Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: babybigman ที่ มีนาคม 11, 2017, 21:05:17
-
คือผมใช้ Honda CRV G4 ซื้อปี 2012 ใช้มาใกล้จะ 1 แสนกิโลแล้ว
-ราคารถ ตอนซื้อ 1.5 ล้าน นิดๆ ถือว่าถูกกว่า รถ Compact Premium ราวๆ 1.0-1.5 ล้าน
-ใช้มา 1 แสนโล เข้าศูนย์ตามระยะ ค่าใช้จ่ายน้อยมาก ทีละไม่ตัง แทบจำไม่ได้ว่าจ่ายไปเท่าไร
-ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยจากระบบของรถยนต์ แม้แต่ครั้งเดียว
-สมรถถนะพอรับได้ เสียงภายนอก เข้ามามากหน่อยไม่เงียบ นุ่มพอได้ เดินทางกับครอบครัวก็สบายดี
ขนสัมภาระสบายๆ
-ล่าสุดโดนก้อนหิน กระจกหน้าแตกต้องเปลี่ยนทั้งบาน มีประกันซ่อมอู่ แต่ถ้าจะใช้อะไหล่แท้ Honda ต้องจ่ายเพิ่มเอง 2 พัน
คือมันใช้แล้วสบายใจ ไม่ระแวง จะปล่อยก็ง่ายๆ
แต่รถ Compact Premium นี่ราคารถซื้อมันแพงไปอาจจะเกือบเท่าตัว คือ 2 เท่านะง่ายๆ
แต่อะไหล่หรือค่าบริการมันจะ 3 เท่าได้นะในแต่ละครั้ง
อย่างเอา w212 ไฟเครื่องยนต์ขึ้น ไม่มีอะไรเสียเลยเข้าศูนย์ไป
แค่ค่าแรงช่าง ตรวจสอบอย่างเดียว 3 พันบาทซะแล้ว
-
คือธรรมชาตของคนเรา ก็มีความอยากแตกต่างกันไป ถ้ามีเงินมีความสามารถที่จะซื้อได้ หลายคนก็ขอซื้อพรีเมียมคาร์มาใช้ดูสักครั้ง ทั้งๆที่ก็รู้แหละว่าความคุ้มค่ามันจะน้อยกว่ารถญี่ปุ่น แต่เพื่อให้รางวัลกับชีวิตก็กช่างมัน
-
คหสต. รถ import ยุ่นอย่าง WRX, Forester XT (JDM) ยังน่าเล่นกว่ารถยุโรปเครื่องดีเซล ม้าเหี่ยวๆคับ
-
รถก็แค่ ยานพาหนะครับ
หน้าที่ พาเราไปถึงจุดหมาย โดยคาดหวังว่ามันจะมีปัญหา ถึงมี ก็ ซ่อมจบง่าย สบายกระเป๋า
-
ของอย่างนี้แล้วแต่มุมมอง แล้วแต่เงินในกระเป๋าครับ
-
คนซื้อรถยุโรปเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายมากนักละครับ ผมว่าเขาชอบทั้งภาพลักษณ์และสมรรถนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเขาคงคิดว่ารับได้และเหลือจากที่เตรียมไว้ให้อยู่แล้ว หลายรายเอามาเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนได้อยู่แล้วแค่จิ้มยุโรปรึญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วนคนที่คิดถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเป็นหลักใหญ่น่าจะหันมาเล่นรถญี่ปุ่นซ๊ะเยอะผมว่าแบบนี้นะ
-
เพราะแบบนี้แหละครับ ผมก็เลยยังคงเล่นรถญี่ปุ่นต่อไป
แต่ศูนย์บริการรถญี่ปุ่นก็มักจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดูแลเครื่องยนต์มาให้เรื่อยๆครับ
ถ้าใจแข็งพอ ราคางานเช็คระยะก็ไม่แพงครับ
อย่างล่าสุดผมเอา Fortuner ตัวเก่าไปเช็ค 70,000km
โดนค่าแรงไปพันนึง ค่าน้ำมันเครื่อง กับแหวนรอง รวมกันก็สองพันนิดๆ
แต่สุดท้ายก็ให้เขาล้างแอร์และฆ่าเชื้อในห้องโดยสารไปอีกสองพัน
รวมเป็นสี่พันกว่าบาท (อาจจะรู้สึกแพง แต่กลิ่นในรถดีขึ้นมาก ได้ล้างแอร์รู้สึกสะอาดสดชื่นขึ้น)
-
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ตจว.ไม่ค่อยอยากได้รถยุโรปล่ะครับ ถึงแม้จะซื้อป้ายแดงก็ตามศูนย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ 100 กิโล ส่วนรถญี่ปุ่นมีครบทุกยี่ห้อห่างจากบ้านแค่10โลหน่อยๆ. ผมไปสำรวจร้านอะไหล่ดูรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีของหมด ถ้ารถยุโรปมีเป็นบางรุ่นและบางชิ้น. ส่วนมากต้องสั่งแล้วรอของเอา. พอไปดูพวกอู่นอกรถยุโรปนี่ต้องเป็นรุ่นเก่าๆหน่อยเช่น W124. รุ่นใหม่ๆหาช่างซ่อมเป็นไม่เจอส่วนรถญี่ปุ่นจะเก่าหรือใหม่พวกไม่เกี่ยงทั้งนั้น. ดูๆแล้วถ้าผมอยู่ตจว.ไปเรื่อยๆคงใช้รถญี่ปุ่นดีกว่ามันสบายใจจริงๆ
-
เห็นด้วยคับ
-
เห็นด้วยครับ และในอนาคต อาจจะมีรถจีนดีดีให้เลือกใช้ด้วย
-
มันเกิดมาเพื่อการนี้อยู่ละครับ โดยเฉพาะประเทศนี้
-
เห็นด้วยครับเรื่องการบำรุงรักษาและความทนทาน และอย่างผมนี่คือลองขับแล้วก็พอใจมากและก็เพียงพอแต่การใช้งานแล้ว เลยไม่คิดจะไปใช้รถที่ดีกว่านี้
-
นี่แหละที่มันยังขายได้ดีทั้งๆที่ราคาไม่ต่างจากรถยุโรปมากนักในต่างประเทศ
-
ขึ้นอยู่กับความพอใจและเงินในกระเป๋าเลยครับ ถ้าผมมีเงินเหลือหลายๆล้าน คงเมิน SUV ญี่ปุ่นแล้วไปซื้อ X6 มาขับ รู้ว่าจุกจิกและแพงกว่าแน่นอน แต่เพราะความเท่ล้วนๆ ;D
-
ช่วงนี้กระทู้แนวนี้มาบ่อยนะ
ตังใครตังมันดีกว่าครับ ไม่ต้องไปวิจารณ์ให้มันมากเรื่อง
แบบนี้คงไม่มีใคร ซื้อรถหรู เรือยอช เครื่องบินส่วนตัวละมั้งครับ
-
ก็แล้วแต่คนนะครับ
ผมมี ยุ่น ออกป้ายแดง...แต่ใช้เป็นแค่ตัวสำรอง ขับสัปดาห์ละวันสองวัน
ใช้จริง ๆ ใช้รถมือสอง อายุสิบห้าปี.........
ผมไม่สนใจสมรรถนะ วิ่งไม่เกิน 120 เป็นส่วนมาก
ผมเน้นความปลอดภัย แม้ผลทดสอบ ดาวจะเท่ากัน แต่ผมเชื่อของผม ว่าคันที่ผมใช้ปลอดภัยกว่า แค่นั้น....
-
ญาติผมรวยๆหลายคน ก็ เปลี่ยนจาก C Seg Premium
มาเป็น D Seg Japan
-
ผมว่ารถ Japan มันทำหน้าที่ของมัน ทำหน้าที่หลักของรถได้ดีที่สุด คือ เป็นยานพาหนะ ที่ดี ใช้ง่าย สบายใจ ไม่จุกจิก
เรื่องความปลอดภัย สุดท้ายมันอยู่ที่คนขับ พอได้ผ่านอุบัติเหตุอะไรมาทำให้คิดได้ว่า คนนี่แหละ สำคัญสุด ขับรถระมัดระวัง ขับปลอดภัยตามกฎหมาย คาดเข็มขัดนิรภัย ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่เกิดอุบัติเหตุครับ
ผมสังเกตจากคนรอบๆตัวหลายคน ถ้าคนที่พึ่งจะมีรถ ทำงานใหม่ อยากได้อยากมี อยากลอง คันแรกๆ หรือคันที่สอง ส่วนมากจะพยายามไปยุโรป เพราะยังชอบ ยังรักสนุก อยากลองอยู่ ซ่อมไหว มีเวลา แต่สุดท้ายพอผ่านอะไรมามากๆ บางทีการได้ใช้รถคันนึงแบบสบายใจก็เป็นเรื่องดีอีกแบบนึงเลย
บ้านผมคันแรก Accord >> BMW 5>> Camry คันต่อมาก็คิดว่าคงจะ ไม่ New Camry ก็คง Lexus เพราะความทนทาน สบายใจ ไม่จุกจิกนี่มันใช้งานได้สบายใจดีจริงๆครับ บางทีศูนย์ซ่อมจบ ช่างชำนาญก็มีส่วนทำให้ใช้อย่างสบายใจครับ ซ่อมแพงถูกไม่สำคัญ ขอให้ซ่อมจบ แบบตอนเข้ามาแก้อาการเพราะช่างศูนย์ซ่อมไม่เป็น ไม่รู้จริง แบบตอนใช้ BMW นี่ลำบากครับ เข้าศูนย์มันเสียเวลา รถก็ไม่มีใช้ถ้าต้องจอดทิ้งไว้อีก (เพราะคิวยาว)
เสียดายมากๆจริงๆ ทำไม Lexus บ้านเราถึงทำราคาได้ไม่ดี ถ้าทำราคาดีๆได้ รถสมรรถนะดีๆ ที่ใช้ได้อย่างสบายใจ มันน่าใช้เลยละ คือไม่แปลกใจเลย ทำไมแถวอเมริกาถึงขายดี
-
ในช่วงเวลาปัจจุบัน (รถสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน)
รถญี่ปุ่น พัฒนามาไกลมาก ครับ
รถยุโรปหรืออื่นๆ ก็พัฒนามาไกลมากเช่นกัน...(ลบ,บวก ?) ครับ ::)
-
ถ้าโจทย์ คือ ถึงที่หมาย เหมือนกัน จริงๆ Eco Car ก็ได้ ทำไมต้องเป็น CRV
เรื่องนี้ผมมองว่า โจทย์ของแต่ละคน ต่างกัน
สมัยหนุ่มๆ ผมขับ A31,EK,Im เพราะโจทย์ของผมคือ ผมชอบแต่งรถ ทั้งสามคัน ปั้นตั้งแต่ Standard เปลี่ยนเครื่อง โมติฟาย พอถึงวันนึง มันก็เบื่อ
เมื่อ 4 ปีที่แล้ว จะเปลี่ยนรถ ตั้งงบไว้ ไม่เกิน 2 ล้าน ไล่มาตั้งแต่ PPV ,CX5,CRV,Accord,Cammry,Teana สรุปไปจบที่ V40 เพราะ มันขับดีกว่า ใกล้ๆ Im ที่ใช้อยู่ ทีแรกก็เก็บ Im ไว้ใช้วันหยุด แต่ สุดท้าย ก็ขาย เพราะ ไม่ได้ใช้
ส่วน เรื่องค่าใช้จ่าย ขับมาแสนสอง ก็เพิ่งงโดน ตอน แสนสองนี่แหละ 4 หมื่นกว่าบาท ก็รับได้นะครับ Service โลละ 3 บาท
ที่ซื้อ เพราะ รถมันขับดี
โจทย์ งบประมาณ การใช้ชีวิต ของแต่ละคน ต่างกันครับ
-
ผมว่ามันต่างจิตต่างใจนะ แล้วแต่ใครจะเลือกแบบไหน
-
ผมว่ามันต่างกันชัดเจนนะระหว่างรถญี่ปุ่นกับยุโรป
เพราะสาเหตุความแตกต่างนี้แหละ รถญี่ปุ่นจึงขายดีกว่ารถยุโรป และขายง่ายกว่ารถยุโรป
เพราะคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา รวมถึงผมด้วยคิดถึงค่าซ่อมรถ คือรถญี่ปุ่นเข้าเช็คระยะหลังหมดประกันแล้วเสียเงิน 2xxx-1x,xxx บาทนี่ก็แพงสุดแล้วนะ ของคุณแค่เช็คไฟโชว์โดนค่าแรง 3000 บาท แน่นอนใครจะไปซื้อครับนอกจากลุ่มคนที่มีเงินถึงและชอบแบรนด์ยุโรปอยู่แล้วเขารับได้ ทั้งที่จริงค่าแรงลบไฟโชว์รถญี่ปุ่นคิด 300-400 บาทเท่านั้นเอง ชั่วโมงแรงงานก็คนไทยเหมือนกันทำงานในประเทศไทย แต่แบรนด์รถยุโรปคิดค่าแรงเท่าโน้นนนนนน มันก็ดูแพง
-
ใช้รถยุโรปต้องมีงบไว้ซ่อมบำรุงเยอะกว่ารถญี่ปุ่นครับ ถ้าซ่อมบำรุงถึงไม่มีอะไรหรอก แถวบ้านผมสบาย มีศูนย์ MB อยู่หน้าหมู่บ้าน ขับไป15 km ก็มีศูนย์ bmw ถ้ามีโอกาสซื้อรถใหม่คงเป็นยุโรปอีกครับ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าราคารถd seg ญี่ปุ่นโดดมาเรื่อยๆ แล้ว
-
ในคำนิยามส่วนตัวคิดว่า รถญี่ปุ่น คือ เหตุผล ส่วนรถยุโรปคือ อารมณ์ ครับ
-
ถ้าเฉพาะภาพลักษณ์อาจจะใช่ครับ แต่สมถรรนะไม่เสมอไปครับ
งบแถวๆสองล้าน WRX ForesterXT ผมคิดว่าสมรรถนะดีกว่า Series1,3 ACLASS GLA เยอะเลยครับ
-
ราคารถ ราคาอะไหล่ จำนวนศูนย์บริการ เป็นสิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกรถญี่ปุ่น
-
ที่อเมริกา ผมไปรัฐแคลิฟอร์เนีย มา ที่นั้นมีแต่รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ Toyota Nissan Honda เยอะมาก โดยเฉพาะ Camry Accord Collora Civic ตัวก่อนและตัวปัจจุบัน เพียบ รองลงมา Benz BMW ส่วนรถอเมริกันพื้นถิ่น Ford Chevvy มีประปาย ยิ่ง ออสเตรเลียกับนิวชีแลนด์นี้ ใช้รถญี่ปุ่นเหมือนบ้านเราเลย กระบะ เพียบ
-
ส่วนตัวก็คิดเหมือนกันว่า พวก d seg ญี่ปุ่นนี่มันคุ้มค่าสุดแล้ว ถ้าเทียบสมรรถนะ และ ภาพลักษณ์
-
ช่วงนี้กระทู้แนวนี้มาบ่อยนะ
ตังใครตังมันดีกว่าครับ ไม่ต้องไปวิจารณ์ให้มันมากเรื่อง
แบบนี้คงไม่มีใคร ซื้อรถหรู เรือยอช เครื่องบินส่วนตัวละมั้งครับ
ไม่ใช่อย่างนั้นครับผมใช้รถมา เกือบ 10 คันแล้ว ใช้ 4 ปีขึ้นไปหมด
ผมใช้ BMW มาก่อน
ตอนนี้ใช้ W212 ขับสลับกับ CRV
แต่ถามว่า
คืนนี้ถ้าต้องออกจากบ้าน ขับผ่าน ระยะ 350 กิโลที่ห้ามรถมีปัญหาเด็ดขาด ตอน 2 ทุ่ม - 5 ทุ่มข้ามจังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส
ถ้ามีปัญหากลางทางโจรใต้อาจจะฆ่าผมได้
ผมไม่กล้าขับ w212 แต่ถ้ากลางวันกล้าขับ
แต่กลางคืนเสี่ยงๆ กลับเลือก CRV ไว้ก่อน
เป็นความรู้สึกมั่นใจครับ ไม่ได้บอกว่ารถยุโรบไม่ไดีนะครับเพราะผมก็ใช้อยู่
-
อย่ายึดติดกับ ศูนย์บริการ
อะไหล่เชียงกง เพียบ ทั้งรถ ญี่ปุ่น กับรถยุโรป
วิ่งหาอะไหล่เองเป็น ยิ่งสบาย
ราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าตัง คับ
-
โดยรวม ผมก็ว่า มันอยู่กับคน เงิน และการใช้งาน
ผมใช้รถ 5-7 ปี (แต่อาจจะมี 2-3 คันในช่วงเวลาเดียวกัน แต่รถคนละแบบ เช่น C-Seg, D-Seg , SUV/PPV เป็นต้น) สุดท้ายก็เลือก รถญี่ปุ่น ครับ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง
-
ผมลองรถยุโรปล่ะ แต่คันต่อไปคงรถญีปุ่นแรงๆแทนล่ะ สบายใจกว่าเยอะเลย
-
จริงๆผมชอบรถญี่ปุ่นสมรรถนะดีๆแรงๆนะ แต่ในเมืองไทยตอนจะซื้อมีให้เลือกน้อยเหลือเกินเลยไปออกV40 อยากได้อารมณ์แนวแต่งได้ง่ายของแต่งเยอะไม่จุกจิกแฮนลิ่งดีเครื่องแรงพอสมควร ถ้าย้อนกลับไปได้อาจจะรอตอนซื้ออีก1-2ปี แล้วออกBRZ mt แทน แต่ผมโชคดีที่รถที่ใช้อยู่นั้นไม่จุกจิก แต่ไม่ชัวร์ว่าจะใช้ได้ถึง10ปีไหม
ผมว่ารถญี่ปุ่นถ้าเขาจะเซตมาให้ดีๆก็ทำได้ เช่น 86 brz lexus infiniti nismo ฯลฯ แต่พอตอนไปอยู่ญี่ปุ่นก็เข้าใจว่าทำไมส่วนมากเขาเซตมาให้นั่งสบายขับชิลๆ เพราะเมืองเขาไม่ขับรถเร็ว ถนนก็เรียบ ทุกคนขับเป็นระเบียบ แทบไม่จำเป็นต้องใช้รถแรงๆแฮนลิ่งเทพๆเลย
-
ไม่เห้นด้วยครับ. คนใช้รถสักคันเขาก้อคาดหวังสมรรถนะและภาพลักษณ์ในความเป๋นตัวตนของเขา
คำว่า สมรรถนะ. กับภาพลักษณ์. มันขึ้นกับความคาดหวังของแต่ละคน
เช่น. บางคน ชื้ออเมสเพราะคาดหวังสมรรถนะ. ภาพลักษณ์ที่"ดีกว่า"แลนเซอยุตแรกๆเป็นต้น
หากตีกรอบความคิดด้วยสมมุติฐานของคนได้คนนึง. ยังไงก้อไม่ตรงกัน
ที่บางคนมองว่า. C seg premium ถือว่าสมรรถนะดี ภาพลักษณ์ดี
แค่บางคนมองว่าไม่. หรือบางคนมองeco car มันภาพลักษณ์ดีกว่ารถมือสอง5ปี เป้นต้น
-
ดูแลรักษาง่าย/ซ่อมถูก/อะไหล่เยอะ /ขายต่อราคาตกน้อย ใช้รถญี่ปุ่น
ภูมิใจ/แสดงฐานะ/เชื่อมั่นความปลอดภัย ใช้รถยุโรป MB/BM
ความปลอดภัย/เงินน้อย/ ใช้รถ US ( แต่ก็ทำให้ผิดหวังอย่างมาก )
ชอบแตกต่าง/ชอบแฟชั่น/ไม่เกี่ยวค่าซ่อม ไม่ใช้รถตลาด
จำใจลุย/บรรทุกของ/เอาเรื่องทนทาน ไปเลือกรถกระบะ/PPV
-
ภาพลักษณ์กับความจำเป็นของบางอาชีพมันถูกผูกเข้าด้วยกันอย่างขาดไม่ได้ครับ
คนค้าเพชรส่งนอก เวลามีลูกค้ามาเยี่ยมดูโรงาน จะขับCR-V ไปรับ มันก็ดูไม่น่าเชื่อถือเอาได้เหมือนกัน
เคยเจอคนขายครีมตามเว็บ ครีมถูกๆดูไร้ค่า ขายกันห้าสิบบาทก็มี แต่พอเป็นดารา คนดัง คนสวยขับรถหรู ครีมพื้นๆก็ขวดละหมื่นได้
บางสังคม มีคนต้องชวนคุย ชวนเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ไปโรงแรมแดกข้าวมื้อละหมื่นสองหมื่น คุยข่มกันทุกทีที่ล้ม เรียกว่าเพื่อนทั้งๆที่วันเกิดเรามันยังจำไม่ได้ แต่เวลาขับรถหรูยี่ห้ออะไรรู้หมด รุ่นใหม่มาต้องรีบขายคันเก่าทิ้งเพราะเดี๋ยวจะตามเพื่อนไม่ทัน แต่กับเพื่อนแท้ๆ ที่รู้แม้กระทั่งไฝที่ใต้รักแร้เรา เราขับกระบะเก่าๆมันก็ยังกอดคอกินข้าวแกงข้างถนนกับเราได้ ปรับทุกข์ได้ทุกทีที่เราท้อ
รถญี่ปุ่น(บางยี่ห้อ)มันก็คล้ายเพื่อนแท้ มันอาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้า หรือแข็งแรงแบบHulk แต่ถ้าพามันไปเที่ยวไหน มันก็ไม่งี่เง่าเรื่องมาก ไม่เคยไถเงินให้เราเดือดร้อน ไม่ต้องเอาใจมันมากมันก็คบกับเราดีอยู่ จะกี่ปีมันก็ยังดีกะเราได้
รถยุโรปรุ่น(สมัยใหม่)พอเราหมดความใส่ใจ มีรุ่นใหม่มาเราก็อยากเขี่ยมันทิ้งละ งี่เง่า เอาแต่ใจ เปลอเมื่อไหร่ไถเราหมื่นสองหมื่นบ้าง เผลอหนัก ไถเป็นแสน เผลอไม่รู้ตัวโน่นสี่ห้าทุ่มมาคอยยานแม่มองหน้ามันเพราะมันไม่อยากสตาร์ทกลับบ้านดีๆ
..
-
ภาพลักษณ์กับความจำเป็นของบางอาชีพมันถูกผูกเข้าด้วยกันอย่างขาดไม่ได้ครับ
คนค้าเพชรส่งนอก เวลามีลูกค้ามาเยี่ยมดูโรงาน จะขับCR-V ไปรับ มันก็ดูไม่น่าเชื่อถือเอาได้เหมือนกัน
เคยเจอคนขายครีมตามเว็บ ครีมถูกๆดูไร้ค่า ขายกันห้าสิบบาทก็มี แต่พอเป็นดารา คนดัง คนสวยขับรถหรู ครีมพื้นๆก็ขวดละหมื่นได้
บางสังคม มีคนต้องชวนคุย ชวนเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ไปโรงแรมแดกข้าวมื้อละหมื่นสองหมื่น คุยข่มกันทุกทีที่ล้ม เรียกว่าเพื่อนทั้งๆที่วันเกิดเรามันยังจำไม่ได้ แต่เวลาขับรถหรูยี่ห้ออะไรรู้หมด รุ่นใหม่มาต้องรีบขายคันเก่าทิ้งเพราะเดี๋ยวจะตามเพื่อนไม่ทัน แต่กับเพื่อนแท้ๆ ที่รู้แม้กระทั่งไฝที่ใต้รักแร้เรา เราขับกระบะเก่าๆมันก็ยังกอดคอกินข้าวแกงข้างถนนกับเราได้ ปรับทุกข์ได้ทุกทีที่เราท้อ
รถญี่ปุ่น(บางยี่ห้อ)มันก็คล้ายเพื่อนแท้ มันอาจจะไม่ได้รวยล้นฟ้า หรือแข็งแรงแบบHulk แต่ถ้าพามันไปเที่ยวไหน มันก็ไม่งี่เง่าเรื่องมาก ไม่เคยไถเงินให้เราเดือดร้อน ไม่ต้องเอาใจมันมากมันก็คบกับเราดีอยู่ จะกี่ปีมันก็ยังดีกะเราได้
รถยุโรปรุ่น(สมัยใหม่)พอเราหมดความใส่ใจ มีรุ่นใหม่มาเราก็อยากเขี่ยมันทิ้งละ งี่เง่า เอาแต่ใจ เปลอเมื่อไหร่ไถเราหมื่นสองหมื่นบ้าง เผลอหนัก ไถเป็นแสน เผลอไม่รู้ตัวโน่นสี่ห้าทุ่มมาคอยยานแม่มองหน้ามันเพราะมันไม่อยากสตาร์ทกลับบ้านดีๆ
..
โชกโชนมากครับ เห็นภาพชัดเลย :o
-
ผมก็เคยใช้รถญี่ปุ่นนะ คหสต.มองว่า รถญี่ปุ่น ยุโรป เมกัน เกาหลี จีน ต่างก็ต่างมีข้อดีของตัวมันเอง เพียงแต่คุณอย่าเอาข้อดีที่ได้จากค่ายนั้นมาเทียบกับค่ายนี้เพราะอย่าลืมว่า รถยนต์สัญชาติเดียวกันยังให้ได้ไม่เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นคนชอบความทนทานคุณก็จะมองรถญี่ปุ่นเป็นหลักไม่ใช่ว่ามันดีเลิศแต่แค่มันถูกจริตกับคุณ เพราะคุณยกความคุ้มค่ามาเป็นเป้าหมายในการซื้อรถ แต่ถ้าถามผมหรือถามคนที่เค้าจำเป็นต้องแคร์ภาพลักษณ์และชื่นชอบในความสนุกในการขับขี่และมองความทนทานคุ้มค่าเป็นเรื่องรองลงมา คนเหล่านี้ก็จะมองว่า รถญี่ปุ่นนั้นดีทนทานนะแต่ให้เลือกมาใช้มั้ยก็อีกเรื่อง... เพราะTargetของคนเราไม่เหมือนกันครับ
รถญี่ปุ่นนั้นในความคิดผมตอบโจทย์เพียงหนึ่งเดียวเลย คือ ความทนทาน คุ้มค่า ความง่ายๆอะไรก็ได้ หรูหราบ้าง เกิดมาเพื่อใช้งานคือเสน่ห์ของมันแบบที่รถยุโรปที่ไหนๆก็เทียบยาก
ส่วนรถยุโรป หรือ รถญี่ปุ่นหายากRare itemต่างๆมันตอบโจทย์ในวงกว้าง คือ ไว้ส่งเสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือเอื้อต่อการค้าขายทำมาหากิน เปิดโอกาสทางธุรกิจ เป็นหน้าเป็นตาในสังคม(โดยเฉพาะสังคมไทย) สมรรถนะที่ชื่นชอบ เป็นรางวัลชีวิต เป็นงานศิลปะสำหรับใครบางคน เป็นของสะสมดีต่อใจจอดเฉยๆได้ขัดๆถูๆมันก็พอใจแล้ว บางครอบครัวมองรถยุโรปเพราะความปลอดภัยของตัวถัง .... อีกเยอะแยะครับ นานาจิตตัง
ผมพูดในแง่ที่ผมคิดนะครับ ถ้าไม่ถูกใจใครก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
-
มันขึ้นกับหลายปัจัยนะครับ
1. ฐานะ อาชีพ และรสนิยม
2. บริเวณที่ใช้งาน
3. นิสัยการขับรถ
คงคุยกันยากหน่อยเรื่องนี้
สุดท้ายก็เลือกรถที่เข้ากับเราได้มากที่สุด ไม่มีผิด ไม่มีถูก มีแต่เหมาะสมที่สุด และดีที่สุดสำหรับตัวเราแค่นั้นเองครับ
-
รถญี่ปุ่นที่ขับแล้วชีวิตมีศักดิ์ศรี บุคลิกดูดีมีระดับ มากกว่ารถฝรั่งก็มีเยอะนะครั่บ
-
รถญี่ปุ่นค่ายบ้านๆ อย่าง Toyota, Honda นี่ทนจริงครับ และซ่อมง่ายซ่อมถูก
แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ และต้องการสิ่งที่ดีกว่า สมรรถนะที่ดีกว่า ความปลอดภัยเหนือกว่า
ยังไงก็ต้องยุโรปครับ ไม่งั้นก็ญี่ปุ่นพรีเมียมอย่าง Lexus
สรุปง่ายๆ คือ คนที่เค้ามีเงินเยอะๆ และไม่ห่วง ไม่วิตกจริตจนเกินไป เค้าพอใจในรถยุโปรมากกว่า จนยอมจ่ายค่าซ่อมบำรุงแพงๆ
สำหรับผม รถยุโรปไม่ใช่รถจุกจิก แต่เป็นรถซ่อมบำรุงแพงมากกว่า