ภายในการติดและดับเครื่องยนต์ สำหรับการติดและดับเครื่องยนต์ HR-V ทุกคัน ติดตั้งระบบสตาร์ทเครื่องแบบอัจฉริยะ One Push Ignition System โดยปุ่ม Engine Start Stop ติดตั้งอยู่บริเวณข้างแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศ ซึ่งมีวิธีการใช้งานดังนี้
- การติดเครื่องยนต์ ให้เหยียบเบรค และกดปุ่ม Engine Start Stop 1 ครั้ง ในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P หรือ N
- หากไม่เหยียบเบรค กดปุ่มครั้งที่ 1 ชุดเครื่องเครื่องจะทำงาน กดปุ่มครั้งที่ 2 จะเปิดระบบไฟทั้งหมด และ กดปุ่มครั้งที่ 3 เป็นการปิดระบบทั้งหมด
- การดับเครื่องยนต์ ให้กดปุ่ม Engine Start Stop 1 ครั้ง
- สำหรับการดับเครื่องยนต์และการปิดระบบทั้งหมดนั้น เกียร์ต้องอยู่ในตำแหน่ง P หากอยู่ในตำแหน่งอื่น เครื่องเสียงจะยังทำงานอยู่และไม่สามารถล็อครถได้
เบาะนั่งและพื้นที่ในห้องโดยสาร เบาะนั่งของ HR-V รุ่น E-Limited นั้น หุ้มด้วยหนังสีดำ ให้ผิวสัมผัสที่โอเคสำหรับผม ตัวเบาะดูจะหนาว่า Jazz GK นิดนึง เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง ซึ่งผมชอบมากเพราะมันปรับได้ละเอียดดี พอปรับได้ตำแหน่งดีๆแล้วขับนานๆ ไม่ค่อยรู้สึกเมื่อยเท่าไหร่ เสียดายน่าจะมี Memory มาให้สักหน่อย ตัวปีกเบาะจะค่อนข้างโอบเกินไปนิดนึงสำหรับคนอ้วนอย่างผม ส่วนพนักศีรษะนั้น ดันหัวไปนิดนึง ต้องปรับเบาะเอนช่วยนิดนึงถึงจะรู้สึกสบาย ถ้าเทียบกับเบาะของ Jazz GK แล้ว ผมรู้สึกเบาะ HR-V นั่งสบายว่า เพียงแต่มันโอบตัวผมเยอะไปหน่อย ซึ่งเบาะ Jazz จะโอบน้อยกว่านิดนึง ทำให้รู้สึกอึดอัดสีข้างน้อยกว่าหน่อย
ส่วนเบาะตำแหน่งอื่นๆ ผมเคยลองนั่งแค่ตอนรถจอดแค่นั้น เลยไม่ได้จับ Feeling เท่าไหร่ แต่เท่าที่ฟังจากคนที่นั่งประจำ เขาบอกว่า เบาะหลัง ถ้าปรับเอนลงไป 1 Step แล้วเอาพนักผิงศีรษะขึ้น มันนอนสบายมากๆ แต่เข็มขัดนิภัยคู่หลังจะรู้สึกค้ำคอไปหน่อย ซึ่งแก้โดยไปซื้อปลอกเข็มขัดแบบที่เป็นหมอนนิ่มๆมาใส่ก็หลับได้สบายแล้ว ส่วนเบาะผู้โดยสารตอนหน้านั้น ขาประจำอย่างคุณแม่ผมก็บอกว่านั่งสบายดี ไม่บ่นอะไร ล่าสุดไปซื้อปลอกเข็มขัดแบบที่เป็นหมอนนิ่มๆ มาใส่และหลับสบายบนรถทุกวัน
สำหรับพื้นที่ในห้องโดยสาร ก็ตามสไตล์ของ Honda ครับ Man Maximum Machine Minimum กว้างสบายทุกตำแหน่งจริงๆ จะมีก็แค่ เวลาถอยเบาะคู่หน้าไปจนสุดแล้ว เวลานั่งขาอาจจะโดนพื้นตัวรถที่นู้นขึ้นมา เนื่องจากถังน้ำมันรถมันอยู่ตรงนั้น (ใต้เบาะคู่หน้า) ซึ่ง Jazz GK ก็เป็นครับ
แผงประตู แผงประตูของทั้ง 4 บานนั้น ช่วงครึ่งบนเล่นบุนุ่มและหุ้มหนังมาให้แทบจะทุกส่วน นุ่มแบบที่รู้สึกว่ามันโอเค ส่วนครึ่งล่างยังคงไว้ซึ่งพลาสติกแข็งสีดำเพื่อความทนทาน มีช่องเก็บของมาให้ทั้ง 4 บาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่วางแก้วด้วย โดยขนาดพอใส่ขวดน้ำ 7 บาทได้ ส่วนแก้วกาแฟ ใส่ได้แต่จะหยิบลำบากนิดนึง
ที่วางแขนของแผงประตูแต่ละข้างนั้น ตำแหน่งของมันถือว่าโอเคอยู่ วางได้แต่อยากจะไม่สบายมากนัก ขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละบุคคล ส่วนช่องใส่ของเล็กๆบนที่วางแขนนั้น พอจะใส่ของจุกจิกได้ ยกเว้นบัตรต่างๆ จริงมันใส่ได้นะ แต่อย่าใส่มันในแนวนอน เพราะขนาดช่องมันเท่ากับขนาดบัตรพอดี ดังนั้นถ้ามันนอนลงไปแล้ว การหยิบมันขึ้นมาจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ยิ่งถ้าเป็นคนเล็บไม่ยาวแบบผมนี่ หมดสิทธิ์เลย (แนะนำให้มีเทปใสไว้ในรถ มันช่วยคุณได้จริงๆ ผมผ่านมาแล้ว 555)
สำหรับชุดสวิทซ์ควบคุมฝั่งคนขับนั้นจะประกอบด้วย บนสุดเป็นแผงควบคุมการปรับ พับกระจกมองข้างด้วยไฟฟ้า ถัดมาเป็นสวิทซ์ล็อคกระจกไฟฟ้าและสวิทซ์ล็อค ปลดล็อคประตู ล่างสุดเป็นแผงควบคุมกระจกไฟฟ้าทั้ง 4 บาน พร้อมระบบขึ้น ลงอัตโนมัติและ Jam Protection ในคู่หน้า
คอนโซลหน้า คอนโซลหน้านั้น ตรงเป็นด้วยโทนสีดำเพียงอย่างเดียว มีโครเมียมแซมอยู่เล็กน้อย ขอไล่จากซ้ายสุดมา เริ่มต้นจากตรงหน้าผู้โดยสาร คุณจะพบช่องแอร์ 3 ช่องติดกัน อันเป็น Design ที่แปลกตามากๆ ซึ่งตามทฤษฏี Honda ระบุว่า แต่ละช่องจะปล่อยลมแอร์ไม่เท่ากัน เอาเข้าจริงก็คนที่มานั่งรถผมก็บ่นว่ามันหนาวทุกช่องอยู่ดี รอบกรอบช่องแอร์นั้นจะตัดขอบด้วยแถบโครเมียม ตัดกับสีดำแล้วสวยดี คอนโซลฝั่งผู้โดยสารนั้นตกแต่งด้วยแผงวัสดุบุนุ่มที่ไม่ค่อยจะนุ่มขนาดใหญ่ ด้านล่างมีกล่องเก็บของขนาดปานกลางไว้สำหรับเก็บคู่มือและเอกสารต่างๆของรถ
ตรงกลางของคอนโซลหน้านั้นออกแบบเรียบๆ โดยบนสุดจะเป็นชุดเครื่องเสียง ซึ่งล้อมกรอบด้วยแผงวัสดุบุนุ่นที่ต่อเนื่องมาจากฝั่งผู้โดยสาร ด้านขวาของเครื่องเสียงจะมีช่องแอร์อยู่หนึ่งช่อง ใต้ช่องแอร์เป็นที่อยู่ของ สวิตซ์ไฟฉุกเฉิน และปุ่ม Start Stop Engine ตามลำดับ ส่วนถัดลงมาจากเครื่องเสียงนั้นจะชุดสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศ
สุดท้ายคอนโซลหน้าฝั่งคนขับ ก็เหมือนรถทั่วไป คือมีชุดมาตรวัดและพวงมาลัย ด้านขวาสุดจะมีช่องแอร์อยู่ 1 ช่อง ถัดจากช่องแอร์เป็น สวิตช์ Econ และ สวิตช์เปิด ปิด ระบบ VSA และด้านล่างสุดบริเวณที่วางขาก็จะมีสวิตช์เปิดฝาถังน้ำมัน
มาตรวัตและจอ MID มาตรวัดของ HR-V รุ่น E Limited จัดวาง Lay Out มาแบบเดียวกับ Jazz แต่ดีไซน์ การตกแต่งและฟังก์ชั่นจะต่างกัน โดยชุดมาตรวัตคันนี้ เป็นแบบ 3 วงกลม พื้นหลังสีดำ ตัวเลขและเข็มไมล์เรืองแสงสีขาว มีไฟวงแหวนที่กรอบมาตรวัตทั้ง 3 วง โดยวงแหวนด้านซ้ายและขวาจะใช้ไฟสีขาว ส่วนวงแหวนตรงกลางสามารถเปลี่ยนสีได้ 7 สี และปรับเปลี่ยนตามระบบ Eco Coaching หากขับได้ประหยัดไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแนวรักษ์โลก
การจัดวางรายละเอียดของมาตรวัดนั้น วงใหญ่ตรงกลางนั้น เป็นมาตรวัตความเร็ว แบบ 3 มิติ ซึ่งสวยงามมาก (แต่กล้องจะถ่ายไม่เห็น) ตรงกลางมีไฟวงแหวนสีฟ้าตกแต่งไว้ จะเห็นเมื่อเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้า ด้านล่างนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวมของไฟเตีอนต่างๆ ไฟเลี้ยว ไฟสูง วงด้านซ้ายสุดจะเป็นมาตรวัดรอบ Redline ที่ 6,750 รอบ มีไฟเตือนความร้อนและไฟ Econ ไฟแสดงสถานะของระบบ Brake Hold และไฟเตือนขึ้นเบรคมืออยู่ใกล้ๆ Redline และมีจอบอกตำแหน่งเกียร์อยู่ด้านล่าง (P R N D S S1-S7) ส่วนวงขวาสุดนั้นจะเป็น จอ MID
จุดที่ผมรู้สึกว่ามันออกจะแปลกๆหน่อย ก็คือ ความสว่างของมาตรวัตนั้น ไม่สัมพันธ์ กับไฟหน้า กล่าวคือ รถยนต์ปกติทั่วไปที่เป็นมาตรวัดเรืองแสง เมื่อเราเปิดไฟฟ้าหรือไฟหน้าเปิด Auto แสงของมาตรวัดมันและจอวิทยุจะหรี่ลง ให้เราสบายตามากขึ้น แต่กับ HR-V คันนี้ เหมือนมันจะมี Sensor วัดแสงแยกออกต่างหาก เพราะบางทีไฟหน้ามันติดแล้ว แต่มาตรวัดกลับไม่หรี่ลง พอขับไปสักพัก ฟ้ามืดลงกว่าเดิมมันก็หรี่ลงเอง ตอนใช้รถใหม่ๆผมนึกว่ามันเสีย แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว
มาต่อกันกันที่จอ Multi Information Display หรือ MID ครับ ซึ่งรุ่น E Limited นั้น สามารถแสดงผลได้หลายรูปแบบมาก แต่จะแสดงปริมาณน้ำมันในถัง อุณหภูมิภายนอกและนาฬิกาค้างอยู่ตลอดทุกฟังก์ชั่น ควบคุมผ่านปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่พวงมาลัย โดยมีฟังก์ชั่นหลักๆของจออยู่ 3 แบบ
เริ่มจากหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่กันก่อนเลย เหนือแถบวัดปริมาณน้ำจะแสดงอุณหภูมิภายนอกและเลขไมล์หรือ Trip A / B (แล้วแต่จะตั้งไว้) ค้างไว้ตลอด ส่วนบริเวณกลางจอนั้นปรับเปลี่ยนได้หลายแบบ ได้แก่
1. แถบวัดอัตราการสิ้นเปลืองแบบ Real Time คู่กับ อัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยของ Trip A / B (แล้วแต่จะตั้งไว้)
2. ระยะทางที่วิ่งได้ที่เหลือ คำนวนจากปริมาณน้ำมันในถัง คู่กับ เลขไมล์ของรถ หรือ Trip A / B
3. ระยะเวลาในการขับขี่ของ Trip A / B หลังจาก Reset Trip A / B ครั้งล่าสุด (แล้วแต่จะตั้งไว้)
4. อัตราความเร็วเฉลี่ยหลังของ Trip A / B หลังจาก จาก Reset Trip A / B ครั้งล่าสุด (แล้วแต่จะตั้งไว้)
5. เข้าฟังก์ชั่นการตั้งค่าต่างๆ ของตัวรถ
6. หน้าจอว่าง
หน้าจอแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ จะแสดงข้อความต่างๆตามแต่ละสถานการณ์ เช่น วิธีการ Start รถ, ปลด ขึ้นเบรคมือ, เปิด ปิด ระบบ Brake Hold , เปิด ปิด Econ Mode, เตือนคาดเข็มขัดนิรภัย, เตือนเปิดประตู ฯลฯ หากเป็นข้อความเตือนที่สำคัญ จะแสดงด้วยสีเหลือง และมีไฟสัญลักษณ์ตัว I ขึ้นมาบนจอ เช่น เปิดประตูเปิดอยู่ ฟ้อง Error ต่างๆ (ไม่ขึ้นมาก็จะดีมาก ไม่อยากเห็นเลย
)
สุดท้ายหน้าจอแสดงการตั้งค่าต่างๆของรถนั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง P หากอยู่ในตำแหน่งคือ จอจะปฏิเสธการเข้าสู่ฟังก์ชั่นนี้เพื่อความปลอดภัยระหว่างขับขี่ สำหรับการตั้งต่าต่างๆนั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 เมนูหลัก ดังนี้
1. Clock Setup ตั้งค่านาฬิกา มี เมนูย่อยดังนี้
- Adjust Time ตั้งเวลานาฬิกา
- Clock Display ตั้งค่าให้รูปแบบการแสดงผลของนาฬิกา (12H / 24H / OFF)
- กลับสู่เมนูหลัก
2. Meter Setup ตั้งค่ามาตรวัด มี 6 เมนูย่อย ดังนี้
- Adjust Outside Temp Display ปรับค่าอุณหภูมิภายนอกให้ตรงกับความเป็นจริง
- Trip A Reset Timing ตั้งค่าให้ Trip A Reset ค่าอัตโนมัติได้ (หลังเติมน้ำมัน / ดับเครื่อง / Manual)
- Trip B Reset Timing ตั้งค่าให้ Trip B Reset ค่าอัตโนมัติได้ (หลังเติมน้ำมัน / ดับเครื่อง / Manual)
- Fuel Efficiency Light Color ปรับสีของไฟวงแวนตรงกลางได้ 7 สี (ฟ้า ม่วง ชมพู แดง ส้ม เหลือง และ Radom Mode)
- Fuel Efficiency Backlight ตั้งค่าให้ไฟวงแหวนเป็นเปลี่ยนสีเขียว เมื่อขับได้ประหยัดเชื่อเพลิง
- กลับสู่เมนูหลัก
3. Keyless Access Setup ตั้งค่าระบบกุญแจ Keyless มี 3 เมนูย่อย ดังนี้
- Keyless Access Beep Volume ตั้งค่าความดังของเสียงเตือนตอนล็อค ปลดล็อคผ่านระบบ Keyless
- Keyless Access Beep ตั้งค่าเปิด ปิด เสียงเตือนตอนล็อค ปลดล็อคผ่านระบบ Keyless
- กลับสู่เมนูหลัก
4. Light Setup ตั้งค่าระบบไฟของรถ ทั้งภายนอกและภายใน มี 4 เมนูย่อย ดังนี้
- Interior Light Dimmer Duration ตั้งเวลาดับไฟในห้องโดยสาร (15 / 30 / 60 วินาที)
- Headlight Auto OFF Timer ตั้งค่าไฟหน้าดับอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์ (0 / 15 / 30 / 60 วินาที)
- Auto Light Sensitivity ตั้งค่าความไวของ Sensor ไฟหน้าอัตโนมัติ (Min / Low / Mid / High)
- กลับสู่เมนูหลัก
5. Door Setup ตั้งค่าระบบล็อค ปลดล็อค ประตู มี 5 เมนูย่อย ดังนี้
- Auto Door Lock ตั้งค่าการล็อคประตูอัตโนมัติ (เมื่อออกตัว / เกียร์ออกจาก P / OFF)
- Auto Door Unlock ตั้งค่าการปลดล็อคประตูอัตโนมัติ (เข้าเกียร์ P / ดับเครื่องยนต์ / OFF)
- Keyless Lock Notification แจ้งเตือนการใช้กุญแจล็อครถ (ON / OFF)
- Security Relock Timer ตั้งค่าระยะเวลาล็อคอัตโนมัติหากปลดล็อคแล้วไม่เปิดประตู (15 / 30 /60 วินาที)
- กลับสู่เมนูหลัก
6. Default All เป็นการ Reset การตั้งค่าทั้งหมด ให้คืนค่าเดิมจากโรงงาน
7. กลับสู่หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่
พวงมาลัยและปุ่มควบคุม พวงมาลัยของ HR-V เป็นแบบ Multi-Function 3 ก้าน สามารถปรับระยใกล้ ไกล และระดับสูง ต่ำ ได้(เหมือนกับ Jazz GK แต่ตกแต่งไม่เหมือนกัน) โดยรุ่นใน E Limited พวงมาลัยจะหุ้มด้วยหนังและตกแต่งด้วยแถบสีดำ Piano Black ตรงกลางเป็นแป้นแตรติดโลโก้ H สีโครม ภายในบรรจุระบบถุงลมนิรภัยฝั่งคนขับไว้ ด้านหลังของพวงมาลัยมีการติดตั้งแป้น Paddle Shift ที่พ่นสีดำเงาไว้ โดยปุ่มลบอยู่ด้านซ้าย ส่วนปุ่มบวกอยู่ด้านขวา
บนก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียงแบบวงกลมตกแต่งด้วยวงแวนสีโครม โดยปุ่มบน-ล่าง ใช้ปรับความดัง ปุ่มซ้าย-ขวา ใช้เปลี่ยนเพลงและคลื่นวิทยุ วงกลมตรงกลางเป็นปุ่ม Source สำหรับเปลี่ยน Mode
บนก้านพวงมาลัยด้านขวา ติดตั้งปุ่มควบคุม ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ตกแต่งด้วยวงแวนสีโครม โดยปุ่มด้านบนเหนือปุ่มวงกลม ใช้ เปิด ปิด ระบบ ส่วนปุ่มวงกลมนั้นใช้ควบคุมการทำงานของระบบ โดยเมื่อเปิดระบบแล้ว ให้กดปุ่ม SET เมื่อได้ความเร็วที่ต้องการ พร้อมปล่อยเท้าออกจากคันเร่งและเบรค กด + เพิ่มความเร็ว กด ลดความเร็ว เหยียบเบรคหรือกดปุ่ม Cancel เพื่อยกเลิกระบบ หากต้องการกับไปใช้ระบบที่ความเร็วที่ตั้งไว้ให้กดปุ่ม RES
ที่ก้านพวงมาลัยด้านล่าง ฝั่งซ้ายจะติดตั้งปุ่มควบคุมโทรศัพท์ โดย HR-V MY2016 จะตัดปุ่ม Siri Eyes Free ออก เหลือแค่ปุ่มรับสายและวางสายเท่านั้น ส่วนฝั่งขวา ติดตั้งปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยจะมีเฉพาะรุ่น E Limited และ EL
ก้านควบคุมระบบปัดน้ำฝนและก้านควบคุมระบบไฟหน้าและไฟเลี้ยว ก้านควบคุมระบบปัดน้ำฝน ติดตั้งบริเวณคอพวงมาลัยด้านซ้าย มาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ การควบคุมนั้นมีดังนี้ MISS < OFF > AUTO > LO > HI และยกก้านเข้าหาตัว = ฉีดน้ำ ที่ก้านจะมีวงแวนปรับระดับความเร็วของการปัด สำหรับโหมด Auto ส่วนใบปัดน้ำฝนหลังจะปรับที่สวิทซ์หมุนปานกลาย จะมี OFF > INT > ON และก็ฉีดน้ำเท่านั้น และเหมือนเข้าเกียร์ถอย ขณะที่ระบบปรับน้ำฝนด้านหน้าทำงานอยู่ ใบปัดน้ำฝนหลังจะทำงานอัตโนมัติ 2 ครั้ง
ก้านควบคุมระบบไฟหน้าและไฟเลี้ยว ติดตั้งบริเวณคอพวงมาลัยด้านขวา ใช้งานเหมือนรถยนต์ทั่วไป โดยสวิทซ์ควบคุมไฟหน้าเป็นแบบหมุนที่ตัวปลายก้าน (OFF > ไฟหรี่ > Auto > ไฟต่ำ) ถัดเข้ามาเป็นสวิทซ์ไฟตัดหมอก ส่วนตัวก้าน ดึงเข้า = เปิดไฟสูง / ผลักออก = เปิดไฟสูงค้าง / ยกขึ้น กดลง เปิดไฟเลี้ยว มีการติดตั้งระบบไฟเลี้ยวกระพริบ 3 ครั้ง สำหรับเปลี่ยนเลนมาให้ด้วย (ยังเรียกชื่อไม่ถูกเหมือนเดิม)
ชุดเครื่องเสียงและลำโพง HR-V MY2016 ทุกรุ่นเปลี่ยนมาใช้ชุดเครื่องเสียงแบบเดียวกับ BRV SV จากเดิมที่ใช้ จอ Advance Touch 7 นิ้ว (รุ่น E / E Limited / EL) หรือ เครื่องเล่น CD (รุ่น S) โดยเครื่องเสียงรุ่นนี้มีการตัดฟังก์การทำงานออกไปหลายๆอย่างจากเดิม ได้แก่ ขนาดจอเล็กลงเหลือ 6.1 นิ้ว / ไม่มีนาฬิกา / ไม่มีช่องใส่ CD / USB เหลือ 1 ช่อง / Siri Eyes Free หายไป / จอแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองหาย / Menu การตั้งค่าระบบอื่นๆในรถ ก็หายไป เฮ้อ..หายไปเยอะจัง
. แถม Interface ของจอรุ่นใหม่นี้ก็ต่างจากเดิม ซึ่งของเดิมดูดีกว่า ถึงกระนั้น Function การทำงานหลักๆก็ยังอยู่เหมือนเดิมได้แก่
- วิทยุ FM สามารถบันทึกช่องได้ อย่างละ 12 สถานี และ วิทยุ AM บันทึกได้ 6 สถานี
- การเชื่อมต่อโทรศัพท์ ผ่านBluetooth ที่ดึง Phonebook ของโทรศัพท์ขึ้นมาเลย (ลองกับ iPhone 7 Plus )
- ช่องต่อ USB ย้ายมาอยู่ที่ขอบจอ สามารถต่อกับ iPhone เพื่อเล่นเพลง แสดงข้อมูลของเพลง และควบคุมผ่านจอได้
- ช่องต่อ HDMI ย้ายมาอยู่ที่ขอบจอ สามารถต่อ Smart Phone ขึ้นจอภาพได้ แต่ต้องเข้าเกียร์ P และดึงเบรคมือไว้
- ช่องต่อ AUX อยู่ที่ขอบจอ สามารถต่อสาย AUX 3.5 mm. ได้
- กล้องมองหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (มุมกว้าง 180 องศา / มุมตรงปกติ / มุมดิ่งลงพื้น)
- ปุ่มควบคุมอยู่ที่ขอบจอภาพ เป็นลักษณะของปุ่มแบบกด มี 2 ปุ่ม ได้แก่ Back กับ Home
คุณภาพของจอชุดนี้ วันแรกที่ออกรถมา ผมนี่อยากถอดทิ้งแล้วเปลี่ยนใหม่เป็นจอ After Market อะไรก็ได้ แต่พอใช้ไปสักพักก็เริ่มปลงๆกับมันและเสียดาย Mode กล้องมองหลังปรับ 3 มุม ซึ่งถ้าเปลี่ยนจอมันจะหายไป ก็เลยยังใช้มาเรื่อยๆ แต่เอาเข้าจริง Logic จากใช้งานของจอทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่สะดวกเท่าไหร่ หลายๆอย่างมันต้องทำขณะขึ้นเบรคมือ โดยเฉพาะ Mode ของการโทรศัพท์ ไม่เข้าใจว่าทำไม ไม่ให้กดแป้นตัวเลขระหว่างเอาเบรคมือลง แต่ให้ไล่หาในประวัติการโทรได้ ไปๆมาๆกดที่โทรศัพท์ยังง่ายกว่านะ
อีกเรื่องนึงที่ผมงงมากๆ คือ จริงๆจอตัวนี้มีฟังก์ชั่นแสดงนาฬิกา ใน Menu ก็มีให้ปุ่มให้เข้าไป Setting และในคู่มือก็มีวิธีใช้ แต่กลับปิดไม่ให้ใช้ฟังก์ชั่นนี้ เพื่อ!!!!!!! ไม่เข้าใจจริงๆ แต่ท้ายที่สุดผมก็จะเปลี่ยนเครื่องเสียงอยู่ดี (แล้วเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้วด้วย) เพราะฉนั้น ข้ามๆมันไปเถอะครับ 5555
สำหรับลำโพงนั้น รุ่น E Limited ติดตั้งลำโพงมาให้ 6 จุด (ประตูทั้ง 4 บาน และบนคอนโซลหน้าอีก 2 จุด) คุณภาพเสียงนั้น บอกก่อนว่าหูผม ถ้าไม่เจอลำโพงที่แย่จริงๆ ก็ Enjoy ไปกับมันได้อยู่นะ ซึ่งคราวนี้ผมมองว่าเสียงมันดีกว่า Jazz Gk SV ตัว 2016 ที่มีลำโพงเท่ากัน แถมติดตั้งในตำแหน่งเดียวกันด้วย เลยไม่แน่ใจว่าใช้ชุดเดียวกันหรือเปล่า ซึ่งถ้าใช่ลำโพงชุดเดียวกัน แสดงว่าน่าจะเป็นผลมาจากจอ หรือไม่ก็มีการเปลี่ยนสายลำโพงหรืออะไรสักอย่าง เพราะเสียงที่ออกมา ให้ความรู้สึกแน่นมากกว่า
แผงควบคุมระบบปรับอากาศ ติดตั้งอยู่บริเวณใต้ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบอัตโนมัติแรงลม ควบคุมผ่านระบบ Touch screen ตกแต่งด้วยแถบสีเงิน สามารถปรับตั้งอุณภูมิได้ แต่ไม่แยกฝั่ง โดยปุ่มปรับพัดลมจะอยู่ด้านซ้าย ปุ่มปรับอุณหภูมิอยู่ด้านขวา ตรงกลางเป็น จอแสดงอุณหภูมิและแถบแสดงทิศทางลมพร้อมปุ่ม Mode สำหรับปรับทิศทาง ส่วนแถบด้านล่าง มี 7 ปุ่ม ได้แก่ ไล่ฝ้ากระจกหน้า, ไล่ฝ้ากระจกหลัง, อากาศหมุนเวียน, เปิดรับอากาศภายนอก, A/C Off, เปิด-ปิดระบบปรับอากาศ, และ Auto
คันเกียร์ เบรคมือไฟฟ้า และ Brake Hold คันเกียร์ของ HR-V เป็นแบบรางตรง ตัวหัวเกียร์หุ้มหนังมาพร้อมปุ่ม Shift Lock สีโครเมียมที่ข้างของหัวเกียร์ ที่คันเกียร์และรางเกียร์นั้นมีการบุหนังมาให้ สำหรับตำแหน่งของเกียร์นั้นมีอยู่ 5 ตำแหน่ง คือ P R N D S
ถัดลงมาเป็นอุปกรณ์ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของตัวรถ เพราะ HR-V ถือเป็นรถ Honda ประกอบในรุ่นแรกที่ติดตั้ง เบรคมือไฟฟ้า และฟังก์ชั่น Brake Hold มาให้ สำหรับวิธีการใช้งานนั้นมีดังนี้
- เบรคมือไฟฟ้า : ดึงสวิทซ์ดึงเพื่อขึ้นเบรคมือ กดสวิทซ์ลงเพื่อปลดเบรคมือ หากออกตัวโดยที่ลืมปลดเบรคมือ ระบบจะทำการปลดเบรคมือให้อัตโนมัติ และสำหรับการจอดรถให้เข็นได้นั้น
- Brake Hold : ขณะใช้งานต้องอยู่ในเกียร์ D โดยกดที่ปุ่ม Brake Hold เพื่อเปิดระบบ เมื่อเบรครถจนหยุดนิ่ง ให้เหยียบเบรคจนสุด ไฟแสดงสถานะบนมาตรวัดจะติดขึ้น ก็สามารถยกเท้าออกจากเบรคได้เลย รถจะหยุดอยู่นิ่งๆ หากต้องการออกรถก็แค่แตะคันเร่ง
คอนโซลกลาง และกล่องเก็บของ คอนโซลกลางของรุ่น E-Limited เป็นแบบ 2 ชั้น ซึ่งออกแบบมาสวยเลยทีเดียว โดยชั้นบนนั้น ของบทั้ง 2 ข้างจะหุ่มด้วยวัสดุบุนุ่ม ส่วนตรงกลางจะตกแต่งด้วย Piano Black ทั้งแผงซึ่งเป็นรอยง่าย มากๆ การจัดวางอุปกรณ์นั้นไล่จากหน้ารถมา จะเจอชุดคันเกียร์ เบรคมือและเบรค Hold ถัดลงมาเป็นที่วางแก้ว 2 ช่อง ซึ่งสามารถปรับระดับได้ 2 ขั้น โดยหากเป็นแก้วทรงยาวแบบกระบอกน้ำ ก็แค่ยกชั้นรองแก้วขึ้นจะได้ช่องลึกขึ้น แต่ถ้าเป็นกระป๋องน้ำอัดลมทั่วไป ก็เอาชั้นรองแก้วลง ก็จะวางได้ไม่ลึกจนเกินไป
ที่ปลายสุดของคอนโซลติดตั้งที่วางแขนและกล่องเก็บของมากให้ โดยที่วางแขนหนักสามารถเลื่อนหน้า-หลังได้ ผิวสัมผัสของวัสดุโอเคดีแต่ แข็งมากๆ บุอะไรนุ่นๆมาให้หน่อยแบบแผงประตูก็ไม่ได้ ส่วนกล่องเก็บของนั้นขนาดค่อนข้างเล็ก มี 2 ช่อง ช่องเล็กนั้นทำมาเหมือนกะไว้ให้ใส่เหรียญ ส่วนช่องใหญ่ถึงจะลึกแต่แคบ ผมใส่ที่วางโทรศัพท์มือถือติดกระจกอันเดียวก็เต็มแล้ว
คอนโซลชั้นล่างนั้น ถือได้ว่าเป็นช่องเก็บของได้เลย เพราะช่วงตรงกลางนั้นมันสามารถวางของได้เยอะอยู่ ปกติผมจะวาง iPhone 2 เครื่องกับกระเป๋าตังผู้ชายแบบยาวได้สบาย ที่สำคัญมีไฟส่องสว่างมาให้ด้วย ซึ่งจริงๆในตัวปี 2015 มันจะมีช่อง USB 2 ช่อง กับ HDMI 1 ช่อง อยู่ แต่มาตัวปี 2017 ตัดเหลือแค่ Power Outlet แค่อย่างเดียว และถัดจากช่องใหญ่ตรงกลางลงมาทั้ง 2 ด้าน จะมีช่องขนาดเล็กขนาบบล็อคของชุดเกียร์อยู่ ซึ่งสามารถใส่พวก บัตรเติมน้ำมัน บัตรเข้าคอนโดน บัตรผ่านที่จอดรถได้ แต่ควรหากระเป๋าใส่บัตรเล็กๆมาใส่ เพราะหากตกลงไปข้างเบาะมันจะหยิบออกยาก)