ทั้งนี้ จะแพงขึ้นหรือถูกลง ส่วนหนึ่งเราต้องรู้ CO2 ที่วัดตามมาตรฐานไทย
มาตรฐานเมืองนอกใช้อ้างอิงได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าบ้านเราจะเล่นแร่แปรธาตุอะไรกันแบบไหน
CO2 rating ของรถอังกฤษกับนิวซีแลนด์ยังต่างกันได้เลยครับ แต่ไม่มาก
ผมลองเก็ง เดาแบบหลักการ 50% แล้วแปลเป็นภาษาคนทั่วไป ได้ไอเดียมาประมาณนี้นะ อย่าเพิ่งเชื่อ 100% เพราะ
ผมเอาสูตรคำนวณมาจากหน้านี้
http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002
ซึ่งในหัวข้อ ม.8 (1) ผมยังงงอยู่ว่าสรรพสามิตคำนวณวิธีไหน แต่ผมลองดู Example ของเขาแล้ว สูตรที่ได้ค่าตามนั้น
คือสรรพสามิตคำนวณโดยเอามูลค่ารถ(ที่โรงงาน รวมกำไรแล้ว) แล้วไปคูณกับอัตราภาษี เช่นรถ 500,000 บาท อัตราภาษี
50% ก็คือ 500,000 x 0.5 ได้เป็นอัตราภาษี เท่ากับ 250,000 จากนั้นบวกมหาดไทยอีก 10% ของ 250,000 ทำให้
ภาษีที่ต้องจ่ายโดยรวมเท่ากับ 275,000 แล้วนำอันนี้ไปบวกกับราคารถ แล้วไปคิด VAT เพิ่ม 7% ได้มาเป็นราคาหน้าโชว์รูม1. ชาวอีโคคาร์ - ผลกระทบน้อยมากครับ บางรุ่นได้สรรพสามิตที่อาจจะถูกลงด้วยแต่บริษัทรถคงใช้วิธียัดออพชั่นมากกว่าลดราคาลง
2. ชาวพันห้าพาเพลิน - ผลกระทบน้อยครับ เดิมน่ะพวกที่เติม E20 ได้ก็เสียอยู่ 25% ส่วนอัตราใหม่ก็ 30% รถที่เคย 6แสนปลายก็จะเพิ่ม
เป็น 7 แสนต้น แ
ต่ถ้าทำรถที่เคยเติมได้ถึงแค่ E20 ให้มันเติม E85 หรือ CNG ได้ซะ ก็จะลดจาก 30 เหลือ 25% ซึ่งก็คือสรรพสามิตเท่าเดิม
ส่วนรถที่เติม E85 ได้อยู่แล้วจะแพงขึ้นนิดหน่อยสมมติเรามีรถ 1.5 ลิตรสักคันใน B-Segment ที่เติม E85 ได้แล้วราคาปัจจุบันอยู่ที่ 730,000 โดยประมาณ
พอสรรพสามิตอัตราใหม่บังคับใช้ ราคาจะเพิ่มเป็น 750,000 บาทโดยประมาณ
ส่วนรถ 1.5 ลิตรที่เติม E85 ไม่ได้ และยังจะคงเติม E85 ไม่ได้ต่อไป..สมมติว่าราคาเดิม 690,000 บาท
เมื่อสรรพสามิตใหม่บังคับใช้ ราคาจะเพิ่มเป็น 720,000..แต่ถ้าเขาทำให้มันรองรับ E85 เสีย ราคาก็จะกลับมาเท่าเดิมได้
แต่มันจะต้องไปกิน % กำไรกับต้นทุนในราคาเริ่มต้นของรถ ตรงนี้ผมไม่สามารถบอกกลวิธีได้หรอกครับว่าจะทำยังไง* ข้อนี้ ผมเดาจากสมมติฐานว่ารถพันห้าบ้านเราปล่อยมลพิษไม่เกิน 150 กรัม/ก.ม. กัน ซึ่งก็ไม่ควรจะเกินนี้หรอกครับ
3. ชาว C-Segment - ผลกระทบแล้วแต่รุ่นครับ
สมมติว่ารถรุ่นหนึ่ง C-Segment นะ..ราคา 900,000 บาท และตอนนี้เติม E85 ได้อยู่แล้ว
ถ้าสมมติวัด CO2 ออกมาได้ต่ำกว่า 150กรัม = ได้ราคา 924,000 แพงขึ้น 24,000 บาท
ถ้าวัด CO2 ออกมาได้เกิน 150 แต่ไม่เกิน 200 - ได้ราคา 964,000 แพงขึ้น 64,000 บาท
สมมติอีกกรณี ว่ารถรุ่นนึงเติมได้แค่ E20 และขายในปัจจุบันด้วยราคา 830,000
ถ้าสมมติวัด CO2 ออกมาได้ต่ำกว่า 150กรัม = ได้ราคา 868,000 แพงขึ้น 38,000 บาท
แต่ถ้า CO2 ทะลุ 150 ก็อาจจะโดน 903,000 คือแพงขึ้น 73,000 บาท
แต่ถ้าทำรถคันนี้ให้เติม E85 ได้. ก็จะมีราคาขายกลับมาอยู่ 830,000 เท่าเดิม แต่เช่นเดียวกับ
เซกเมนต์ก่อนหน้านี้คือต้องหาวิธีว่าทำยังไงให้รถเติม E85 ได้แล้วราคาหน้าโรงงานยังอยู่เท่าเดิม
4. ชาว D-Segment 2.0 และ SUV พื้นฐานเก๋ง 2.0 ลิตร (ประกอบในประเทศ)
รถบางรุ่นที่ขายอยู่ 1,300,000 บาท แล้วเติม E85 ได้อยู่แล้ว ราคาจะขึ้น
ถ้า CO2 <=150g จะไปจบที่ 1,336,000 บาทโดยประมาณ แพงขึ้น แต่ก็ไม่มาก
ถ้า CO2 > 150g จะไปจบที่ 1,394,000 บาทโดยประมาณ
ส่วนรถที่ราคา 1,300,000 และปัจจุบันเติมได้แค่ E20 แล้วไม่คิดจะทำให้เติม E85 ได้ จะแพงแค่ไหน
ถ้า CO2 <=150g ก็จะไปจบที่ 1,357,000 บาท
ถ้า CO2 > 150g จะไปจบที่ราว 1,413,000 บาท
5. ชาว D-Segment และ SUV พื้นฐานเก๋ง ปอดโตกว่า 2 ลิตร - ประกอบในประเทศ
พวกนี้ความเป็นไปได้ที่จะ CO2 น้อยกว่า 150g จะน้อยแล้วครับ เท่าที่เห็นคือ 160-199 กันซะเยอะ
สมมติว่ารถคันนึงเครื่อง 2.4 ลิตร เติม E85 ได้อยู่แล้ว แล้วขายประมาณ 1.7 ล้านบาท
เจอสรรพสามิตอัตรา CO2 >150g (แต่ไม่เกิน 200) ซึ่งชาร์จ 35% แต่ได้หักลบ 5% เหลือ 30 เพราะเติม E85 ได้
แบบนี้ราคาจะกลายเป็น 1,743,000 บาท
ส่วนรถอีกคัน ขายอยู่ 1.5 ล้าน แต่เติมได้ถึงแค่ E20 ปล่อยมลพิษเท่ากับคันตะกี้
ราคา 1,500,000 บาท ก็จะกลายเป็น 1,563,000 บาท
6. ชาวไฮบริด - คุณจะต้องปล่อยมลพิษน้อยเท่าอีโคคาร์เฟส 2 (100 กรัมหรือน้อยกว่า/ก.ม.) และความจุน้อยกว่า 3.0 ลิตรถึงจะไม่ได้รับผลกระทบใดพูดก็พูดนะ Accord Hybrid เอย Camry Hybrid เอยเนี่ยเตรียมตัวระวังกันไว้ได้เลย ราคามีสิทธิ์เพิ่มเป็นแสน เพราะสรรพสามิตจาก 10% ก็จะโดน 20 หรือ 25% แทน
7. ชาวเทอร์โบยุโรป 2.0 ลิตร ม้า 180-200 ต้นๆ - ชีวิตอาจจะไม่เปลี่ยนมากเพราะจากเดิมสรรพสามิต 25-30% อยู่แล้ว ของใหม่ถ้าเป็นอย่าง VW Golf ก็จะได้ 30% ครับ หรือถ้าตัวโตกว่านั้นหน่อยก็ 35% ดังนั้นรถที่เคย 3 ล้าน ก็อาจจะเป็น 3.1 ล้านบาท ผมมองว่า 1 แสนบาทในโลกของคนเล่นรถพรีเมียมไม่ใช่เรื่องใหญ่แบบแสนบาทในรถระดับ Mass ทั่วไป
8. ชาวเทอร์โบ ม้าเกิน 220 แต่ความจุไม่เกิน 3.0 ลิตร - ชีวิตโคตร Happy ครับ เพราะจากเดิมสรรพสามิต 50% ก็จะลดลงแน่นอน ต่อให้ปล่อย CO2 เกิน 200 กรัม/ก.ม. คุณก็ยังได้สรรพสามิต 40% และบางรุ่นอย่าง BMW M4 DCT จะได้ 35% ด้วยซ้ำเพราะ CO2 rating อยู่ที่ 197 ครับ
จาก 8 ข้อนี้ น่าจะพอเห็นภาพกัน แต่ติดเงื่อนไขอยู่ 3 ข้อ สำคัญมากนะครับ จะมาหาว่าผมไม่บอกไม่ได้นะ
1. CO2 ในการคำนวณของจริงจะยึดตามการวัดของประเทศไทย "เรายังไม่รู้ว่ามันจะเท่าไหร่" แต่มันไม่ควรต่างจากเมืองนอกมาก
ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
2. รถแรงๆบางรุ่น ผมตั้งข้อสงสัยว่าม้าทะลุ 220 แต่ทำราคาได้ถูกเพราะแจ้งสรรพสามิตน้อยกว่าความเป็นจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น
รถพวกนี้ราคาก็จะไม่ถูกลง แต่อาจจะเพิ่มด้วยซ้ำไป ไม่ต้องหลังไมค์มาถามผมนะครับ เดี๋ยวโดนฟ้อง
3. การคำนวณของผม เปลี่ยนแปลงเฉพาะส่วนของสรรพสามิตตามเงื่อนไขใหม่ และวิธีการคำนวณผมใช้วิธีสร้างสูตร
แล้วคำนวณให้ได้เลขตามตัวอย่างของเว็บ
http://bta.excise.go.th/calculate_tax_car.php?calculate_id=0002จากนั้นก็เอาสูตรที่ได้ลง Excel มาคำนวณกับรถรุ่นอื่นๆดู ..แล้วก็ต้องไม่ลืมนะครับว่าพอถึงปี 2559 ตัวแปรอีกตัวที่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้คือ "ราคาหน้าโรงงาน" (ราคาของรถ ก่อนรวมสรรพสามิต ภาษีมหาดไทย และ VAT)
หรือในกรณีของรถนำเข้า ก็คือ "ราคา CIF ซึ่งได้แก่ค่ารถจากโรงงาน รวมอากร ค่าขนส่งนำเข้าและค่าธรรมเนียมอื่นๆ"
ผมยกตัวอย่างอีกอันแล้วกัน
สมมติว่ามี SUV รุ่นนึง เครื่อง 2.5 ลิตร นำเข้าจากแถบอาเซียน ราคาปัจจุบันอยู่ 1,440,000 บาทและรับ
สรรพสามิค 35% แต่ได้ลดเหลือ 30% เพราะเติม E20 ได้
รถรุ่นนี้ โชว์รูมบางแห่งบอกว่าปีหน้าจะโดนสรรพสามิต 40% นั่นแปลว่ารถคันนี้ปล่อย CO2 เกิน 200กรัม
(ซึ่งเยอะมาก รถรุ่นเดียวกันในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ปล่อยไม่เกิน 180g) เอาเป็นว่าถ้าหากโดนแบบนั้นจริงๆ
ราคาจะเป็น 1.722 ล้าน เพิ่มไปอีกตั้ง 280,000!
แต่ช้าก่อน ถ้าสมมติว่าบริษัทรถทำให้มันปล่อยมลภาวะได้น้อยกว่า 200g มันก็จะเหลือ 1,568,000
(เพิ่มขีดความสามารถในการเติม E85 เข้าไป ราคาก็จะลดลงอีกจนเหลือใกล้เคียงเดิม)
หรือถ้าสมมติว่าเอาสรรพสามิต 35% เป็นตัวตั้ง ราคาเก็งไว้ 1,568,000 แล้วบริษัทรถหาทางลดต้นทุน
ไม่ว่าจะจากราคาโรงงาน หรือส่วนไหนก็ตามแต่ หากพวกเขา ลดค่าใช้จ่ายต้นทางลงได้คันละ 30,000 บาท
ราคาของรถจะลงจาก 1,568,000 มาเหลือ 1,513,000 ได้เหมือนกัน..แต่คนบริษัทรถคงด่าผมกระจาย
เค้น 30,000 บาทจากรถคันนึงนี่ไม่ใช่ง่ายนะครับบอกไว้ก่อน แต่ผมแค่เสนอให้ผู้อ่านเห็นตรงนี้ว่าหนทาง
แก้ปัญหามันมีแต่จะได้มากน้อยแค่ไหนนี่ต้องลุ้นเอาครับ