มีหลายค่ายที่อยากเอามาขายใจแทบขาดครับ
mazda, ford, chevrolet, หรือแม้แต่ ทาทา ก็เคยคิดที่จะลองตลาดนี้
หลายคนอาจจะมีความคิดว่า ทีรถคันละหลายล้านอย่าง CX-9, Territory, Pajero, ยังเอามาขายได้ แต่ทำไมที D-segment ถึงไม่ทำกัน
ลองดูตลาดรถราคาขนาดนั้นก่อน มันช่างมีคู่แข่งในรถประเภทเดียวกันน้อยมาก ที่กล่าวมาทั้งหมดแทบจะเป็นคู่แข่งกันเองแต่มาคนละช่วงเวลา
และไม่มีใครเป็นเจ้าตลาดอย่างแท้จริง เหมือนในตลาด D-segment แถมกำไรต่อคันก็เป็นกอบเป็นกำพอให้สามารถทำการตลาดให้เป็นสีสันได้
คราวนี้ลองกลับมาดู D-segment กันครับ
ประกอบไปด้วย camry, accord, teana, ถ้าราคาสูงขึ้นไปอีกก็มี series 5, E-class, มีเจ้าตลาดที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
กำไรต่อคันก็ไม่เท่าไหร่ แถมยังมีสงครามราคาอีกต่างหาก
นอกจากเรื่องการทำตลาดแล้วยังมีเรื่องของยอดขายที่จะตามมา
โดยจะต้องเป็นยอดขายที่จะทำให้เกิดความอยู่รอดแก่บ.รถยนต์และดีลเลอร์ได้ด้วย
เพราะหลังจากจำหน่ายรถออกไปแล้วยังมีเรื่องการบริการหลังการขายอีก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมช่าง เครื่องไม้เครื่องมือ อะไหล่ การซับพอร์ตการแก้ปัญหาพิเศษๆ
รถขนาด D-segment นี่ค่อนข้างจะไม่เหมือนรถในขนาดอื่น มันไม่ใช่รถคันแรกในชีวิตเหมือน B,C -segment
ดังนั้นโดยส่วนใหญ่ลูกค้าในกลุ่มนี้จะเป็นลูกค้าเดิมของยี่ห้อนั้นอยู๋แล้ว และมีการกลับมาซ์้อซ้ำเพื่อเปลี่ยนรถตามรอบอายุการใช้งาน
โดยพอเรามีกำลังซ์้อมากขึ้นเราก็อยากได้ของดีขึ้นเป็นธรรมดา
ถ้าเรากลับไปดูยอดขายที่ผ่านๆมาจะเห็นอะไรบางอย่างซ๋อนอยู่ นั่นคือ "อัตราส่วน" ครับ
อััตราส่วนยอดขายของรถแต่ละ segment (B : C : D)
ถ้าดูจากคนที่ทำอยู๋สามเจ้าคือ toyota, honda, nissan, เค้าค่อนข้างมีลูกค้าในกลุ่ม B,C segment อยู๋ระดับหนึ่งที่พอจะเชื่อได้ว่าพอจะสามารถส่งรถ D-segment ลงมาได้
และพอ mazda, ford, chevrolet, ปล่อยรถขนาด B,C ลงตลาดมา เจ้าตลาดจะยิ่งมีความสุขเข้าไปอีกครับ เพราะพวก mazda, ford, chevrolet, ไม่มีรถในขนาด D
เท่ากับเป็นการช่วยเค้าเลี้ยงลูกค้า พอถึงเวลาที่เหมาะสมลูกค้าเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปใช้รถ D-segment ที่เหล่าเจ้าตลาดทำขาย
อุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งเป็น 10 ปี พอถึงเวลาก็มาพรากไปจากอกแม่ มันช่างเจ็บปวดนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อฐานลูกค้าก็ยังต่ำ ต้องกล้ำกลืนทนไปก่อน
แต่พอตลาดเมืองไทยมีขนาดใหญ่พอ (ประมาณ 1ล้านคัน) ตลาดจะใหญ่พอให้ทำอะไรได้ง่ายขึ้นครับ
เราจะได้เห็นรถหลากรุ่นขึ้น หลายยี่ห้อขึ้น
แถมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำลง
หลายๆบริษัทก็วางฐานลูกค้าได้แข็งแรงขึ้น เริ่มมีการสร้างฐานลูกค้าอย่างเป็นระบบมากขึ้น (B -> C -> D )
เจ้าตลาดจะมียอดขายเท่าเดิมแต่มาร์เก็ตแชร์เล็กลง (ขายได้เท่าเดิม แต่ตลาดรวมใหญ่ขึ้น)
บริษัทขนาดกลางจะพยายามส่งสินค้าเข้าไปในตลาดที่ไม่มีใครเคยสนใจ เพื่อเพิ่มยอดขาย
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจจะได้เห็นตลาดเมืองไทยขายรถกันปีละ 2,000,000 คัน และผลิตส่งออกอีก 2,000,000 คันก็เป็นได้ครับ
เราจะเริ่มมีรถที่เทคโนโลยีดีอันดับต้นๆของโลกมาใช้งาน
เราจะเริ่มเป็นผู้ส่งออกเชื้อเพลิง (ethanol, Bio diesel) แต่จะต้องเพิ่ม productivity ในการผลิตซะก่อน
เราจะมีรถตั้งแต่ k-car จนถึง s-class ขายในเมืองไทย
ค่าแรงรายวันขั้นต่ำไม่น้อยไปกว่า 600 บาท (คนๆเดียวจะทำงานได้มากกว่า 1 หน้าที่ เหมือน all in one)
เอ่อ...... ผมมาไกลกว่าที่เจ้าของกระทู้ถามรึเปล่าครับ