ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมรถเก๋งแพงกว่ารถกระบะ? และทำไมรถเก๋งไม่เอาเครื่องแรงๆอย่างในรถกระบะมาใส่ครับ  (อ่าน 9960 ครั้ง)

ออฟไลน์ kwancanoe

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 172
    • อีเมล์
ตามหัวข้อเลยครับ

ผมเห็นรถกระบะที่ราคาระดับเกือบๆล้านนั้นเครื่องแรงมากๆ ระดับ 200 แรงม้า แรงบิดก็ตั้ง 400 - 500 นิวตัน ราคาก็แค่ระดับนั้น แต่ถ้าอยากได้เครื่องแรงระดับนี้ในรถเก๋ง ราคาคงโดดไปไกลสุดกู่ ถ้าจะบอกว่าเพราะเทคโนโลยีที่เทียบกันไม่ได้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะว่าพวกรถกระบะ 4 ประตูรุ่นท๊อบๆนั้นก็มีเทคโนโลยีที่ล้ำทั้งนั้น ส่วนราคาก็ไม่แรงเหมือนเก๋ง

ผมก็เลยอยากรู้ว่า
1. ทำไมเขาไม่เอาเครื่องรถกระบะที่แรงๆแบบนั้นมาใส่ในพวก C-Segment บ้านๆที่พวกๆเราเห็นๆกันครับ?
2. ทำไมรถเก๋งมันแพงกว่ารถกระบะ ทั้งๆที่ก็แข็งน้อยกว่า, เล็กกว่า, เทคโนโลยีก็พอๆกัน, เครื่องก็เล็กกว่า ว่ากันตรงๆเอาชิ้นส่วนตางรางนิ้วต่อตารางนิ้ว และชิ้นส่วนต่อชิ้นส่วน แล้วนั้นกระบะก็น่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าด้วยซ้ำ?

ปล. ถ้าได้เครื่อง 2.8 ดีเซล 200 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตั้น ของ Corolado มาใส่ในพวก Civic, Focus, Cruze, Lancer EX, Mazda3 หรือ แม้แต่ Altis คงจะแรงน่าดู  ;D :D

ออฟไลน์ FlyMe

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 293
    • อีเมล์
Re: ทำไมรถเก๋งแพงกว่ารถกระบะ?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2014, 19:50:27 »
โครงสร้างภาษี

ประเทศไทยมีอะไรหลายอย่างที่บิดเบือน เพราะการตั้งโครงสร้างภาษี ที่ทำให้สินค้ามีราคาที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริง  เช่น LPG/NGV ถูก  แต่น้ำมันเบนซินแพงมาก  รถยนต์ก็เช่นกัน

ออฟไลน์ Freekick042

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 859
เครื่องนี่ รถเก๋งมันไม่ต้องการแรงบิดขนาดนั้นในการใช้ประจำวันครับ แรงบิดเยอะๆแบบนั้นต้นหายม้าตะกุยพื้นหมดคนเค้าจะบ่นกัน
ไอ้เรื่องราคาผมก็เซ็งครับ พี่เพิ่งถอยDmaxแค่7แสนมีจอGPSให้ด้วย ผมถอยซีวิคเกือบล้านไม่มี

ออฟไลน์ pongisra

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,458
หลักๆก็เรื่องภาษีครับ

สมมติถ้าเอา 2.8 มาลง C-seg กลายเป็นว่าภาษีจะเท่ารถพวก D-seg 2.4 2.5 ไปเลย แถมไม่มีส่วนลดภาษีจากการใช้ e20 e85 ใดๆเลย

อีกประเดนคือเครื่องกระบบออกแบบมาเพื่อการฉุดลากของหนักๆ เอามาใส่ในเก๋งคงไม่เข้ากันเท่าใหร่

ออฟไลน์ Highway Star

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,930
โครงสร้างภาษีที่บิดเบือนครับ ที่กดราคาให้กระบะราคาถูก

ส่วนเครื่องดีเซลที่อยู่ในกระบะวางในเก๋งcsegคงไม่ได้หรอกครับ แค่ขนาดกับระบบขับเคลื่อนก็ไม่ได้แล้ว เก๋งดีเซลซีเซกเมนต์ตอนนี้ก็มีแต่ครูชกับโฟกัสตัวเก่า

ออฟไลน์ Hadoken Shoryuken

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,281
เครื่องดีเซลกระบะใส่เก๋ง C-SEG ไม่ได้หรอกครับเพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใส่เก๋ง
ต้องเป็นเครื่องดีเซลของSUVอย่าง Captiva 2.0 VCDI, CX-5 Skyactiv-D แต่ราคาก็กระโดดไปสะไกลมากเพราะภาษีดีเซลบ้านเรา

ออฟไลน์ comet1123

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 277
โดยหลักๆก็โครงสร้างของภาษีอ่ะคับ เพราะภาษีของกระบะนั้นถูกกว่ารถเก๋งซีดาน โดยมองกันว่ารถกระบะนั้นมาใช้เพื่อการพาณิชย์
เสียส่วนใหญ่ เลยกำหนดภาษีให้ถูกกว่า และอีกอย่างราคาเครื่องดีเซลก็แพงกว่าเครื่องเบนซินไม่น้อย ถ้าเอามาลงในรถซีดานแล้ว
คงได้เห็นรถพวก D-seg(ดีเซลคงจะใหญ่เกินที่จะลงห้องเครื่องC-seg) ทะลุ2ล้านแน่ๆอ่ะคับ เพราะอย่างพวกรถฝั่งยุโรปที่เอาเครื่องดีเซล
มาลงในซีดานนั้น ผมคิดว่าตัวถังก็พอๆกับรถD-segของฝั่งญี่ปุ่นอ่ะคับ

ออฟไลน์ Tyde

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 501
คิดเล่นๆถ้าเอามาวางจริงก็ต้องทำเป็นขับหลัง  แรงบิด 500nm  Supercar ชัดๆ   ;D  เอามาวิ่งนี่คงออกแนวmuscle car ล้อปั่นกันควันขโมง

ออฟไลน์ decptt

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,571
จากกระทู้ "ภาษีรถยนต์ปี 2559 กันอีกซักรอบนะครับ เห็นว่าหลายๆ คนยังเข้าใจผิด"

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php?topic=27171.0
อัตราภาษีรถยนต์นั่ง 30%
ภาษีกระบะ 3%




http://www.kmotors.co.th/sales-k-motors/%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%9B%E0%B8%B559/
ขึ้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ปี59
หลังจากที่โครงการรถคันแรกได้รับการตอบรับแบบถล่มทลาย ค่ายรถต่างๆ(โดยเฉพาะรุ่นที่เข้าโครงการ) ก็ได้รับผลบุญขายดิบขายดีกันเป็นแถวๆ จนบางเจ้าต้องรอรถกันเป็นปีๆทีเดียว แต่คนที่รับภาระหนักก็คงจะตกอยู่กับกรมสรรพสามิต ที่นอกจากรายได้จากภาษีรถยนต์ใหม่ที่เข้าโครงการรถคันแรกที่หดหายไปบานแล้ว เจ้าหน้าที่ของกรมฯเองก็ต้องทำงานกันตาแตก แบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อรองรับคลื่นมหาชนที่มายื่นเรื่องคืนภาษีให้ทันตามกำหนดเวลา

และด้วยเหตุที่รายได้ของกรมสรรพสามิตหดหายไปนี่เอง ทางกรมฯจึงต้องวางแนวทางในการเพิ่มรายได้เพื่อสมทบคืนที่หายไปจากโครงการรถคันแรก นั่นก็คือ “การปรับโครงสร้างการเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่” (ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว) ที่จะมีผลบังคับใช้ต้นปี59 ให้เหมาะสมกับยุคสมัยและประเภทรถมากขึ้น โดยจากเดิมโครงสร้างภาษีจะคิดจาก “ขนาดเครื่องยนต์(CC.) และแรงม้า” (ยิ่งเยอะยิ่งแพง) แต่โครงสร้างใหม่จะคิดจาก 3ปัจจัย นั่นคือ “ขนาดเครื่องยนต์(CC.) ปริมาณไอเสีย(คาร์บอนไดออกไซด์  หรือ CO2) ที่ปล่อยจากเครื่องยนต์ และพลังงานเชื้อเพลิงที่รถยนต์คันนั้นใช้” จากโครงสร้างใหม่ที่กล่าวไปเห็นชัดๆเลยว่า รัฐบาลมีการสนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์ออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่มีการปล่อยไอเสียในระดับที่ต่ำลง เนื่องจากรถกลุ่มนี้จะเสียอัตราภาษีในอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ปล่อยไอเสียมากๆ ทำให้ผู้ผลิตสามารถกำหนดราคารถยนต์ให้ต่ำกว่าได้ (เสียภาษีถูกลง) ซึ่งนำไปสู่ปริมาณการใช้รถยนต์กลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นนั่นเอง(ส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อม)

แต่ในทางตรงข้ามโครงสร้างภาษีรถยนต์ใหม่ ก็กลับส่งผลร้ายต่อผู้ผลิตและลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ประเภทเครื่องใหญ่ๆ ปล่อยมลพิษเยอะๆ เพราะรถยนต์กลุ่มนี้จะต้องเสียภาษีฯในอัตราที่สูงขึ้น(อย่างน่าตกใจ) อันจะส่งผลให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีฯในอัตราที่สูงก็ด้วยหลักการที่ว่า ใครใช้ทรัพยากร(น้ำมัน)เปลือง ทำลายสิ่งแวดล้อมเยอะ และมีอันจะกิน(รวย) ก็ต้องมีภาระที่ต้องรับผิดชอบคืนสู่สังคมมากกว่าคนอื่นนั่นเองครับ

เกริ่นมาซะยาวเหยียด เรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ เกี่ยวกับรายละเอียดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ต้นปี59 ที่เค้าแบ่งเป็น 8 กลุ่มรถยนต์ และซอยย่อยลงไปในแต่ละกลุ่ม ตามปริมาณการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ มาดูรายละเอียดกันเลยครับ

1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
- ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร                                 จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                   จัดเก็บภาษี 40% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)

2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร                               จัดเก็บภาษี 25% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
- ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                   จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)

3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 10%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร                                 จัดเก็บภาษี 10%
- ปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร                             จัดเก็บภาษี 20%
- ปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร                            จัดเก็บภาษี 25%
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                      จัดเก็บภาษี 30%

4. รถยนต์ Eco Car (เดิมจัดเก็บภาษี 17%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และใช้น้ำมัน E85 ได้       จัดเก็บภาษี 12%
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 14%
- ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร                            จัดเก็บภาษี 17%

5. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 3%
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                     จัดเก็บภาษี 5%

6. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 5%
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                    จัดเก็บภาษี 7%

7. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 12%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 12%
- ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                    จัดเก็บภาษี 15%

8. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 20%)
- ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                จัดเก็บภาษี 25%
- ปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร                                  จัดเก็บภาษี 30%

จากที่ได้เห็นหลักเกณฑ์ใหม่ของการเสียภาษีฯไป เห็นได้ชัดๆเลยว่าในอีก 3ปีข้างหน้า(ปี59) หากผู้ผลิตไม่มีการปรับตัวรับมือไว้เสียแต่ตอนนี้ รับรองว่าราคารถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในบ้านเรา “แพงขึ้น” แน่ๆครับ เพราะแค่การพัฒนารถยนต์ให้ใช้พลังงานทดแทนพวก น้ำมัน E20 E85 B5 CNG หรือจะเป็นพลังงานจากไฟฟ้าได้นั้น ไม่พออีกต่อไปแต่ผู้ผลิตต้องพยายามปรับปรุงและพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีการปล่อยไอเสียให้ได้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทั้งการลดขนาดเครื่องยนต์ การเพิ่มประสิทธิภาพการเผาใหม่ และการเลือกใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น แต่คงไว้ซึ่งพละกำลังและอัตราเร่งที่ดีคงเดิม(หรือดีขึ้น) ซึ่งแนวทางพวกนี้นอกจากจะทำให้ราคารถยนต์ไม่ปรับเพิ่ม(มากนัก)แล้ว ลูกค้าผู้ใช้รถยังจะได้รับประโยชน์แบบเต็มๆ ในด้านประสิทธิภาพการ “ประหยัดน้ำมัน” ที่รถยนต์รุ่นใหม่ๆจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยครับ

 ด้วยความปรารถนาดีจากพวกเราชาวเซลล์เค

ออฟไลน์ Nlight

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 764
  • พิมพ์ผิดประจำ
ดูตอนรถคันแรกครับ กระบะคันเกือบล้าน ถึงได้ภาษีแสนนึง

ส่วนรถเก๋ง แค่ Eco car ตัวท๊อบก็น่าจะเกือบได้แล้ว

แต่ที่น่าสงสัย...........ทำไม Hybrid ขายแพง หรือจริงๆภาษีของ Hybrid ควรน้อยกว่านี้ ? :'(

ออฟไลน์ MaiSki

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 679
กระบะเสียภาษีน้อยกว่ามากกกก

ออฟไลน์ beau_t

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 196
ดูตอนรถคันแรกครับ กระบะคันเกือบล้าน ถึงได้ภาษีแสนนึง

ส่วนรถเก๋ง แค่ Eco car ตัวท๊อบก็น่าจะเกือบได้แล้ว

แต่ที่น่าสงสัย...........ทำไม Hybrid ขายแพง หรือจริงๆภาษีของ Hybrid ควรน้อยกว่านี้ ? :'(

ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ  :D

ออฟไลน์ holahola66

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,797
    • อีเมล์
กระบะ200 ม้า เอามาวิ่งกันจริงๆ มันก้อยังสู้ D-Seg เครื่อง 2.0 ไม่ได้นะครับ
ช่วงล่างแหนบ เบรคหลังดรัม ขับขี่ต่างกันมากครับ

แต่หลักๆคือภาษีมันถูกครับ ลองคิดภาษีเท่ากันสิ กระบะตัวๆบนๆล้านกว่าหมดหละครับ
Mercedes C-Class W205 CDI
BMW 116i f20
Honda Civic EG 3door D16a turbo MT
Nissan March 1.2 cvt

ออฟไลน์ sajilki

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 330
ทำไมอีโค่บ้านเราแพงจัง ภาษีถูก รถเศษเหล็ก   ขายราคาเท่าc-seg ในอดีต

ออฟไลน์ norachon

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 79
    • อีเมล์
ถ้าไม่นับภาษี   เอาเครื่องขนาดเท่ากระบะมาใส่  รถเก๋งคงรับแรงมาไม่ไหวครับ   ไหนจะช่วงล่าง โครงสร้าง ยาง

สรุปต้องทำรถเก่งให้ใหญ่ขึ้น  ราคาก็ต้องแรงตามครับ

ออฟไลน์ kwancanoe

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 172
    • อีเมล์
Re: ทำไมรถเก๋งแพงกว่ารถกระบะ? และทำไมรถเก$
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 06:24:30 »
เรื่องภาษีกระบรถูกกว่านั้น อันนี้เคลียร์ครับผม  ;)

แต่เรื่องเอาเครื่องแรงๆของกระบะมาลงเก๋งไม่ได้ อันนี้ไม่น่าใช่ เพราะว่าที่เมืองนอกมีเก๋งดีเซลเยอะแยะครับ มีทั้งขนาด C-Segment ขึ้นไป ส่วนที่ว่าคงเอาม้าไปทิ้ง อันนี้ผมว่ารถเก๋งที่ม้าสูงกว่า 200 แรงบิดสูงๆก็มีเยอะแยะนะครับ พวก Super cars น่ะครับ ผมว่ามันอยู่ที่การเซ็ตช่วงล่างและน้ำหนักตัวถัง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าเอามาใส่ ราคาก็กระโดดไปไกลสุดกู่

กระบะ200 ม้า เอามาวิ่งกันจริงๆ มันก้อยังสู้ D-Seg เครื่อง 2.0 ไม่ได้นะครับ
ช่วงล่างแหนบ เบรคหลังดรัม ขับขี่ต่างกันมากครับ

แต่หลักๆคือภาษีมันถูกครับ ลองคิดภาษีเท่ากันสิ กระบะตัวๆบนๆล้านกว่าหมดหละครับ

ถ้าไม่นับภาษี   เอาเครื่องขนาดเท่ากระบะมาใส่  รถเก๋งคงรับแรงมาไม่ไหวครับ   ไหนจะช่วงล่าง โครงสร้าง ยาง

สรุปต้องทำรถเก่งให้ใหญ่ขึ้น  ราคาก็ต้องแรงตามครับ

ส่วนเรื่องนี้ ผมว่า ดูน้ำหนัก + Aerodynamic ด้วยนะครับ ถ้าทำกันจริงๆ กระบะก็เร็วมากๆอยู่ แต่ก็เห็นด้วยครับจากโครงสร้างภาษี ก็จะเห็นได้ว่าถ้าเอามาใส่ ราคาก็คงไปหลายล้าน

ดูตอนรถคันแรกครับ กระบะคันเกือบล้าน ถึงได้ภาษีแสนนึง

ส่วนรถเก๋ง แค่ Eco car ตัวท๊อบก็น่าจะเกือบได้แล้ว

แต่ที่น่าสงสัย...........ทำไม Hybrid ขายแพง หรือจริงๆภาษีของ Hybrid ควรน้อยกว่านี้ ? :'(

ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ  :D

Hybrid แพงจริงครับ ทั้งที่เป็นรถที่ตั้งใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม น่าจะกดภาษีลงถูกๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 06:32:33 โดย kwancanoe »

ออฟไลน์ MaiSki

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 679
เครื่องดีเซลที่ต้นทุนสูงกว่าเครื่องเบนซินมากนะครับ ไหนจะต้องใช้เกียร์ที่ลองรับแรงบิดได้สูงๆอีก รถเก๋งเบนซินปกติก็แพงอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มต้นทุนเข้าไปอีกราคาก็โดดไปแบบครูสดีเซลนั่นแหละครับ สุดท้ายขายไม่ออกเจ้งกันหมด

ออฟไลน์ johnlee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,601
    • อีเมล์
ไม่ต้องคิดมาก เครื่อง+ เกียร์ 200 แรงม้าตัวนั้น  น้ำหนักเท่าไร

ถ้าแปลงมาขับหน้า แค่หย่อนเครื่องลง หน้ารถก็ยุบฮวบแล้ว

ท้ายโด่ง จะทรงตัวยังไง

แล้วจะทำน้ำหนัก 1.3 ตันเท่าเดิมได้มั้ย
2535-2555 Nissan Big-m z16
2555-2561 Nissan Big-m Td27 + Bd25
2555- 2566 -Nissan Almera N17
2561- present -Isuzu D-max spacecab SLX 3.0
2566 - present Honda Jazz ge v a/t

ออฟไลน์ johnlee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,601
    • อีเมล์
ทำไมอีโค่บ้านเราแพงจัง ภาษีถูก รถเศษเหล็ก   ขายราคาเท่าc-seg ในอดีต

วาจาท่าน ดูถูกคนใช้รถอีโคคาร์มากนะครับ
2535-2555 Nissan Big-m z16
2555-2561 Nissan Big-m Td27 + Bd25
2555- 2566 -Nissan Almera N17
2561- present -Isuzu D-max spacecab SLX 3.0
2566 - present Honda Jazz ge v a/t

ออฟไลน์ flybigbear

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,561
Re: ทำไมรถเก๋งแพงกว่ารถกระบะ? และทำไมรถเก$
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 11:40:59 »
เรื่องภาษีกระบรถูกกว่านั้น อันนี้เคลียร์ครับผม  ;)

แต่เรื่องเอาเครื่องแรงๆของกระบะมาลงเก๋งไม่ได้ อันนี้ไม่น่าใช่ เพราะว่าที่เมืองนอกมีเก๋งดีเซลเยอะแยะครับ มีทั้งขนาด C-Segment ขึ้นไป ส่วนที่ว่าคงเอาม้าไปทิ้ง อันนี้ผมว่ารถเก๋งที่ม้าสูงกว่า 200 แรงบิดสูงๆก็มีเยอะแยะนะครับ พวก Super cars น่ะครับ ผมว่ามันอยู่ที่การเซ็ตช่วงล่างและน้ำหนักตัวถัง แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าเอามาใส่ ราคาก็กระโดดไปไกลสุดกู่

กระบะ200 ม้า เอามาวิ่งกันจริงๆ มันก้อยังสู้ D-Seg เครื่อง 2.0 ไม่ได้นะครับ
ช่วงล่างแหนบ เบรคหลังดรัม ขับขี่ต่างกันมากครับ

แต่หลักๆคือภาษีมันถูกครับ ลองคิดภาษีเท่ากันสิ กระบะตัวๆบนๆล้านกว่าหมดหละครับ

ถ้าไม่นับภาษี   เอาเครื่องขนาดเท่ากระบะมาใส่  รถเก๋งคงรับแรงมาไม่ไหวครับ   ไหนจะช่วงล่าง โครงสร้าง ยาง

สรุปต้องทำรถเก่งให้ใหญ่ขึ้น  ราคาก็ต้องแรงตามครับ

ส่วนเรื่องนี้ ผมว่า ดูน้ำหนัก + Aerodynamic ด้วยนะครับ ถ้าทำกันจริงๆ กระบะก็เร็วมากๆอยู่ แต่ก็เห็นด้วยครับจากโครงสร้างภาษี ก็จะเห็นได้ว่าถ้าเอามาใส่ ราคาก็คงไปหลายล้าน

ดูตอนรถคันแรกครับ กระบะคันเกือบล้าน ถึงได้ภาษีแสนนึง

ส่วนรถเก๋ง แค่ Eco car ตัวท๊อบก็น่าจะเกือบได้แล้ว

แต่ที่น่าสงสัย...........ทำไม Hybrid ขายแพง หรือจริงๆภาษีของ Hybrid ควรน้อยกว่านี้ ? :'(

ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ  :D

Hybrid แพงจริงครับ ทั้งที่เป็นรถที่ตั้งใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม น่าจะกดภาษีลงถูกๆ

ใช่ครับภาษีไฮบริดน่าจะถูกกว่านี้นะครับหรือเกือบๆๆเท่าอีโก้คาร์ไปเลยครับ

ออฟไลน์ น้องน้ำหวาน

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 244
  • ไม่ไหวจะพูด
    • อีเมล์
ทำไมอีโค่บ้านเราแพงจัง ภาษีถูก รถเศษเหล็ก   ขายราคาเท่าc-seg ในอดีต

ไม่ได้อยากดราม่านะคะ แต่ถามจริงๆ ตอนตอบนี่ เอาสมองหรือคติคะ ?

ถ้าสมอง น้ำหวานคงไม่เชื่อ
แต่ถ้าอคติ ไม่ไหวนะคะ คิดแบบนี้ มิน่าล่ะ ไม่ย่ำอยู่กับที่ก็ถอยหลัง

แต่อย่างว่าแหละ การมาของ Eco car คือรถให้คนขับ B segment มาดูถูกว่า มีปัญญาซื้อเศษเหล็กมาขับ

ส่วนเรืองกระบะ เพราะภาษีป่วยๆ  แถมคนไทยใช้รถผิดประเภท  ด้วยเหตุนี้ ไอ้ครั้นเครื่องแรงๆ ของกระบะ ดู แรงบิดมันก่อนค่ะ วิ่งจริงๆ มันก็สู้เก๋งไม่ได้อยู่ดี

แต่ในทางกลับกัน เพราะ ราคาถูก คนขับเก๋ง B-segment มาดูแคลนว่า พวกกระบะขนของ แถมจอดตามห้าง ยามไม่ต้อนรับอีก นึกว่า ขนคนงานมาปรับปรุงห้าง


 
มาดีตอบดี มาเกรียน แม่จะเอาให้เนียนกว่าถอนขน

ช่วงนี้ หวานเบื่อ ข้าวโพดอบ....... กินแล้วคิดฟันค่ะ

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
ผมว่าราคารถบ้านเราแพงขึนแทบจะทุกรุ่นครับ

ที่ถูกลง คงมีแค่ Eco car E85 ที่ Co2 ต่ำกว่า 100 ลงไปตั้ง 5% เลยครับ

ออฟไลน์ Nikle_pk

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,677
My Review !!! New Vellfire 2.5ZG Edition !!!
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=44242.0

ออฟไลน์ ceberos

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 779
    • อีเมล์
อยากให้ c-seg มีดีเซลเครื่องแค่ 1600 ผมก็เอาแล้วอยากได้แรงบิดเวลาบรรทุกของรถอืดเป็นเรือเกลือเลยฮะยิ่งน้ำมันลิตรละ30 อะไรจะจูงใจขนาดนั้น