Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Dark Overlord ที่ เมษายน 27, 2017, 20:49:56
-
เห็นกระแสอะไรๆ ของ Hybrid ในประเทศไทยมันไปในทางลบหมดเลย
user ที่เคยใช้ hybrid ก็ออกมาบอกว่าคันหน้าไม่เอา hybrid แล้วอยู่บ่อยๆ
จริงๆ มีใครบ้างมั้ยครับที่กะว่าคันถัดไปก็จะขอใช้ Hybrid อีก
พอดีผมไปได้รถมือสอง Camry Hybrid ที่สภาพนิ๊งมาก ไม่มีชน ไม่มีเก็บสี ไม่มีรอยใดๆ ไม่มีน้ำท่วม ระบบโอเคหมด
ใหม่กิ๊งทั้งๆ ที่อายุ 8 ปีแล้ว ผมถามประวัติเต้นท์ (ผมรู้สึกว่าเต้นท์นี้ค่อนข้างจริงใจกว่าเต้นท์อื่นหลังจากที่ดูมาหลายที่)
เต้นท์บอกว่าเจ้าของเก่าเป็นผู้บริหาร Tisco ตอนแรกผมก็เสียวว่าเป็นรถบริษัท แต่เช็คดูแล้วรถไม่ถูกแตะแกะเกาใดๆ ทั้งๆ สิ้น
เลยต้องรีบเอา เลยอดได้รถมือหนึ่งเลย 555 แต่ย่อหน้านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะถามครับ เดี๋ยวมาเถียงกันในกระทู้เรื่องรถมือหนึ่งมือสองอีก
วันนี้ผมกลับจาก Seacon มาบ้านก็ประมาณ 10 กิโล รถติดมากพอประมาณ ต้องกดเบรกบ่อย
ผมก็สังเกตุดูที่รูป แบ็ตมันขึ้นมาเรื่อยๆ ลักษณะการขับก็ทำให้ระบบ hybrid ทำงานให้แบตส่งกำลังมาที่ล้อ
ตอนกดคันเร่ง สลับกับ ล้อส่งกำลังไปที่แบตตอนถอนคันเร่ง เป็นแบบนี้ตลอดทางจนถึงที่บ้าน น่าจะแทบไม่ได้ใช้น้ำมันเลย
จากปกติขับ Camry 2.4 ตัวเก่า (ซึ่งโทรมกว่าคันนี้เยอะ) ก็น่าจะหมดไปหลายบาทอยู่ แล้วยังมีตอนย่องเข้าหมู่บ้าน ทางโล่ง
แต่มีเนินเต่าเป็นระยะ ระยะทางตรงนี้ก็ไม่ได้ใช้น้ำมันเลย สุดยอดมาก ???
ดังนั้นผมสรุปได้ว่า อัตราสิ้นเปลืองตามตัวเลขในตาราง สำหรับระบบ Hybrid มันจะสูงขึ้นกว่าในตารางมากๆๆ
ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมกับระบบที่จะให้แบตทำงานอย่างเดียว เพราะผมเคยเทียบระหว่างรถธรรมดาที่ประหยัดมากๆ กับรถ hybrid
ผมก็มีความรู้สึกว่า อัตราสิ้นเปลืองก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นี่นา แต่ในความเป็นจริง เพิ่งมาเห็นตรงนี้ว่า สภาวะแวดล้อมมีผลต่ออัตรา
สิ้นเปลืองของรถ hybrid สูงมาก มากกว่ารถกินน้ำมันทั่วไป จนพูดได้ว่า ถ้าคุณได้ใช้รถ hybrid ในสภาวะที่เหมาะกับเวลาที่มัน
ประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ตลอดเวลา แบบนี้ถือว่าคุ้มมากนะครับ แต่พอมาเรื่องขับทางไกลเท่านั้นแหล่ะที่เราต้องมาเทียบบนตาราง
อันดับของเว็บแล้ว ซึ่งถ้าเราไม่ค่อยได้เดินทางไกลหรืออกนอกเมืองทางโล่ง hybrid ก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้เยอะ
ผมก็เลยเพิ่งเข้าใจว่าทำไมถึงได้โกยเอา Prius ไปทำ Taxi เพราะว่าถ้ามันได้วิ่งในเมืองตลอด
กำไรน่าจะได้คุ้มแน่นอน เพราะ Prius ประหยัดกว่า Camry ตั้งเยอะ
ประเด็นเจ๋งๆ เกี่ยวกับ hybrid ผ่านไป
มาอีกประเด็นเรื่องค่าดูแลรักษาที่จะทำให้คนใช้อ้วก ข้อนี้ผมก็กำลังวัดดวงอยู่ครับว่าจะมีอะไรเสียหายมั้ย
ชิ้นไหนซ่อมได้นอกศูนย์ที่เขารับๆ ทำกัน มันจะซ่อมได้จริงมั้ย แต่ผมอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้ันมาเพื่อเป็นอีกกระแสเสียงหนึ่ง
ที่มองภาพในด้านบวกของ hybrid บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณขับอยู่ในสภาวะที่เป็นบวกต่อระบบนี้อยู่ตลอด คุณจะ
รู้สึกว่า อุต๊ะ เจ๋งแฮะ และผมคิดว่า D segment กับ hybrid ก็เป็นการจับคู่ที่ดี ถึงแม้ค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนแบตจะหฤโหด
แต่พื้นฐานราคารถเดิมๆ มันแพง 1.5 ล้าน ก็ยังพอทำใจได้ แต่ถ้าเป็นรถราคาเกือบล้าน หรือล้านนิดๆ อาจจะทำใจยาก
มากกว่าอย่าง Prius
สำหรับคนอื่น มีใครพอใจ hybrid อยู่และอยากใช้อีกมั้ยครับ แบบว่าสวนกระแสเกลียด hybrid กันหน่อยนึง
-
ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับ Hybrid จึงยังไม่อยากตัดสินอะไรก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพียงแค่ฟังหูไว้หูเท่านั้น
สำหรับผมมองว่า ถ้ารถที่อยากได้มีแต่ Hybrid ก็ไม่มีปัญหาอะไร ซื้อได้ไม่ลังเล
แต่ถ้าถามว่าอยากได้ระบบ Hybrid ไม๊.... เฉยๆ อยากได้ Plug-in Hybrid มากกว่าครับ
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
-
ผมเหรอ คันหน้าอะไรก็ได้ครับ ที่ราคาเท่าเดิมแต่ประหยัดขึ้นสองเท่า และแรงแบบเหมือนข้ามเซกเมนต์ไปขั้นนึง โดยคันไม่เล็กลง
จะดีเซล จะไฮบริด หรือไฟฟ้าเพียว (ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายถูกไหม? ค่าไฟฟ้าหรือค่าบำรุงรักษาอื่นๆ)
เอาง่ายๆ สมมติผมจะเปลี่ยนเจ้า March ผมก็อยากได้แรงๆ ประหยัดๆ อย่างน้อยๆ Mazda 2 Diesel แต่ต้องกว้างแบบคันเดิมเป็นอย่างน้อย
หรือสมมติผมจะเปลี่ยนเจ้า X-Trail 2.0 โจทย์นี้ยากละ อย่างน้อยๆ คงต้องราวๆ CR-V 1.6 ดีเซล แต่ราคามันเท่าครึ่งรถผมเลยนะ :-\
ในอนาคตผมไม่แคร์ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมันจะได้รับการดูถูกอย่างไรครับ เพราะเชื่อว่าต่อให้ใช้หลักการวิศวกรรมเดิม
ถ้าของมันไม่ดีขึ้นชัดเจน มันก็ต้องมีเสถียรภาพมากขึ้น และถ้ามันไม่ได้ทั้งสองอย่าง มันก็ไม่ควรจะอยู่รอดในโลกการเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะถ้ามันเอาเทคโนโลยีเดิมมาลากขายแบบที่เคยทำๆ กันมา คงอยู่รอดยากในยุคที่โซเชียลไปไว
แต่ปกติต้องบอกก่อนว่าผมเป็นพวก Gen-Y สายไอทีนะ คนที่ต้องการความมั่นคงหรือไม่กล้าเสี่ยง ก็จะคิดอีกแบบครับ อะไรก็ได้ขอให้ถูก ถึก ทน มากกว่า
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
พรีอุสแบตลูกละประมาณ 74000 ถ้าถามมาแล้วจำไม่ผิดนะครับ (ญาติมีเปลี่ยนไปคันนึง ในประกัน) ส่วน Engine Break ใช้เกียร์ B ครับ ผมขับขึ้นลงอ่างขางด้วยพรีอุสมาแล้ว สบายมากๆ แถมตอนลงนี่ แบตเต็มขีดทุกเม็ดเลย (ปกติมันจะชาร์จไม่เต็ม จะเหลือไว้ 1-2 เม็ด)
-
ใช้ไฮบริดมา 4 ปีเกือบ 5 ปี วิ่งไป 1.4 แสนโลครับ
เรียกว่าตั้งแต่ใช้มาเรื่องตัวรถโอเคมากๆ ทนมากทุกอย่าเลยอาจเพราะอะไหล่ของรุ่นนี้ส่วนใหญ่จะ made in jaoan ด้วยครับ
ปัญหาที่เจอคือเคลมแบตใหญ่ไปรอบนึง ไม่เสียเงินครับ แต่แบตเล็กยังไม่เคยเปลี่ยนเลย
แต่ปัจจุบันปั๊มเบรคเริ่มมีเสียงดัง แต่ยังไม่มีไฟเตือนขึ้น ตัวนี้ประมาณ 7 หมื่น ถ้าใช้อะไหล่เก่าซ่อมอู่นอกกูถูกลงครึ่งนึง
คือถ้ารับกับค่าซ่อมที่รถล้านกว่าๆ เปลี่ยนอะไหล่ตัวละแสน หรือเกือบแสนได้ก็ถือว่ารถดีมากๆ ครับ ไอ้เจ้าอะไหล่ตัวที่ว่ามันก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้น (ยกเว้นแบตกับอินเวอร์เตอร์ที่รับประกันนานมากอยู่แล้ว)
โดยรวมผมก็โอเคกับค่าซ่อมครับแม้จะรู้สึกว่าแพงไปหน่อย
คันต่อไปกะว่าจะลอง SUV ดีเซลบ้าง แต่พวกเก๋ง plug in ยุโรปก็แรงดีเหลือเกินจนไม่รู้จะเอายังไงดี บางทีพวก option เดี๋ยวนี้มันก็ไปอัดอยู่กับรุ่นไฮบริดซะหมดครับ ก็ทำให้คนที่ต้องการ option บางทีก็เลี่ยงไม่ได้
สรุปแล้วผมก็ไม่ได้รังเกียจรถไฮบริดครับ ประหยัด แรง แต่สิ่งที่แย่คือราคาขายต่อครับ ถ้าคนที่ต้องขายคันเก่ามาดาวน์คันใหม่แบบผมก็คงคิดหนักหน่อยเพราะสุดท้ายแล้วได้เงินมาแทบจะไม่พอดาวน์คันใหม่เลยครับ
-
ตอบเจ้าของกระทู้ครับ (Quote แล้วเดี๋ยวยาว)
ผมเนี่ยแหละครับคิดแบบนี้เลย เพราะใช้พรีอุสอยู่ ที่บ้านมี 2 คันเลย TRD 2011 ทั้งคู่ สีขาวเสียด้วย ของพ่อคัน ของแฟนคัน คันของพ่อซัดไปจะ 200,000 โลแล้ว ทุกอย่างปกติ เปลี่ยนอะไหล่ตามระยะ คันของแฟน 75000 โลแล้ว ผมใช้บ่อยแทบทุกวันมาทำงาน และล่าสุด ลุงผมไปซื้อ Voxy Hybrid มาอีกคัน
พอขับใช้งานแล้ว ทำให้ประทับใจเรื่องอัตราเร่งมากๆ มันดูดปรู๊ดออกไปเหมือนโดนถีบ เวลาขับในเมืองก็ประหยัดมากๆ ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนแฟนผมไปทำงานจากบ้านไปถึงแถววิภาวดี เส้นทางแค่ประมาณ 7 กม. จากบ้าน ตอนใช้แคมรี ACV30 2.4Q เส้นทางนี้จ่ายค่าน้ำมันประมาณ 3500 ต่อเดือน พอเปลี่ยนรถปั๊บ เดือนนั้นค่าน้ำมันเหลือ 1500 ต่อเดือน! ทั้งๆที่เดือนก่อนยัง 3-4 พันอยู่เลย
ทุกวันนี้ที่ขับอยู่เป็นเส้นทางต่างจังหวัด (ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ฉะเชิงเทรา) ใช้เข้าเมืองรถติดๆบ้าง ขับไปกรุงเทพ(มอเตอร์เวย์)บ้าง เฉลี่ยๆออกมาแล้วถังนึงก็ตกประมาณ 500-600 กว่า กม. (ถังนึงมัน 30-35 ลิตรเวลาเติมจริงนะครับ 700 ก็แทบเต็มถังแล้ว) ก็ยังได้ 17-19 โลลิตรอยู่
ยังไม่นับเรื่องช่วงล่างของรถ และท้ายรถที่พื้นเรียบ โหลดของได้สะดวก พับเบาะได้เรียบเสมอต่อกันอีกของมัน ทำให้คิดเลยว่า ถ้ามีรถในลักษณะนี้มาอีก และเป็นไฮบริด คงได้อุดหนุนแน่นอนครับ
-
ถ้าคันไหนใช้ยาวๆคงไม่เอาแน่ แต่ถ้าใช้ 5-7 ปีผมก็ไม่ซีเรียส Hybrid หรือ Plug-in น่าสนใจมาก แรงดีประหยัดได้
แต่คันล่าสุด G9 Hybrid Tech ผมใช้ 1 ปีกว่าๆ เหลือประกันแบต 9 ปี ผมขายต่อได้ 9 แสนเองครับ :-X
-
สำหรับผมนะคับ
โดยส่วนตัวผมสนใจรถเล็กอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนคันใหม่จาก Nissan March ผมขอรถที่ต้องประหยัดกว่าเดิม
สำหรับระบบ Hybrid ผมรับได้นะครับ ถ้าเป็นระบบ Mild Hybrid แบบ Suzuki
เพราะผมมองว่า มันประหยัดขึ้น มอเตอร์ตัวเล็กมาช่วยกำลังเครื่องโดยใช้แบตลูกไม่ใหญ่มาก
ระบบ Hybrid นี้ไม่ซับซ้อน ทำให้ผมน่าจะขับยาวๆ ได้อย่างสบายใจ ค่าดูแลไม่น่าจะแพง (ถ้า suzuki ไม่หวังขายอะไหล่นะคับ)
ไม่กินพื้นที่รถ ไม่ทำให้รถหนักขึ้นมากแบบ full hybrid
(http://autonetmagz.net/wp-content/uploads/2015/09/suzuki-solio-and-suzuki-bandit-mild-hybrid-630x420.jpg)
สรุป...ผมรอเจ้า Solio Hybrid คับ ชอบมากๆ
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
พรีอุสแบตลูกละประมาณ 74000 ถ้าถามมาแล้วจำไม่ผิดนะครับ (ญาติมีเปลี่ยนไปคันนึง ในประกัน) ส่วน Engine Break ใช้เกียร์ B ครับ ผมขับขึ้นลงอ่างขางด้วยพรีอุสมาแล้ว สบายมากๆ แถมตอนลงนี่ แบตเต็มขีดทุกเม็ดเลย (ปกติมันจะชาร์จไม่เต็ม จะเหลือไว้ 1-2 เม็ด)
เหมือนเคยได้ยินในรายการวิทยุของพี่จิมมี่นะครับว่ารถ Hybrid วิ่งลงเขาแล้วเก็บแบตจนเต็มไปเรื่อยๆจะไม่ค่อยดี
ไม่ชัวร์ว่าจำผิดหรือเปล่านะครับ ยังไงถ้ามีโอกาศขับขึ้นเขาคราวหน้าลองศึกษาดูก่อนนะครับ เด่วจะเสียเอา :-X
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
พรีอุสแบตลูกละประมาณ 74000 ถ้าถามมาแล้วจำไม่ผิดนะครับ (ญาติมีเปลี่ยนไปคันนึง ในประกัน) ส่วน Engine Break ใช้เกียร์ B ครับ ผมขับขึ้นลงอ่างขางด้วยพรีอุสมาแล้ว สบายมากๆ แถมตอนลงนี่ แบตเต็มขีดทุกเม็ดเลย (ปกติมันจะชาร์จไม่เต็ม จะเหลือไว้ 1-2 เม็ด)
เหมือนเคยได้ยินในรายการวิทยุของพี่จิมมี่นะครับว่ารถ Hybrid วิ่งลงเขาแล้วเก็บแบตจนเต็มไปเรื่อยๆจะไม่ค่อยดี
ไม่ชัวร์ว่าจำผิดหรือเปล่านะครับ ยังไงถ้ามีโอกาศขับขึ้นเขาคราวหน้าลองศึกษาดูก่อนนะครับ เด่วจะเสียเอา :-X
พวงที่ขับ Uber ก็ใช้วิธีนี้คับ
-
ผมเป็นหนูทดลอง Camry HV รุ่นสอง ก็ยังใช้ดีไม่มีปัญหาใหญ่ ที่อยากได้คือแบตใหญ่ๆที่เก็บไฟได้เยอะๆ ถ้าวิ่ง ev อย่างเดียวได้นานๆนี่มันส์มากเลยครับ รถคันต่อไปถ้าเงินเหลือเฟือก็อาจจะเป็น plug-in ไฮบริดหรือรถไฟฟ้าแบบเทสล่าไปเลย เป็นพวกชอบลองเทคโนโลยีใหม่แบบเจ็บมาเยอะก็ยังไม่เข็ดครับ ;)
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
ตอบข้อสองอย่างเดียว รถไฮบริดไม่มีเอนจิ้นเบรคแต่มีเจเนอเรเตอร์เบรคนะครับ แค่เอาเท้าแตะเบรคเบาๆรถมันจะชะลอเองทำให้ขับง่ายมาก ถ้าเป็นรถทั่วไปต้องมาเชนจ์เกียร์ช่วยทำให้รอบเครื่องกระชากหรือเหยียบเบรคลึกทำให้ไฟท้ายติดเสียจังหวะ แต่รถไฮบริดพอแตะเบรคเบาๆสวิตซ์ไฟมันจะไปสั่งมอเตอร์ให้ดึงชะลอรถได้ทุกจังหวะ เวลาขับตามท้ายคันหน้านี่รักษาระยะห่างง่ายมากเลยไฟเบรคไม่ติดด้วย ทำบ่อยๆชาร์แบตเต็มไวอีกต่างหาก สำหรับผมที่ชอบระบบรถไฮบริดมากรองลงมาจากโหมด ev ก็ตรงระบบเจเนอเรเตอร์เบรคนี่แหละ
-
ถ้า hybrid แล้วขับ 4 ก็คงจะมองหละครับถ้ามันอยู่ในรุ่นที่สนใจ
(อาจจะไม่ได้เจอเอง ประมาณหมูไม่กลัวน้ำร้อน ตอนนี้เลยยังไม่กลัว ฮา)
รถพวกนี้ที่แพงอันนึงก็ แบต อีกอันก็ gen ปั่นไฟ
แต่แบตก็ประกันยาว ตัวปั่นไฟก็ได้ยินว่าพี่ไทยแยกชิ้นซ่อมได้แล้วประหยัดไปเยอะ
ก็ต้องคอยดูกันอีกทีครับ :o
-
บอดี้ ACV41 แบตยังอยู่ในประกันครับ ลองเช็คประวัติดูครับ
ปั๊มเบรก ก็เคลมได้ครับถ้าเสียงดัง
คอนโซลหน้าอีกครับถ้าเหนียวก็เปลี่ยนได้ครับ
ดันหลังเบาะคนขับก็พังได้ครับ ชิ้นส่วนเป็นพลาสติก อู่นอกรับทำอยู่ครับ
ส่วนระบบปรับอากาศก็ราคาสูงครับตัวนี้มีพลาสมาคลัสเตอร์
ส่วนผมระบบเบรก คิดว่าคงไม่เกินปี สองปีน่าจะต้องเคลมละครับ
แบตก็ลุ้นให้เสียไวๆเพราะจะรีบเคลมครับ ส่วนแอร์ยังไม่รั่วครับ
รถหกขวบวิ่งไปหกหมื่น ไม่คุ้มเลยครับ 555
-
Camry hybrid2013 ซื้อเพราะรีวิวอัตราเร่งคุณจิมมี่ ตอนแรกกำลังจะถอยแอคคอร์ดg9
Alphard hybrid 2016 ซื้อเพราะ ระบบขับสี่ +เชื่อมั่นhybrid ของพี่โตอยู่แล้ว
Alphard hybrid 2017 ซื้อเพิ่มรุ่นเดิมเพราะ ใช้ดี อัตราเร่งดี ขับสี่เค้าเกาะถนนดีจริงๆ
ผมไม่สนเรื่องหลังการขาย หรือค่าบำรุง ถ้ารถมันน่าใช้
เน้นใช้สมรรถนะของรถเต็มที่ ที่ผ่านมา ค่าบำรุงถูกมาก
แต่ตอนเคลมแบตแคมรี่ รอเดือนนึง แอบเซ็งเหมือนกันดีนะที่ฟรี
-
คนที่ได้ใข้ toyota hybrid แบบยาวๆจะไม่ค่อยกลัวครับ
รถญาติ camry hybrid รุ่นแรกปลายโมเดล เปลี่ยนแต่ยางกับแบต 12v 1 ลูก อายุรถ 7ปีแล้ว ทนจริงครับ
วิ่งสุขุมวิท อโศก 15 กม/ลิตร ไม่เปลี่ยนรถบ่อย กรณีแบบนี้ไม่มีอะไรให้กลัวแล้ว แต่หากขับ 3-4ปีเปลี่ยนเลย ราคามันตกเยอะคงเข็ด
กรณียุโรปคงต้องูกันต่อไป ยังไม่ถึงเวลาตัดสิน
แต่ราคาตกเยอะในช่วงสั้นๆ ลูกค้าแบบนี้คงเซ็งกันบ้าง
ถ้าเป็นตัวผมเอง hybrid toyota ไม่กลัวครับ
เขาขายมานานแล้ว มีกรณีก็จบไม่ยาก แต่ถ้ายี่ห้ออื่นที่เพิ่งขายไม่นานคงยังไม่กล้าครับ
-
ยกครึ่งมือได้ไหมครับ อาจจะเอา ActiveHybrid 3 ไม่ก็ Prius อีกสักคันครับ
-
ปัญหาต่างๆมันเกิดขึ้นได้กับทุกประเภทเครื่องยนต์ละครับ อยู่ที่ว่าใครไม่เจอกับตัวไม่รู้ กับฟังเค้าเล่ามาอีกทีแล้วมาคุยอีกที
-
ถ้าดีขนาดนั้นทำไมพริอุ๊สเจ๊ง มันคงเหมาะกับแคมรี่ตัวท็อปแต่ไม่ใช่รุ่นอื่น
รถมันดีหมดแหละถ้าไม่เกิดปัญหา แต่ถ้ามีปัญหา ซ่อมทีแพงเพราะระบบซับซ้อน คนก็ย่อมกลัว ขนาดแค่มีเทอร์โบคนยังกลัวค่าซ่อมเลย
ปล.แต่ผมเป็นพวกบ้าเทคโนโลยี ถ้าดีจริงก็อยากลอง
-
ราคาตกเกินรับไหวจริงๆ ไม่ได้ซื้อมาขายแต่มันก็เกินไปหน่อย
-
ผมใช้ camry hv 2013 อยู่ครับ และเพิ่งได้ e220d มาวันนี้
ถ้าจำเป็นต้องขายแคมรี่คันนี้ออกไป ผมก็ยังคงจะกลับมาซื้อ แคมรี่ ไฮบริดอีกแน่นอน
ใช้แล้วประทับ ประหยัด บทจะแรงก็แรงหายห่วง แถมเงียบอีกต่างหาก ถ้าโตโยต้า ผมมั่นใจในไฮบริดเค้านะ
แต่ยี่ห้ออื่นคงตัองให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ก่อนโดยเฉพาะค่ายยุโรป ที่เอา e220d ก็เพราะกลัวไฮบริดเบนซ์
ตอนตัดสินใจซื้อตอนแรกก็กังวลนะครับ แต่พอใจงานจริง ผมว่ามันดีมากๆเลย
-
ถ้ามีโอกาสและความพร้อมทางการเงิน ผมก็อยากลองเป็นเจ้าของรถ Hybrid สักคันนะคร้บ จะ MID Hybrid Full Hybrid หรือ Plug in Hybrid ก็ได้ เพราะส่วนตัวเป็นคนบ้าเทคโนโลยีอย่างแรงครับ และการใช้รถส่วนใหญ่ผมจะในรถในเมือง แถวๆสีลม สาธร ซึ่งการจราจรมันติดขัดมากๆ ผมเชื่อว่า Hybrid น่าจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ ส่วนเรื่องราคาขายต่อคงไม่คิดอะไรมาก เพราะส่วนตัวคิดอยู่เสมอว่า "ซื้อรถมาใช้ ไม่ได้ซื้อมาขายหรือทำกำไรครับ"
ตอนนี้ได้แต่หวังว่า ในอนาคตอันไกลโพ้น (10ปี+) ที่บ้านคงจะยอมให้รับรถ Hybrid :)
-
ตอบคำถามเดียว และยืนยันคำตอบเดิม
ไม่เอา Hybrid อีกทั้งชาติ เว้นแต่ไม่เหลือ
เครื่องยนต์ธรรมดาแล้วในโลกนี้
เรื่องประหยัดในภาวะของมัน
ผมไม่เถียงครับ ชื่นชมด้วยครับว่า
มันประหยัดดีจริงๆ แต่ส่วนต่างของ
ความประหยัด กับ ค่าบำรุงรักษาและ
ราคาขายต่อมันเทียบกันไม่ติดเลยครับ
สำหรับความคิดผมนะ คนที่ได้ซื้อมือหนึ่ง
แล้วเจอปัญหาและราคาขายต่อเองกับตัว
จะเลิกสนใจไฮบริดไปเลย แต่ถ้าอีกมุมของคน
ที่ซื้อมือสองที่ได้ราคามาโคตรถูก (Hybrid มือสองต้องใช้คำนี้จริงๆครับโคตรถูก)
และความประหยัดที่รถให้ มันเลยทำให้ดูคุ้มมาก
แต่สำหรับคนซื้อมือหนึ่งที่เจ็บตัวเต็มๆ ความคิดที่
จะใช้ Hybrid ต่อ อาจจะหดหายไปเยอะครับ(รวมทั้งผมด้วย)
-
ตอบคำถามเดียว และยืนยันคำตอบเดิม
ไม่เอา Hybrid อีกทั้งชาติ เว้นแต่ไม่เหลือ
เครื่องยนต์ธรรมดาแล้วในโลกนี้
เรื่องประหยัดในภาวะของมัน
ผมไม่เถียงครับ ชื่นชมด้วยครับว่า
มันประหยัดดีจริงๆ แต่ส่วนต่างของ
ความประหยัด กับ ค่าบำรุงรักษาและ
ราคาขายต่อมันเทียบกันไม่ติดเลยครับ
สำหรับความคิดผมนะ คนที่ได้ซื้อมือหนึ่ง
แล้วเจอปัญหาและราคาขายต่อเองกับตัว
จะเลิกสนใจไฮบริดไปเลย แต่ถ้าอีกมุมของคน
ที่ซื้อมือสองที่ได้ราคามาโคตรถูก (Hybrid มือสองต้องใช้คำนี้จริงๆครับโคตรถูก)
และความประหยัดที่รถให้ มันเลยทำให้ดูคุ้มมาก
แต่สำหรับคนซื้อมือหนึ่งที่เจ็บตัวเต็มๆ ความคิดที่
จะใช้ Hybrid ต่อ อาจจะหดหายไปเยอะครับ(รวมทั้งผมด้วย)
ครับเห็นด้วย เรื่องราคาขายต่อมือสองเป็นปัญหาสำหรับคนที่ซื้อมือแรกจริงๆ
-
ผมรอตอนแก่ใช้ไฟฟ้าเพียวๆหวังว่าได้ใช้ในชาตินี้ 555
-
ไม่กลัวครับ คันหน้า อยากลอง ไฮบริดครับ
มีเหตุผลดังนี้
1 เป็นคนไม่ใช้รถเพราะ เขาเล่าว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประสพการณ์ตรง ตย. Volvo จุกจิก ผมใช้มา 4 ปี โคตรดี เป็นต้น กลายเป็นสาวก Volvo กันไป คันหน้า ก็จะมอง Volvo ก่อน
2 ไม่มีรถอะไร ราคาไม่ตก
-
ไม่เคยใช้และไม่คิดจะใช้
ได้น้ำมันฟรีจากบริษัท
ทำให้ข้อดีของรถ hybrid ที่ประหยัดน้ำมันก็ไม่มีประโยชน์เลยสำหรับผม ยิ่งราคาที่แพงกว่าตัวปกติ ยิ่งไม่คุ้ม
-
ยังชอบขับ PURE ENGINE อยู่ครับบ มันได้ฟิลกว่า เวลาขับ
-
คันต่อไปอยากได้ hybrid ครับ ผมไม่เห็นมันมีข่าวว่า มีปัญหาแล้วซ่อมไม่จบ โดย เฉพาะ camry ไม่ได้แค่อยากลองแต่ตั้งเป้าไว้แล้ว ว่า คันต่อไป camry hybrid ไม่ใช่แค่เรื่องประหยัดน้ำมันแต่ผมอยากลอง technology ใหม่ๆ ที่จะใช้กันในอนาคต :)
-
ใช้Prius2013อยู่ ชอบ เงียบ ไม่เคยมีปัญหา
เช็คศูนย์ก็เสีย คชจ.เหมือนรถเบนซินปกติ
เวลารถติดๆรู้สึกกระหยิ่มนิดๆ
แผงแดชบอร์ดก็ล้ำถูกใจ
ถ้าปีหน้าCHR มา ขอhybrid ครับ
-
ใช้ camry hb 2012 prius mc 2012
ใช้งานประทับใจทั้งสองคัน
ประหยัดน้ำมันมากๆ เข้าศูนย์ก็ราคารับได้
ใช้มาถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีอะไรในระบบ ไฮบริต เสีย หรือ รวน
คันต่อไปยังไงก็ไฮบริตแน่นอน ไม่ของพี่โต ก็ ของ Lexus
-
เรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่คนหยิบยก 110ไปเกทับกันที่โน่นที่นี่ ผมบอกอยู่หลายครั้งแล้วว่ามันล้มเหลว ไม่ใช่ข้อสรุปในการบอกได้เลยว่ามันประหยัดจริงๆ เพราะมันก็คือ110นิ่งๆค่าเดียวนั่นเอง
และมันก็เป็นไปตามที่ จขกท บอกมา
มันจะมีรถหลายๆคันแหวกแนวออกมา เช่น all new dmax fiesta อะไรแบบนี้
ส่วนตัวผมไม่เคยใช้รถ hybrid แค่คิดว่าปัญหามันอยู่ที่ค่าบำรุง กับค่ารถที่แพงเหลือเกิน มันจะคุ้มกับค่าน้ำมันรึเปล่า
-
รถเมียผม Prius ครับ ถ้าถามว่าคันหน้าอยากได้อีกมั้ย ผมว่า "ไม่" ครับ (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เช่น รุ่นที่อยากได้มีแต่ไฮบริด)
ประหยัดจริงครับ 20โล/ลิตร แต่บ้านผมใช้รถน้อย หมื่นโลนิดๆ/ปี ไม่ซีเรียสค่าน้ำมัน
รถใหม่ๆเงียบจริงครับ พอเก่าหน่อยก็ดังขึ้น ก็ยังถือว่าเงียบกว่าเครื่องสันดาบเยอะครับ
เกียร์ CVT สมูท แต่ไร้อารมณ์ขับขี่อย่างรุ่นแรง
-
Hybrid คงไม่เอาครับ คันหน้าต้องเป็นไฟฟ้าเพรียวๆเท่านั้น :-*
-
เพิ่งได้ใช้ Hybrid คันแรก และเป็นคันแรกของบ้านด้วย ติดใจมากครับ Lexus CT200h
โจทย์ผมคือขับไปทำงานไปกลับ 80 โลได้ แล้วมีวิ่งออกนอกลู่นอกทางด้วยบางทีเพื่อหาลูกค้า แล้วส่วนใหญ่อยู่ในรถติดตลอด
ค่าเฉลี่ยออกมาราวๆ 19 โลลิตร และเป็นรถที่ขับสบาย
แต่เรื่องของดูแลรักษานี่ต้องดูกันระยะยาวครับ กะจะเก็บคันนี้ไว้ยาวๆหน่อย ไม่รู้จะเปลี่ยนใจซะก่อนรึเปล่า
-
อยากได้ไฮบริดครับ.. อยากได้พวกรุ่นเล็กๆใส่มอเตอร์ไว้รับส่งลูกระยะใกล้ๆ คงลืมค่าน้ำมันแถมไม่สร้างมลพิษอีกด้วย
อยากร่วมด้วยช่วยกันไม่ทำลายสภาวะแวดล้อม ถ้ารถไฮบริดตอบโจทย์ตรงนี้ ผมเอาครับ :-*
-
ถ้ามีโอกาศและจังหวะเหมาะ ก็คงจัดมาต่อครับ
แต่แอบอยากได้ note e-power ;D
-
CHR hybrid น่าใช้มาก
อยากจะลองอยู่เหมือนกัน
-
ส่วนตัว Hybrid คงไม่ละครับ เรื่องประหยัดยอดเยี่ยม รับไม่ได้เรื่องราคาขายต่อ กับอะไหล่ที่ราคาโหดมากครับ
-
ยินดีด้วยที่มีความสุขในการใช้รถ camry hybrid นะครับ พอจะเข้าใจฟีลลิ่งอยู่ เนื่องจาก
(ขอแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ มุมบอง ในบางเรื่อง)
ที่บ้านมีพรีอุส minor change 2012 อยู่คันนึง ซื้อมือสองมาจากเจ้าของโดยตรง สภาพดีมาก ตอนซื้อยังอยู่ใน warranty 3 ปี ของ toyota อีกต่างหาก แถมได้ราคาที่ถูก ไม่ได้แพงไปกว่า eco car ป้ายแดงเท่าไหร่ (ผลราคาตกจากการที่ในไทยไม่นิยม hybrid)
ตอนนี้ที่บ้านใช้พรีอุสคันนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว
ข้อดี ข้อเสีย ก็เหมือนที่ทุกๆคนทราบ
ข้อดี คือ ประหยัดน้ำมัน กับเงียบ
ข้อเสีย คือ ราคาตก (อันนี้เจอแล้วตอนซื้อมา) กับ ที่ยังไม่เจอ แต่ได้ศึกษาข้อมูลในเว็บของคนใช้พรีอุสในไทย คือ อะไหล่บางชิ้นแพงและรอนาน
ยกตัวอย่างอะไหล่บางอย่างที่ได้ศึกษาข้อมูลจากในเว็บพรีอุส ที่คนนำไปซ่อมศูนย์ แล้วเอามาแชร์กัน (ผมค้นข้อมูลตอนจะซื้อมาเมื่อ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าปัจจุบัน ราคาเปลี่ยนไปบ้างหรือยัง)
- แบตไฮบริด ประมาณ 86,250 บาท
- มอเตอร์คอพวงมาลัย ประมาณ 30,300 บาท
- Inverter ราคาประมาณ 81,400 บาท
- กล่อง ECU ราคาประมาณ 33,250 บาท
- คอมเพรสเซอร์แอร์ประมาณ 45,000 บาท
- ปั๊มเบรคไฟฟ้าประมาณประมาณ 63,500 บาท
- ไฟหน้า led คู่ละ 44,000 บาท
พรีอุสนี่ขายออกใช้ได้ในตลาดโลกนะครับ gen1 gen2 ไม่เข้าไทย แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้นำเข้าไทย , พอ gen3 ก็มีขายในไทย แล้วก็ขายไม่ดี (ผลพิสูจน์ว่าบางทีมีแต่เสียงเรียกร้อง แต่พอเอามาขายจริงอาจขายไม่ออกก็ได้นะครับ 555), gen4 ปัจจุบัน ยังมีต่อในตลาดโลกแต่เลิกขายในไทย
ผมมองประเด็นที่พรีอุสขายดีในระดับหนึ่งในตลาดโลก แต่เจ๊งที่ไทยอย่างนี้ครับ
ด้วยบริบทหลายๆอย่าง ที่ต่างกัน เช่น ราคาค่าซ่อมเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย, อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถของแต่ละประเทศ
ประเด็นเรื่องราคาค่าซ่อมกับรายได้เฉลี่ย ลองดูราคาอะไหล่ที่ผมยกมาข้างบน แทบทุกรายการ เกินรายได้เฉลี่ยประชาชาติต่อคนต่อเดือนของไทยครับ ถ้าต้องซ่อมในราคาข้างต้น เมื่อเทียบกับเงินเดือน ก็มากเอาการอยู่ , จำนวนคนที่จะจ่ายค่าซ่อมในระดับนั้นได้ จึงน้อยกว่าในต่างประเทศ ผลก็คือ จำนวนลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อมีน้อยลงนั่นเอง
แต่ในประเทศที่พรีอุสขายดีเช่นอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน เกินกว่าค่าอะไหล่พรีอุสครับ จำนวนคนที่จะซื้อพรีอุสได้(ซ่อมได้โดยไม่เดือดร้อน)จึงมากกว่า พรีอุสจึงขายดีในประเทศเหล่านั้น
แล้วในไทยมีมั๊ย คนที่จะจ่ายค่าซ่อมระดับ 40,000-80,000 ได้ ในหลายๆอะไหล่ (ไม่ได้จ่ายทุกครั้งที่ซ่อม แต่คนกลัวว่าเมื่อถึงเวลาก็ต้องจ่าย ของที่บ้านผมเอง ผ่านมาสองปีกว่า ยังไม่ต้องจ่าย)
คำตอบคือ มีคนที่จะจ่ายระดับนั้นได้ครับ ก็คือคนที่รายได้เยอะกว่าราคาอะไหล่พอสมควร ซึ่งคนรายได้ระดับนั้น ก็ซื้อ benz bmw ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไม benz hybrid กับ bmw hybrid จึงขายได้ แต่ prius hybrid ซึ่งถูกกว่ากลับขายไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่รายได้ของลูกค้าเป้าหมายเทียบกับค่าซ่อมนั่นเอง
สรุปว่า ค่าอะไหล่พรีอุส มันเกิน c segment โดยทั่วไปในไทยครับ แล้วเมื่อไปเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของไทย เลยยิ่งแพง, ลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อได้ก็เลยกลายเป็นไปอยู่ในระดับที่ซื้อรถยุโรปได้
อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถครับ ในประเทศที่พรีอุสขายดี จะเป็นประเทศที่มีระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถเร็วกว่าไทย (บางประเทศถ้าใช้รถเกิน 5 ปี เสียภาษีมากขึ้นอีก) เพราะฉะนั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ใช้ เริ่มจากการเป็นรถใหม่ อะไหล่ก็ยังไม่ค่อยเสียครับ ถึงเสียก็อยู่ใน warranty
ตอบคำถามว่า คันหน้าจะต้อง hybrid หรือไม่
คันพรีอุสนี่พ่อผมใช้ ท่านชอบมาก คันต่อไป อาจไม่ถึงกับว่าต้องเป็น hybrid แต่คงไม่รังเกียจที่จะเป็น hybrid ครับ
เหตุผลที่ท่านชอบ ก็ตรงที่ประหยัดน้ำมัน เพราะขับในเมือง รถติดๆหยุดๆ ตลอด จ่ายค่าน้ำมันแค่ 1 ใน 3 ของคันเดิม
อีกเหตุผลก็คือ ที่เกิดทุกครั้งเวลารถติดๆ คือ รถเงียบ นิ่ง เพราะเครื่องยนต์ดับการทำงาน จอดเฉยๆไม่สั่นจากรอบเดินเบา แต่แอร์ยังเย็น คอมเพรสเซอร์แอร์ยังทำงาน (อันนี้เป็นความสุนทรีย์ส่วนตัว เป็นความสุขส่วนตัวซึ่งเทียบเป็นตัวเงินไม่ได้ครับ)
ปล. เวลาผมเอาคันนี้ออกไปขับ พฤติกรรมการขับก็จะวางแผนมากขึ้น เช่น อย่างหน้าจอมันจะมีบอกระดับการเบรคโดยใช้แค่ระบบไฟฟ้า ผ้าเบรคยังไม่จับจานเบรค ถ้ากดแรง ผ้าเบรคถึงจะจับจาน(คาดว่า camry ก็น่าจะมีเช่นกัน) พอเห็นข้างหน้ารถติด ก็จะค่อยๆชลอรถ ไม่เบรคแรงจนผ้าเบรคจับ เพื่อเอาพลังงานในการหยุดรถแปรเป็นพลังงานไฟฟ้าให้หมด ไม่เสียพลังงานไปกับการเสียดสีของผ้าและจาน (แต่ถ้าต้องเบรคจนผ้าเบรคจับ ผมก็เบรคนะครับ เดี๋ยวชน :) )
-
ถ้ามีโอกาศและจังหวะเหมาะ ก็คงจัดมาต่อครับ
แต่แอบอยากได้ note e-power ;D
ผมก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไม Note e-power ถึงได้พลิกยอดขาย
ในญี่ปุ่นได้โดดเด่นมาก
ปล รถหน้าไม่สวย บางทีของแต่งก็ช่วยให้สวยได้
-
ยินดีด้วยที่มีความสุขในการใช้รถ camry hybrid นะครับ พอจะเข้าใจฟีลลิ่งอยู่ เนื่องจาก
(ขอแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ มุมบอง ในบางเรื่อง)
ที่บ้านมีพรีอุส minor change 2012 อยู่คันนึง ซื้อมือสองมาจากเจ้าของโดยตรง สภาพดีมาก ตอนซื้อยังอยู่ใน warranty 3 ปี ของ toyota อีกต่างหาก แถมได้ราคาที่ถูก ไม่ได้แพงไปกว่า eco car ป้ายแดงเท่าไหร่ (ผลราคาตกจากการที่ในไทยไม่นิยม hybrid)
ตอนนี้ที่บ้านใช้พรีอุสคันนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว
ข้อดี ข้อเสีย ก็เหมือนที่ทุกๆคนทราบ
ข้อดี คือ ประหยัดน้ำมัน กับเงียบ
ข้อเสีย คือ ราคาตก (อันนี้เจอแล้วตอนซื้อมา) กับ ที่ยังไม่เจอ แต่ได้ศึกษาข้อมูลในเว็บของคนใช้พรีอุสในไทย คือ อะไหล่บางชิ้นแพงและรอนาน
ยกตัวอย่างอะไหล่บางอย่างที่ได้ศึกษาข้อมูลจากในเว็บพรีอุส ที่คนนำไปซ่อมศูนย์ แล้วเอามาแชร์กัน (ผมค้นข้อมูลตอนจะซื้อมาเมื่อ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าปัจจุบัน ราคาเปลี่ยนไปบ้างหรือยัง)
- แบตไฮบริด ประมาณ 86,250 บาท
- มอเตอร์คอพวงมาลัย ประมาณ 30,300 บาท
- Inverter ราคาประมาณ 81,400 บาท
- กล่อง ECU ราคาประมาณ 33,250 บาท
- คอมเพรสเซอร์แอร์ประมาณ 45,000 บาท
- ปั๊มเบรคไฟฟ้าประมาณประมาณ 63,500 บาท
- ไฟหน้า led คู่ละ 44,000 บาท
พรีอุสนี่ขายออกใช้ได้ในตลาดโลกนะครับ gen1 gen2 ไม่เข้าไทย แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้นำเข้าไทย , พอ gen3 ก็มีขายในไทย แล้วก็ขายไม่ดี (ผลพิสูจน์ว่าบางทีมีแต่เสียงเรียกร้อง แต่พอเอามาขายจริงอาจขายไม่ออกก็ได้นะครับ 555), gen4 ปัจจุบัน ยังมีต่อในตลาดโลกแต่เลิกขายในไทย
ผมมองประเด็นที่พรีอุสขายดีในระดับหนึ่งในตลาดโลก แต่เจ๊งที่ไทยอย่างนี้ครับ
ด้วยบริบทหลายๆอย่าง ที่ต่างกัน เช่น ราคาค่าซ่อมเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย, อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถของแต่ละประเทศ
ประเด็นเรื่องราคาค่าซ่อมกับรายได้เฉลี่ย ลองดูราคาอะไหล่ที่ผมยกมาข้างบน แทบทุกรายการ เกินรายได้เฉลี่ยประชาชาติต่อคนต่อเดือนของไทยครับ ถ้าต้องซ่อมในราคาข้างต้น เมื่อเทียบกับเงินเดือน ก็มากเอาการอยู่ , จำนวนคนที่จะจ่ายค่าซ่อมในระดับนั้นได้ จึงน้อยกว่าในต่างประเทศ ผลก็คือ จำนวนลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อมีน้อยลงนั่นเอง
แต่ในประเทศที่พรีอุสขายดีเช่นอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน เกินกว่าค่าอะไหล่พรีอุสครับ จำนวนคนที่จะซื้อพรีอุสได้(ซ่อมได้โดยไม่เดือดร้อน)จึงมากกว่า พรีอุสจึงขายดีในประเทศเหล่านั้น
แล้วในไทยมีมั๊ย คนที่จะจ่ายค่าซ่อมระดับ 40,000-80,000 ได้ ในหลายๆอะไหล่ (ไม่ได้จ่ายทุกครั้งที่ซ่อม แต่คนกลัวว่าเมื่อถึงเวลาก็ต้องจ่าย ของที่บ้านผมเอง ผ่านมาสองปีกว่า ยังไม่ต้องจ่าย)
คำตอบคือ มีคนที่จะจ่ายระดับนั้นได้ครับ ก็คือคนที่รายได้เยอะกว่าราคาอะไหล่พอสมควร ซึ่งคนรายได้ระดับนั้น ก็ซื้อ benz bmw ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไม benz hybrid กับ bmw hybrid จึงขายได้ แต่ prius hybrid ซึ่งถูกกว่ากลับขายไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่รายได้ของลูกค้าเป้าหมายเทียบกับค่าซ่อมนั่นเอง
สรุปว่า ค่าอะไหล่พรีอุส มันเกิน c segment โดยทั่วไปในไทยครับ แล้วเมื่อไปเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของไทย เลยยิ่งแพง, ลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อได้ก็เลยกลายเป็นไปอยู่ในระดับที่ซื้อรถยุโรปได้
อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถครับ ในประเทศที่พรีอุสขายดี จะเป็นประเทศที่มีระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถเร็วกว่าไทย (บางประเทศถ้าใช้รถเกิน 5 ปี เสียภาษีมากขึ้นอีก) เพราะฉะนั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ใช้ เริ่มจากการเป็นรถใหม่ อะไหล่ก็ยังไม่ค่อยเสียครับ ถึงเสียก็อยู่ใน warranty
ตอบคำถามว่า คันหน้าจะต้อง hybrid หรือไม่
คันพรีอุสนี่พ่อผมใช้ ท่านชอบมาก คันต่อไป อาจไม่ถึงกับว่าต้องเป็น hybrid แต่คงไม่รังเกียจที่จะเป็น hybrid ครับ
เหตุผลที่ท่านชอบ ก็ตรงที่ประหยัดน้ำมัน เพราะขับในเมือง รถติดๆหยุดๆ ตลอด จ่ายค่าน้ำมันแค่ 1 ใน 3 ของคันเดิม
อีกเหตุผลก็คือ ที่เกิดทุกครั้งเวลารถติดๆ คือ รถเงียบ นิ่ง เพราะเครื่องยนต์ดับการทำงาน จอดเฉยๆไม่สั่นจากรอบเดินเบา แต่แอร์ยังเย็น คอมเพรสเซอร์แอร์ยังทำงาน (อันนี้เป็นความสุนทรีย์ส่วนตัว เป็นความสุขส่วนตัวซึ่งเทียบเป็นตัวเงินไม่ได้ครับ)
ปล. เวลาผมเอาคันนี้ออกไปขับ พฤติกรรมการขับก็จะวางแผนมากขึ้น เช่น อย่างหน้าจอมันจะมีบอกระดับการเบรคโดยใช้แค่ระบบไฟฟ้า ผ้าเบรคยังไม่จับจานเบรค ถ้ากดแรง ผ้าเบรคถึงจะจับจาน(คาดว่า camry ก็น่าจะมีเช่นกัน) พอเห็นข้างหน้ารถติด ก็จะค่อยๆชลอรถ ไม่เบรคแรงจนผ้าเบรคจับ เพื่อเอาพลังงานในการหยุดรถแปรเป็นพลังงานไฟฟ้าให้หมด ไม่เสียพลังงานไปกับการเสียดสีของผ้าและจาน (แต่ถ้าต้องเบรคจนผ้าเบรคจับ ผมก็เบรคนะครับ เดี๋ยวชน :) )
เห็นด้วยเลยครับ ถ้าราคาอะไหล่จะกดลงให้ถูกกว่านี้ครึ่งนึงได้ก็จะดีมาก
Toyota ควรเข้าใจตรงนี้แล้วแก้ไขเรื่องราคาอะไหล่ เพราะเป็นปัญหา
โดยตรงต่อผู้ใช้ในไทย
และก็เห็นด้วยเรื่องอารมณ์สุนทรีย์ครับ
ถ้าแก้เรื่องราคาอะไหล่ได้ อาจจะโดยการผลิตในประเทศไม่ต้องนำเข้า
กับแชร์ชิ้นส่วนให้ได้เยอะๆ ผมว่า hybrid ใช้แล้วสบายใจดี
-
ปัจจุบันผมก็ใช้รถ ไฮบริด คันต่อไปก็ยังตั้งใจจะเอา ปลั๊กอินไฮบริด ก็ยังมีลังเลนิดหน่อย
ไม่ถึงกับปิดประตูตายแบบไม่ใช้รถไฮบริดอีก (ยอมรับในข้อดีของมันมากกว่า) อันนี้หมายถึง
เฉพาะไฮบริดของโตโยต้านะ ถ้าของฝั่งยุโรปโดยเฉพาะตราดาวที่ชื่อเสียงกระฉ่อน คงไม่กล้า
เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่
ที่เป็นห่วงคือ ราคาขายต่อที่ร่วงยังกับเศษเหล็ก ที่เป็นแบบนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ใช้รถกัน
ยาวๆ เป็น10ปี กับค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่ารถสันดาบทั่วๆไป ทำให้คนไทยฝังหัวกันเลยว่า
ไม่เอารถไฮบริด ก็ต้องรอเวลาให้อะไรๆ มันเข้าที่ลงตัวเหมาะสมกว่านี้.
-
ปัจจุบันผมก็ใช้รถ ไฮบริด คันต่อไปก็ยังตั้งใจจะเอา ปลั๊กอินไฮบริด ก็ยังมีลังเลนิดหน่อย
ไม่ถึงกับปิดประตูตายแบบไม่ใช้รถไฮบริดอีก (ยอมรับในข้อดีของมันมากกว่า) อันนี้หมายถึง
เฉพาะไฮบริดของโตโยต้านะ ถ้าของฝั่งยุโรปโดยเฉพาะตราดาวที่ชื่อเสียงกระฉ่อน คงไม่กล้า
เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่
ที่เป็นห่วงคือ ราคาขายต่อที่ร่วงยังกับเศษเหล็ก ที่เป็นแบบนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ใช้รถกัน
ยาวๆ เป็น10ปี กับค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่ารถสันดาบทั่วๆไป ทำให้คนไทยฝังหัวกันเลยว่า
ไม่เอารถไฮบริด ก็ต้องรอเวลาให้อะไรๆ มันเข้าที่ลงตัวเหมาะสมกว่านี้.
ผมยอรับว่าลืมข้อดีของ hybrid ไปเกือบหมด ไม่เหมือนตอนแรก
ที่ hybrid เริ่มเข้ามาขาย ตอนนั้นได้รับข้อมูลข้อดีมากมาย กลัวแต่น้ำท่วม
ค่ายรถก็ทำให้เราเข้าใจว่าเรื่องน้ำท่วมไม่มีปัญหาได้สำเร็จ
แต่หลังจากนั้น ความเข้าใจก็เริ่มรางเลือนไป ยิ่งดูอันดับในตาราง
ก็ไม่รู้สึกว่ามันประหยัดไปกว่ารุ่นปกติเท่าไหร่ คำนวนดูแล้วไม่คุ้มเลย
บวกกับข่าวอะไหล่แพงโคตร ราคาขายต่อตก เป็นแบบนี้มาหลายปีจนทำให้เลิกสนใจ
hybrid ไปเลย แบบว่ามองไม่เห็นข้อดี
แต่พอมาใช้จริง ก็เริ่มนึกถึงข้อดีของมันที่เราหลงลืมไป มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง
ยิ่งนึกถึงสมัย 6-7 ปีโน้น ที่ผมไปขับ Prius อยู่ที่ญี่ปุ่น 3 วัน ขึ้นเขาลงห้วยอยู่แถบ
ภาคกลาง เขาเยอะมาก ช่องดูดตังเพียบ แต่น้ำมันแทบไม่ลด
ขนาดมีประสบการณ์มาก่อน แต่เจอข่าวลบๆ ทุกวันๆ เลยมอง hybrid ว่าไม่มีดีเลย
เป็นเรื่องตลกของตัวผมครับ
-
ผมก็อยากได้นะครับไฮบริด
แต่อยากให้มีไฟฟ้าล้วนๆ เลยครับ :)
-
ผมรอข้ามไปรถไฟฟ้าเลยครับ คงไม่เอาไฮบริด ข้อดีของมันไม่ตรงกับที่ผมต้องการในการใช้งานเลยครับ ระหว่างนี้ถ้ามี Downsizing เทอร์โบมาคั่นก็จะดีไม่น้อยครับ
-
ยินดีด้วยที่มีความสุขในการใช้รถ camry hybrid นะครับ พอจะเข้าใจฟีลลิ่งอยู่ เนื่องจาก
(ขอแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ มุมบอง ในบางเรื่อง)
ที่บ้านมีพรีอุส minor change 2012 อยู่คันนึง ซื้อมือสองมาจากเจ้าของโดยตรง สภาพดีมาก ตอนซื้อยังอยู่ใน warranty 3 ปี ของ toyota อีกต่างหาก แถมได้ราคาที่ถูก ไม่ได้แพงไปกว่า eco car ป้ายแดงเท่าไหร่ (ผลราคาตกจากการที่ในไทยไม่นิยม hybrid)
ตอนนี้ที่บ้านใช้พรีอุสคันนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว
ข้อดี ข้อเสีย ก็เหมือนที่ทุกๆคนทราบ
ข้อดี คือ ประหยัดน้ำมัน กับเงียบ
ข้อเสีย คือ ราคาตก (อันนี้เจอแล้วตอนซื้อมา) กับ ที่ยังไม่เจอ แต่ได้ศึกษาข้อมูลในเว็บของคนใช้พรีอุสในไทย คือ อะไหล่บางชิ้นแพงและรอนาน
ยกตัวอย่างอะไหล่บางอย่างที่ได้ศึกษาข้อมูลจากในเว็บพรีอุส ที่คนนำไปซ่อมศูนย์ แล้วเอามาแชร์กัน (ผมค้นข้อมูลตอนจะซื้อมาเมื่อ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าปัจจุบัน ราคาเปลี่ยนไปบ้างหรือยัง)
- แบตไฮบริด ประมาณ 86,250 บาท
- มอเตอร์คอพวงมาลัย ประมาณ 30,300 บาท
- Inverter ราคาประมาณ 81,400 บาท
- กล่อง ECU ราคาประมาณ 33,250 บาท
- คอมเพรสเซอร์แอร์ประมาณ 45,000 บาท
- ปั๊มเบรคไฟฟ้าประมาณประมาณ 63,500 บาท
- ไฟหน้า led คู่ละ 44,000 บาท
พรีอุสนี่ขายออกใช้ได้ในตลาดโลกนะครับ gen1 gen2 ไม่เข้าไทย แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้นำเข้าไทย , พอ gen3 ก็มีขายในไทย แล้วก็ขายไม่ดี (ผลพิสูจน์ว่าบางทีมีแต่เสียงเรียกร้อง แต่พอเอามาขายจริงอาจขายไม่ออกก็ได้นะครับ 555), gen4 ปัจจุบัน ยังมีต่อในตลาดโลกแต่เลิกขายในไทย
ผมมองประเด็นที่พรีอุสขายดีในระดับหนึ่งในตลาดโลก แต่เจ๊งที่ไทยอย่างนี้ครับ
ด้วยบริบทหลายๆอย่าง ที่ต่างกัน เช่น ราคาค่าซ่อมเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย, อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถของแต่ละประเทศ
ประเด็นเรื่องราคาค่าซ่อมกับรายได้เฉลี่ย ลองดูราคาอะไหล่ที่ผมยกมาข้างบน แทบทุกรายการ เกินรายได้เฉลี่ยประชาชาติต่อคนต่อเดือนของไทยครับ ถ้าต้องซ่อมในราคาข้างต้น เมื่อเทียบกับเงินเดือน ก็มากเอาการอยู่ , จำนวนคนที่จะจ่ายค่าซ่อมในระดับนั้นได้ จึงน้อยกว่าในต่างประเทศ ผลก็คือ จำนวนลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อมีน้อยลงนั่นเอง
แต่ในประเทศที่พรีอุสขายดีเช่นอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน เกินกว่าค่าอะไหล่พรีอุสครับ จำนวนคนที่จะซื้อพรีอุสได้(ซ่อมได้โดยไม่เดือดร้อน)จึงมากกว่า พรีอุสจึงขายดีในประเทศเหล่านั้น
แล้วในไทยมีมั๊ย คนที่จะจ่ายค่าซ่อมระดับ 40,000-80,000 ได้ ในหลายๆอะไหล่ (ไม่ได้จ่ายทุกครั้งที่ซ่อม แต่คนกลัวว่าเมื่อถึงเวลาก็ต้องจ่าย ของที่บ้านผมเอง ผ่านมาสองปีกว่า ยังไม่ต้องจ่าย)
คำตอบคือ มีคนที่จะจ่ายระดับนั้นได้ครับ ก็คือคนที่รายได้เยอะกว่าราคาอะไหล่พอสมควร ซึ่งคนรายได้ระดับนั้น ก็ซื้อ benz bmw ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไม benz hybrid กับ bmw hybrid จึงขายได้ แต่ prius hybrid ซึ่งถูกกว่ากลับขายไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่รายได้ของลูกค้าเป้าหมายเทียบกับค่าซ่อมนั่นเอง
สรุปว่า ค่าอะไหล่พรีอุส มันเกิน c segment โดยทั่วไปในไทยครับ แล้วเมื่อไปเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของไทย เลยยิ่งแพง, ลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อได้ก็เลยกลายเป็นไปอยู่ในระดับที่ซื้อรถยุโรปได้
อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถครับ ในประเทศที่พรีอุสขายดี จะเป็นประเทศที่มีระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถเร็วกว่าไทย (บางประเทศถ้าใช้รถเกิน 5 ปี เสียภาษีมากขึ้นอีก) เพราะฉะนั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ใช้ เริ่มจากการเป็นรถใหม่ อะไหล่ก็ยังไม่ค่อยเสียครับ ถึงเสียก็อยู่ใน warranty
ตอบคำถามว่า คันหน้าจะต้อง hybrid หรือไม่
คันพรีอุสนี่พ่อผมใช้ ท่านชอบมาก คันต่อไป อาจไม่ถึงกับว่าต้องเป็น hybrid แต่คงไม่รังเกียจที่จะเป็น hybrid ครับ
เหตุผลที่ท่านชอบ ก็ตรงที่ประหยัดน้ำมัน เพราะขับในเมือง รถติดๆหยุดๆ ตลอด จ่ายค่าน้ำมันแค่ 1 ใน 3 ของคันเดิม
อีกเหตุผลก็คือ ที่เกิดทุกครั้งเวลารถติดๆ คือ รถเงียบ นิ่ง เพราะเครื่องยนต์ดับการทำงาน จอดเฉยๆไม่สั่นจากรอบเดินเบา แต่แอร์ยังเย็น คอมเพรสเซอร์แอร์ยังทำงาน (อันนี้เป็นความสุนทรีย์ส่วนตัว เป็นความสุขส่วนตัวซึ่งเทียบเป็นตัวเงินไม่ได้ครับ)
ปล. เวลาผมเอาคันนี้ออกไปขับ พฤติกรรมการขับก็จะวางแผนมากขึ้น เช่น อย่างหน้าจอมันจะมีบอกระดับการเบรคโดยใช้แค่ระบบไฟฟ้า ผ้าเบรคยังไม่จับจานเบรค ถ้ากดแรง ผ้าเบรคถึงจะจับจาน(คาดว่า camry ก็น่าจะมีเช่นกัน) พอเห็นข้างหน้ารถติด ก็จะค่อยๆชลอรถ ไม่เบรคแรงจนผ้าเบรคจับ เพื่อเอาพลังงานในการหยุดรถแปรเป็นพลังงานไฟฟ้าให้หมด ไม่เสียพลังงานไปกับการเสียดสีของผ้าและจาน (แต่ถ้าต้องเบรคจนผ้าเบรคจับ ผมก็เบรคนะครับ เดี๋ยวชน :) )
ขออนุญาตสอบถามครับ
หากในกรณีเดียวกัน
ต่างกันตรงที่คันนี้ซื้อเป็นมือ 1 มาราคาเต็ม
เทียบกับราคาสมมุติถ้าต้องขายในเวลานี้
กับความประหยัดและความสุนทรีย์ที่ได้รับ
ยังจะมีความคิดเห็นแบบนี้อยู่ไหมครับ
(ที่ถามเพราะผมดันไปซื้อมือ 1 เลยมีทัศนคติ
ลบกับราคาขายต่อและค่าดูแลจนไม่เอา Hybrid อีกแล้ว)
ใจผมเริ่มรู้สึกว่า หากใครคิดจะลอง Hybrid
ควรจะเริ่มต้นด้วยมือ 2 จะได้เห็นความคุ้มค่า
มากกว่า ซื้อป้ายแดงน่ะครับ
-
ยินดีด้วยที่มีความสุขในการใช้รถ camry hybrid นะครับ พอจะเข้าใจฟีลลิ่งอยู่ เนื่องจาก
(ขอแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ มุมบอง ในบางเรื่อง)
ที่บ้านมีพรีอุส minor change 2012 อยู่คันนึง ซื้อมือสองมาจากเจ้าของโดยตรง สภาพดีมาก ตอนซื้อยังอยู่ใน warranty 3 ปี ของ toyota อีกต่างหาก แถมได้ราคาที่ถูก ไม่ได้แพงไปกว่า eco car ป้ายแดงเท่าไหร่ (ผลราคาตกจากการที่ในไทยไม่นิยม hybrid)
ตอนนี้ที่บ้านใช้พรีอุสคันนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว
ข้อดี ข้อเสีย ก็เหมือนที่ทุกๆคนทราบ
ข้อดี คือ ประหยัดน้ำมัน กับเงียบ
ข้อเสีย คือ ราคาตก (อันนี้เจอแล้วตอนซื้อมา) กับ ที่ยังไม่เจอ แต่ได้ศึกษาข้อมูลในเว็บของคนใช้พรีอุสในไทย คือ อะไหล่บางชิ้นแพงและรอนาน
ยกตัวอย่างอะไหล่บางอย่างที่ได้ศึกษาข้อมูลจากในเว็บพรีอุส ที่คนนำไปซ่อมศูนย์ แล้วเอามาแชร์กัน (ผมค้นข้อมูลตอนจะซื้อมาเมื่อ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าปัจจุบัน ราคาเปลี่ยนไปบ้างหรือยัง)
- แบตไฮบริด ประมาณ 86,250 บาท
- มอเตอร์คอพวงมาลัย ประมาณ 30,300 บาท
- Inverter ราคาประมาณ 81,400 บาท
- กล่อง ECU ราคาประมาณ 33,250 บาท
- คอมเพรสเซอร์แอร์ประมาณ 45,000 บาท
- ปั๊มเบรคไฟฟ้าประมาณประมาณ 63,500 บาท
- ไฟหน้า led คู่ละ 44,000 บาท
พรีอุสนี่ขายออกใช้ได้ในตลาดโลกนะครับ gen1 gen2 ไม่เข้าไทย แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้นำเข้าไทย , พอ gen3 ก็มีขายในไทย แล้วก็ขายไม่ดี (ผลพิสูจน์ว่าบางทีมีแต่เสียงเรียกร้อง แต่พอเอามาขายจริงอาจขายไม่ออกก็ได้นะครับ 555), gen4 ปัจจุบัน ยังมีต่อในตลาดโลกแต่เลิกขายในไทย
ผมมองประเด็นที่พรีอุสขายดีในระดับหนึ่งในตลาดโลก แต่เจ๊งที่ไทยอย่างนี้ครับ
ด้วยบริบทหลายๆอย่าง ที่ต่างกัน เช่น ราคาค่าซ่อมเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ย, อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถของแต่ละประเทศ
ประเด็นเรื่องราคาค่าซ่อมกับรายได้เฉลี่ย ลองดูราคาอะไหล่ที่ผมยกมาข้างบน แทบทุกรายการ เกินรายได้เฉลี่ยประชาชาติต่อคนต่อเดือนของไทยครับ ถ้าต้องซ่อมในราคาข้างต้น เมื่อเทียบกับเงินเดือน ก็มากเอาการอยู่ , จำนวนคนที่จะจ่ายค่าซ่อมในระดับนั้นได้ จึงน้อยกว่าในต่างประเทศ ผลก็คือ จำนวนลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อมีน้อยลงนั่นเอง
แต่ในประเทศที่พรีอุสขายดีเช่นอเมริกา ญี่ปุ่น ฯลฯ รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือน เกินกว่าค่าอะไหล่พรีอุสครับ จำนวนคนที่จะซื้อพรีอุสได้(ซ่อมได้โดยไม่เดือดร้อน)จึงมากกว่า พรีอุสจึงขายดีในประเทศเหล่านั้น
แล้วในไทยมีมั๊ย คนที่จะจ่ายค่าซ่อมระดับ 40,000-80,000 ได้ ในหลายๆอะไหล่ (ไม่ได้จ่ายทุกครั้งที่ซ่อม แต่คนกลัวว่าเมื่อถึงเวลาก็ต้องจ่าย ของที่บ้านผมเอง ผ่านมาสองปีกว่า ยังไม่ต้องจ่าย)
คำตอบคือ มีคนที่จะจ่ายระดับนั้นได้ครับ ก็คือคนที่รายได้เยอะกว่าราคาอะไหล่พอสมควร ซึ่งคนรายได้ระดับนั้น ก็ซื้อ benz bmw ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไม benz hybrid กับ bmw hybrid จึงขายได้ แต่ prius hybrid ซึ่งถูกกว่ากลับขายไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่รายได้ของลูกค้าเป้าหมายเทียบกับค่าซ่อมนั่นเอง
สรุปว่า ค่าอะไหล่พรีอุส มันเกิน c segment โดยทั่วไปในไทยครับ แล้วเมื่อไปเทียบกับรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนของไทย เลยยิ่งแพง, ลูกค้าเป้าหมายที่จะซื้อได้ก็เลยกลายเป็นไปอยู่ในระดับที่ซื้อรถยุโรปได้
อีกประเด็นคือ ระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถครับ ในประเทศที่พรีอุสขายดี จะเป็นประเทศที่มีระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนรถเร็วกว่าไทย (บางประเทศถ้าใช้รถเกิน 5 ปี เสียภาษีมากขึ้นอีก) เพราะฉะนั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ใช้ เริ่มจากการเป็นรถใหม่ อะไหล่ก็ยังไม่ค่อยเสียครับ ถึงเสียก็อยู่ใน warranty
ตอบคำถามว่า คันหน้าจะต้อง hybrid หรือไม่
คันพรีอุสนี่พ่อผมใช้ ท่านชอบมาก คันต่อไป อาจไม่ถึงกับว่าต้องเป็น hybrid แต่คงไม่รังเกียจที่จะเป็น hybrid ครับ
เหตุผลที่ท่านชอบ ก็ตรงที่ประหยัดน้ำมัน เพราะขับในเมือง รถติดๆหยุดๆ ตลอด จ่ายค่าน้ำมันแค่ 1 ใน 3 ของคันเดิม
อีกเหตุผลก็คือ ที่เกิดทุกครั้งเวลารถติดๆ คือ รถเงียบ นิ่ง เพราะเครื่องยนต์ดับการทำงาน จอดเฉยๆไม่สั่นจากรอบเดินเบา แต่แอร์ยังเย็น คอมเพรสเซอร์แอร์ยังทำงาน (อันนี้เป็นความสุนทรีย์ส่วนตัว เป็นความสุขส่วนตัวซึ่งเทียบเป็นตัวเงินไม่ได้ครับ)
ปล. เวลาผมเอาคันนี้ออกไปขับ พฤติกรรมการขับก็จะวางแผนมากขึ้น เช่น อย่างหน้าจอมันจะมีบอกระดับการเบรคโดยใช้แค่ระบบไฟฟ้า ผ้าเบรคยังไม่จับจานเบรค ถ้ากดแรง ผ้าเบรคถึงจะจับจาน(คาดว่า camry ก็น่าจะมีเช่นกัน) พอเห็นข้างหน้ารถติด ก็จะค่อยๆชลอรถ ไม่เบรคแรงจนผ้าเบรคจับ เพื่อเอาพลังงานในการหยุดรถแปรเป็นพลังงานไฟฟ้าให้หมด ไม่เสียพลังงานไปกับการเสียดสีของผ้าและจาน (แต่ถ้าต้องเบรคจนผ้าเบรคจับ ผมก็เบรคนะครับ เดี๋ยวชน :) )
ขออนุญาตสอบถามครับ
หากในกรณีเดียวกัน
ต่างกันตรงที่คันนี้ซื้อเป็นมือ 1 มาราคาเต็ม
เทียบกับราคาสมมุติถ้าต้องขายในเวลานี้
กับความประหยัดและความสุนทรีย์ที่ได้รับ
ยังจะมีความคิดเห็นแบบนี้อยู่ไหมครับ
(ที่ถามเพราะผมดันไปซื้อมือ 1 เลยมีทัศนคติ
ลบกับราคาขายต่อและค่าดูแลจนไม่เอา Hybrid อีกแล้ว)
ใจผมเริ่มรู้สึกว่า หากใครคิดจะลอง Hybrid
ควรจะเริ่มต้นด้วยมือ 2 จะได้เห็นความคุ้มค่า
มากกว่า ซื้อป้ายแดงน่ะครับ
ขออนุญาตตอบคุณ Nikle_pk อย่างนี้ครับ
รายละเอียดอาจเยอะหน่อย และทางบ้านผมอาจไม่เหมือนกรณีทั่วๆไป
ตอนที่พ่อผมจะขอให้ซื้อรถพรีอุส (ผมออกเงินซื้อ) ผมเป็นคนแรกในบ้านที่ค้านเลยครับ เพราะตอนแรกผมมองที่ตัวเงินอย่างเดียว ผมมองว่าด้านตัวเงินอย่างเดียว บ้านผมไม่ได้ใช้รถเยอะถึงขนาดที่จะคุ้มได้ครับ บ้านผม คันที่ใช้บ่อยๆเฉลี่ยปีละแค่ 9,000 กม
และตอนนี้ พอได้รถมาแล้ว ผมบันทึกการกินน้ำมันดู ต่อปีใช้รถพรีอุส 15,223.23 กม (นี่ขนาดใช้เยอะขึ้นเพราะประหยัดน้ำมันแล้ว) ค่าน้ำมันประหยัดจากคันเดิมปีละ 42,368.94 บาท
ใช้ไปอีก 10 ปีก็ประหยัดค่าน้ำมันได้ 4 แสนกว่าบาท ยังไม่เท่าค่ารถที่ไปซื้อมาเลยครับ (แถมคันเดิมก็ไม่ได้ขายซะด้วย)
แต่ปรากฎว่าพ่อผมท่านมีความสุขที่ได้ใช้พรีอุสคันนี้ ทุกครั้งที่เครื่องดับแต่แอร์ยังเย็น ท่านมีความสุข ตรงนี้ผมมองว่ามันตีเป็นตัวเงินไม่ได้น่ะครับ (คันเดิมเครื่อง V8 รอบเดินเบายังได้ยินเสียง)
ถ้าตามหลักจิตวิยา ก็คือ การที่มีความสุขได้บ่อยๆในทุกๆวัน รถติดๆนี่เครื่องดับวันนึงหลายสิบครั้ง เป็นความสุขที่พบเจอได้ถี่ๆ
ส่วนตัวผมเอง ผมชอบเครื่องสันดาปภายในปกตินี่ล่ะครับ ตอนที่ตอบคุณ Dark Overlord ข้างบน ผมเลยใช้คำว่าพ่อผมชอบ และอธิบายเหตุผลที่ท่านชอบ ถ้าคันหน้าท่านขอให้ซื้อรถไฮบริดให้อีก ผมก็จะซื้อให้ มือหนึ่งก็ซื้อให้ครับ เพราะผมมองว่าความสุขมีค่ามากกว่าตัวเงิน
ผมมองว่าความสุขของคน บางทีไม่เหมือนกันน่ะครับ ผมมีความสุขกับเครื่องสันดาปภายในเพียวๆ พ่อผมท่านมีความสุขกับความเงียบและความประหยัดของเครื่องไฮบริด
สรุปว่า ถ้ามองเฉพาะตัวเงิน ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม สำหรับบ้านผม ที่ใช้รถเฉลี่ยแค่ปีละประมาณ 15,000 กม ไม่คุ้มครับ ต่อให้เป็นมือสองก็ไม่คุ้ม ยิ่งมือหนึ่งยิ่งไม่คุ้มใหญ่
(แต่ถ้าใช้รถเยอะๆ มันน่าจะมีตัวเลขในระดับไหนว่ากี่ กม ต่อปี ถึงจะคุ้ม ทาง taxi นครชัย ที่เอารถพรีอุสมาวิ่งอาจจะคำนวณไว้)
แต่พ่อผมท่านมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้ อันนี้มีค่ามากกว่าตัวเงินครับ
แต่สำหรับบ้านที่จะใช้ไฮบริดเพื่อหวังประหยัด ผมว่าต้องใช้รถในระยะทางที่เยอะมากๆเลยครับ ถึงจะทดแทนค่าอะไหล่และราคาที่ตกเกินปกติได้
ที่บอกข้างต้นว่า ทางบ้านผมอาจไม่เหมือนกรณีทั่วๆไป เพราะ คนอื่นโดยทั่วๆไป อาจจะขยับขึ้น คือ ซื้อรถ เปลี่ยนรถที่ราคาสูงขึ้น
ส่วนของพ่อผมนี่ท่านขยับจากคันใหญ่รถยุโรป ที่ใช้มา 10 กว่าปี มาหาพรีอุสน่ะครับ รถคันเดิมที่ใช้นี่ค่าอะไหล่ก็แพงเหมือนกัน ราคาก็ตกไม่แพ้พรีอุส เลยไม่ค่อยมีประเด็นกังวลเรื่องราคาตกหรือค่าซ่อม คือ ท่านใช้คันไหนมีความสุข ผมก็ซื้อคันนั้นให้ครับ
ปล. ตอนนี้รถที่ผมใช้เอง เป็นเครื่องแบบรุ่นเก่า เทคโนโลยีไม่ทันสมัย และก็กินน้ำมันครับ ผมมีคันหนึ่งที่อยากได้ เทคโนโลยีเก่าลงไปอีก ไม่มีหม้อน้ำ เป็นระบายความร้อนด้วยอากาศ ;)
-
ปัจจุบันผมก็ใช้รถ ไฮบริด คันต่อไปก็ยังตั้งใจจะเอา ปลั๊กอินไฮบริด ก็ยังมีลังเลนิดหน่อย
ไม่ถึงกับปิดประตูตายแบบไม่ใช้รถไฮบริดอีก (ยอมรับในข้อดีของมันมากกว่า) อันนี้หมายถึง
เฉพาะไฮบริดของโตโยต้านะ ถ้าของฝั่งยุโรปโดยเฉพาะตราดาวที่ชื่อเสียงกระฉ่อน คงไม่กล้า
เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่
ที่เป็นห่วงคือ ราคาขายต่อที่ร่วงยังกับเศษเหล็ก ที่เป็นแบบนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ใช้รถกัน
ยาวๆ เป็น10ปี กับค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่ารถสันดาบทั่วๆไป ทำให้คนไทยฝังหัวกันเลยว่า
ไม่เอารถไฮบริด ก็ต้องรอเวลาให้อะไรๆ มันเข้าที่ลงตัวเหมาะสมกว่านี้.
ผมยอรับว่าลืมข้อดีของ hybrid ไปเกือบหมด ไม่เหมือนตอนแรก
ที่ hybrid เริ่มเข้ามาขาย ตอนนั้นได้รับข้อมูลข้อดีมากมาย กลัวแต่น้ำท่วม
ค่ายรถก็ทำให้เราเข้าใจว่าเรื่องน้ำท่วมไม่มีปัญหาได้สำเร็จ
แต่หลังจากนั้น ความเข้าใจก็เริ่มรางเลือนไป ยิ่งดูอันดับในตาราง
ก็ไม่รู้สึกว่ามันประหยัดไปกว่ารุ่นปกติเท่าไหร่ คำนวนดูแล้วไม่คุ้มเลย
บวกกับข่าวอะไหล่แพงโคตร ราคาขายต่อตก เป็นแบบนี้มาหลายปีจนทำให้เลิกสนใจ
hybrid ไปเลย แบบว่ามองไม่เห็นข้อดี
แต่พอมาใช้จริง ก็เริ่มนึกถึงข้อดีของมันที่เราหลงลืมไป มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่าง
ยิ่งนึกถึงสมัย 6-7 ปีโน้น ที่ผมไปขับ Prius อยู่ที่ญี่ปุ่น 3 วัน ขึ้นเขาลงห้วยอยู่แถบ
ภาคกลาง เขาเยอะมาก ช่องดูดตังเพียบ แต่น้ำมันแทบไม่ลด
ขนาดมีประสบการณ์มาก่อน แต่เจอข่าวลบๆ ทุกวันๆ เลยมอง hybrid ว่าไม่มีดีเลย
เป็นเรื่องตลกของตัวผมครับ
เป็นอย่างที่คุณ Dark Overlord บอกไว้ในต้นกระทู้เลยครับ ว่าขึ้นกับสภาวะการจราจรที่ใช้
รถที่บ้านผม ผมทำตารางการกินน้ำมันของทุกคันเองในทุกช่วงความเร็วลง excel
ของทางเว็บเป็นการขับความเร็ว 110 คงที่ ( ซึ่งบางคันพอเจอรถติดหนักๆ อัตราการกินน้ำมันด้อยลงไปเยอะ )
รถที่บ้านผม ส่วนใหญ่ขับติดๆในเมือง ความเร็วเฉลี่ยจากหน้าจอแทบทุกคัน อยู่ที่ประมาณ 18 กม/ชม ครับ (ห่างไกลจากมาตรฐานการทดลองของเว็บมาก)
ผมลองยกตัวอย่างที่บันทึกไว้มาให้ดู (ตอนวัดที่มีความเร็วเฉลี่ยเยอะๆได้ ก็วัดเอาตอนขับออกต่างจังหวัด) ปรับค่าความเพี้ยนการกินน้ำมันจาก on board computer แล้ว
ที่ความเร็วเฉลี่ย 18 กม/ชม (ส่วนใหญ่ที่บ้านขับในสภาวะนี้)
พรีอุส 15.36 กม/ลิตร, คันเดิม 4.73 กม/ลิตร (พรีอุสกินน้ำมัน 30.78% ของคันเดิม)
ที่ความเร็วเฉลี่ย 30 กม/ชม
พรีอุส 16.98 กม/ลิตร, คันเดิม 6.47 กม/ลิตร (พรีอุสกินน้ำมัน 38.07% ของคันเดิม)
ที่ความเร็วเฉลี่ย 60 กม/ชม
พรีอุส 17.60 กม/ลิตร, คันเดิม 9.05 กม/ลิตร (พรีอุสกินน้ำมัน 51.43% ของคันเดิม)
ที่ความเร็วเฉลี่ย 80 กม/ชม
พรีอุส 18.26 กม/ลิตร, คันเดิม 10.22 กม/ลิตร (พรีอุสกินน้ำมัน 55.96% ของคันเดิม)
เห็นได้ว่า ยิ่งความเร็วเฉลี่ยยิ่งต่ำลง พรีอุสยิ่งประหยัดมากขึ้นเมื่อเทียบกับคันเดิม
หมายเหตุ
พรีอุส เจ้าของเดิมไปเปลี่ยนใส่ล้อขอบ 17 (เดิม15) เปลี่ยนยางเป็นหน้ากว้าง 215 (เดิม 195) เลยกินน้ำมันมากกว่าพรีอุสทั่วๆไป
รถคันเดิม อายุ 20 กว่าปี เทคโนโลยีสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว เลยกินน้ำมันเช่นกัน
-
เรื่องประหยัดน้ำมันของคัมรี่ไฮบริดนี่ พูดไปใครก็ไม่เชื่อแต่จากที่ผู้ใช้ในนี้หลายๆท่านก็รู้สึกจะประหยัดน้ำมันกัน3-4เท่ากันเหมือนกันนะ
สมัยก่อนใช้2.4Q ค่าน้ำมันตกอาทิตย์ละพันกว่าบาท
ตอนนี้ใช้camry HV2016 ใช้จากบ้านไปทำงานกลางกรุง ตอนนี้เติมน้ำมันเดือนละครั้ง ประหยัดสุดๆ
อีกเรื่องก็คือช่วงล่างนุ่มถูกใจ คันต่อไปถ้ายังออฟชั่นจัดเต็มและราคาไม่แรงเหมือนเดิมและถ้าไม่โดดไปเล่นยุโรปซะก่อนก็น่าจะคัมรี่ไฮบริดเหมือนเดิมนี่แหละ
-
เลือกรถที่อยากได้ดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งมองคนอื่นขับ
สมมุติว่าเป็น Hybrid ญี่ปุ่น รถอายุเกิน 5 ปี ก็คงผ่อนหมดแล้ว สมมุติว่าต้องซ่อมซัก 2 แสน ก็ไม่เห็นจะน่าหนักใจ เพราะถูกกว่าตอนผ่อนรถตกปีละ 3 แสน+ อยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเราซื้อรถที่ราคาเหมะสมกับรายได้ ตอนนี้ก็น่าจะรายได้ต่อเดือนอย่างน้อย 1.5 แสน อีก 5 ปี ก็คงเกิน 2 แสนแล้วมั้งครับ ไม่มีอะไรน่าห่วงกับเงินบำรุงรักษา เผลอๆจะได้เปลี่ยนก่อนเสียเงินซ่อมซะอีก
-
คันต่อไปผมขอไฟฟ้าล้วนครับ อีก 10 ปีคงมีขายในไทยแล้ว
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
พรีอุสแบตลูกละประมาณ 74000 ถ้าถามมาแล้วจำไม่ผิดนะครับ (ญาติมีเปลี่ยนไปคันนึง ในประกัน) ส่วน Engine Break ใช้เกียร์ B ครับ ผมขับขึ้นลงอ่างขางด้วยพรีอุสมาแล้ว สบายมากๆ แถมตอนลงนี่ แบตเต็มขีดทุกเม็ดเลย (ปกติมันจะชาร์จไม่เต็ม จะเหลือไว้ 1-2 เม็ด)
เหมือนเคยได้ยินในรายการวิทยุของพี่จิมมี่นะครับว่ารถ Hybrid วิ่งลงเขาแล้วเก็บแบตจนเต็มไปเรื่อยๆจะไม่ค่อยดี
ไม่ชัวร์ว่าจำผิดหรือเปล่านะครับ ยังไงถ้ามีโอกาศขับขึ้นเขาคราวหน้าลองศึกษาดูก่อนนะครับ เด่วจะเสียเอา :-X
ใช่ครับ ถ้าให้มันล้นปรี่บ่อยๆไม่ค่อยดีถ้าจำไม่ผิดเพราะว่าเหมือนกระแสโหลดจะมากเกินครับ จะไปลดทอนปริมาณประจุที่เก็บได้ลงไป คล้ายๆกรณีมือถือที่เสียบชาร์จให้มันเต็มค้างไว้บ่อยๆนานๆ แต่กรณีที่ผมต้องใช้ B ลงเขาเพราะไปอ่างขางครับ ทางค่อนข้างชัน ถ้าไม่ใช้ B ช่วยเวลาเรายกเท้าจากเบรคปั๊บ มันจะไหลเร็วเกินไปครับ ก็เลยใช้ B ช่วยดูดอีกแรง แต่ถ้าเป็นทางขึ้นลงเขาลูกอื่น ขับแบบธรรมดาได้เลยครับ รถไฮบริด แค่ยกเท้าจากคันเร่งหรือเบรค มันก็จะปั่นไฟกลับแล้ว จะหน่วงกว่ารถปกตินิดหน่อย การใส่ B ก็เพื่อช่วยเพิ่มแรงหน่วงตรงนั้นให้มากขึ้นครับ ดังนั้นการเอาขึ้นเขาลงเขา อย่างเขาใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ ขับได้ตามปกติเหมือนในเมือง (แต่ถ้าพวกรถเบนซิน อาจจะต้องมีเชนจ์เกียร์ต่ำบ้างตอนลงเขาบางจุด)
ถ้าใช้เกียร์ B เป็น บริหารจำนวนไฟฟ้าในแบตดีๆ จะสามารถขับเร็วมากๆแล้วยังประหยัดมากๆได้อยู่ครับ เทคนิคที่ผมใช้คือ จะค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ พอลอยลำแล้วก็จะแตะส่งเบาๆ เครื่อง+มอเตอร์จะทำงานนิดหน่อยเพื่อประคองกำลัง จังหวะที่ต้องชะลอ เช่นจะขึ้นสะพาน หรือมีรถไกลๆเราเริ่มเบรค ผมก็จะเปลี่ยนลง B เอาไฟกลับเข้าแบต พอถึงช่วงเราจะกลับมาเร่งใหม่ ก็แตะส่งเบาๆ ให้มอเตอร์ค่อยๆทำงานส่งความเร็วกลับไปที่เดิม แล้วเลี้ยงไว้ครับ ขับแบบนี้ทางไกลผมทำได้ประมาณ 18-20 โลลิตร โดยใช้ความเร็วช่วงลอยลำประมาณ 120-130 นิดหน่อย
-
ผมส่วนตัวไม่ได้แอนตี้ Hybrid นะครับ
แต่ที่คันหน้า "คง" ยังไม่ใช่ไฮบริด น่าจะมาจาก 2 ข้อหลัก
1. ราคาแบตเตอรี่ ที่"ได้ยิน"มาว่ายังสูงอยู่
2. ไม่มี Engine Break (อันนี้อ่านตามรีวิวมา ไม่เคยลองเอง) เป็นคนเดินทางขึ้นลงเขาบ่อยครับ ถ้าไม่มีนี่หวิวๆเลย
พรีอุสแบตลูกละประมาณ 74000 ถ้าถามมาแล้วจำไม่ผิดนะครับ (ญาติมีเปลี่ยนไปคันนึง ในประกัน) ส่วน Engine Break ใช้เกียร์ B ครับ ผมขับขึ้นลงอ่างขางด้วยพรีอุสมาแล้ว สบายมากๆ แถมตอนลงนี่ แบตเต็มขีดทุกเม็ดเลย (ปกติมันจะชาร์จไม่เต็ม จะเหลือไว้ 1-2 เม็ด)
เหมือนเคยได้ยินในรายการวิทยุของพี่จิมมี่นะครับว่ารถ Hybrid วิ่งลงเขาแล้วเก็บแบตจนเต็มไปเรื่อยๆจะไม่ค่อยดี
ไม่ชัวร์ว่าจำผิดหรือเปล่านะครับ ยังไงถ้ามีโอกาศขับขึ้นเขาคราวหน้าลองศึกษาดูก่อนนะครับ เด่วจะเสียเอา :-X
ใช่ครับ ถ้าให้มันล้นปรี่บ่อยๆไม่ค่อยดีถ้าจำไม่ผิดเพราะว่าเหมือนกระแสโหลดจะมากเกินครับ จะไปลดทอนปริมาณประจุที่เก็บได้ลงไป คล้ายๆกรณีมือถือที่เสียบชาร์จให้มันเต็มค้างไว้บ่อยๆนานๆ แต่กรณีที่ผมต้องใช้ B ลงเขาเพราะไปอ่างขางครับ ทางค่อนข้างชัน ถ้าไม่ใช้ B ช่วยเวลาเรายกเท้าจากเบรคปั๊บ มันจะไหลเร็วเกินไปครับ ก็เลยใช้ B ช่วยดูดอีกแรง แต่ถ้าเป็นทางขึ้นลงเขาลูกอื่น ขับแบบธรรมดาได้เลยครับ รถไฮบริด แค่ยกเท้าจากคันเร่งหรือเบรค มันก็จะปั่นไฟกลับแล้ว จะหน่วงกว่ารถปกตินิดหน่อย การใส่ B ก็เพื่อช่วยเพิ่มแรงหน่วงตรงนั้นให้มากขึ้นครับ ดังนั้นการเอาขึ้นเขาลงเขา อย่างเขาใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ ขับได้ตามปกติเหมือนในเมือง (แต่ถ้าพวกรถเบนซิน อาจจะต้องมีเชนจ์เกียร์ต่ำบ้างตอนลงเขาบางจุด)
ถ้าใช้เกียร์ B เป็น บริหารจำนวนไฟฟ้าในแบตดีๆ จะสามารถขับเร็วมากๆแล้วยังประหยัดมากๆได้อยู่ครับ เทคนิคที่ผมใช้คือ จะค่อยๆไล่ความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ พอลอยลำแล้วก็จะแตะส่งเบาๆ เครื่อง+มอเตอร์จะทำงานนิดหน่อยเพื่อประคองกำลัง จังหวะที่ต้องชะลอ เช่นจะขึ้นสะพาน หรือมีรถไกลๆเราเริ่มเบรค ผมก็จะเปลี่ยนลง B เอาไฟกลับเข้าแบต พอถึงช่วงเราจะกลับมาเร่งใหม่ ก็แตะส่งเบาๆ ให้มอเตอร์ค่อยๆทำงานส่งความเร็วกลับไปที่เดิม แล้วเลี้ยงไว้ครับ ขับแบบนี้ทางไกลผมทำได้ประมาณ 18-20 โลลิตร โดยใช้ความเร็วช่วงลอยลำประมาณ 120-130 นิดหน่อย
แบตเตอร์รี่ เฉพาะแค่มือถือ ตั้งแต่ปี 2000กลางๆ ก็มีระบบตัดไฟเมื่อแบตเต็มหมดแล้วครับ มือถือ โน้ตบุ๊ค ปัจจุบัน พอแบตเต็มมันก็เลิกชาร์จหมดแล้ว กระแสจะถูก by pass ไปเลย (จับดูก็รู้ครับ ถ้ากระแสเข้าตลอด มันต้องร้อน) โน้ตบุ๊คยิ่งดูง่าย ถ้าแบตอยู่ประมาณ 96-99% เสียบปลั๊กไป มันไม่ชาร์จด้วยซ้ำ (95ลงมา ถึงชาร์จ)
เพราะงั้นไม่ต้องไปกลัวมัน โอเวอร์โหลดหรอกครับ ถ้ารถมันออกแบบแย่ขนาดนั้น มันโอเวอร์โหลดตั้งแต่ เวลาขับรถแล้วไดชาร์จ ชาร์จเข้าแบตแล้ว (อย่าลืมว่า กระแสที่ปั่นตอนลงเขา สู้ตอนที่เร่งเครื่องไม่ได้ด้วยซ้ำ)
แบตมันเสื่อมเพราะความร้อนครับ (อยู่ในที่ร้อน หรือการชาร์จก็ทำให้ร้อน)
และพวกความรู้ที่ "เขาว่ากัน" โดยส่วนใหญ่ "มั่ว" ครับ (รู้ครึ่งๆกลางๆ หรือบางทีก็ใช้ความรู้สึกตอบเอา)
แต่ส่วนตัวผม ถ้าไฮบริดราคาโอเค ผมก็เอานะครับ (อย่างเช่น X-Trail รุ่นปกติ กับไฮบริด ไม่ต่างกันมาก แบบนี้ผมว่าน่าสนครับ)
-
ผมไม่ได้ anti นะ แต่ผมห่วงเรื่อง คชจ ถ้าเกิดต้องซ่อมแซมอะไรขึ้นมา ฉะนั้นเลยเลือกที่จะเลี่ยงครับ
-
รอเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า
พัฒนาไปกว่านี้อีกหน่อยครับ เช่นขนาดที่ลดลง ความจุมากขึ้น ใช้โหมด ขับด้วยไฟฟ้าล้วนๆได้ไกลขึ้น ลดการใช้เครื่องยนต์ให้น้อยลง ซึ่งคิดว่าคงอีกไม่นานนี้
-
ผมไม่ได้ anti นะ แต่ผมห่วงเรื่อง คชจ ถ้าเกิดต้องซ่อมแซมอะไรขึ้นมา ฉะนั้นเลยเลือกที่จะเลี่ยงครับ
เห็นด้วยครับ การเลือก Hybrid ดูเหมือนความเสี่ยงที่ต้องระแวง
มีทั้งดีและไม่ดีจริงๆ
-
แบตเตอร์รี่ เฉพาะแค่มือถือ ตั้งแต่ปี 2000กลางๆ ก็มีระบบตัดไฟเมื่อแบตเต็มหมดแล้วครับ มือถือ โน้ตบุ๊ค ปัจจุบัน พอแบตเต็มมันก็เลิกชาร์จหมดแล้ว กระแสจะถูก by pass ไปเลย (จับดูก็รู้ครับ ถ้ากระแสเข้าตลอด มันต้องร้อน) โน้ตบุ๊คยิ่งดูง่าย ถ้าแบตอยู่ประมาณ 96-99% เสียบปลั๊กไป มันไม่ชาร์จด้วยซ้ำ (95ลงมา ถึงชาร์จ)
เพราะงั้นไม่ต้องไปกลัวมัน โอเวอร์โหลดหรอกครับ ถ้ารถมันออกแบบแย่ขนาดนั้น มันโอเวอร์โหลดตั้งแต่ เวลาขับรถแล้วไดชาร์จ ชาร์จเข้าแบตแล้ว (อย่าลืมว่า กระแสที่ปั่นตอนลงเขา สู้ตอนที่เร่งเครื่องไม่ได้ด้วยซ้ำ)
แบตมันเสื่อมเพราะความร้อนครับ (อยู่ในที่ร้อน หรือการชาร์จก็ทำให้ร้อน)
และพวกความรู้ที่ "เขาว่ากัน" โดยส่วนใหญ่ "มั่ว" ครับ (รู้ครึ่งๆกลางๆ หรือบางทีก็ใช้ความรู้สึกตอบเอา)
แต่ส่วนตัวผม ถ้าไฮบริดราคาโอเค ผมก็เอานะครับ (อย่างเช่น X-Trail รุ่นปกติ กับไฮบริด ไม่ต่างกันมาก แบบนี้ผมว่าน่าสนครับ)
ออ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีเลยครับ ผมเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ที่แน่ๆคือ พรีอุสมันจะไม่ชาร์จเต็มทั้งก้อนเสมอครับ อย่างเช่นสมมติถ้ามี 100 % มันจะชาร์ตไปแค่ 8-90 %ก็จะหยุดแล้วจ่ายไฟมาขับใช้ลงมาจนเหลือ 20-30 % แล้วเริ่มชาร์จใหม่ วนไปแบบนี้ครับเวลาขับบนพื้นราบนะ เคยลองเล่นแบบ ขับมาจนมันเกือบๆ 80 % แล้ว แล้วลองเบรคแรงๆ ดูดเข้าแบตให้หมด ก็รู้สึกว่าจะได้อย่างมากก็แค่ 90%ครับ ไม่เต็มดี แล้วรถจะหมดความเร็วก่อน เหมือนออกแบบไว้แล้วว่า ขับแบบปกติ ยังไงก็ชาร์จไม่เกินนี้แน่
แต่ที่เคยเจอว่ามันชาร์ตเต็มก็มีกรณีเดียวครับ คือขึ้นดอยอ่างขางแล้วตอนขาลงน่ะครับ ใส่ B ช่วยชะลอไม่ให้หลุดโค้ง แล้วกดเบรคปล่อยๆเบรคๆ ลงมาจนจะถึงตีนเขา แบตเต็มปรี่ทั้ง 10 เม็ดเลยครับ น่าจะเพราะมันเปลี่ยนพลังงานจลย์มาเป็นประจุไฟฟ้าได้มากกว่าการขับบนพื้นราบ เลยทำให้ชาร์จได้เต็ม แต่ส่วนมันตัดหรือเปล่าผมไม่รู้เหมือนกัน ดูไม่เป็น แต่ถ้าอย่างที่คุณบอก เดาว่าน่าจะตัดครับ
-
ถ้ามีโอกาศและจังหวะเหมาะ ก็คงจัดมาต่อครับ
แต่แอบอยากได้ note e-power ;D
ผมก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไม Note e-power ถึงได้พลิกยอดขาย
ในญี่ปุ่นได้โดดเด่นมาก
ปล รถหน้าไม่สวย บางทีของแต่งก็ช่วยให้สวยได้
Nismo ช่วยได้ฮ๊ะ ;D
-
กระทู้นี้ ต้องเซฟ
-
ผมใช้ Plug-in hybrid อยู่แต่ตั้งแต่เริ่มใช้มาก็เพิ่งจะครบปีเองครับ ยังไม่มีชิ้นส่วนในเสียหาย แบตก็ยังไม่เสื่อมอยู่ในสภาพเดิมเหมือนตอนออกจากโชว์รูมมา โดยรวมก็ประทับใจกับความเงียบของมอเตอร์ไฟฟ้าครับ ขับในเมือง 4 วันต่อสัปดาห์รถติดๆก็ประหยัดไปได้มาก ค่าน้ำมันผมตกเดือนละ 2000 บาทเอง (เสียค่าน้ำมันตอนวิ่ง ตจว เดือนละ 2 ครั้ง ไม่มีที่ชาร์จไฟฟ้า)
คันต่อไปก็คงเลือก PHEV หรือไม่ก็เอาเป็นไฟฟ้าล้วนเลยครับ ผมคงไม่หันกลับไปเล่นรถน้ำมันแล้วหล่ะครับ เพราะกว่าจะเปลี่ยนรถทีผมใช้นานมาก