เข้ามางงครับ ที่ว่ามามันเรียกว่า Bully อย่างไรหรือครับ
เรื่องการต่อรองราคา ผมมองง่ายๆว่าเราตั้งราคาไว้เผื่อต่อรองอยู่แล้ว โดยอ้างอิงราคาตลาดบวกลบตามสภาพรถของเรา
นัดดูรถก็ทราบราคาเปิดกันอยู่แล้ว ที่นี้ราคาที่เราลดได้เต็มที่เก็บไว้ในใจ ถ้าต่อรองกันจนไม่หลุดลิมิต ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ
การติ หรือการ bully เนี่ยเค้าทำกันหลายวิธีครับ ผมขอยกตัวอย่างการติรถให้อ่านละกันครับ
สมมุติมีคนขายรถคันนึง ตั้งขายไว้ 4แสนถ้วน ปี 2015
ผมเป็นคนซื้อ ขอนัดเจ้าของรถดูรถที่นึง โทรสอบถามคนขายบอกขาย 4 แสน ผมบอกโอเค ขอดูรถ ....
พอถึงหน้างาน ผมเริ่มทำงานเลย คือ
1.หารอยบุบ หาตำหนิ หารอยชน/หนักเบา/จมน้ำ ถ้ามี ผมจะบอกว่า
-"รอยเยอะนะครับพี่"
-"ตรงนี้พี่ทำสีมาใช่ไหม ไปชนอะไรมา"
-"ท้ายหนักนะเนี่ย ทำมาไม่ดีด้วย"
แต่ในกรณีที่รถไม่มีชน ก็จะดูเลขไมล์ด้วย เช่นไมล์ 1 แสน ผมจะบอกว่า รถปี 15 วิ่งเยอะเหมือนกันนะ เคยทำเกียร์มายัง บราๆ ... (พยายามหาอาการประจำของยี่ห้อนั้นๆมาพูดเช่นน้ำดัน เกียร์เปราะ)
สุดท้ายพอร้องราคา คนขายบอก 4 แสนยืน ผมจะบอกว่า วันก่อนผมซื้อ ปีเดียวกับพี่ สีเดียวกัน รุ่นเดียวจับ เค้าขาย 350,000 เอง ... พี่ไปตีเต้นมายัง เต้นให้ไม่ถึง 4 หรอก จริงมั๊ย ...... ซึ่งผมรู้อยู่แล้วราคาเต้นท์ซื้อ มันกดอยู่แล้ว
ซึ่ง นี่คือวิธีรวมๆ ที่เค้าต่อ คนซื้อจะตินั่นดินี่ เบาะขาดบ้าง รถไม่เข้าศูนย์บ้าง เล่มหายบ้าง ช่วงล่างต้องทำเยอะ เก็บเยอะ บั่นทอนกำลังใจเจ้าของรถให้รู้สึกว่า รถมันแย่ และถ้าไม่ขายราคานี้ ไปตีเต้นท์ได้ต่ำกว่านี้อีก ...
นี่คือแค่ส่วนนึงนะ ... ลีลาการต่อการติของคนซื้อมืออาชีพอะ ... มันกล่อมจนจากตั้ง 4 แสน เหลือ 3 แสนก็ขายมาเยอะแล้ว ..