Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: aod ที่ มกราคม 27, 2016, 19:13:17
-
ตามหัวข้อครับ เคยได้ยินบางคนบอกว่าเทคโนโลยีญี่ปุ่นมีความทนทานมาก เผลอๆดีกว่ายุโรปด้วยซ้ำ เป็นจริงแค่ไหนครับ ขอบคุณครับ :)
-
ถ้ารถญี่ปุ่นราคา 3 ล้าน ก็ถึอว่าเท่าๆกับรถยุโรปในราคาที่เท่ากัน
แต่ถ้าเอาดูเป็น segment ก็ยังห่างมากเช่น Altis civic เทียบกับ bmw series 3 หรือ A class ยังห่างชั้นอีกมากครับ บาง option มีแต่ไม่เหมือนกัน รถยุโรปขนาดบ้านเราโดนตัดระบบต่างๆไปมากนะครับ D segment ญี่ปุ่น ยังไม่เท่า c segment รถยุโรปเลยครับ
-
นิยามคำว่านำหน้าคืออะไรครับ
เพราะรถญี่ปุ่นราคาถูกว่ารถยุโรปมากๆ
จึงแน่นอนว่าสมรรถนะย่อมเทียบกันไม่ได้
ลองคิดดูถ้าเลกซัสประกอบในประเทศ ผมว่าราคาจะลงมาเยอะน่าใช้กว่า benz bmw นะครับ
-
ญี่ปุ่นยังห่างไกลเยอรมันครับ
เรื่องความทนทาน ผมว่ามันไม่ซับซ้อนให้เสียให้รวนมากกว่า เลยทน ทั้งที่จริงๆก็ไม่ได้ทน
รถญี่ปุ่นก็เสียบ่อยใช่เล่น แต่ที่บางอยู่มันไม่เสียเพราะไม่มีให้เสีย รวมถึงช่วงล่างด้วย
-
ผมว่าคนเอเชียทำรถเหมาะกับการใช้ในเอเชีย และคนยุโรปก็ทำรถเหมาะกับการใช้และวิถีชีวิตคนยุโรปครับ เทคโนโลยีอยากจะใส่มาแค่ไหนก็ใส่ได้สุดท้ายจบที่ต้นทุน ราคา และการขายที่ถึงทำมาอย่างดีแล้วจะมีคนซื้อมั้ย
-
นำหน้าบางอย่างเช่น เกียร์ cvt ทนทานกว่า cvt ยุโรป ประหยัดน้ำมันมากกว่า
การออกแบบคำนึงถึงจุกจิกน้อยความทนทานมากกว่าสมรรถนะ ขณะที่ยุโรปเน้นเอาเทคโนใหม่ๆ
มาใช้ก่อนญี่ปุ่นเช่นdual clutch
-
ถ้ารถญี่ปุ่นราคา 3 ล้าน ก็ถึอว่าเท่าๆกับรถยุโรปในราคาที่เท่ากัน
แต่ถ้าเอาดูเป็น segment ก็ยังห่างมากเช่น Altis civic เทียบกับ bmw series 3 หรือ A class ยังห่างชั้นอีกมากครับ บาง option มีแต่ไม่เหมือนกัน รถยุโรปขนาดบ้านเราโดนตัดระบบต่างๆไปมากนะครับ D segment ญี่ปุ่น ยังไม่เท่า c segment รถยุโรปเลยครับ
ท่านเอารถคอมแพ็ค ไปเทียบกับรถพรีเมี่ยมคอมแพ็ค -"-
-
ถ้ารถญี่ปุ่นราคา 3 ล้าน ก็ถึอว่าเท่าๆกับรถยุโรปในราคาที่เท่ากัน
แต่ถ้าเอาดูเป็น segment ก็ยังห่างมากเช่น Altis civic เทียบกับ bmw series 3 หรือ A class ยังห่างชั้นอีกมากครับ บาง option มีแต่ไม่เหมือนกัน รถยุโรปขนาดบ้านเราโดนตัดระบบต่างๆไปมากนะครับ D segment ญี่ปุ่น ยังไม่เท่า c segment รถยุโรปเลยครับ
เทียบผิดยี่ห้อละครับ ต้องเทียบแบบ altis civic เทียบกับ jetta golf focus megane ไรแบบนี้
ส่วนตัวมองว่ายุโรปเทคโนโลยี สมรรถณะ ดีไซก้าวหน้ากว่านะ แต่ความทนทานโดยรวมอาจจะสู้ญี่ปุ่นไม่ได้
-
ไม่มีอะไรแซงเท่าไหร่ครับ แต่ผมให้ Hybrid จากโตโยต้านะ เจ้านี้ผมว่าโอเคสุด
ส่วนไฮโดรเจน ฟิวเซล ผมว่ารถค่ายอเมริกันอย่า GM เค้าทำมานานแล้ว แต่ทำเป็นรถเช่าเพื่อเก็บข้อมูล หรือในรถบัส ประจำทางในเมืองมานานแล้ว
-
ตามหัวข้อครับ เคยได้ยินบางคนบอกว่าเทคโนโลยีญี่ปุ่นมีความทนทานมาก เผลอๆดีกว่ายุโรปด้วยซ้ำ เป็นจริงแค่ไหนครับ ขอบคุณครับ :)
ความทนทาน ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนะครับ มันเกี่ยวกับการออกแบบ วัสดุ และการควบคุมคุณภาพ
รถญี่ปุ่น ปัจจุบัน ที่ทนทาน และเสียน้อย เพราะญี่ปุ่นค่อนข้างจะทำงานกันแบบเคร่งครัดมาก ไม่ได้เน้นสมรรถนะ หรือเทคโนโลยีชั้นสูง แต่เน้นการใช้งาน และสมรรถที่ดีพอใช้
ส่วนยุโรป เน้นเทคโนโลยี ไม่ต้องอะไร ขนาด Citroen เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยังทำรถโช้คไฮดรอลิค เวลาดับรถโชค์จะยุบตัวลง พอกลับมาขึ้นรถสตาร์ท รถก็ยืดขึ้น
ญี่ปุ่นก็ทำได้ แต่ก็จะซับซ้อนและอายุการใช้งานก็ลดลง ค่ายฝรั่งก็ทำให้เทคโนโลยีน้อยๆ ทนๆ ได้ แต่มันจะไม่สมารถแข่งขันในตลาดของเขาได้ เพราะเขาแข่งกันด้วยเทคโนโลยี เพราะรถที่นั่น ไม่ได้ถือเป็นของแพง คนใช้แรงงานเก็บเงินไม่ถึงปี ก็ซื้อรถเงินสดได้แล้วทั้งคัน เงินเดือนระดับแสนบาทขึ้นไป ขณะที่รถ city car ก็ราคา ห้าแสนเป็นต้น
ตัวเลือกในการซื้อของคนยุโรปมีมาก ค่ายรถก็ต้องทำให้รถพิเศษ จะให้เอารถอย่าง Vios, Altis ออพชั่นน้อยๆ ไปขาย ก็จะตีตลาดได้ไม่แตก เพราะไม่มีจุดเด่น มีแต่ทนทาน ก็จะขายได้แต่ money-conscious buyer
สรุปคือเทคโนโลยี ไม่ค่อยต่างกันครับ แต่ทนทานต่างเพราะการควบคุมคุณภาพทางโรงงาน, supplier อย่างไรก็ตาม ค่ายยุโรปมักมี know how เรื่องเทคโนโลยีที่นำหน้าญี่ปุ่นไปพอสมควร เพราะเค้าเน้นรถที่มี สมรรถนะ และออพชั่นเยอะ
อย่างเช่น
blind spot monitor - Volvo, Benz
Active Cruise Control - Volvo
Cross-traffic Alert - Volvo
Idle Stop
ครีบฉลาม
Side + Mirror + Knee Airbag
ส่วนมากค่ายยุโรปทำขายในตลาดโลกมาแล้วประมาณ 5 ปี ค่ายยุ่นก็จะนำมาใช้ในรถตนเองบ้างแล้วโฆษณา คนไทยเราพวกที่ไม่ได้บ้ารถ ก็ตะลึงงึงงัน คิดว่าญี่ปุ่นทำรถลูกเล่นเยอะ โดนใจ ทั้งๆที่ที่จริงฝรั่งเค้ามีมาสักพักแล้ว แต่รถฝรั่งในไทยมักแพง (ไม่นับรถบ้านเมกัน)
-
ไม่มีอะไรแซงเท่าไหร่ครับ แต่ผมให้ Hybrid จากโตโยต้านะ เจ้านี้ผมว่าโอเคสุด
ส่วนไฮโดรเจน ฟิวเซล ผมว่ารถค่ายอเมริกันอย่า GM เค้าทำมานานแล้ว แต่ทำเป็นรถเช่าเพื่อเก็บข้อมูล หรือในรถบัส ประจำทางในเมืองมานานแล้ว
ข่าวล่าสุดตอนนี้ GM ไปจับมือ Honda ทำรถ Hydrogen เรียบร้อยแล้วครับ
-
ไม่มีอะไรแซงเท่าไหร่ครับ แต่ผมให้ Hybrid จากโตโยต้านะ เจ้านี้ผมว่าโอเคสุด
ส่วนไฮโดรเจน ฟิวเซล ผมว่ารถค่ายอเมริกันอย่าง GM เค้าทำมานานแล้ว แต่ทำเป็นรถเช่าเพื่อเก็บข้อมูล หรือในรถบัส ประจำทางในเมืองมานานแล้ว
ข่าวล่าสุดตอนนี้ GM ไปจับมือ Honda ทำรถ Hydrogen เรียบร้อยแล้วครับ
แบบนี้ดีครับ ไปได้อีกไกล
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
เหตุผลที่ได้ที่ 1 ไม่ใช่เพราะรถดีสุด หรือเทคโนโลยีไปไกลสุดครับ แต่เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ครอบคลุมกว่า product มีตั้งแต่เล็กสุด aygo ไปจนถึง crow และ century ที่เป็นระดับใหญ่สุด สามารถเข้าถึงได้ทุกฐานะ
แต่รถอย่าง bmw หรือ mercesdes เข้าได้ตั้งแต่ฐานะปานกลางไปเป็นต้นไป ซึ่งถ้าเปรียบเทียบฐานะประชากรในแต่ละประเทศ โตโยต้าเข้าถึงได้มากกว่า
ใครเทคโนโลยีเหนือกว่ากัน คำตอบเดียวกับ Samsung กับ apple ใครดีกว่ากัน บางเทคโนโลยี บางทีคิดได้แต่ในปัจจุบันโลกอาจยังไม่พร้อมใช้งาน
ซึ่งต้องแยกให้ออก บางทีคำว่ายังไม่พร้อมใช้จะมีเส้นบางๆกันอยู่กับคำว่า กั๊กของ
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท คงไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ ต้นทุนต่ำ ขายได้เยอะ กำไรมันก็เยอะ
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท คงไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ ต้นทุนต่ำ ขายได้เยอะ กำไรมันก็เยอะ
ขอแย้งต้นทุนต่ำ อะไรที่บอกว่าต้นทุนต่ำ ? หรือแค่ความรู้สึก
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเทคโนโลยีครับ???
ลง F1 ให้ชนะชาวบ้านก่อนไหม
-
ตามหัวข้อครับ เคยได้ยินบางคนบอกว่าเทคโนโลยีญี่ปุ่นมีความทนทานมาก เผลอๆดีกว่ายุโรปด้วยซ้ำ เป็นจริงแค่ไหนครับ ขอบคุณครับ :)
ความทนทาน ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนะครับ มันเกี่ยวกับการออกแบบ วัสดุ และการควบคุมคุณภาพ
รถญี่ปุ่น ปัจจุบัน ที่ทนทาน และเสียน้อย เพราะญี่ปุ่นค่อนข้างจะทำงานกันแบบเคร่งครัดมาก ไม่ได้เน้นสมรรถนะ หรือเทคโนโลยีชั้นสูง แต่เน้นการใช้งาน และสมรรถที่ดีพอใช้
ส่วนยุโรป เน้นเทคโนโลยี ไม่ต้องอะไร ขนาด Citroen เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยังทำรถโช้คไฮดรอลิค เวลาดับรถโชค์จะยุบตัวลง พอกลับมาขึ้นรถสตาร์ท รถก็ยืดขึ้น
ญี่ปุ่นก็ทำได้ แต่ก็จะซับซ้อนและอายุการใช้งานก็ลดลง ค่ายฝรั่งก็ทำให้เทคโนโลยีน้อยๆ ทนๆ ได้ แต่มันจะไม่สมารถแข่งขันในตลาดของเขาได้ เพราะเขาแข่งกันด้วยเทคโนโลยี เพราะรถที่นั่น ไม่ได้ถือเป็นของแพง คนใช้แรงงานเก็บเงินไม่ถึงปี ก็ซื้อรถเงินสดได้แล้วทั้งคัน เงินเดือนระดับแสนบาทขึ้นไป ขณะที่รถ city car ก็ราคา ห้าแสนเป็นต้น
ตัวเลือกในการซื้อของคนยุโรปมีมาก ค่ายรถก็ต้องทำให้รถพิเศษ จะให้เอารถอย่าง Vios, Altis ออพชั่นน้อยๆ ไปขาย ก็จะตีตลาดได้ไม่แตก เพราะไม่มีจุดเด่น มีแต่ทนทาน ก็จะขายได้แต่ money-conscious buyer
สรุปคือเทคโนโลยี ไม่ค่อยต่างกันครับ แต่ทนทานต่างเพราะการควบคุมคุณภาพทางโรงงาน, supplier อย่างไรก็ตาม ค่ายยุโรปมักมี know how เรื่องเทคโนโลยีที่นำหน้าญี่ปุ่นไปพอสมควร เพราะเค้าเน้นรถที่มี สมรรถนะ และออพชั่นเยอะ
อย่างเช่น
blind spot monitor - Volvo, Benz
Active Cruise Control - Volvo
Cross-traffic Alert - Volvo
Idle Stop
ครีบฉลาม
Side + Mirror + Knee Airbag
ส่วนมากค่ายยุโรปทำขายในตลาดโลกมาแล้วประมาณ 5 ปี ค่ายยุ่นก็จะนำมาใช้ในรถตนเองบ้างแล้วโฆษณา คนไทยเราพวกที่ไม่ได้บ้ารถ ก็ตะลึงงึงงัน คิดว่าญี่ปุ่นทำรถลูกเล่นเยอะ โดนใจ ทั้งๆที่ที่จริงฝรั่งเค้ามีมาสักพักแล้ว แต่รถฝรั่งในไทยมักแพง (ไม่นับรถบ้านเมกัน)
เห็นด้วยกับท่านนี้เลยครับ
ถ้าไม่นับ prius ของโตโยต้า ผมก็คิดไม่ออกว่ามี technology หรือ option อะไรที่ญี่ปุ่นนำมาใช้ในรถยนต์ขายที่ทั่วไปก่อนยุโรป
เอาทั่วโลกนะครับ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย
-
เรื่องทนทาน ขึ้นกับรุ่นรถด้วยครับ
กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว toyota และ benz เครื่องยนต์ทนทั้งคู่ แต่พวก electronic ในรถแพงๆ มันเสียทีก็ซ่อมแพงอยู่ครับ ซึ่งส่วนมากค่าซ่อมรถฝั่งญี่ปุ่นจะถูกกว่า ไม่มากก็น้อย
ส่วนฝั่งเทคโนโลยี ไม่หนีกันครับ ญี่ปุ่น ผลิต supra rx7 nsx รถเทพๆมาเป็นชาติแล้วครับ ส่วนรถหรู ls400 ก็ทำเอา s class serie7 ในยุคนั้นต้องสู้มาแล้ว รถพวกนี้ถ้าคุณเคยครอบครองจะรู้ว่า เทคโนโลยีและคุณภาพมันขนาดไหน
ปัจจุบัน toyota ก็ผลิต supercar lfa ไงครับ nissan ก็ gtr
ถ้าจะเทียบก็ควรเทียบกันตาม segment นะครับ เอา altis ไปเทียบ serie3 คงไม่ได้ ค่ายญี่ปุ่นขายรถบ้านๆ เยอะ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มาก ก็สร้างยอดขายได้เยอะ ส่วนค่ายยุโรปก็วาง position สูงขายรถ premium เท่านั้น
-
ของดีไม่ได้แปลว่าขายดี
-
ที่คนไทยพูดกันว่ารถญี่ปุนทนกว่ารถยุโรปก็เพราะว่ารถญีปุ่่นใส่ออพชั่นต่างๆมาให้น้อยกว่ารถยุโรปเยอะเลยแต่ไหนแต่ไรมาแล้วก็พูดต่อๆกันมาว่ารถยุโรปไม่ทน เปรียบเทียบอัลติสกับC classจำนวนแอร์แบกก็ไม่เท่ากันแล้ว รถที่มีอุปกรณ์มากกว่าย่อมมีจุดให้ต้องซ่อมมากกว่า ถ้าพูดถึงความคงทนของตัวรถอย่างเดียวรถยุโรปอย่างเบนซ์ที่ใช้กันหลักล้านกิโลเมตรก็มีให้เห็นมากมาย อย่างเบนซ์รุ่นC220กับE classในรุ่นปีเดียวกันจนถึงทุกวันนี้ยังมีคนใช้กันอยู่เลย ลองนับกันกี่สิบปีแล้วยังแล่นกันอยู่แต่มักจะมีคำพูดที่ว่ารถยุโรปไม่ทน..... :( พอมายุคใหม่อย่างพรีอุสกับแคมรี่ไฮบริดที่จำนวนแอร์แบกทัดเทียมกับรถยุโรปมีระบบไฮบริดที่ล้ำหน้าไว้ชนกับรถยุโรป พอขายมือสองราคาหายไปเยอะมากมีคนถามซ์้อดีไหมมีแต่คนบอกอย่าเลยรถไฮบริดเสียง่ายช่างซ่อมไม่เป็น แต่บอกว่ารถญี่ปุ่นทน??? :-[
-
รถญี่ปุ่นในไทยออฟชั่นน้อยความซับซ้อนน้อยครับมันเลยไม่ค่อยทน ส่วนรุ่นขายต่างประเทศฟูลออฟชั่นพอ ๆ กันรถยุโรปอเเมริกา มันก็เอ๋อพอ ๆ กัน จำได้ตอนไปเยี่ยมน้องที่ต่างประเทศทีไร เจอมันเอารถญี่ปุ่นส่งซ่อมประจำ ถามแล้วกลายเป็นรถยุโรปจุกจิกน้อยกว่าอีก (พอมาบ้านเราตรงข้าม)
ค่าซ่อมก็โหดพอกัน เสียเปลี่ยนอะไหล่เลยไม่ได้ถอดมาซ่อมเหมือนบ้านเรา
-
ผมมองว่าพอๆกัน ไม่หนีกันมากนะ ถ้าในราคาเท่าๆกัน
-
บางเรื่องดีกว่ามั้งคับ คงไม่ได้นำไปหมดทุกเรื่อง ไม่ต้องไปรวมยุโรปหลายประเทศให้ปวดหัวหรอกครับ แค่อเมริกายังนำยากเลย ดูตัวอย่างง่ายๆมีรถหัวลากญี่ปุ่นเจ้าไหนไปใช้ไปขายในเมกาหรือยุโรป ใช้โหดๆแบบลากกันข้ามทวีปบ้าง เห็นมีแต่ saab volvo benz ทั้งนั้น
-
.....ผมว่าอยู่ที่เป้าประสงค์ในการผลิต ยุ่น ไม่รีดและเค้นมาก อุณหภูมิใช้งานเซ็ทมาต่ำกว่า พอควร ทำให้ห้องเครื่องเย็นกว่า จึงทนทานกว่า
-
ถ้าเทคโนโลยีความบอบบาง ญี่ปุ่นนำ
-
toyota ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท ที่ 1ของโลก ก็เอาไปคิดดูเองละกัน ตอนนี้จะทำเครื่องบินกะ mitsu ส่วน honda มีทั้งหุ่นยนต์ เครื่องบินด้วย
ยอดขาย กำไร มูลค่าบริษัท คงไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ ต้นทุนต่ำ ขายได้เยอะ กำไรมันก็เยอะ
ถ้าไม่มี Diesel Gate โผล่มา Volkswagen ชนะ Toyota นะครับ ส่วนมุลค่าบริษัทเขาวัดจากราคาหุ้น x จำณวนหุ้น ถ้าขายจริงมันไม่ได้แบบนั้นหรอก ราคาหุ้นไม่ได้บอกอะไรกับ Performance ของ ทั้งตัว รถ และ บริษัท ได้เลย
-
จากที่ผมใช้อยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ผมว่า ยุโรป มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ทั้ง 2 ฝ่าย มีข้อดีข้อด้อย ทั้งคู่นั่นแหละ
-
ถ้าเทียบกับเทสล่าญี่ปุ่นคงห่างไปหลายช่วงแต่ถ้าเน้นทำรถกินน้ำมันเหมือนๆกันก็คงพอๆกันแหล่ะครับ พอมีเทคโนโลยีใหม่ๆแปปๆเดี๋ยวไก็ออกตามมากันได้หมด
-
ทนจริงหรือแค่ใส่มาน้อยครับ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะ
อยากถามคนใช้เล็กซัซมานานๆ หลายๆปีว่ามันจุกจิกหรือเปล่าครับ
-
ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ญี่ปุ่นเป็นผู้ตามเยอรมันที่ดีครับสมัยก่อน product ไรต่างๆของญี่ปุ่นคนส่วนใหญ่จะพูดเลยว่าโหย ของปลอม เลียนแบบ
เยอรมันแต่แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ กลายเป็นของดูดีไปแล้ว ก้เหมือนที่ samsung ของเกาหลีสามารถทำได้แล้วอะคับ รถไฟในญี่ปุ่นที่เป็น
ความเร็วสูงก้เยอรมันนะครับที่มาวางระบบให้ 2 ประเทศนี้ผมว่าเยี่ยมมากละครับ ทางเยอรมันก้เป็นประเทศที่ออกแบบ และเก่งมากเรื่องเครื่องจักร
ส่วนญี่ปุ่นด้วยความที่มีระบบมีระเบียบก้เลยสามารถทำสินค้าต่างๆให้ขายเป็น mass production ได้ครับ อันนี้จากประสบการณ์ที่ผมทำงานนะ
เพราะผมรู้สึกว่าญี่ปุ่นจะมีระบบที่ดีกว่าทางยุโรปครับ ผมว่าเท่าๆกันนะครับถ้าจะเทียบกันเรื่องเทคโนโลยีเพราะเก่งไปคนละแบบ เราเลยมีขอ
งดีๆใช้ไงครับ ส่วนเรื่องถ้าเทียบกับ tesla ทางยุโรป porsches BMW MB เริ่มออกโครงการทำแข่งแล้วส่วนนึงเพราะแบรนด์ครับ ด้วยที่เป็น
รถที่มีราคาสูงกว่าการทำอะไรจะยอมให้คนอื่นแซงหน้าไปง่ายๆคงไม่ได้อะคับ ส่วนทางญี่ปุ่นเค้ายังพอใจกับรถไฮบริดของเค้าอยู่ก้เพราะว่าใน
ประเทศของเค้ามันใช้งานได้ดีและตลาดหลักอยู่ในอเมริกา ยังขายได้อยู่ 2 ประเทศนี้เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องรีบลงทุนอะไรคับ
-
ผเอาจริงๆ ทำให้เท่ากันผมว่าทำได้นะ แต่ฝั่งญี่ปุ่นโจทน์หลักเค้าน่าจะมีเรื่องราคามาคุมไว้
แต่ของยุโรปมีมาตรฐานขั้นต่ำมาคุมไว้ ผลเลยออกมาต่างกัน