ต่อไปก็เริ่มจัดการกับเรื่องการใช้งานของรถ (เรื่องนี้ก็ไม่ได้ไปตามคำแนะนำของมาสเตอร์ครับ แต่มาสเตอร์เข้ามาช่วยนิดหน่อย) ที่เห็นจังๆ เลย ก็คือเรื่องประตูครับ ประตูหน้าซ้าย ต้องใช้แรงปิดมาก เวลาผมไปไหนมาไหนกับใครนี่แทบจะประสาทรับประทานกับบานนี้ เพราะแรงผู้หญิง แรงคนชรา มักจะปิดไม่สนิทครับ บางครั้งผมไม่ได้ไปด้วย กลับมาบ้านบางทีผมลืม... เห็นอีกทีตอนกลางคืนเห็นไฟกลางห้องโดยสาร(ที่ผมตั้งให้สว่างเมื่อประตูเปิด)สว่างอยู่
แถมรูกุญแจที่ประตูหน้าซ้ายยังแข็ง ไขยาก
ประตูหลังเองก็ใช่ย่อย สวิตช์เซนเซอร์ที่จะจับว่าประตูเปิดอยู่หรือไม่เสียทั้ง 2 บานหลัง วิ่งไปไหนจะไม่ทราบเลยว่าข้างหลังปิดประตูแน่นไหม
แล้วก็ยังกระโปรงหลัง ที่ต้องใช้แรงคชสารในการปิดให้เข้า และการงัดให้เปิดไม่ว่าจะด้วยกุญแจ หรืองัดใต้เบาะคนขับ
อู่ที่ใช้ อู่แรก มหาพรชัย การช่าง อันนี้ผมรู้จักมาก่อนจากการลองสุ่ม จุดที่ผมชอบอู่นี้คือการวิเคราะห์หาสาเหตุที่มีความพยายามดีครับ และเมื่อได้ข้อสรุปที่แน่นอนแล้วก็พยายามหาหนทางการซ่อมที่ถูกใจที่สุดให้เจ้าของรถตัดสินใจ อู่มหาพรชัย เป็นอู่แบบคนเดียวครับ เช่าคนเดียว ทำคนเดียว ไม่มีลูกมือ แม้เจ้าของอู่จะซี้กันกับอู่ข้างๆ อย่างไรก็ตามผมมักไม่ค่อยให้อู่นี้ทำเรื่องที่ใหญ่ๆ เช่นพวกเครื่องยนต์มากนัก (แต่ก็เคยนะ) เพราะมีคนน้อย มีโอกาสพลาด แต่งานนี้เป็นงานเล็กทั่วไป ผมจึงตัดสินใจให้อู่นี้ดูครับ
งานนี้น่าประทับใจมาก สาเหตุที่เขาพบคือ กระโปรงหลังมีเขี้ยวกลอนประตูที่ทรุดเลื่อนลงไปด้านล่างเกินขีดที่ควรจะเป็น เวลาปิดเลยต้องใช้แรงให้มันกระแทกลงไปถึงเขี้ยวงับของมัน พอลงไปแล้ว ก็งับแน่นเกินไป เปิดยากอีก การแก้ไขง่ายมาก ก็แค่คลายน็อต ขยับเขี้ยวขึ้นสูง แล้วขันน็อตกลับ อาการที่กระโปรงหลังหายเป็นปลิดทิ้ง เปิดง่าย ปิดง่าย แต่จะมีข้อเสียคือ ปลายกระโปรงจะปิดไม่เสมอกับของตัวถังรถ เหลื่อมกันนิดนึง แต่ไม่เป็นไร รับได้ครับ คิดค่าแรง 100 บาท
ส่วนบานประตูหน้าซ้าย อู่มหาพรชัยลองขยับเขี้ยวดูแต่ก็ไม่ได้ผล จึงสันนิษฐานคร่าวๆ ว่ากลอนน่าจะสึก เอิ่ม อันนี้ชักเป็นเรื่องใหญ่ละ ผมเลยยังไม่ทำ ไปที่ร้านปะผุตัวถังที่มาสเตอร์แนะนำไว้ให้รู้จักก่อนหน้า เขาก็หาสาเหตุไม่ได้ เพราะงานประตูดูจะไม่เกี่ยวกับตัวถังนัก ไปหาร้านประตูเฉพาะทาง และผมก็ไปเจอช่างกลอนประตูคนหนึ่งในปั๊มปตท. แยกศิครินทร์ ถุดจากร้านโมทย์โช๊คอัพไป 2 ห้อง บอกอาการไปเสร็จ ลุงแกเดินถือค้อน สิ่ว ออกมาสกัด ทุบๆ เขี้ยวประตู 2-3 ที ประตูบานนั้นปิดง่ายในบัดดล อันนี้ผมลืมถามลุงไปครับ ว่าแก้ยังไง
ส่วนกุญแจฝั่งคนนั่งที่ไขยาก ลุงแกบอกว่ากุญแจน่าจะเสีย ซึ่งกุญแจที่ใช้เป็นกุญแจ KVE ที่พ่อผมไปแปลงมาตอนรถใหม่ๆ อยู่ แล้วบริษัทนั้น ป่านนี้ลาโลกไปถึงดาวลูกไก่แล้ว ถ้าจะทำ คือเปลี่ยนกุญแจรอบคัน เอ่อ... งั้น ปล่อยมันไว้งั้นแหละลุง ลุงก็เรียกค่าซ่อม 100 บาท
เซนเซอร์ประตูคู่หลัง แก้ได้ด้วย Sonex ครับ (น้ำยาหล่อลื่นชนิดสเปรย์ครับ) ไม่ได้ให้อู่ไหนทำ ตอนไปปรึกษามาสเตอร์ มาสเตอร์แกะออกมา ฉีดฟู่ดเดียว เซนเซอร์ทำงานทันที แสดงออกถึงการลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงของขี้ฝุ่นและสนิมในช่วงเวลาที่ผ่านมา
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- พูดถึงประตู มือเปิดประตูด้านนอกของรถ เป็นพลาสติกชุบโครเมียม โดยเบ้าข้างในจะเป็นสีดำด้าน เป็นความหรูหราอย่างหนึ่งที่รถเมื่อ 21 ปีที่แล้วไม่ค่อยชุบให้นัก ส่วนมากจะเป็นพลาสติกดำด้านทั้งยวง แต่เมื่อเวลาผ่านไป... มือจับเริ่มถูกสนิมรับประทาน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ภาพรวมยังอยู่ในอาการที่ขัดได้
แต่ยกเว้นประตูบานคนขับ...
สนิมกินถึงเนื้อ อาการสุดเยียวยา เลยตัดสินใจเปลี่ยนใหม่ ก็ไปซื้อของเทียมมาจากร้านอะไหล่ยนต์ ตรงรุ่น 400 บาท แล้ว
อีกอย่างคือประตูบานคนขับเมื่อปิดมักจะมีเสียงก๊องแก๊งๆ ดังมาทุกครั้งเลยทีเดียว ผมเลยเดินไปร้านอะไหล่ยนต์ สั่งมือจับเทียมตรงรุ่นมา แล้วเอามาให้ลุงที่ปั๊ม ปตท. แยกศิครินทร์ทำ ลุงแกรื้อแผงประตูออกมา ก็พบสาเหตุของเสียงก๊องแก๊งว่าเป็นเพราะ
คานประตูจุดยึดหลุดไปจุดหนึ่ง ทำให้ปลายคานสะบัดเวลามีแรงกระแทก เช่นจังหวะการปิดประตู ลุงแกบอกว่า ถ้าจะอ๊อกเชื่อมไปใหม่ สีรถจะเสียนะ ขอแนะให้เอาคานออก คานเล็กแค่นี้ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
คานเล็กจริงเว้ยเฮ้ย นิ้วชี้ผมยังใหญ่กว่าอีก ไอ้คุณโตโยต้ามันแอบทำงี้เลยรึ? แต่มีก็ดีกว่าไม่มีนะ ผมเลยขอให้ลุงหาวิธีแปลงให้ไม่ต้องเอาคานออก ลุงแกใช้วิธีนี้ครับ ตัดแผ่นยางออกมา แล้วอัดเข้าไปในช่องว่างที่เกิดขึ้น ลดการสะบัดของปลายคานได้ แต่พอหลายปีไปแล้วลุงบอกยางจะเก่า เริ่มกันไม่อยู่ ก็ต้องมาเปลี่ยนยางใหม่นะ ผมก็ตกลง ลุงเลยยัดแผ่นยางลงไปแบบนี้ รวมทั้งค่าเปลี่ยนมือจับด้วย อยู่ที่ 150 บาท รวมค่ามือจับที่ซื้อมาเอง 400 ก็จะได้ 550 บาท ขอบรอบๆ มีรอยมากขึ้นจากการเปลี่ยน แต่ตัวมือง้าง แวววาวสะท้อนแสง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ต่อไป เป็นเรื่องหลอดไฟเลี้ยว ถ้ามันแค่ขาด คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดา เพราะมันไม่ขาด แต่ไห้แสงน้อย ไฟที่ว่าคือไฟเลี้ยวซ้ายด้านหลังจะไม่สว่างนักครับ ทั้งๆ ที่หลอดไม่ขาด แต่แสงน้อย เห็นความต่างชัดเจนเมื่อเปิดไฟฉุกเฉินแล้วเดินไปดู ทั้งๆ ที่วัตต์/โวลต์ของหลอดก็เท่ากันพอดี งานนี้ผมไปตามคำแนะนำของมาสเตอร์ครับ ร้าน อ้วนไดนาโม
ลองไปลองมา เจอว่า ไอ้ความแตกต่างที่ว่า ครึ่งหนึ่ง เป็นคุณภาพที่แตกต่างกันระหว่างหลอดเก๊กับหลอดสแตนลีย์ (Stanley) ซึ่งเป็นหลอดคุณภาพสูง พอเปลี่ยนไปใช้สแตนลีย์ ที่วัตต์/โวลต์เท่าเดิม ก็สว่างขึ้น คือตอนหลอดอยู่นอกโคมไฟท้ายแล้วถือว่าสว่างเท่ากัน แต่พอใส่ลงไปจริงๆ ก็ยังไม่สว่างเท่าข้างขวาอยู่ดี ส่วนต่างที่เหลือ ร้านบอกเป็นเพราะฝุ่นจับในโคมซ้ายมากกว่าโคมขวา ลองจ้องดูตรงกลางสิ มันสว่างเท่ากัน เพียงแต่ฝุ่นมันทำให้แสงที่โคมซ้ายไปได้ไม่เต็มโคม เลยดูมืดกว่า ถ้าอยากเท่าเป๊ะก็เปลี่ยนโคม (ก็จริงส่วนนึง แต่จริงไม่จริงยังไง ส่วนต่างเท่านี้ผมไมซีเรียสล่ะ ตอบตงลงพอแค่นั้น) ค่าหลอด+ค่าวิเคราะห์ต่างๆ 80 บาท อืม... อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ ว่าสำหรับการเปลี่ยนไฟหลอดเดียวมันถือว่าแพงไปหรือเปล่า แต่ก็น่าจะปกติ ราวๆนี้แหละ...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ต่อไปก็เป็นเรื่องของแอร์ โรคประจำตัวโรคหนึ่งของ 171 ทั้ง 1.6 และ 2.0, ทั้งก่อน และหลังไมเนอร์เชนจ์ คือหน้ากากช่องลมแอร์ หักได้หักดี หักแทบทุกคัน รวมทั้งผมด้วย และอีกปัญหาหนึ่งคือสวิตช์กระจกไฟฟ้าประตูบานหน้าซ้ายเสีย ถ้าจะเปิดกระจกต้องกดจากฝั่งคนขับ แต่มอเตอร์ยังใช้ได้ปกติ
เรื่องช่องลม ครั้นจะซื้อใหม่ ของแท้เบิกศูนย์ 4 ตัว ราคารวมกันคือ หนึ่งหมื่นทอนสิบบาท เนื่องจากนามสกุลผมไม่ใช่ ซัคเกอร์เบิร์ก ไม่ใช่ เกตส์ ไม่ใช่ เจียรวนนท์ ผมขอยอมแพ้ราคานี้ครับ ม่ายยยยยอาววววววว|||||ของเทียมเบิกอู่ ราคารวมกันได้ประมาณ ครึ่งหนึ่งของราคาศูนย์ เห!!! แพงอยู่นะ แล้วมันทนไหมนี่...|||||จะซ่อมได้ไหม ผมตระเวนหากี่อู่ๆ ก็ไม่รับซ่อม
โชคยังเข้าข้างเมื่อผมได้ข้อมูลเรื่องอู่ที่ซ่อมช่องลมได้มาจากสมาชิกท่านหนึ่งในนี้ ผมไปตามคำแนะนำครับ ผมถ่อจากบ้านที่บางนาไปถึง อู่คุณเล้ง ที่รัชดาภิเษก ส่วนนี้ถ้าผมไล่แผนที่ไม่ผิดน่าจะไม่ถูกท่วม (มั้ง?) ผมก็ให้เขาซ่อมช่องลมแอร์ 3 ช่อง (เพราะอีกช่องยังดีอยู่) ตอนแรกพี่เขาจะถอดแค่ตัวช่องลมออกไป แต่... พลาสติกเก่ามันเริ่มกรอบแล้ว ช่างเริ่มบ่นว่ากลัวพลาสติกแตก ผมก็เลยให้ช่างถอดคอนโซลไปทั้งชิ้น แล้วไปนั่งถอดแบบใจเย็นๆ ที่โต๊ะได้ และให้เขาซ่อมตัวสวิตช์ด้วย เขาก็รับทำครับ
การซ่อมของร้าน ---> เรื่องครีบช่องลม รถรุ่นนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวครีบ (สังเกตว่าแม้จะหันไปคนละทาง แต่ทุกครีบยังยึดกับช่องลมได้ดี แต่อยู่ที่ตัวยึดครีบที่ชอบหัก พี่เขาเลยตัดพลาสติกขึ้นมา แล้วทำเป็นตัวยึดครีบแอร์ให้ใหม่ ทีนี้ก็คงทนไปอีกนาน ส่วนสวิตช์ก็ถอดไปซ่อม ทำได้ด้วย เมื่อประกอบเสร็จ ระบบกระจกไฟฟ้าของผมก็สมบูรณ์อีกครั้งโดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลย ค่าแรงทั้งหมด 300 บาทครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องของแอร์อย่างที่สอง แอร์เบอร์ 1 และเบอร์ 2 ไม่มีลมออก แต่คอมเพรสเซอร์ทำงาน กินรอบเครื่องปกติ ซึ่งอันนี้เกิดจากรีซิสแตนซ์ของแอร์ขาด ก็เปลี่ยนใหม่
อันนี้ไม่ใช่งานใหญ่ ก็ไม่ได้ไปตามคำแนะนำของใครเหมือนกัน หยิบ GPS Garmin ออกมา กดหาร้านไดนาโม แล้วก็เข้าร้านที่ใกล้ที่สุด "โพธิ์ปั้นไดนาโม" เปลี่ยนรีซิสแตนซ์ซะ โดยร้านบอกให้ผมใช้ของ Denso แพงกว่าแต่ทนกว่า ผมเลยตกลง ค่ารีซิสแตนซ์ 570 ค่าแรง 200 รวม 770 บาท เราก็เลยต่อไปแบบจุ๋มจิ๋ม เหลือ 750 บาท
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ต่อไปก็เป็นเรื่องไล่ฝ้า ที่เสีย ปัญหาโลกแตกที่มักเจอโดยเฉพาะเมื่อเราเปลี่ยนฟิล์ม แต่งานนี้ไม่ได้ขาดเป็นเส้นๆ แต่วงจรเสียทั้งหมด พอต่อขั้วทดสอบปุ๊ปมันช็อตใส่จนควันขึ้นเลย
แน่นอนว่าแนวทางแก้ปัญหาคือการเปลี่ยนกระจก กระจกแท้ TSG ของใหม่สดไม่มีแล้ว ทางเลือกคือ ของเทียมมือหนึ่ง หรือของแท้มือสอง ซึ่งผมก็หาได้แล้วในเชียงกงใกล้บ้านผม แต่ว่านะ... กระจกบานหลังไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยถอด ซีลยางที่ใช้อยู่ยังเป็นซีลจากโรงงาน จะเปลี่ยนกระจกเล่นๆ เพื่อไล่ฝ้า?? ไม่เอาดีกว่า วิ่งเป็นเพื่อนเจ้าโอ้ไปละกัน จะไม่ทำอะไรกับกระจกหลัง จนกว่าจะเจอร้าน ที่ซ่อมโดยไม่เปลี่ยนกระจกได้เมื่อไหร่ค่อยทำละกันครับ ไม่ว่าด้วยวิธีอะไรก็ตาม จะหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหาร้านที่ทำได้ตรงใจผมครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เรื่องต่อไป คือเครื่องเสียง นี่คือวิทยุเทปติดรถ National A477 Hi-Power กำลังขับ 40W วิทยุแบบอนาล็อกล้วนๆ หมุนบิดหาคลื่น ปรับค่า Balance Fader Bass Treble ด้วยมือบิดทั้งหมด ยกเว้นรุ่นท็อปสุด 2.0GLi จะให้วิทยุเทปแบบดิจิตอล อาการคือ ไฟเข้าปกติ แต่เสียงไม่ออก และเทปไม่หมุน ไปหลายร้านก็ไม่รับ แนะนำให้เปลี่ยนวิทยุไปเสีย แต่ผมยังยืนยันเป้าหมายเดิม คือ วันแรกที่ออกจากโรงงาน จึงยืนกรานจะซ่อม
ร้านที่รับซ่อมจริงๆ คือร้านที่ผมไปตามคำแนะนำของมาสเตอร์ครับ ร้าน เจษฎาอิเล็กทริค ร้านหลังจากเข้าร้านนี้ผมชื่นชมเขามากทีเดียว เจ้าของร้านเป็นผู้ที่มีไม่ครบ 32 ประการ แต่สู้ เอาวิชาในเรื่องไฟฟ้าของตนทำมาหากิน ไม่ทำตัวเป็นภาระสังคม แต่จุดที่ผมสงสารคือทั้งชีวิตมีแต่เด็กฝึกงาน ฝึกเป็นก็ไปเปิดร้านของตัวเอง
ดังนั้น แม้จะรับงานเขาถอดวิทยุให้ผมไม่ได้ ผมจึงต้องไปหาอีกร้านให้ถอดวิทยุให้ ในช่วงที่ถอดเขาบอกว่า นี่ไม่น่าใช่วิทยุติดรถ เครื่องเสียงติดรถของโตโยต้าไม่ได้ถอดแบบนี้ วิธีที่ใช้ถอดเป็นวิธีของมาสด้า... ผมงงเลยครับ อะไรนี่
ร้านนี้ก็ซ่อมใช้ได้ครับ มอเตอร์เล่นเทปที่เสียก็เปลี่ยนตามสเตป แต่การที่เสียงไม่ออก คือแท่งแกน Volume เสีย เป็นแท่งที่รับและประมวลผลคำสั่งที่เราบิดลูกบิดสั่งไป (ผมไม่ทราบเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ ผมไม่ได้มาทางด้านไฟฟ้า) แล้วเราจะหาตัวโวลุ่มแบบอนาล็อกของวิทยุ 21 ปีที่แล้วมันไม่ง่าย รวมถึงสภาพร่างกายของเขา (และอาจจะรวมถึงความขี้เกียจของเด็กฝึกงาน) เขาไม่สามารถหามาให้ผมได้ เขาจึงพยายามลองต่อดู สุดท้ายสามารถทำให้ผมได้ 2 ลำโพง คือ หน้าขวา และหลังซ้าย ไขว้กันอยู่ ผมรู้ว่าสุดความสามารถของเขาแล้ว และเขาก็คิดเฉพาะส่วนที่ทำได้ ก็โอเค ผมก็รับงาน จ่ายค่าซ่อม 350 และค่าถอดใส่วิทยุ 100 บาท
วันนั้นกลับไป ผมข้องใจเรื่องวิทยุนี่มากเลยครับ เราเห็นมันมาแต่เด็กๆ แล้วมันก็เป็นแบบอนาล็อก ก็ดูเข้ายุคกันดี มันไม่ใช่ของติดรถรึ? ผมถามพ่อ พ่อยืนยันว่า นี่วิทยุติดออกมาจากโรงงานแน่นอน เพราะตอนออกใหม่ๆ พ่อก็เคยลงมือเปลี่ยนวิทยุเองครั้งหนึ่ง แต่พอทำแล้วไม่ชอบวิทยุใหม่ที่ซื้อมา เลยเอาของเก่า ซึ่งเป็นของเดิมๆ จากโรงงานมาใส่ไว้อย่างเดิม ของเคยทำ พ่อจำได้
ยังไม่มั่นใจเอาใหม่ ผมเลยเข้าไปที่เว็บตลาดรถมือสอง หารถรุ่นนี้ แล้วดูว่ายังมีรุ่นที่เป็นวิทยุเทปเดิมๆ หลงมาขายหรือไม่
การหาไม่ง่ายนัก ส่วนใหญ่กลายเป็นซีดีหมดแล้ว ส่วนวิทยุเทปที่เปิดเจอก็มีด้วยกันหลายรุ่น ตอนแรกเหมือนมืดแปดด้าน แต่สักพัก ลงไปอ่านๆ ดูข้างล่างตรงคำโฆษณารถใต้ภาพ เจอคำว่า วิทยุ-เทปดิจิตอล โลกสว่างขึ้นมาทันที เพราะว่า ผมมีโบร์ชัวร์ของรถรุ่นผมนี้อยู่ จากข้อมูลในโบร์ชัวร์ วิทยุเทปดิจิตอล มีเฉพาะตัวท็อป 2.0GLi เพราะฉะนั้นที่เหลือจะเป็นอนาล็อก แม้วิทยุเทปที่เจอจะมีหลายรุ่น แต่เกือบทุกรุ่นที่เจอเป็นเทปดิจิตอลหมด (ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับรถผม) วิทยุเทปอนาล็อกที่เจอในตลาดมือสองมีเพียงรุ่นเดียว คือที่ผมใช้อยู่นี้!!!!!
ปัจจุบัน ถามว่ากล้าสรุปไหม ผมค่อนข้างมั่นใจพอสมควรว่าเป็นของเดิมจากโรงงาน ช่างที่บ้านหม้อบอกว่าเป็นวิทยุ Hi-Power รุ่นแรกๆ ของวิทยุรถยนต์เลยทีเดียว ทีนี้ถ้าถามว่า แล้ววิทยุสมัยก่อนที่ไม่ใช่ Hi-Power เสียงเป็นอย่างไร ผมก็มีคำตอบ เพราะเจ้า Civic EF ผม วิทยุเดิมไม่มี Hi-Power ครับ ให้คุณลองนึกถึงเสียง 2 เสียงที่มีความดังเท่ากัน พูดประโยคเดียวกัน แต่เสียงหนึ่งเป็นเสียงนักเลงสิบล้อที่เสียงดังอยู่แล้ว และพูดแบบสบายๆ กับเสียงของผู้หญิงเรียบร้อยๆ ตัวบางๆ ที่พยายามเค้นเสียงตะโกนเพื่อให้ดังเท่าเสียงนักเลงสิบล้อ นั่นล่ะครับ ความแตกต่าง ถ้าเทียบกับ Corona แล้ว เครื่องเสียงติด EF เสียงจะแบนกว่า แล้วพอปรับเบสมากๆ เข้า เสียงจะโคตรอู้อี้เหมือนนักร้องร้องอยู่ในโอ่งครับ
เอ้า นอกเรื่องไปเสียนาน ก็มาดูต่อ ตอนนี้เครื่องเสียงออกแค่ 2 ลำโพงไขว้ เมื่อร้านใกล้บ้านซ่อมไม่ได้แล้ว แต่ผมยังไม่พอใจ ก็ต้องไปไกลสักนิด ซึ่งอาณาจักรความบันเทิงคงจะไม่ใช่ที่ไหนนอกจาก
บ้านหม้อ ครับ การไปบ้านหม้อไม่ได้ไปตามคำแนะนำของมาสเตอร์ ผมเข้าไปทางเยาวราช ตอนแรกเข้าไปเจอร้านเครื่องเสียงแบบตึกแถว ก็ไม่รับซ่อม แต่พอขับไป ก็ไปได้ร้านรับซ่อมที่เป็นร้านแบบตั้งโต๊ะเอาตรงทางเท้าครับ รับซ่อม เมื่อเครื่องเสียงผมอยู่กับผู้เชี่ยวชาญ ถึงหาซื้อแท่งแกนโวลุ่มใหม่ไม่ได้ แต่ก็ซ่อมได้ระดับหนึ่งครับ เสียงกลับมาออกได้ 4 ลำโพง สวิทช์ทุกอย่างกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม ยกเว้น Fader ที่ปรับเสียงให้ค่อนไปทางหน้า-หลัง ที่ซ่อมไม่ได้แล้วจริงๆ (ส่วนสวิทช์ Balance ซ้ายขวา ยังปรับได้) ทีนี้พอประกอบวิทยุกลับ ผมเอาเทปที่ตัวเองเตรียมมาใส่ลงเครื่องไป แล้วเทปที่เล่นค้างไว้จากหลายเดือนก่อนก็เริ่มเล่นต่ออีกครั้งครับ
วิทยุรุ่นนี้ให้เสียงสเตอริโอด้วยครับ ฟังเพลงนี้ดีๆ จะเห็นว่าเพลงนี้เล่นเสียงสเตอริโอด้วย (หลายท่อนครับ) ซึ่งพอเอาเทปมาเปิดก็แยกเสียงสเตอริโอให้ด้วย แต่จุดที่เป็นข้อเสียคือคนที่จะสุนทรีย์กับเครื่องเสียงนี้ได้เต็มคราบ คือ"คนที่นั่งข้างหลัง" เพราะลำโพงหน้า ไม่ได้ติดที่บานประตูตรงตาตุ่มเหมือนที่เราคุ้นกัน แต่ติดอยู่ตรงข้างๆ ริมคอนโซล (เหมือน Soluna AL50) ข้อเสียมันคือ คนที่นั่งด้านหน้าซ้าย หูซ้ายจะใกล้ลำโพงมากกว่าการติดที่ตาตุ่ม ทำให้เสียงเข้าหูสองข้างไม่เท่ากัน ความสุนทรีย์จะหายไปส่วนหนึ่ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ระบบไฟอีกอย่างที่ทำ คือหน้าปัทม์ หน้าปัทม์นี่วิ่งกลางวันก็ยังโอเคดี แต่พอมืดปั๊ป เปิดไฟ ผมก็เจออีกเรื่อง ทำไมไฟหน้าปัทม์แหว่งหายไปงั้นล่ะ?
ขนาดเร่งไฟสว่างสุดก็ยังมืด เหมือนหลอดไฟขาดไฟดวงนึง ถ้าแค่หลอดขาดมันคงธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดา เพราะไม่ขาด (อีกแล้ว) ผมเข้าไปหาอู่ที่ผมไปทำกระโปรงหลังรถ มหาพรชัย การช่าง ครั้งนี่ช่างก็สร้างความประทับใจให้ผมอีกครั้ง หลังจากถอดคอนโซลออก และเอาหน้าปัทม์มาดู เจอว่า รถรุ่นนี้ ออกแบบมีที่ใส่หลอดไฟหรี่ 3 ดวงเท่านั้น ที่เหลือจะป็นไฟเตือน ไฟเลี้ยว ไฟแสดงสถานะ ซึ่งก็ติดทุกดวงอยู่แล้ว จึงสว่างได้เท่านี้
แต่หลังจากนั้น ช่างรุ่ง (เจ้าของอู่) ก็นึกอะไรขึ้นได้ แล้วบอกผมว่า ถ้าหน้าปัดกลางคืนจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแก่ๆ ไม่ใช่สีเหลืองสด รับได้ไหม เพราะว่าหลอดไฟทั้ง 3 ดวง มีถุงยาง (จริงๆ มันเป็นปลอกยางหุ้มหลอดไฟไว้ จุดประสงค์คือเปลี่ยนสีของแสงให้ดูวัยรุ่น รุ่นนั้น แต่ช่างแกเรียกย่อๆ ว่าถุงยาง) คลุมไว้ แสงมันเลยมืด ถ้าถอดถุงยางออกแสงน่าจะสว่างขึ้น แต่สีจะเปลี่ยนเป็นสีจริงๆ ของหลอดคือสีแก่ๆ หน่อย ผมลังเลนิดๆ แต่ก็ตกลง ลองดู ในขณะเดียวกันก็จำวิธีถอดประกอบคอนโซลไว้ด้วย หลังจากที่ถอดถุงยางกันเอดส์ออก ผลออกมา ซีกที่มืดไปสว่างขึ้น มองเห็นได้สบาย แต่ถือว่ายังมืดเกินไป ไม่สว่างอย่างที่หวังไว้
ผมลองถามผู้ใช้คนอื่นๆ ว่ากลางคืนเขาแหว่งเหมือนผมรึเปล่า ทุกคนตอบเหมือนกันว่าแหว่ง อะไรเนี่ย?? ทำไมเป็นงี้ ภาพโบรชัวร์ที่ผมเจอมาทำไมมันไม่เห็นจะ
แหว่ง!!!!!! ดูดีๆ แหว่งจริงๆ แฮะ แบบนี้มันอะไรกันล่ะ รถคันนี้เป็นถึง Corona มันจะลดต้นทุนเกินไปไหม พวงมาลัยไม่พาวเวอร์ก็แล้ว ลำโพงคู่หน้าไม่ได้ติดที่ประตูก็แล้ว หลอดไฟหน้าปัดหลอดละ 20 ยังขี้เหนียวอีกวุ้ย โฮ่โฮ่โฮ่ ยกให้เขาเลย โตโยต้าเอ๋ย ส่วนของเรา ก็คงต้องยอมรับสภาพนี้ไปแล้วหล่ะ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ผมกล่าวถึงการซ่อมเครื่องยนต์ ช่วงล่าง อุปกรณ์ประกอบ และไฟฟ้าที่จำเป็นไปหมดแล้ว ทีนี้ผมขอพูดถึงการเก็บงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ทำอะไรก็ได้ แต่ผมก็ตัดสินใจทำ เพราะความที่ต้องการให้รถ เหมือนวันแรกที่ออกจากโรงงาน เริ่มจากฝาครอบล้อ ที่เป็นพลาสติกทั่วไป เมื่อใช้งานก็มีรอยถลอกบ้าง
แต่หลายฝา ที่ถลอกมาก จนผมรู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง
ตอนแรกผมพยายามจะหาฝาครอบตรงรุ่นจากร้านอะไหล่ยนต์ งานนี้ผมตระเวนหาตามคำแนะนำ ที่แนะนำต่อกันไปเรื่อยๆ (ไปอู่นั้นไม่มีเลยแนะนำไปอู่นี้ ไปอู่นี่ไม่มีเลยแนะนำไปอู่นู้น ไปอู่นู้นไม่มีก็แนะนำไปอู่โน้น แนะไปแนะมาจนแนะวนกลับมาที่ร้านแรก) ทีนี้ผมจะไปที่อู่ทำสี อันนี้ผมไม่รู้เรื่องการทำสีเลยครับ ผมเลยไปที่อู่ทำสี ที่ได้รับคำแนะนำมา อยู่ที่ซอยแบริ่ง อันนี้ขอสงวนชื่ออู่นะครับ ตอนแรกว่าจะให้อู่พ่นสีรถให้เลย แต่ได้อู่ดีครับ แนะนำว่าไม่ต้องมาให้พ่นแบบนี้ก็ได้ มันแพง 4 ล้อจะตกราว 2,000 บาท น้องไปหาสีสเปรย์พ่นเองเถอะ ผมก็ทำตามนั้นครับ เดินเข้าร้าน ไทวัสดุซื้อสีสเปรย์มา 75 บาท + สีดำ 40 บาท ยี่ห้อถูกๆ มันคงไม่ทนนัก แต่หลังหมดกระป๋องนี้ผมคงชำนาญขึ้น ก็จะขยับไปซื้อสีแพง Bosny ทีนี้พ่นแล้วอยู่ยาวครับ
สีโครเมียม พ่นล้อ และสีดำพ่นตัวอักษร TOYOTA ที่อยู่บนฝาครับ ฝีมือการพ่นครั้งแรก หลังพ่นเสร็จ ฝาครอบล้อสะท้อนแสงแวววาว (และมือผมก็กลายเป็นมือชุบโครเมียมไปหลายวัน) เมื่อใส่กลับเข้าไป รถดูเปล่งปลั่งขึ้นไม่น้อยนะครับ ซึ่งก็ต้องระวัง ผมยังไม่แน่ใจว่าเจอน้ำยาล้างรถมันจะหลุดไหม (ถ้าหลุดก็เรื่องยาวล่ะครับ) แต่ไม่เป็นไรผมพ่นสะเก็ดๆ สีไว้ที่กระทะล้อข้างในส่วนหนึ่ง นิดเดียว แล้วคอยดูว่าเมื่อเอาเข้าคาร์แคร์จะหลุดไหม แต่ยังไม่ได้ลองครับ