The best or nothing.
ถึงเวลา ความฝัน เป็นความจริง
ว่ากันว่า กว่าจะคว้า ดวงดาว มาได้มันช่างยากเสียเหลือเกิน สงสัยคงจะจริง ตอนเก็บตังค์ว่ายากแล้ว ช่วง 6 เดือนที่จะเห็น ดวงดาว อยู่แค่เอื้อม มันกลับมีโน่นนี่นั่นพยายามมาป่วนแทบจะตลอดเวลา จนถึงวันที่คว้า ดวงดาว ได้สำเร็จ
Mercedes-Benz คันนี้ผมขอทำความฝันให้ตัวเองและคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ท่านคงอยากมีโอกาสสัมผัส แต่ท่านยังไม่มีโอกาสทำ ผมถือว่าความเหนื่อยของผมที่ได้สัมผัสความฝัน มีความคุ้มค่ามากกว่าที่จะแค่ขับ Benz เพื่อไปโชว์อวดใครเขา
GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic รุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกในโลกวันที่ 17 มิ.ย. 58 และงานเปิดตัวเมืองไทยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 58 เป็นการพัฒนาใหม่ทั้งหมดเพื่อมาแทนที่ GLK ซึ่งเดิมผลิตแค่พวงมาลัยซ้าย แต่ GLC ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ขายครั้งแรกทั่วโลก
ภาพจาก YouTube : Mercedes-Benz
ภาพจาก fb : Mercedes-Benz Bremen
GLC : Geländewagen Luxus Compact (ชื่อเดิม GLK, K = Kompakt ภาษาเยอรมัน) หนึ่งในอนุกรม G-Class SUV มีตัวพ่อของตระกูลคือ G 6x6, G 4x4 พี่น้องในตระกูลคือ GLS, GLE (ML), GLC และ GLA ตามลำดับ
GLC 250d 4MATIC AMG Dynamic ครั้งแรกที่ได้สัมผัสต้องบอกว่ารักเลย ชอบมาก แม้หลายคนนิยาม Benz ยุคใหม่ว่า ไส้กรอกหลายขนาด คือหน้าตาทรงเดิมที่คุ้นๆ แล้วพองลมตามขนาดที่อยากจะให้เป็น แต่สำหรับคนที่มีความฝันกับ Benz ผมกลับมองด้วยความชอบส่วนตัว
รถยุโรป งานออกแบบส่วนใหญ่จะมีสไตล์ของความเป็น แบรนด์ ของตนเอง การที่ผมเลือก GLC ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกว่า G-Class มีสไตล์ของตัวเองมาว่ารุ่นเก๋งซีดาน จะเห็นว่า G, GLS, GLE, GLC และ GLA แต่ละรุ่นพอจะมีจุดแตกต่างที่สังเกตได้อยู่
GLC 250d AMG Dynamic แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับชุดแต่ง AMG Dynamic ซึ่งปกติจะได้แม็ก AMG 5-Twin Spoke 19 แต่ของไทยเราจัดเต็มกว่าที่คาดหวังคือได้แม็ก AMG Multi-Spoke 20 กับยาง 255/45 R20 รุ่นของยางคือ Pirelli Scorpion แม้เป็นยาง Run Flat แต่มือใหม่อย่างผมว่าไม่เลวอย่างที่คิดแฮะ นุ่มนวลใช้ได้ (ศูนย์น่าจะเติมลมมา 34)
เครื่องดีเซล 2143 ซีซี ให้กำลัง 204 แรงม้า และแรงบิด 500 Nm เป็นเครื่องสเปค BlueTEC มาตรฐาน Euro 6
สัมผัสแรกกับรถยุโรปอย่าง Mercedes-Benz ก็ตั้งสติกับไฟเลี้ยวอยู่ซ้าย และเกียร์อยู่ขวากันสักครู่ก็เริ่มคุ้นมือ แต่ที่ยังไม่มั่นใจคือตำแหน่งเบาะนั่งกับคันเร่ง/เบรค แป้นคันเร่งสร้างความคุ้นเคยได้ในเวลาไม่นาน แต่การต้องเกร็งยกขาอีกนิดเพื่อไปแตะเบรคนี่ยังรู้สึกว่าปรับเบาะนั่งไม่ลงตัว
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ 4MATIC มากับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-Tronic) ให้ความรู้สึกดีมาก กดคันเร่งก็ตอบสนองใช้ได้แม้ในโหมด Comfort อาจจะด้วยการที่ผมไม่ได้ต้องการเค้นคันเร่งมาก เน้นความสบายที่ตอบสนองได้ดีเพียงพอแล้ว หากปรับโหมด Sport น่าจะดีกว่านี้
ชุดไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light มีเส้น Daytime (DRL) เป็นเอกลักษณ์ เป็นไฟเลี้ยวด้วยในตัว ผมชอบมากกว่า C-Class W205 ที่ไฟเลี้ยวแบบหลอดแยกด้านบน ซึ่ง GLC จะทำเป็นแถบเรืองแสงไฟสีขาวให้ดูคลาสสิคแทน
ภายในห้องโดยสารแน่นอนว่ายกชุดมาจาก C-Class W205 รู้สึกดีใจมากที่ GLC เป็นรุ่นปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เพราะพี่น้อง GLA, GLE, GLS ภายในแทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนของใหม่ตามเก๋งซีดานเลย การใช้งานปุ่มต่างๆ ก็สะดวกดีสำหรับคนที่คุ้นเคยกับพวกของเล่นไฮเทคอย่างผม
อุปกรณ์อีกอย่างที่เพิ่งเห็นคือ ถุงลมตรงหัวเข่าที่นั่งคนขับ มุดลงไปดูใต้พวงมาลัยมีตัวอักษรนูนคำว่า AIRBAG คงไม่ได้หลอกกันใช่ไหม
ที่น่าผิดหวังสำหรับ GLC 250d AMG รุ่นสเปคเมืองไทย ก็คือการสลายตัวของ Touchpad แต่ก็ได้ยินคนบ่นว่าใช้งานไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวังมาบ้าง ก็คงต้องเลยตามเลยแบบผิดหวัง การควบคุมชุด Audio 20 กับจอภาพ 7 ด้วยปุ่ม Command พอคุ้นเคยก็ไม่ได้ยากอะไร
หน้าปัดที่ยกชุดมาจาก C-Class W205 แสดงผลสวยดีตามที่ควรจะเป็น
แต่ก็สเปคไทยๆ อีกนั่นแหละ คุณสมบัติเตือนชนคันหน้า Collision Prevention Assist ไม่มีมาด้วย (หายไปกับ PRE-SAFE ?) ทั้งที่ Mercedes-Benz เยอรมันโปรโมตว่า Recommended ? สสารในประเทศนี้สลายตัวง่ายจัง
ด้านหลังนั่งสบายใช้ได้ กว้างขวางสมกับที่ Mercedes-Benz ตั้งใจผลิตมาต่อกรกับคู่แข่ง มีช่องแอร์หลังให้แบบธรรมดาๆ และแน่นอนเจอสสารที่สลายไปอีกอย่าง นั่นคือช่องจ่ายไฟตรงด้านล่างช่องแอร์หลัง สเปคไทยไม่มีมานะครับ มันเจ็บจี๊ดๆ
เบาะนั่งด้านหน้าปรับตำแหน่งไฟฟ้า พร้อมความจำ 3 ตำแหน่งมีครบถ้วน การใช้งานก็ไม่ยาก ปรับง่ายดีไม่ต้องล้วงมือไปคลำหาด้านข้างเบาะ
Ambient Light ไฟบรรยากาศโดยรอบห้องโดยสารติดตั้งมาให้เรียบร้อย อยากได้อยู่แล้ว ปรับเลือกได้ 3 สีคือ สีขาว, สีส้มอำพัน และสีน้ำเงิน แถมยังปรับความสว่างได้ 5 ระดับ ชอบๆ
ด้านท้ายรถอาจจะดูแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่ลงตัว แต่ผมว่าตัวจริงสวยลงตัวมากกว่าการเปิดรูปตามเว็บนะ ไฟท้ายใช้หลอด LED แบบแท่ง แทนที่เส้น LED เหมือนอย่างรุ่นที่เปิดตัวปีก่อน (2014)
ฝาท้ายเปิดและปิดด้วยไฟฟ้าตามที่ควรจะเป็น พร้อมคุณสมบัติ HAND-FREE ACCESS เตะตรงกลางด้านใต้กันชน จะเปิดฝาท้ายให้อัตโนมัติ ดีใจมากที่สสารชิ้นนี้ไม่สลายตัวไปเมื่อมาถึงเมืองไทย ตอนแรกนึกว่าจะอดซะแล้ว แต่ก็นะอันนี้สเปคเมืองนอกก็ต้องสั่งจ่ายตังค์เพิ่ม
360 Camera หนึ่งในคุณสมบัติที่ชื่นชมและชื่นชอบ ต้องการให้ SUV ทุกยี่ห้อ/รุ่นติดตั้งมาให้เพื่อความปลอดภัย รุ่นนี้ตัวกล้องด้านหน้าจะอยู่ใต้โลโก้ ส่วนด้านข้างก็อยู่ใต้กระจกมองข้าง และด้านหลังอยู่เหนือป้ายทะเบียนปกติ (มีฝาปิดเมื่อไม่ใช้งาน)
ตำแหน่งกล้องดูหลอกตาอยู่บ้าง แต่ก็ได้ประโยชน์จากมุมมองรอบตัวรถ แถมยังเลือกปรับตำแหน่งมุมกล้องที่ต้องการดูได้ด้วย
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เครื่องยนต์ดีเซลสเปคใหม่เป็นสเปค BlueTEC Euro 6 ซึ่งต้องเติมสารยูเรีย AdBlue เราสามารถดูระดับของ AdBlue ได้จากจอภาพที่พวงมาลัย ถังหนึ่งใช้ได้มากกว่า 20,000 กม. มือใหม่อย่างผมก็ถือว่าไม่เปลืองค่าใช้จ่ายมากนัก
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากการใช้งานในเมืองแบบการจราจรสาหัสสุดๆ เดินทาง 13 km ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เห็น 16 l/100 km หรือ 6.25 km/l แย่สุดตั้งแต่ออกรถมาเลย โดยปกติก็จะได้ราว 7-8 l/100 km หรือ 12.5-14.3 km/l เป็นประจำ รถติดบ้างวิ่งบ้างก็ยังทำได้ 10 km/l
ส่วนการเดินทางต่างจังหวัดแบบไปได้เรื่อยๆ ไม่มีโอกาสใช้ครูสคอนโทรล ผสมการจราจรติดขัดมาก ภาพรวมเฉลี่ยแล้วดีสุดแค่ 6.8 l/100 km หรือราว 14.70 km/l
อีกแบบคือถนนโล่งวิ่งสบาย เปิดครูสคอนโทรลวิ่งที่ 100 km/h เกียร์ 9 ใช้งานได้ยาวๆ บางจังหวะกดคันเร่งไปวิ่งที่ 110 km/h บ้างด้วยความสนุกติง ทำได้สูงสุดที่ 5.5 l/100 km หรือ 18.18 km/l ตามที่ Benz โฆษณาไว้ แต่รวมๆ เฉลี่ย 6 l/100 km หรือราว 16.67 km/l
ขอปิดท้ายด้วยประโยค ถ้าคุณมีความฝัน คุณมองเห็นความฝัน คุณจงทำมันให้สำเร็จ การเอาแต่ฟังคำพูดคนอื่น หรือการคิดตามคนอื่น แล้วคุณพลาดความฝัน การเสียใจ...ไม่ช่วยอะไร
ขอจบการแนะนำเบื้องต้นเพียงเท่านี้ก่อน หากมีอะไรเพิ่มเติมจะมาเพิ่มให้ครับ
ช่วงที่ใช้งานมาก็มีปัญหาจุกจิกบ้าง แต่ศูนย์บริการที่ออกรถก็ดูแลจบงานได้ดี ไม่ต้องออกแรงวีนโวยวาย ณ วันนี้ยังถือว่าพอใจกับคุณภาพการบริการ