คุณเข้าใจผิดแล้วครับ มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 เป็นต้นมา ดีเซลกับเบนซินสเปคจะใกล้ๆกัน
ไอเสียต่างๆ ทั้ง CO NOX SOX มันโดนแคตฯ รีดิวส์กับออกซิไดส์ จนกลายเป็น CO2 กับน้ำ ไปหมดแล้ว ประเด็นนี้ตัดไปได้เลย
ส่วนของดีเซลจะมีพิษจาก Small particle หรือเขม่า เสมอ เพราะงั้น ต่อให้เป็นโคตร Series 0.001 ตัวเล็กสุดๆ จาก BMW ยังไงมันก็มีเขม่า ซึ่งเบนซินไม่มีครับ เพราะงั้น โดยสากลถือว่าดีเซลมีมลพิษต่อรางกายมากกว่าครับ
น้ำมันยิ่งเบายิ่งสะอาด ลองเทียบกับ NGV ไปเลยจะยิ่งชัดครับ ยังไงเครื่องโคตรดีเซลไฮบริดยังไง ไอเสียมันก็มีมลพิษมากกว่า NGV (แต่เรื่อง CO2 มันอีกเรื่อง อย่าเอามาปนกันครับ)
ดีเซลมีประสิทธิภาพสูงกว่าเบนซินจริง แต่ที่มันดูเยอะเพราะเราไปเทียบ ต่อลิตร ซึ่งตรงนี้ไม่ยุติธรรมกับเบนซินเท่าไร ต้องเทียบต่อมวล ถึงจะพบว่าความแตกต่างไม่ได้มากมายอะไรนักครับ
ความแตกต่างของ CO NOx ระหว่างเบนซินและดีเซลยังเยอะอยู่ครับ ยังตัดไม่ได้ ดูได้จากมาตรฐานไอเสียยูโร 4-5
http://en.wikipedia.org/wiki/European_emission_standardsเริ่มจาก CO ด้วยเกณฑ์ปัจจุบัน EUTO5 กำหนดลิมิตในเบนซินไว้
สองเท่าของลิมิตดีเซล ถ้าประเด็นเรื่อง CO ถูกแคตกรองสามารถตัดได้
คงไม่กำหนดลิมิตไว้ต่างกันเช่นนี้ พูดง่ายๆ ผมคิดว่าถึงแม้เบนซินมีแคต ก็ยังปล่อย CO สูงเป็นสองเท่าของดีเซลหรือมากกว่าครับ
เพราะอย่างแรกคือดีเซลมี CO น้อยมาจากกระบวนการสันดาปที่ต้นทาง และแคต ไม่สามารถกรอง CO ได้ในกรณีการทำงานแบบดีเซล
แคตของดีเซลจึงไม่ได้กรอง CO แต่ดีเซลยังปล่อย CO น้อยกว่า เพราะลักษณะกระบวนการสันดาป
นอกจากนี้ มองไปลึกกว่านั้น แคต คือแผ่นธาตุที่ช่วยเปลี่ยน CO เป็น CO2 ที่ปลายทาง ไม่ได้ไปปรับปรุงที่กระบวนการสันดาปต้นทาง
แผ่นธาตุ มีเสื่อมอายุ ซึ่งเสื่อมแล้วเสื่อมเลย ประสิทธิภาพของแคตลดลง ช่องว่างก็กว้างขึ้น ถ้าคุณเคยเดินท่อไอเสียใหม่ทั้งหมดหลังจากใช้รถมา 15 ปี
ท่อเก่าผุทั้งหมด คุณเห็นสภาพแคต แล้วจะรู้ว่าทำไมผมพูดแบบนี้ครับ
ตามด้วย NOx ลิมิตของดีเซลเป็น
สามเท่าของลิมิตเบนซิน เพราะอุณหภูมิการเผาไหม้ที่สูงของดีเซลทำให้เกิด NOx ได้ง่าย
การแก้ไขของดีเซลคือใส่ EGR ซึ่งเปลี่ยนส่วนผสมไอดีมาจากต้นทาง ลดอุณหภูมิการเผาไหม้
ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่ต้นทาง การเก่า เสื่อม สามารถปรับปรุงได้ ต่างจากกรณีของแคต
ดังนั้น CO NOx ยังไม่ใช่ประเด็นที่ตัดทิ้งได้ครับ และที่สำคัญ เบนซิน ปล่อยไอเสียที่อันตรายกว่าดีเซล และมีแนวโน้มจะปล่อยเพิ่มขึ้นตามอายุด้วย
เขม่า PM เบนซินปกติไม่มีครับ ยกเว้นเบนซินฉีดตรง แบบ Focus 2.0 นะ เพราะเขม่า มันเกิดจากส่วนผสมไม่สม่ำเสมอ
เครื่องที่เป็นฉีดตรงทั้งเบนซินและดีเซล ผสมไม่ทันแน่นอนครับ เขม่าออกมาเหมือนกัน แต่ว่า มันไม่อันตรายมากนัก
มันสะสมก่อให้เกิดมะเร็ง แต่คุณนั่งขับอยู่นะครับ สตาร์ตเครื่อง ยันถึงที่หมาย รับเขม่าไปนิดเดียวเองครับ
ในแง่สิ่งแวดล้อม เขม่าก็ทำให้บุคคลรอบข้างเกิดมะเร็งได้ แต่เทียบกับฝนกรดจาก NOx และก๊าซพิษCOที่ชอบไปแย่งที่ออกซิเจนในเลือด
อะไรแรงกว่าล่ะครับ เรื่องเขม่านี่ผมมองเป็นเรื่องเล็กไปเลย นี่คือสาเหตุที่ผมยังถือหางดีเซลว่าไอเสียสะอาดกว่า ทั้งๆ ที่บ้านผมไม่มีเครื่องดีเซลสักคัน
ประสิทธิภาพของดีเซล มากกว่าเบนซิน เสมอครับ ไม่ว่าจะเทียบในหน่วยใด
งานที่ได้ เทียบความร้อนจากการเผาไหม้ (จูลต่อจูล) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะกระบวนการสันดาปที่กำลังอัดสูงกว่า
งานที่ได้ เทียบมวลน้ำมัน (จูลต่อกิโลกรัม) ดีเซลก็สูงกว่า เพราะดีเซล 1 กิโลกรัมเผาไหม้ได้ความร้อนเท่าเบนซิน 1 กิโลกรัม
งานที่ได้ เทียบปริมาตรน้ำมัน (จูลต่อลิตร) ดีเซลก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะดีเซลมีความหนาแน่นหนักกว่า หนึ่งลิตรได้มวลมากกว่า จึงหนุนขึ้นไปอีก
ลองเทียบดูก็ได้ครับ ความหนาแน่นเบนซิน 745g/l ดีเซล 832g/l
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=3463:ford-focus-20-tdci-18-4at-20-5at-320d&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76รีวิวฟอร์ด โฟกัส รุ่นเก่า
เบนซิน 1.8 อัตราสิ้นเปลือง 13.66 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=18.34กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
เบนซิน 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 12.21 กิโลเมตรต่อลิตร/0.745=16.39กิโลเมตรต่อกิโลกรัมเบนซิน
ดีเซล 2.0 อัตราสิ้นเปลือง 17.03 กิโลเมตรต่อลิตร/0.832=20.47กิโลเมตรต่อกิโลกรัมดีเซล
เชฟโรเลต ครูซ เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม ประสิทธิภาพเครื่องดีเซลดีกว่าเสมอ ไม่ว่าจะเทียบลิตร กิโลกรัม หรือแม้แต่จูลความร้อนก็ตามครับ