ถ้าสมมุติว่าเครื่องสองเครื่องใช้วัสดุดีเท่ากัน SOHC จะมีแรงเสียดทานตำ่กว่า ส่วน DOHC จะมีศักยภาพในการปรับแต่งสูงกว่า
เครื่อง DOHC แต่เดิมถูกออกแบบให้รถซิ่งสมัยเครื่อง NA ล้วนๆเทคโนโลยีน้อย เน้นรอบจัด ไม่สนรอบตำ่ อย่าง Alfa ซัก 30-50 ปีที่แล้ว เป็น DOHC แต่ 2 วาล์วต่อสูบ ทำ 100 ม้าต่อลิตร แต่เบาสั่น กินนำ้มัน
เครื่อง SOHC แต่เดิมเน้นรถบ้าน Volvo, Toyota แต่ BMW, Benz แปลง SOHC เป็นเครื่อง Crossflow ไอดี-ไอเสียวิ่งเหมือนเครื่อง DOHC แต่โหลดน้อยกว่า กินนำ้มันน้อย ตัวอย่างคือ E30 Alpina 2.7 แม้จะ SOHC แต่แรงและกินไม่โหด
ปัจจุบันเครื่องที่เทคโนโลยีสูงจะเป็น DOHC ทั้งหมดเพราะให้องศาแคมแปรผันได้อิสระทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย อย่าง Dual VVTi ของโตโยต้า, Valvetronic ของ BMW หรือเครื่องบล็อค K ของฮอนด้าเอง
แต่เครื่อง DOHC จะดีได้ต้องอาศัยเทคโนโลยีสูง
ประเด็นคำถามคือเครื่องใน B car จะต่างไปเพราะต้องมีต้นทุนในการทำเครื่องมาคิด ทำให้ต้องพึ่ง architecture ส่วน mechanic ในการออกแบบเครื่องมาช่วยมากกว่าจะยัด DOHC แล้วเอาเทคโนโลยีวาล์วแปรผันตาม หรือเลยไปถึงยัดเทอร์โบ อย่าฝัน!!เพราะทำไม่คุ้ม จนกว่ากฏหมายมลภาวะที่จะออกปี 2012 โน่นถึงจะเริ่มมีได้
ดังนั้นเครื่องใน segment นี้ความเป็น SOHC หรือ DOHC ไม่สามารถบอกความดี-เลวของเครื่องได้เพราะต้นทุนบีบให้ไม่สามารถใช้ศักยภาพ DOHC ได้ เอาง่ายๆว่าเครื่อง DOHC มาสด้า 2, Yaris, Swift แรงน้อยกว่า SOHC ของฮอนด้าทั้งสิ้น เพราะเหตุผลง่ายๆข้อเดียวคือฮอนด้าออกแบบเครื่องมาดีกว่า