Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Nikle_pk ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2021, 23:09:38
-
จากกระทู้ https://community.headlightmag.com/index.php?topic=78771.0
ญาติผมเค้าเอา EV แล้วแน่ๆ แต่ด้วยเหตุผลเรื่องความประหยัดอย่างเดียวเลย
ใช้งานวันละ 40-50 กม. ทุกท่านที่คิดว่า ณ.เวลานี้
มันคุ้มค่ากับการเสี่ยงใช้รถ EV 100% หรือยังครับ
เรื่องรุ่นเค้าเลือกอยู่ เรื่องเงินก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าจะ
พูดว่า ฝากชีวิตไว้กับรถ EV เวลาเดินทางไปไหนมาไหน
ทั้งใกล้และไกล บางที 2-300 กม. EV100% มันจะ
ไม่ไปเสียกลางทางแล้วหรือยังครับ เทคโนโลยีมันนิ่งแล้วหรือยัง
เดี๋ยวผมแนะนำญาติซื้อไปแล้วโดนต่อว่าทีหลังน่ะครับถ้ามันไป
จอดเสียกลางทางขึ้นมาน่ะครับ มีท่านใดใช้แล้วบ้างครับขอคำแนะนำครับ
ขอบคุณครับ
-
จัดไปคับ ชิลๆ รอดู Ora ทั้งสองรุ่นที่จะขายปีนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ถ้าอีวีคันแรก อยากหรูขึ้นมาในงบล้านกว่าๆไม่เกินสองล้านรอดู MG Marvel ถ้างบเยอะเล่นสายพรีเมียม รอดู Volvo XC40 EV, Bimmer ix3 คับ ตัวอย่างที่ว่ามานี้นำเข้าจากจีนทั้งหมด ถ้าจาก Hyundai ต้องรออีกหน่อย ประมาณปีหน้า Ioniq 5 น่าจะนำเข้ามาจากโรงงานที่สิงค์โปร์ สเปคเทพมาก
ผมใช้อีวีมาเกือบสองปีแล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้อยากได้แรงกว่า หรูกว่านี้แล้ว ปีนี้จะเปลี่ยนเป็นคันใหม่ก็จะซื้อรถนำเข้าจากจีนเหมือนเดิม
-
จริงๆ รถ EV มันไม่ได้แย่อยู่แล้วครับ ดูอย่าง Nissan Leaf ก็ได้ ออกมากี่ปีแล้ว ไม่เห็นเจอปัญหา (หรืออาจจะคนไม่ซื้อก็ได้เลยไม่เจอปัญหา)
พวกแบรนด์ที่ไม่ได้ขึ้นรถสไลด์กันเป็นว่าเล่นก็เห็นวิ่งได้สบาย BMW i3 งี้อีกรุ่นนึงที่เห็นบ่อยๆแถวสามย่าน
ผมมองว่าถ้าคุณวิ่งในตัวเมืองล้วนๆไม่เกิน 200-300km ต่อวัน แล้วไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งเรื่องการชาร์จไฟ (ค่าไฟ + ค่าทำระบบไฟให้รองรับ) มันน่าเล่นนะครับ
ไอพวกแบตเตอร์รี่กว่าจะเสียจริงๆก็ 5-10 ปี (แล้วแต่การใช้งาน) ซึ่งถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำโดยมากก็รับประกันกันยาวอยู่เหมือนกัน
คือจะรถ EV หรือ ICE เนี่ย ถ้าโรงงานมันประกอบมาดี ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ อยากใช้ก็ใช้ ข้อจำกัดผมว่าในกระทู้นั้น คนก็พูดกันไปหมดแล้ว
ถ้ารับได้ก็เอาครับ ไม่ได้ก็รถ ICE เหมือนเดิม ไม่ต้องรีบร้อน
-
ถ้าเรื่องเงิน และความสะดวกในการชาร์จไฟไม่ใช่ปัญหา จัดโลดครับ
-
ผมว่าระบบมันมีอะไรให้เสียน้อยกว่ารถ Hybrid อีกนะครับ
ขนาดรถ Hybrid เองยังแทบไม่ค่อยเห็นขึ้นรถลากหรือมาต่อว่าในกลุ่มกันเลย EV น่าจะเสถียรกว่านะครับ (คหสต)
-
วิ่งไกลที่ว่าบ่อยไหมละครับ? ถ้าบ่อยPHEVก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่าหรือถ้ามีรถน้ำมันอีกคันไว้วิ่งทางไกลก็โอเคเพราะตอนนี้สถานีชาร์จไฟยังเพิ่งจะเริ่มต้นเอง
-
เน้นในเมืองเป็นหลักก็ซื้อเลย เสียกลางทางก็โทรเรียก รถมีประกันอยู่แล้ว
-
ในมุมมองผมนะ คันต่อไปยังไงก็ต้อง EV100 แต่ยังไม่ซื้อตอนนี้
เพราะตัวเลือกในตอนนี้ไม่มีคุ้มค่าซักตัวเลย มีแต่ตัวลดต้นทุน ฟิลลิ่งการขับและช่วงล่างก็แปลกๆ ยิ่งถุงลมนี่ไม่ต้องพูดเลย และที่ดราม่าตอนนี้ของ EP คือ ประเภทแบต ผมอ่านคร่าวๆเหมือนโดนลดสเปกด้วย
ในตลาดผมรอราคารถไฟฟ้าของญี่ปุ่น และของอเมกามากกว่าเสี่ยงใช้ของจีน ในความคิดผมพอมันเป็นไฟฟ้าแล้ว Software มีผลมากๆกับการใช้งาน ผมยังไม่เชื่อใจจีนในการทำ Software เท่าญี่ปุ่น หรืออเมกา และเจ้า EP ก็มีหลายคันเอ๋อกับกับชาร์จแบตด้วย
ถ้าไม่รีบ รออีก 2 ปีครับ น่าจะมีอะไรมากกว่านี้ ตอนนี้เครื่องยนต์สันดาปแทบจะเรียกได้ว่าไม่น่าซื้อแล้วครับ รอแบตพัฒนาให้วิ่งได้ 600 โล+ แบบสเถียรๆ ค่อยซื้อก็ยังไม่สายครับ
-
สำหรับผม อยากให้ตัวเลือกรุ่นรถมีมากกว่านี้ครับ และ ราคาต่ำกว่านี้
ผมว่าอีก 5-10 ปี น่าจะเป็นอย่างนั้น
-
ถ้าขับในเมือง หรือวันละไม่เกิน 200 ก.ม. + มีที่ชาร์จ ไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้าน ผมว่าเล่นได้นะ
แต่ถ้าจะใช้เกินกว่านั้น รถน้ำมันยังควรจะมีติดบ้านไว้สักคันครับ
ส่วนตัวผมมองว่า รถคันต่อไปของผมคงเป็น EV แหละครับ (แต่แพลนจะซื้อคงอีกนาน อย่างต่ำๆก็ 5 - 7 ปี) ซึ่งตอนนั้นผมว่าแบตเตอรี่คงพัฒนาไปไกลละ ระยะเวลาชาร์จน่าจะต่ำลงกว่าปัจจุบันครับ
-
รถ EV ตอนนี้ผมติดแค่เรื่องสถานีชาร์จอย่างเดียวครับ..
เรื่องระบบผมไม่ค่อยห่วงเท่ารถยนต์สันดาป
-
ผมมองว่าเทคโนโลยีมัน shift เรื่อยๆอยู่แล้วครับ ตอนนี้จะซื้อก็ไม่ได้เสียหายอะไร
แต่มันเป็นช่วงที่ shift เยอะหน่อย คงประมาณช่วง iphone 2-5 อะมั้ง
ส่วนตัวผมมองว่าถ้าสะดวกเรื่องการชาร์จ ซื้อได้แล้วครับ แต่ประเทศไทยเองปั้มไฟฟ้ายังน้อย บทลงโทษของการจอดทับช่องชาร์จก็ไม่มี รปภยังแพ้ มนุษย์ลุง-ป้า ที่ขึ้นเสียง ผู้ให้บริการเองก็ไม่ทำบทลงโทษออกมาชัดเจน
คงต้องรอนโยบายจากทางรัฐ(ซึ่งเป็นไปได้ยากเหลือเกิน) เรื่องขยายปั้มไฟฟ้า ปัจจุบัน ptt ทำมามากขึ้นแล้ว แต่ในกทม.ยังถือว่าน้อยเลย ต่างจัดหวัดไม่ต้องพูดถึง
เรื่องตัวรถ ปัจจุบันที่ลงสนามรถแบบ ground up มาเป็นรถไฟฟ้าเลยในไทย มีแค่ leaf/fomm เองรึเปล่าครับ ที่เหลือต้องเป็น grey market อย่าง bmw เองที่จะออก i4 ออกมาก็ ground up จาก ICE ที่มันก็จะเหลือๆเหมือน ix3 หรือ zs ev ใช้ได้ไม่เต็มที่แบบ tesla
ผมรออีก 4-5 ปี ก่อนค่อยซื้อดีกว่า สำหรับผมปั้มไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ก็น่าจะมีสแตนบายไว้บ้าง แต่อยากให้เทคโนโลยีเรื่องแบตนิ่งกว่านี้อีกนิด เรื่องระบบขับเคลื่อนผมรู้สึกว่าชิ้นส่วนมันน้อยกว่าเครื่อง ice เยอะ ไม่ค่อยห่วงเลยครับ มั่นใจกว่าเครื่องสันดาปปกติอีกด้วย
-
ณ. ตอนนี้ ผมว่ามันนิ่งพอควรแล้ว เรื่องเสีย น่าจะเสียยาก เพราะส่วนประกอบน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาป รถไฟฟ้าดับกลางทาง ในไทยมีเคสแบบนี้หรือยังไม่ทราบ ไม่เห็นมีข่าว แต่ผมยังมองว่ารถ EV ควรเป็นรถรอง คันที่สอง ไม่ควรเป็นรถคันเดียวในบ้าน ระยะ 300 โลต่อการชาร์จครั้งนึง ขับในเมืองเพียงพอ แต่ออกต่างจังหวัดเมื่อไหร่นี่ ต้องวางแผนเดินทางยังกะจะไปออกรบ เมื่อไหร่ที่มันชาร์จครั้งนึงวิ่งได้เกิน 600 โล ในราคาไม่เกิน 1.2 ล้าน ผมถึงจะพิจารณาให้เป็นรถหลักได้
-
ที่บอกว่า "ฝากชีวิตไว้กับรถ EV เวลาเดินทางไปไหนมาไหน
ทั้งใกล้และไกล บางที 2-300 กม."
แนะนำลองเปิดช่องของท่านนี้ให้เค้าดูเยอะๆครับ ว่า รับได้หรือเปล่า กับเวลาชีวิตที่เสียไปกับการเดินทางแต่ละครั้ง
ต้องมาหาทั้งสถานีชาจน์ คำนวนกำลังไฟ คำนวนเวลา ระยะทาง .... ถ้าชีวิตว่างขนาดคิดอะไรพวกนี้ได้ตลอดการเดินทางก็ซื้อเลยครับ
แต่ส่วนตัวผม ไม่รู้ว่าจะต้องไปลำบากทำไม กับรถ EV ที่มีดีแค่แรง ... (แต่วิ่งจริงก็ไม่กล้าเหยียบกันเพราะยิ่งเหยียบไฟยิ่งหมดไว)
https://youtu.be/5aYwiituiLU
-
ถ้าอยู่ กทม แล้ว ปรกติ ขับรถ ไปทำงานเป็นประจำทุกวัน ระยะ ไม่เกิน 200 Km สามารถใช้ได้อย่างสบายใจเลยครับ
แล้วก็ปัจจุบัน EV สามารถเดินทางไป รอบๆ กทม ได้เกือบหมดแล้วนะครับ หัวหิน พัทยา ชลบุรี ระยอง สระบุรี โคราช
มีจุดชาร์ท เข้าถึงเกือบทั้งหมดครับ ที่จะเดินทางลำบากหน่อย ก็คือ เดินทางไปเพชรบูรณ์ ครับ เพราะแทบไม่มีจุดชาร์ท
สำหรับการเดินทางไกล ไปเชียงใหม่ ยังพอได้ครับ แต่เส้นลงใต้ ก็คงลำบากหน่อย จุดชาร์ทห่างกันเยอะ
แต่ถ้าเป็นผม ผม คงเลือกบินมากกว่าครับ จริงๆ ผมว่า EV range ประมาณ 350 Km ขึ้นไป สามารถใช้ได้แทบไม่มีปัญญาเลยครับ
-
ถ้าอยู่ กทม แล้ว ปรกติ ขับรถ ไปทำงานเป็นประจำทุกวัน ระยะ ไม่เกิน 200 Km สามารถใช้ได้อย่างสบายใจเลยครับ
แล้วก็ปัจจุบัน EV สามารถเดินทางไป รอบๆ กทม ได้เกือบหมดแล้วนะครับ หัวหิน พัทยา ชลบุรี ระยอง สระบุรี โคราช
มีจุดชาร์ท เข้าถึงเกือบทั้งหมดครับ ที่จะเดินทางลำบากหน่อย ก็คือ เดินทางไปเพชรบูรณ์ ครับ เพราะแทบไม่มีจุดชาร์ท
สำหรับการเดินทางไกล ไปเชียงใหม่ ยังพอได้ครับ แต่เส้นลงใต้ ก็คงลำบากหน่อย จุดชาร์ทห่างกันเยอะ
แต่ถ้าเป็นผม ผม คงเลือกบินมากกว่าครับ จริงๆ ผมว่า EV range ประมาณ 350 Km ขึ้นไป สามารถใช้ได้แทบไม่มีปัญญาเลยครับ
+1 คับ ถึงผมใช้รถอีวี range 500 กิโล อัพ ผมก้อบินอยู่ดี ไม่ขับรถ
-
ถ้าอยู่ กทม แล้ว ปรกติ ขับรถ ไปทำงานเป็นประจำทุกวัน ระยะ ไม่เกิน 200 Km สามารถใช้ได้อย่างสบายใจเลยครับ
แล้วก็ปัจจุบัน EV สามารถเดินทางไป รอบๆ กทม ได้เกือบหมดแล้วนะครับ หัวหิน พัทยา ชลบุรี ระยอง สระบุรี โคราช
มีจุดชาร์ท เข้าถึงเกือบทั้งหมดครับ ที่จะเดินทางลำบากหน่อย ก็คือ เดินทางไปเพชรบูรณ์ ครับ เพราะแทบไม่มีจุดชาร์ท
สำหรับการเดินทางไกล ไปเชียงใหม่ ยังพอได้ครับ แต่เส้นลงใต้ ก็คงลำบากหน่อย จุดชาร์ทห่างกันเยอะ
แต่ถ้าเป็นผม ผม คงเลือกบินมากกว่าครับ จริงๆ ผมว่า EV range ประมาณ 350 Km ขึ้นไป สามารถใช้ได้แทบไม่มีปัญญาเลยครับ
ในเวลานี้ ผมขอแนะนำให้เลือก MG ZS EV และ MG EP ครับ ถ้างบไม่พอรอ Great Wall Ora ES11 (Good Cat)
-
ควรจะเป็นรถคันที่3ของบ้านประมาณว่าคุณมีรถส่วนตัว1คัน แฟนคุณมี1คัน
แล้วซื้อรถสำรองรถกลางของบ้านเป็นEVล้วน ขับไปรับส่งลูกไปเรียน จ่ายตลาด ไปธุระใกล้ๆ
ถ้ากะจะซื้อขับเป็นคันหลัก อย่าหาทำ เหนื่อยหาปั้มชาร์ต ชาร์ตทีนึงนาน
ต้องมานั่งคำนวณระยะทาง ต้องมานั่งชั่งใจว่าไปทางไหนรถติดน้อย ยุ่งมาก
ปล. คหสต.ผมรอSolid-State Batteryแบตเจนฯใหม่มาค่อยหันมามองรถevครับ
8)
-
อยากรู้ว่าจะซื้อได้หรือยัง
ก็ลองเติมน้ำมันครั้งละ สองสามร้อย
แล้วใช้ไป ไม่สนไฟเตือนน้ำมันน้อย
ใกล้หมดเกลี้ยงถังก็เติม
ถ้าทำได้สักเดือนนึง แล้วไม่ติดใจ
ก็จัดไปครับ
ถ้ายังกังวลว่าน้ำมันจะหมดกลางทาง
ก็เอาไว้ก่อนดีกว่า
-
ยังไม่เห็นการพัฒนาสถานีชาร์จอย่างจริงจัง (หัวชาร์จมันต้องพร้อมก่อนขายรถ)
ถ้าชาร์จที่บ้าน ไปทำงาน กลับมาชาร์จที่บ้าน แบบนั้นไม่เป็นปัญหา
แต่ถ้าต้องเดินทางไกล เช่น กทม.-เชียงใหม่ เรื่อยๆ แล้วต้องซื้อรถน้ำมันไว้ใช้อีกคัน แบบนี้ก็ไม่เอา EV ใช้รถน้ำมันคันเดียวพอ
อีกหน่อยถ้าใช้ EV แล้วต้องไปพึ่งพาหัวชาร์จระหว่างทาง แล้วเจอคิวยาวแบบ 10 คัน นี่ต้องจอดรออีก แย่เลย
-
ถ้ารถ EV ขายดีที่ชาร์จมันมาเองครับ
มันง่ายกว่าสมัยมี NGV แรกๆเยอะ ใครทันสมัยปั้มไม่มีแนวท่อต้องรอรถหัวลากมาเติม ถือว่าใช้ EV ได้แน่นอน
พอรถติดแก็สเยอะธุรกิจเกี่ยวกับ NGV ผุดเป็นดอกเห็ด คนที่ไม่เคยอยู่วงการรถยนต์ก็เข้ามาทำกัน ยิ่งผู้ผลิตรถเองพี่โตพี่เบนซ์มีรถ NGV จากโรงงาน นับประสาอะไรกับ EV ที่จะเกิดและเติบโตง่ายกว่า
ปั้มน้ำมันปั้มแก็สเดิม คาเฟ่ร้านกาแฟมันเกิดที่ชาจน์ง่ายอยู่แล้ว
โมเดลธุกิจใหม่ๆใช้รถกระบะหรือรถตู้เอาบรรทุกเครื่องปั่นไฟ ทำเป็นรถโมบายคอยบริการเติมไฟด่วนนอกสถานที่มันเกิดแน่นอน
แล้วปีนี้ปีหน้าทั่วโลกจะฟื้นตัวจากโควิด ราคาน้ำมันคงจะขึ้นไปไกล ยิ่งกระตุ้นให้ EV เกิดขึ้นไปอีก
จอมดื้ออย่างพี่โตยังไงก็คงมี EV มาขายไทยก่อนเวลาที่เค้าตั้งใจไว้ เพราะตลาดมันบีบหลีกเลี่ยงไม่ได้
-
คันต่อไปคงเป็น ev 100% ถ้าราคาสมเหตุสมผล เบื่อเครื่องสันดาปเต็มทีแล้ว วิ่งเยอะ เซอร์วิสเยอะ เข้าศูนย์ปีละ 3 รอบ บ่อยเกิน
-
ซื้อ EV ก็ดูแค่เรื่องที่ชาจเท่านั้นแหละครับ ถ้าที่บ้าน/คอนโด ที่ทำงาน หรือที่ๆจะไปบ่อยๆมีที่ชาร์จก็จบ ซื้อได้ จะขับไกลก็ซื้อได้
อีกอย่าง EV นอกจากแรงแล้วยังประหยัดนะครับ และความไวของกำลังมันทำให้ขับง่ายขึ้นเยอะ
อย่างผมเดือนนึงจะไปต่างจังหวัดแค่ประมาณครั้งเดียว(ไปเที่ยว 1-2วัน) อาจจะต้องหาจุดชาร์จสักหน่อย แต่ที่เหลืออีก 28 วันก็แค่อยู่ในกทม. ผมจะคิดถึง 28 วันนี้เป็นหลักครับ ถ้าส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาผมก็ซื้อ ส่วนน้อยไว้ค่อยคิดเอา
-
ซื้อ EV ก็ดูแค่เรื่องที่ชาจเท่านั้นแหละครับ ถ้าที่บ้าน/คอนโด ที่ทำงาน หรือที่ๆจะไปบ่อยๆมีที่ชาร์จก็จบ ซื้อได้ จะขับไกลก็ซื้อได้
อีกอย่าง EV นอกจากแรงแล้วยังประหยัดนะครับ และความไวของกำลังมันทำให้ขับง่ายขึ้นเยอะ
อย่างผมเดือนนึงจะไปต่างจังหวัดแค่ประมาณครั้งเดียว(ไปเที่ยว 1-2วัน) อาจจะต้องหาจุดชาร์จสักหน่อย แต่ที่เหลืออีก 28 วันก็แค่อยู่ในกทม. ผมจะคิดถึง 28 วันนี้เป็นหลักครับ ถ้าส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาผมก็ซื้อ ส่วนน้อยไว้ค่อยคิดเอา
เห็นด้วยเลยครับ เอาที่ชีวิตประจำวันไม่ลำบาก นานๆไปเที่ยวไกลๆทีเช่ารถเอาก็ยังได้ครับ ไม่งั้นก็แค่วางแผนเผื่อไว้หน่อย
-
ถ้ายังกังวลเลือกจุดชาร์จ อย่าเล่นเลยรถไฟฟ้่า 100% แต่ถ้าคิดว่าอยากขับรถไฟฟ้าจริงๆ ไปเล่นพันทางแบบ e power ก็ได้
-
ก็เพราะจุดชาร์ต นี่แหละ
ผมถึงออก kick
-
ที่บอกว่า "ฝากชีวิตไว้กับรถ EV เวลาเดินทางไปไหนมาไหน
ทั้งใกล้และไกล บางที 2-300 กม."
แนะนำลองเปิดช่องของท่านนี้ให้เค้าดูเยอะๆครับ ว่า รับได้หรือเปล่า กับเวลาชีวิตที่เสียไปกับการเดินทางแต่ละครั้ง
ต้องมาหาทั้งสถานีชาจน์ คำนวนกำลังไฟ คำนวนเวลา ระยะทาง .... ถ้าชีวิตว่างขนาดคิดอะไรพวกนี้ได้ตลอดการเดินทางก็ซื้อเลยครับ
แต่ส่วนตัวผม ไม่รู้ว่าจะต้องไปลำบากทำไม กับรถ EV ที่มีดีแค่แรง ... (แต่วิ่งจริงก็ไม่กล้าเหยียบกันเพราะยิ่งเหยียบไฟยิ่งหมดไว)
https://youtu.be/5aYwiituiLU
ผมก็คิดเหมือนกันนะครับ แรงม้าเยอะ อัตราดร่งออกตัวดีแต่มันเกินจำเป็นครับ เอาแรงม้าน้อยกว่านี้ มีเกียร์ช่วยทดเพื่อจะได้ลดภาระการใช้ไฟ เพื่อจะได้มีตีนปลายที่ดีกว่านี้และมีระยะทางการใช้งานต่อการชาร์จที่เพิ่มกว่านี้ดีกว่าครับ แรงม้าเยอะเกินจำเป็น และอีกอย่างชาร์จทีเสียเวลา ยิ่งใช้ quick charge แบตยิ่งเสื่อมง่ายครับ
-
ซื้อได้เลยครับ ยังไงก็ต้องไป แต่ปัญหาตอนนี้คือ "รถมันเลือกคนใช้"อยู่ด้วยข้อจำกัดระยะทาง ถ้า life style ใช่ จบได้เลยครับ
ซ่อมยากไหม บอกได้ก่อนว่าชิ้นส่วนรถหายไปมากกว่าครึ่ง มันจะฆ่าsuppliers รถน้ำมันตายเพรียบ
-
ถ้าเปลี่ยนรถทุก 10 ปี ส่วนตัวมองว่ายังไม่ควรซื้อ เทคโนโลยีเรื่อบแบตยังไม่นิ่ง
ถ้าเปลี่ยนรถบ่อยๆ ทุกๆ 3-5 ปี ซื้อได้เลย
ถ่าเป็นรถคันเดียวในบ้าน ไม่แนะนำเพื่อมีเหตุฉุกเฉินชีวิตอาจะไม่ทันการ เช่นวันนี้วิ่งเยอะ จนแบตเหลือ 5% ชาร์จไฟเพลิยๆ อยู่ๆ เกิดมีเหตุ ต้องไปโรงพยาบาล ต้องออกไปช่วยเหลือคน บลาๆ มันจะกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย
สุดท้ายถ้าญาติมาถามความเห็นแล้วผมให้ไป แล้วกลายเป็นว่าไม่ดีสุดท้ายโดนด่า ผมคงไม่ให้คำแนะนำเขาจะกลายเป็นว่าทำดีเสมอตัว เอา
-
ถ้าเปลี่ยนรถทุก 10 ปี ส่วนตัวมองว่ายังไม่ควรซื้อ เทคโนโลยีเรื่อบแบตยังไม่นิ่ง
ถ้าเปลี่ยนรถบ่อยๆ ทุกๆ 3-5 ปี ซื้อได้เลย
ถ่าเป็นรถคันเดียวในบ้าน ไม่แนะนำเพื่อมีเหตุฉุกเฉินชีวิตอาจะไม่ทันการ เช่นวันนี้วิ่งเยอะ จนแบตเหลือ 5% ชาร์จไฟเพลิยๆ อยู่ๆ เกิดมีเหตุ ต้องไปโรงพยาบาล ต้องออกไปช่วยเหลือคน บลาๆ มันจะกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย
สุดท้ายถ้าญาติมาถามความเห็นแล้วผมให้ไป แล้วกลายเป็นว่าไม่ดีสุดท้ายโดนด่า ผมคงไม่ให้คำแนะนำเขาจะกลายเป็นว่าทำดีเสมอตัว เอา
ประเด็นฉุกเฉินน่าสนใจมากครับ
-
ตัวรถอะดี แต่เสียคือ ไม่มีที่ชาร์จครับ
ถ้ารถราคาที่พอฟัง อย่าง ZS EV
1. ถ้าคนซื้อ คือ กลุ่มคนอยู่หอ อยู่อพาร์ทเม้นท์ คอนโด ก็ลำบากหาที่ชาร์จอีก (330e อยู่คอนโด ยังเหมือนใช้รถน้ำมันเลย เพราะไม่มีที่ชาร์จ)
2. ถ้าคนซื้อ คือ กลุ่มคนมีตัง ซื้อเป็นรถคันนที่ 3, 4, 5 ของบ้าน จำนวนการซื้อ และ การใช้งาน ก็คงน้อย เพราะอาจจะไม่ใช้รถคันหลัก
3. ถ้าคนซื้อ คือ รถคันเดียว ก็จำกัดว่า เวลาวิ่งทางไกล ต้องจอดชาร์จเวลานาน วิ่งต่างจังหวัดไม่ตอบโจทย์อีก
ผมว่ามันมีข้อดี และ ข้อเสีย ในตัวมันเอง
ถ้าเปลี่ยนโจทย์ที่ว่า จะเอา EV มาเป้น Hybrid หรือ PHEV แทนละ
1. ความประหยัด แทบไม่ต่างกับ EV เสียค่าไฟฟ้าเลย
2. วิ่งไกลสบายใจมาก ต่างจังหวัดยาวๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จ
3. ตัวเลือก Hybrid หรือ PHEV ก็เยอะกว่า และ พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควรแล้ว
พอเทียบกันแล้ว มันเลยมีความต่าง ในการเลือกชัดเจนมาก ครับ
-
ข้อพิณาส่วนตัว
- ประหยัด อันนี้ราคาค่าตัวอย่าง xc40 ev หรือ model 3 หักล้างค่าไฟ/บำรุงรักษาน่าจะไม่ตอบโจทย์
- สะดวก คิดว่าชาร์จ ac ที่บ้านก็พอได้ (มิเตอร์เฟสเดียว 30/100) จุดชาร์จ dc ก็คงพอจัดการได้
- รักษ์โลก ข้อนี้ก็อยากทำนะ รอรถไฟฟ้าเกาหลีหรือจีน (ญี่ปุ่นเล่นตัวนัก) ลงมาคุ้มทุนเรื่องประหยัดคงจัดแน่นอน
-
สำหรับผมคำว่าประหยัดไม่เพียงพอ เพราะรถใช้หาเงิน รถคือความคล่องตัวในการทำมาหากิน มีรถเพื่อทำงาน
ดังนั้น รถ EV จะเกิดได้ต้องมีรถ EV ที่เติมไฟเข้าระบบได้ภายใo 5-10 นาที แล้วเต็มไปต่อวิ่งได้ 400-600 กิโลเมตร
อีกทั้งสถานีเติม ต้องใช้อัตราเรทไฟที่เรทเดียวกับไฟบ้านหรือแพงกว่าไม่เกิน 5% จึงจะยอมรับได้
จะเอารถมาจอดเติมไฟเป็นชั่วโมงหรือหลายขั่วโมง แค่ยุครถตู้ ngv ก็หลอกหลอนรอเติมจนน่าเบื่อ
เรื่องเทคโนโลยีการขับเคลื่อนไม่ได้กังวลเลย สมัยเด็กเอารถทามิย่าไปหาร้านพันมอเตอร์ ถัดมาอีกไม่กี่สิบปี เราจะถึงยุคที่ร้านพันมอเตอร์จะรุ่งเรืองอีกครั้ง