น่าจะเป็นยาบ้าของเขาจริงๆนั่นแหล่ะ แต่การไปยึดทรัพย์พ่อแม่เขา พี่ชายเขา เมียเขาโดยอ้างว่าน่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด อันนี้เกินเหตุ เพราะพ่อแม่เขา เมียเขา พี่ชายเขา ไม่ได้ทำผิด ไม่มีข้อมูลว่ามีการโอนทรัพย์สินของผู้ชายคนนั้นไปให้พ่อแม่เขา เมียเขา พี่ชายเขา
ผมว่าคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทำแบบนี้ก็ถูกต้องแล้วนะครับ เพราะคนพวกนี้ไม่มีที่ให้ฟอกเงิน ส่วนใหญ่ก็จะเอาเงินไปซื้อของมีค่า เช่น รถ บ้าน ทอง ที่ดิน และอื่นๆ (ซื้อเงินสด)
แน่นอน เอาไปให้พ่อแม่ เมีย พี่ น้อง มันเป็นไปได้ครับ เพราะคนพวกนี้ถ้าโดนจับโดนยึดหมดแน่ครับ ไม่จำเป็นต้องโอนหรอกพวกนี้ถือเงินสด แค่ยื่นให้แล้วไปซื้อของก็พอ
ดังนั้นการยึดก่อนแล้วให้คนที่เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น ไปพิสูจน์ว่ามีอาชีพอะไร รายได้มาจากไหน รายได้เท่าไร พอสมเหตุผลกับมูลค่าบ้าน รถ ที่มีมั้ย ต้องตรวจละเอียดนะคดีแบบนี้
เพราะถ้าพ่อแม่ เมีย พี่ น้อง ของคนๆ นั้น มีอาชีพเกษตรกร แต่ขับ ferrari คุณไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรือ? ให้ไปบอกที่ศาลนั่นแหละ ดีแล้วครับ ศาลเค้าก็คืนให้ถ้าซื้อมาอย่างสุจริต
ปล. ถ้าไม่ยึดก่อน งั้นคนพวกนี้ไม่มีวันติดคุกหรอกครับ พอขึ้นศาลมันก็เอาเงินค้ายาที่ฝากไว้กับญาติมาประกันตัวได้สิครับ
พ่อแม่เขาไม่ได้ขับเฟอรารี่ เขาใช้รถกระบะ ใช้ฮอนด้าแจ๊ส เขามีรายได้จากร้านมินิมาร์ท ร้านคาร์แคร์ และการจะไปยึดทรัพย์จะต้องมีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย //// UPDATE: คนล้นคุก! ไทยติดอันดับ 6 ผู้ต้องขังมากที่สุดในโลก อันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรองแค่จีนและอินเดีย
.
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย หรือ TIJ เปิดเผยข้อมูลการจัดอันดับผู้ต้องขัง จากการเก็บข้อมูลของ prisonstudies.org พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ประเทศไทยมีผู้ต้องขังสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ติดอันดับ 3 ของเอเชีย เป็นรองแค่จีนกับอินเดีย ที่มีประชากรสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่าตัว อีกทั้งยังเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนด้วย
.
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์คลุกคลีอยู่ในเส้นทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย ในฐานะอัยการและปลัดกระทรวงยุติธรรมชี้ว่า การที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้ต้องขังสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งในแง่จำนวนทั้งหมด (อันดับ 6 ของโลก) และจำนวนผู้ต้องขังต่อจำนวนประชากร (อันดับ 9 โดยมีจำนวนผู้ต้องขัง 445 คนต่อประชากร 1 แสนคน โดยการศึกษาของ statista.com) อาจเกิดจากความไม่เอื้ออำนวยของระบบ เพราะมีกฎหมายที่มีโทษทางอาญาค่อนข้างเยอะ แม้กระทั่งการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก็มีโทษสูงสุดคือจำคุก
.
หากลองพิจารณาในรายละเอียดเรื่องจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ จะพบว่าเกือบร้อยละ 20.66 เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีหรือระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา และจำนวนราวร้อยละ 70 ที่เป็นนักโทษเด็ดขาด กว่าครึ่งเป็นผู้ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี โดย 70% เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
.
สิ่งหนึ่งที่พบคือ เมื่อคนถูกจับในคดีอาญาแม้จะไม่ใช่คดีที่ใช้ความรุนแรง แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำราว 5-10 ปี เมื่อออกมาจะมีแนวโน้มที่จะเป็นอาชญากรที่ใช้ความรุนแรง และ 2 ใน 3 จะกระทำผิดซ้ำและถูกส่งกลับไปยังเรือนจำอีกภายใน 3 ปี บางคนถึงกับกล่าวว่า คุกเป็นโรงเรียนสอนอาชญากรสร้างเครือข่ายอาชญากรรม ไม่ว่าจะเข้าไปด้วยข้อหาอะไร มักจะออกมาด้วยความรู้ด้านอาชญากรรมมากขึ้นเสมอ เมื่อโอบามาขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงได้ทำการปฏิรูประบบราชทัณฑ์โดยให้ผู้ที่กระทำผิดบางประเภทไปทำงานเพื่อสังคมหรือเข้าบำบัดเพื่อให้สามารถกลับตัวเป็นคนดีและกลับเข้าสู่สังคมได้เหมือนคนปกติ เช่น ผู้ต้องคดียาเสพติด ซึ่งในกรณีคล้ายกันนี้ โปรตุเกสนับเป็นประเทศที่นำร่องและกลายเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการที่ใช้มาตรการทางปกครองส่งผู้ติดยาเสพติดไปบำบัดแทนการส่งเข้าเรือนจำ
.
ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะเป็นการลดจำนวนความแออัดของเรือนจำ ลดงบประมาณที่ใช้เพื่อบริหารเรือนจำมหาศาล เช่น ไทยต้องมีงบประมาณที่ใช้ในกรมราชทัณฑ์กว่า 12,141 ล้านบาทต่อปี ที่สำคัญที่สุดยังเป็นการลดโอกาสที่ความผิดพลาดชั่วไม่กี่นาทีจะเปลี่ยนชีวิตคนเหล่านั้นให้กลายเป็นอาชญากรที่ร้ายแรงขึ้น จากการเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้การกระทำผิดอื่นเพิ่มเติม การนำไปสู่วงจรอาชญากรที่สมบูรณ์ การสร้างบาดแผลในชีวิตจนต้องใช้ชีวิตในทางที่ผิดไปจนสุดทาง หรือถูกตราหน้าจนไร้หนทางที่จะประกอบอาชีพสุจริตเมื่อกลับออกมาสู่สังคม
.
ทางเลือกคือ ระบบอาจแสวงหามาตรการอื่นที่จะลดจำนวนคนในระบบการคุมขังในเรือนจำ ที่การชดเชยการกระทำผิดอย่างเหมาะสม โดยทุกขั้นตอนของระบบยุติธรรมทั้งตำรวจ อัยการ ศาล หน่วยงานที่ดูแลผู้กระทำผิดและทนายความ ต้องทำงานประสานกันเพื่อธำรงความยุติธรรมและหาทางออกร่วมกัน มีการบูรณาการในการทำงานมากขึ้น ทั้งยังต้องมีความเชื่อถือในหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อตรงต่อวิชาชีพควบคู่กับการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ผู้ที่จบเนติบัณฑิตจะต้องฝึกงานอีกราว 2 ปี โดยเวียนไปทำงานตามหน้าที่ต่างๆ ในระบบยุติธรรมเพื่อให้เข้าใจในการทำงานของแต่ละหน่วยงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หนึ่งในวิธีลดจำนวนคนเข้าสู่เรือนจำก็คือ ในบางคดีที่เหมาะสมจะมีการส่งไปคุมประพฤติก่อน หากผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจก็อาจจะไม่มีการส่งฟ้อง
.
นอกจากหน่วยงานในระบบยุติธรรม อาจมีตัวแทนประชาชนเข้ามาเพิ่มเป็นปัจจัยในกระบวนการยุติธรรมด้วย ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาจะมีระบบลูกขุนที่เข้ามาช่วยในคดีที่ร้ายแรง ยุโรปมีผู้พิพากษาสมทบ ญี่ปุ่นเริ่มมีการนำประชาชนเข้ามามีส่วนในระบบลูกขุนและผู้พิพากษาสมทบ ส่วนไทยนั้นได้เริ่มมีการนำผู้พิพากษาสมทบเข้ามาสู่ระบบ ทำให้มีความรู้และความเข้าใจเฉพาะด้านมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีองค์กรช่วยเหลือประชาชนต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่นบ้านกาญจนาที่ดูแลเยาวชนที่กระทำพลาดผิดไป แต่หน่วยที่สำคัญที่สุดรายหนึ่งคือชุมชน ที่ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียว หากชุมชนมีความเข้มแข็ง ช่วยสอดส่องดูแลและรวมไปถึงการรับผู้หลงผิดกลับสู่สังคม ก็จะสามารถป้องกันผู้หลงผิดตลอดจนช่วยเหลือผู้ที่พลาดพลั้งทำผิดให้สามารถปรับตัวและกลับมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพได้
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่
https://thestandard.co/#News #TheStandardCo #TheStandardTH #StandUpForThePeople