษณ์ และ สนใจราคาขายต่อ HRV Corolla Cross จะมีค่าเสื่อมที่ต่ำกว่า CRV ค่อนข้างมาก และอีก 4-5 ปี ค่อยเปลี่ยนอีกที วันนั้นอะไรๆน่าจะชัดเจนขึ้น เพราะผมยังเชื่อว่าถ้าประเทศไทย ทุกคนใช้ EV ไฟฟ้าก็ไม่น่าจะพอ แล้วประเทศไทยจะเดินไปทางไหนต่อ ;D สำหรับผมใช้รถส่วนตัวไม่เยอะ เลยเลือก CRV Turbo มา เพราะบางทีผมจอดไว้ 1 เดือนไม่ได้ขับเลย ก็เลยไม่กล้ากับ Hybrid กลัวแบตเสื่อม
-
รุ่นพี่จะเอาTesla เข้าเซอร์วิสต้องจองผ่านแอป ได้คิวที่ 168ถึงกับอึ้งไปเลย
รถที่ทั้งประเทศมีศูนย์เดียวก็แบบนี้
คิวที่ 168 เลขโคตรสวยเลย อิ-ลิ่ว-ปา = รวย รวย รวยยยยยยโว้ย...
รถเค้าดีครับ ขายขาด ใช้แล้วไม่ต้องเซอร์วิส เลยไม่ต้องขยายศูนย์บริการ
คิดอย่างนี้จริงหรือครับ รุคนรู้จักเกิดอุบัติเหตุหนัก จอดเช็คประเมินราคา 3 เดือนแบบนิ่งๆ ไม่มีรถใช้เลย
สภาพน่าจะซ่อมเกินทุนประกัน แต่รอรอรอประเมินค่าซ่อม
-
รุ่นพี่จะเอาTesla เข้าเซอร์วิสต้องจองผ่านแอป ได้คิวที่ 168ถึงกับอึ้งไปเลย
รถที่ทั้งประเทศมีศูนย์เดียวก็แบบนี้
คิวที่ 168 เลขโคตรสวยเลย อิ-ลิ่ว-ปา = รวย รวย รวยยยยยยโว้ย...
รถเค้าดีครับ ขายขาด ใช้แล้วไม่ต้องเซอร์วิส เลยไม่ต้องขยายศูนย์บริการ
คิดอย่างนี้จริงหรือครับ รุคนรู้จักเกิดอุบัติเหตุหนัก จอดเช็คประเมินราคา 3 เดือนแบบนิ่งๆ ไม่มีรถใช้เลย
สภาพน่าจะซ่อมเกินทุนประกัน แต่รอรอรอประเมินค่าซ่อม
ผมประชดน่ะครับ 5555
-
วันนึง tesla มันเกิดปิดศูนย์ขึ้นมา คุณต้องซ่อมอู่นอก แล้ว จะเซ็งนะบอกให้
เอารถที่มีศูนย์ซ่อม อะไหล่พร้อมดีกว่า
-
ในแง่การใช้งาน
วันนี้ยังไงๆ ก็ต้องรถไฟฟ้าแล้วนะ มันเลยจุดก้ำกึ่งเหมือน 1-10 ปีก่อน ตอน Hybrid มาใหม่ คนกลัวแล้ว ผมว่ามันเลยจุดนั้นไปแล้ว
ผมเชียร์ Model Y แน่นอน
ส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla เองก็ได้ ในเมืองเยอะครับ มันจะต้องวางแผน แค่ ตอนออกต่างจังหวัด ถ้าใช้ในเมืองไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่องอนาคต มันก็คือ อนาคต ครับ บางคนบอก ถ้าเขาปิดศูนย์หนีละ คำถามคือ คุณรู้ได้ยังไง? ผมกลับกลัวบางยี่ห้อที่ขายรถ ICE อยู่ตอนนี้ต่างหากที่จะปิดตัวหรือเลิกขายไปด้วยซ้ำนะ เอาจริงๆ
การดูแลรักษา ผมว่า ถ้าคุณผ่านรถน้ำมันมาได้ รถไฟฟ้า โดยเฉพาะ ผู้หญิง ดูแลง่ายกว่ามาก บอกเลย
สิ่งเดียวที่ต้องกังวล คือ คุณใช้งานมากไหม กี่ปี และ ราคาขายต่อ(มือสอง) ณ ตอนนั้น ต่างหาก ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ก็จงใช้รถให้มีความสุขกับปัจจุบันครับ ไม่ต้องกังวลอะไร
-
ตามหัวข้อเลยค่ะ ลังเลระหว่าง All New Honda CRV (RS) กับ Tesla Model Y ค่ะ ทุกคนมีความเห็นยังไงบ้างคะ ราคาพอๆ กันประมาณ 1.7 ล้าน
อายุ 35 ปี พักอยู่คอนโดมีที่ชาร์ตน้อย ขับในเมืองกทม.เป็นหลัก ปกติขับคนเดียวแต่ชอบ SUV ค่ะ และถ้ามีข้อมูลเกี่ยวกับค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา ราคามือ 2 (ประมาณ 5 ปีข้างหน้า) ของทั้ง 2 รุ่นจะดีมากค่ะ และถ้าเกิดอุบัติเหตุ รถไฟฟ้าจะอันตรายกว่ามั้ยคะ ควรซื้อไฮบริดใช้ก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หรือซื้อแบบไฟฟ้าไปเลยดีคะ (รถคันแรก) ขอบคุณมากค่ะ
ตีความ อ่านใจ จากคำถาม
ดูพี่จะยังกล้าๆ กลัวๆ และไม่ค่อยรู้เรื่องรถในเชิงวิศวกรรม
จึงอยากแนะนำให้เลือกรถที่เป็นม้าใช้งาน ใช้งานได้ทุกวัน
ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องปรับตัว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม
เอาเวลาไปใช้ชีวิตทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่าครับ
ส่วนรถไฟฟ้า ถ้าวันนี้ยังไม่ได้มีแพชชั่นอะไรพิเศษกับมัน
รอไว้ใช้ตอนที่ทุกคนใช้รถไฟฟ้ากันหมดแล้ว เหลือคน
ที่ใช้รถน้ำมันเป็นส่วนน้อยดีกว่าครับ ยังไม่ต้องรีบ
ถ้าไม่ได้มีแพชชั่นที่จะต้องเป็นผู้นำเทรน จะต้องเป็นคนกลุ่มแรกๆ
ที่ใช้รถไฟฟ้าหรอกครับ ยังไงวันข้างหน้าก็ต้องได้ใช้
ให้คนที่เขามีแพชชั่นแรงกล้าได้ใช้ไปก่อนพื่อเป็นการกรุยทาง
แก้ปัญหาต่างๆ ก็ได้ครับ
-
ตามเงื่อนไขเกือบทั้งหมดที่คุณว่ามา เลือก CRV จะสะดวกสบายกับชีวิตตัวเองมากกว่าครับ
Tesla ถ้าไม่มี wall charge ที่บ้าน ชีวิตจะวุ่นวายหน่อยครับ ชาร์จตามปั้มก็ไม่ได้เร็วเท่าที่โฆษณาไว้ แทบจะ /2 /3
ขนาดจัด super charge ของ tesla เอง เสปคแรงมาก ก็ชาร์จเร็ว แค่ช่วงสั้นๆ ไม่ได้อัดเต็มพลังตลอดเวลาครับ
-
แค่เข้าปั๊มเติมน้ำมัน ต่อคิว 3-4 ยังรู้สึกว่านานเลยครับ ชีวิตคนทำงานครับ ต้องรีบไปทำงานหนีรถติด
หรือเดินทางไป ตจว ช่วงวันหยุดบ้าง หรือวันหยุดก็อยากนอนพักผ่อนบ้าง ยิ่งอยู่คอนโดด้วย ไม่อยากวุ่นวาย
อยู่แต่กับรถ ไปชาร์ตแบตรถ หรือ เดินทางต้องวางแผนอะไรมากมาย ลองพิจารณาดูแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน
-
Model Y ประกันชั้น 1 ราคา 40,000-55,000 บาท
ค่าบำรุงรักษาหลักๆ สลับยางทุก 10,000km (ทำ bquick ได้) เปลี่ยนกรองแอร์ทุกๆ 20,000-40,000 km (ทำข้างนอกได้)
ของ crv รอผู้รู้ท่านอื่นมาตอบ
จากลักษณะการใช้คือได้หมดทุกคัน ถ้าคอนโดอยู่ใน กทม แนะนำแวะชาร์จ supercharge อาทิตย์ละครั้งก็สะดวกดี
ข้อควรระวังคือ 0 ซ่อมตัวถังเทสล่าน้อย ชนหนักรอคิวยาว
ถ้าสนใจเทสล่ามาก อยากแนะนำคือให้ไปลองเช่าขับสัก 1 อาทิตย์ครับ ดูว่าเราไหวไหม ถ้าคิดว่าลำบาก ไม่ตอบโจทย์ ก็ไป CRV ครับ
การเซอร์วิสข้างนอกศูนย์ หากมีปัญหาเกิดขึ้น ทางเทสลาจะอ้างเป็นเหตุให้ประกันจุดนั้นๆหลุดได้หรือไม่ครับ
-
ในแง่การใช้งาน
วันนี้ยังไงๆ ก็ต้องรถไฟฟ้าแล้วนะ มันเลยจุดก้ำกึ่งเหมือน 1-10 ปีก่อน ตอน Hybrid มาใหม่ คนกลัวแล้ว ผมว่ามันเลยจุดนั้นไปแล้ว
ผมเชียร์ Model Y แน่นอน
ส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla เองก็ได้ ในเมืองเยอะครับ มันจะต้องวางแผน แค่ ตอนออกต่างจังหวัด ถ้าใช้ในเมืองไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่องอนาคต มันก็คือ อนาคต ครับ บางคนบอก ถ้าเขาปิดศูนย์หนีละ คำถามคือ คุณรู้ได้ยังไง? ผมกลับกลัวบางยี่ห้อที่ขายรถ ICE อยู่ตอนนี้ต่างหากที่จะปิดตัวหรือเลิกขายไปด้วยซ้ำนะ เอาจริงๆ
การดูแลรักษา ผมว่า ถ้าคุณผ่านรถน้ำมันมาได้ รถไฟฟ้า โดยเฉพาะ ผู้หญิง ดูแลง่ายกว่ามาก บอกเลย
สิ่งเดียวที่ต้องกังวล คือ คุณใช้งานมากไหม กี่ปี และ ราคาขายต่อ(มือสอง) ณ ตอนนั้น ต่างหาก ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ก็จงใช้รถให้มีความสุขกับปัจจุบันครับ ไม่ต้องกังวลอะไร
ไม่เห็นด้วยหลายๆเรื่องเลยครับ
ส่วนที่บอกว่าส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla นี่คือสำหรับผมซีเรียสมาก ถ้าทุกอาทิตย์ต้องเสียเวลาไปชาร์จ1-2ชม.ทุกอาทิตย์นี่ผมไม่เอาเด็ดขาด แต่บางคนอาจจะไม่คิดเหมือนผมก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้แหละเป็นประเด็นสำคัญว่ารับได้มั้ย ถ้ารับได้ก็ไปต่อได้
อีกเรื่องคือการซ่อมเวลาเกิดอุบัติเหตุ มีศูนย์เดียวคิวซ่อมรอเป็นชาติ ห้ามซ่อมข้างนอกประกันขาด เบิกอะไหล่ไม่ได้ บอกจะเปิดเพิ่มแต่ที่ไหนเมื่อไหร่ไม่รู้ อันนี้น่ากังวลสุดแล้ว เป็นรถคันเดียวที่มีรอซ่อมซัก1-3เดือนก็จบแล้ว
ผมว่า2เรื่องนี้น่ากังวลกว่าราคาขายต่อเยอะ
-
ในแง่การใช้งาน
วันนี้ยังไงๆ ก็ต้องรถไฟฟ้าแล้วนะ มันเลยจุดก้ำกึ่งเหมือน 1-10 ปีก่อน ตอน Hybrid มาใหม่ คนกลัวแล้ว ผมว่ามันเลยจุดนั้นไปแล้ว
ผมเชียร์ Model Y แน่นอน
ส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla เองก็ได้ ในเมืองเยอะครับ มันจะต้องวางแผน แค่ ตอนออกต่างจังหวัด ถ้าใช้ในเมืองไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่องอนาคต มันก็คือ อนาคต ครับ บางคนบอก ถ้าเขาปิดศูนย์หนีละ คำถามคือ คุณรู้ได้ยังไง? ผมกลับกลัวบางยี่ห้อที่ขายรถ ICE อยู่ตอนนี้ต่างหากที่จะปิดตัวหรือเลิกขายไปด้วยซ้ำนะ เอาจริงๆ
การดูแลรักษา ผมว่า ถ้าคุณผ่านรถน้ำมันมาได้ รถไฟฟ้า โดยเฉพาะ ผู้หญิง ดูแลง่ายกว่ามาก บอกเลย
สิ่งเดียวที่ต้องกังวล คือ คุณใช้งานมากไหม กี่ปี และ ราคาขายต่อ(มือสอง) ณ ตอนนั้น ต่างหาก ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ก็จงใช้รถให้มีความสุขกับปัจจุบันครับ ไม่ต้องกังวลอะไร
ไม่เห็นด้วยหลายๆเรื่องเลยครับ
ส่วนที่บอกว่าส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla นี่คือสำหรับผมซีเรียสมาก ถ้าทุกอาทิตย์ต้องเสียเวลาไปชาร์จ1-2ชม.ทุกอาทิตย์นี่ผมไม่เอาเด็ดขาด แต่บางคนอาจจะไม่คิดเหมือนผมก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้แหละเป็นประเด็นสำคัญว่ารับได้มั้ย ถ้ารับได้ก็ไปต่อได้
อีกเรื่องคือการซ่อมเวลาเกิดอุบัติเหตุ มีศูนย์เดียวคิวซ่อมรอเป็นชาติ ห้ามซ่อมข้างนอกประกันขาด เบิกอะไหล่ไม่ได้ บอกจะเปิดเพิ่มแต่ที่ไหนเมื่อไหร่ไม่รู้ อันนี้น่ากังวลสุดแล้ว เป็นรถคันเดียวที่มีรอซ่อมซัก1-3เดือนก็จบแล้ว
ผมว่า2เรื่องนี้น่ากังวลกว่าราคาขายต่อเยอะ
อันนี้ผมก็มองใมมุมของผมครับ
เพราะเคยมีหลายๆ กรณี หลายๆ คอนโด บอกว่าจะมีการติดตั้งช่องชาร์จให้ในคอนโด แต่สุดท้ายไปต่อไม่ได้ เพราะ คอนโด เป็นพื้นที่ส่วนกลาง(สำหรับทุกคน) จะอำนวยความสะดวกเฉพาะกลุ่ม มันก็ไม่ถูก ดังนั้น เวลาเที่ยว กินข้าว ซื้อของ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จอดชาร์จให้เต็ม 30-60 นาที(จริงๆ ไม่ต้องชาร์จให้เต็มก็ได้) มาใช้งานทั้งอาทิตย์ก็เหลือๆ แล้ว ไปนั่งกินข้าว เดินห้างนานกว่านี้อีก (รถน้ำมันก็ต้องไปเติมน้ำมันนะครับ)
เรื่องซ่อม มีที่ไหน รถในประกัน เขาให้ไปซ่อมข้างนอกได้ครับ ไม่มีหรอก
เรื่องอะไหล่ ณ ตอนนี้ เท่าที่ทราบ ไม่ใช่เฉพาะค่ายนี้ที่รออะไหล่นาน ค่ายจีนแทบทั้งหมด มันเป็น มีม ไปแล้วว่า รถอะไร 3 เดือน 6 เดือน
เรื่องศูนย์ เข้าศูนย์ สามารถนัดล่วงหน้าได้ครับ
สุดท้าย เรื่องราคาขายต่อ ผมขออ้างอิงตลาดเมืองนอกนะครับ รถยี่ห้อนี้ ผ่านไป 5 ปี ราคารถมือสองลดลง 50-60%
ถามว่า รถน้ำมัน 5 ปี ผ่านไป ลดลงเท่าไหร่ ??
รถ 1 ล้าน 5 ปีผ่านไป ลดลงสัก 40% ขายได้ 6 แสน นี่ถือว่าต้องเป็นรถตลาด ที่ราคาแข็งมากๆ แล้วนะครับ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรถยุโรปเลย 5 ปีผ่านไป หมด BSI มือหนึ่งเกือบ 3 ล้าน มือสองเหลือ 1 ล้านต้นๆ มันลดไป 50-60%
อย่างที่บอกครับ เรื่องขายต่อ ถ้าซื้อมาใช้งาน ก็ใช้งานให้คุ้ม ทั้งระยะวิ่ง และ ค่าน้ำมัน ส่วน ราคาขายต่อ ถ้ามันยังไม่ชัดเจน เอาอนาคตที่ยังไม่รู้ มานั่งกลัวซะก่อน และ ยังไม่ได้หดหายไปจนรับไม่ได้ ก็ใช้งานให้มีความสุขครับ
-
ในแง่การใช้งาน
วันนี้ยังไงๆ ก็ต้องรถไฟฟ้าแล้วนะ มันเลยจุดก้ำกึ่งเหมือน 1-10 ปีก่อน ตอน Hybrid มาใหม่ คนกลัวแล้ว ผมว่ามันเลยจุดนั้นไปแล้ว
ผมเชียร์ Model Y แน่นอน
ส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla เองก็ได้ ในเมืองเยอะครับ มันจะต้องวางแผน แค่ ตอนออกต่างจังหวัด ถ้าใช้ในเมืองไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่องอนาคต มันก็คือ อนาคต ครับ บางคนบอก ถ้าเขาปิดศูนย์หนีละ คำถามคือ คุณรู้ได้ยังไง? ผมกลับกลัวบางยี่ห้อที่ขายรถ ICE อยู่ตอนนี้ต่างหากที่จะปิดตัวหรือเลิกขายไปด้วยซ้ำนะ เอาจริงๆ
การดูแลรักษา ผมว่า ถ้าคุณผ่านรถน้ำมันมาได้ รถไฟฟ้า โดยเฉพาะ ผู้หญิง ดูแลง่ายกว่ามาก บอกเลย
สิ่งเดียวที่ต้องกังวล คือ คุณใช้งานมากไหม กี่ปี และ ราคาขายต่อ(มือสอง) ณ ตอนนั้น ต่างหาก ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องรอง ก็จงใช้รถให้มีความสุขกับปัจจุบันครับ ไม่ต้องกังวลอะไร
ไม่เห็นด้วยหลายๆเรื่องเลยครับ
ส่วนที่บอกว่าส่วนอยู่คอนโด ก็ไปชาร์จตามปั้มชาร์จ ตามห้าง ตามปั้ม หรือ supercharge ของ Tesla นี่คือสำหรับผมซีเรียสมาก ถ้าทุกอาทิตย์ต้องเสียเวลาไปชาร์จ1-2ชม.ทุกอาทิตย์นี่ผมไม่เอาเด็ดขาด แต่บางคนอาจจะไม่คิดเหมือนผมก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้แหละเป็นประเด็นสำคัญว่ารับได้มั้ย ถ้ารับได้ก็ไปต่อได้
อีกเรื่องคือการซ่อมเวลาเกิดอุบัติเหตุ มีศูนย์เดียวคิวซ่อมรอเป็นชาติ ห้ามซ่อมข้างนอกประกันขาด เบิกอะไหล่ไม่ได้ บอกจะเปิดเพิ่มแต่ที่ไหนเมื่อไหร่ไม่รู้ อันนี้น่ากังวลสุดแล้ว เป็นรถคันเดียวที่มีรอซ่อมซัก1-3เดือนก็จบแล้ว
ผมว่า2เรื่องนี้น่ากังวลกว่าราคาขายต่อเยอะ
อันนี้ผมก็มองใมมุมของผมครับ
เพราะเคยมีหลายๆ กรณี หลายๆ คอนโด บอกว่าจะมีการติดตั้งช่องชาร์จให้ในคอนโด แต่สุดท้ายไปต่อไม่ได้ เพราะ คอนโด เป็นพื้นที่ส่วนกลาง(สำหรับทุกคน) จะอำนวยความสะดวกเฉพาะกลุ่ม มันก็ไม่ถูก ดังนั้น เวลาเที่ยว กินข้าว ซื้อของ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จอดชาร์จให้เต็ม 30-60 นาที(จริงๆ ไม่ต้องชาร์จให้เต็มก็ได้) มาใช้งานทั้งอาทิตย์ก็เหลือๆ แล้ว ไปนั่งกินข้าว เดินห้างนานกว่านี้อีก (รถน้ำมันก็ต้องไปเติมน้ำมันนะครับ)
เรื่องซ่อม มีที่ไหน รถในประกัน เขาให้ไปซ่อมข้างนอกได้ครับ ไม่มีหรอก
เรื่องอะไหล่ ณ ตอนนี้ เท่าที่ทราบ ไม่ใช่เฉพาะค่ายนี้ที่รออะไหล่นาน ค่ายจีนแทบทั้งหมด มันเป็น มีม ไปแล้วว่า รถอะไร 3 เดือน 6 เดือน
เรื่องศูนย์ เข้าศูนย์ สามารถนัดล่วงหน้าได้ครับ
สุดท้าย เรื่องราคาขายต่อ ผมขออ้างอิงตลาดเมืองนอกนะครับ รถยี่ห้อนี้ ผ่านไป 5 ปี ราคารถมือสองลดลง 50-60%
ถามว่า รถน้ำมัน 5 ปี ผ่านไป ลดลงเท่าไหร่ ??
รถ 1 ล้าน 5 ปีผ่านไป ลดลงสัก 40% ขายได้ 6 แสน นี่ถือว่าต้องเป็นรถตลาด ที่ราคาแข็งมากๆ แล้วนะครับ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรถยุโรปเลย 5 ปีผ่านไป หมด BSI มือหนึ่งเกือบ 3 ล้าน มือสองเหลือ 1 ล้านต้นๆ มันลดไป 50-60%
อย่างที่บอกครับ เรื่องขายต่อ ถ้าซื้อมาใช้งาน ก็ใช้งานให้คุ้ม ทั้งระยะวิ่ง และ ค่าน้ำมัน ส่วน ราคาขายต่อ ถ้ามันยังไม่ชัดเจน เอาอนาคตที่ยังไม่รู้ มานั่งกลัวซะก่อน และ ยังไม่ได้หดหายไปจนรับไม่ได้ ก็ใช้งานให้มีความสุขครับ
ครับ ก็เรื่องชาร์ตผมก็บอกไปแล้วว่าแล้วแต่แต่ละคน สำหรับผมถ้าต้องไปชาร์จอาทิตย์ละครั้งครั้งละชั่วโมงผมก็ไม่เอา ต่อให้เป็นห้างก็เถอะ แต่บางคนที่เค้าใช้คอมทำงานที่ไหนก็ได้หรือเวลาว่างเหลือเฟือก็อาจจะโอเค
ส่วนเรื่องซ่อม จขกท.เค้าเทียบกับCRVจะเอาไปเทียบกับค่ายจีนทำไมล่ะครับ แล้วก็ผมพูดถึงซ่อมเวลาเกิดอุบัติเหตุ ต่อให้รถอยู่ในประกันยี่ห้ออื่นเค้าก็ซ่อมอู่กันปกติเพราะมันคนละเรื่องกันกับการรับประกันตัวรถ หรือต่อให้ประกันศูนย์ค่ายญี่ปุ่นก็มีศูนย์ให้เข้าซ่อมเป็นสิบๆ ไม่เหมือนเทสล่าที่ชนทีทั้งประเทศต้องเอามาซ่อมที่ศูนย์เดียว
ส่วนเรื่องราคาขายต่อ ผมก็บอกแล้วว่าไม่น่ากังวลเท่า2เรื่องบนเพราะตอนนี้รถอะไรมันก็ราคาขายต่อตกหมด ก็เลยไม่เห็นด้วยที่คุณบอกว่า"สิ่งเดียวที่ต้องกังวล คือ คุณใช้งานมากไหม กี่ปี และ ราคาขายต่อ(มือสอง) ณ ตอนนั้น"ไงครับ