Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: TBJTBT ที่ มิถุนายน 30, 2016, 15:50:50
-
กำลังเล็งๆหารถคันใหม่อยู่ ซึ่ง F30 ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่มองไว้
คราวนี้มันมีอยู่ 2 รุ่น คือ 320i และ 320d
ลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็พบว่า ดีเซล แพงกว่าแสนนึง แต่ประหยัดน้ำมันกว่าพอควร
ผมใช้รถปีละ 28,000 - 30,000 โล กว่าจะคุ้มส่วนต่างก็ 8 ปีเป็นอย่างน้อย (ที่ราคาน้ำมันประมาณ 25-26 บาท)
ดังนั้นเรื่องส่วนต่างตรงนี้ก็ตัดออกไป
เรื่องความแรงผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะปกติขับไม่เกิน 120-130 ไม่ซิ่ง ไม่แข่งกับใคร
ออกแนวสายชิวๆ ไปเรื่อยๆ ออก ตจว ขับยาว 90-110 โดยประมาณ
เรื่องเสียงเครื่องก็ไม่ได้อะไรมาก ขอแค่เงียบพอประมาณก็พอใจแล้ว
ดังนั้นจึงเหลือแค่เรื่องการบำรุงรักษาระยาว ในการตัดสินใจ
ผมใช้รถคันนึงประมาณ 8-10 ปีค่อยเปลี่ยน ในระยะยาว หลังจากหมด BSI ไปแล้ว
แต่ไม่เกิน 10 ปี ดีเซล มันจุกจิกน้อยกว่ายังไงบ้างอ่ะครับ
ลองหาข้อมูลแล้ว ก็ยังไม่เจอแบบว่า ที่ว่าน้อยกว่า คืออะไรบ้าง
อยากได้รายละเอียดตรงนี้ ว่ามันจุกจิกน้อยกว่ายังไงบ้าง
ซ่อมง่าย ซ่อมถูก หรือทนกว่าอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจครับ
-
เบนซินจ่ายเยอะกว่าแน่ๆคือหัวเทียน,ชุดคอยย์จุดระเบิดซึ่งดีเซลมันไม่มีครับ สมมติถ้าดวงซวยคอยย์พังครบ4ตัวก็หลายหมื่น ส่วนหัวเทียนยังชิวๆเพราะชุดนึงแค่หลักพัน ถ้าใช้ซัก10ปียังไงได้เปลี่ยนคอยย์แน่นอน แต่จะกี่ตัวแค่นั้น ส่วนดีเซลถ้าจะมีอะไรพังก่อนคงเป็นเทอร์โบครับถ้าใช้ระยะยาวขนาดนั้น
ปล. ไม่คิดอะไหล่หลายๆอย่างที่มีเหมือนกันนะครับ
-
ถ้าดวงแตกกับปั๊มคอมม่อนเรลก็น่าจะซื้อคอล์ยจุดระเบิดได้หลายสิบตัว
หัวฉีดต้นนึงถ้าเบิกศูนย์ก็ซื้อหัวเทียนได้หลายสิบหัวเช่นกันครับ :'(
-
ถ้าดวงแตกกับปั๊มคอมม่อนเรลก็น่าจะซื้อคอล์ยจุดระเบิดได้หลายสิบตัว
หัวฉีดต้นนึงถ้าเบิกศูนย์ก็ซื้อหัวเทียนได้หลายสิบหัวเช่นกันครับ :'(
รถเบนซินฉีดตรงสมัยนี้ก็ใช้ปั้มคอมมอนเรล(แต่แรงดันต่ำกว่าดีเซล)และหัวฉีดเหมือนรถดีเซลนะครับ ส่วนนี้มันมีเหมือนกันผมเลยไม่เอามาคิด
-
เบนซิน BMW ก็มีเทอร์โบครับ ดังนั้นดีเซลจะเสี่ยงก็แค่ปั้มคอมมอนเรล
ซึ่งโอกาสพังมันยากมากๆ พวกรถกระบะดันราง เค้นกันสุดๆ ยังไม่แตกเลยครับ
-
ดูๆไปแล้วเครื่องเบนซิน(ฉีดตรง เทอร์โบ)มีอุปกรณ์เยอะกว่าดีเซลอีก แต่ขายถูกกว่าซะงั้น หรือแพงเพราะเรื่องวัสดุที่ต้องทนแรงดันสูงกว่า
-
สิ่งที่จะพังเป็นอันดับแรกๆของรถดีเซลสมัยใหม่ เรียงลำดับนะครับ
1.เกียร์ (เฉพาะเกียร์ auto นะ)
2.เทอร์โบ (แกนเทอร์ไบน์หัก ต่อมาก็ใบพัดแตก เศษสะเก็ดปลิวเข้าไปตามท่อไอดี )
3.หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แรงดันสูง
แต่จริงๆแล้ว ทุกอย่างมันไม่ได้พังง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าไม่ไปซนกับมันเกินเหตุ ไม่ต้องกังวล
สำหรับ สาย remap reflash กล่องแต่งซิ่งทั้งหลาย พรรคพวกคนใกล้ตัวผม ก็พังกันมานักต่อนักแล้ว อยากจะแรงกันอย่างเดียว แต่ทำโดยช่างที่ขาดองค์ความรู้เครื่องยนต์อย่างแท้จริง จ่ายเงินจบ ทำแล้วแรงไหม แรงจริงๆครับ แต่วิ่งได้แค่ 3 เดือนพัง คุ้มกันไหม
และต่อให้จูนไม่เกิน limit รถมันก็จะพังเร็วอยู่ดีครับ เพราะคนที่ไปจูนเครื่องมา ก็มักขับรถเร็วซะเป็นส่วนใหญ่ ขับเค้นๆหนักๆมันก็ยิ่งสึกหรอไปเรื่อยๆทีละนิดๆ ถึงเวลาก็ ตู้ม! พังแบบไล่ลำดับ 1-2-3 ตามนั้นเลย
ปล.กระทู้นี้ออกแนวบ่น อิอิ
-
ถ้ารถเดิมๆแตกยากนะคับปั้มอะ ที่เห็นแตกกันก็รถไม่เดิมทั้งนั้น ดูแลรถดีเซล ส่วนตัวผมว่ามันง่ายกว่าเบนซินนะ ที่ผมคิดว่าพังง่ายสุดก็น่าจะโบนี้แหละ ต้องระวังเรื่องน้ำมันเครื่อง เบอร์กับเกรดต้องตรงตามที่0กำหนด วิ่งทางไกลมาก็ติดเครื่องทิ้งไว้สัก1-2นาที ให้น้ำมันเครื่องมันขึ้นไประบายความร้อนที่แกนโบ
-
สิ่งที่จะพังเป็นอันดับแรกๆของรถดีเซลสมัยใหม่ เรียงลำดับนะครับ
1.เกียร์ (เฉพาะเกียร์ auto นะ)
2.เทอร์โบ (แกนเทอร์ไบน์หัก ต่อมาก็ใบพัดแตก เศษสะเก็ดปลิวเข้าไปตามท่อไอดี )
3.หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แรงดันสูง
แต่จริงๆแล้ว ทุกอย่างมันไม่ได้พังง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าไม่ไปซนกับมันเกินเหตุ ไม่ต้องกังวล
สำหรับ สาย remap reflash กล่องแต่งซิ่งทั้งหลาย พรรคพวกคนใกล้ตัวผม ก็พังกันมานักต่อนักแล้ว อยากจะแรงกันอย่างเดียว แต่ทำโดยช่างที่ขาดองค์ความรู้เครื่องยนต์อย่างแท้จริง จ่ายเงินจบ ทำแล้วแรงไหม แรงจริงๆครับ แต่วิ่งได้แค่ 3 เดือนพัง คุ้มกันไหม
และต่อให้จูนไม่เกิน limit รถมันก็จะพังเร็วอยู่ดีครับ เพราะคนที่ไปจูนเครื่องมา ก็มักขับรถเร็วซะเป็นส่วนใหญ่ ขับเค้นๆหนักๆมันก็ยิ่งสึกหรอไปเรื่อยๆทีละนิดๆ ถึงเวลาก็ ตู้ม! พังแบบไล่ลำดับ 1-2-3 ตามนั้นเลย
ปล.กระทู้นี้ออกแนวบ่น อิอิ
จูนกันแรงจัดๆแถมทุกร้านโฆษณาว่าประกันไม่ขาดอีกต่างหาก พังแล้วจะคอยดูว่ายี่ห้อไหนรับเคลม
-
ขับเดิมๆ 7 ปี / 150,000 km +- ผมให้ดีเซลบำรุงรักษาต่ำกว่า
เกินนั้น ผมมองว่ายกเครื่องเบนซินจากหัวตัดสภาพ 80% วางใช้ได้ยาวถึง 10 ปี อย่างสบายใจ ( ญี่ปุ่น ไม่นิยมดีเซล ) ที่สำคัญ จะได้เกียร์ใหม่ และอื่นๆ ไปด้วย
ตอนนี้ 320d iconic ออกมา 2.299 ล. และ 320i base 2.399 ล. ก็แทบหาไม่ได้แล้ว ทางเลือก ตอนนี้ ก็มีแค่ 320i luxury 2.699 ล. หักส่วนลด 3 แสน ก็เท่ากับ 320i base ( ถึงแม้จะหักส่วนลด 3 แสนเช่นกัน แต่คาดว่าน่าจะไม่เหลือแล้ว )
สรุป 320i luxury 2.399 ( หลัง หักส่วนลด ) น่าจะตอบโจทย์ใช้ยาวมากกว่า 320d iconic 2.2999
-
ดีเซล ห่วงเรื่องปั้มคอมมอนเรล+หัวฉีด น้ำมันดีเซลที่เติมครับ
-
ส่วนตัวผมเอา 320i sport
ชอบส่วนตัวเลย ถูกใจใช้ยาวๆครับ
เลือกที่ชอบเลยครับ ราคาขนาดนี้ถ้ามันจะพังราคาซ่อมคงต่างกันไม่มากหรอกครับ
-
รถดีเซลขายต่อง่าย ได้ราคาดีกว่า ส่วนเรื่องความแรงนั้น เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าผมขับรถไม่เร็ว ไม่จำเป็นต้องซื้อรถแรงเยอะๆก็ได้ แต่ความจริงแล้ว รถที่แรงเยอะๆไม่ได้มีไว้ขับด้วยความเร็วสูงๆเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่รถทุกคันต้องใช้ก็คือการเร่งแซง ถ้าใช้เวลายิ่งน้อยก็ยิ่งดี โดยเฉพาะเวลาที่เจอถนนสองเลน แล่นสวนทางกันได้ ซึ่งรถที่แรงมากกว่าจะใช้เวลาน้อยกว่า
-
ชอบฟิวดีเซลมากกว่าครับ
เรื่ิองอื่นๆหักลบกันแล้วไม่น่าจะหนีกันมากมั้งครับ
-
ผมใช้ทั้งดีเซลและเบนซินตระกูล bmw รถอายุที่ 5 ปีกว่าๆ เท่าๆกัน คันเบนซินวิ่ง 110,xxx km คัน diesel วิ่ง 138,xxx km ตลอดเวลาที่ใช้ เบนซินปั๊มแรงดันสูงพังไปแล้ว 1 รอบ 3 หมื่นกว่าบาท หัวเทียน 2 ชุด กะโหลกวาล์วน้ำกลับเยอรมัน 1 ชุด ส่วนดีเซลยังไม่มีอะไรเสียเลยเปลี่ยนแต่อะไหล่สิ้นเปลืองตามระยะทางอย่างเดียวครับ
-
เทียบเครื่อง320 N20กับ B47 คงจะตอบยากครับเพราะอายุเครื่องยังน้อย
แต่ให้เอาจากประสพการณ์ รถเบนซิน N52 N42 N14 N16 ไม่มีตัวไหนเกินแสนห้าได้โดยไม่ต้องทำอะไร เทียบกับดีเซลM47 ที่วิ่งไปสามแสนโลมีแค่โอริงกับซีลไม่กี่ชิ้นและท่อต่อจากเทอร์โบไปออนเตอร์แค่นั้น
ที่ผมจะกังวลก็คงเป็นพวก TwinTurbo ที่ต้องหมั่นดูและเป็นพิเศษ น้ำมันเครื่องต้องใหม่อยู่เสมอ แย่าให้มันกัดซีลผ่านแกนมาข้างไดข้างนึงจนเกิดอาการเสียสมดุลเพราะตรงนี้แหละที่หาช่างเฉพาะทางเท่านั้น หรือยกเปลี่ยนทั้งลูก
นอกนั้นก็ยังดูดีมีซ่อมประปรายกันตามศูนย์ ไม่น่าหนักใจ ซ่อมจบก็มีขายทิ้งก็พอเจอ
-
เบนซินจุกจิกกว่าเยอะครับ ท่อทางโอริงประเก็นจุดรั่วเยอะกว่ามากแค่ท่อน้ำก็ล่อไปเป็นสิบเส้นแล้ว ยังมีท่อน้ำมัน ท่ออากาศหายใจอีก ไล่เปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะมันจะทะยอยรั่วหรือรั่วซ้ำตามมาแม้ในจุดที่เราเคยเปลี่ยนไปก่อนหน้าแล้ว ต้องเปลี่ยนยกชุดสถานเดียวไม่งั้นจุกจิกแน่นอน
พวกคอยด์จุดระเบิดหัวเทียนไม่เท่าไรนะผมว่าตัวละพันกว่าบาทเปลี่ยนทีใช้ยาวจนลืม ห่วงแต่ระบบของเหลวนี่หละจุดรั่วเยอะเหลือเกิน
ดีเซลปัญหาน้อยกว่าแต่ถ้าซ่อมขึ้นมาหน้ามืดกว่าเบนซินอยู่เหมือนกันเช่น ของน้องผมโบแลค หัวฉีดพังโดนไปแสนกว่า
ถ้าขับค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับเห็นในคลับเจ็งเพราะซนหรือเท้าหนักมากกว่าเช่น ออกตัวล้อฟรีแบบนี้เกียร์ไปก่อนแน่นอน เกียร์ zf รุ่นใหม่นี่ไม่ทนแรงบิดสูงๆเหมือน gm รุ่นก่อนๆนะครับ
-
ถ้าดวงแตกกับปั๊มคอมม่อนเรลก็น่าจะซื้อคอล์ยจุดระเบิดได้หลายสิบตัว
หัวฉีดต้นนึงถ้าเบิกศูนย์ก็ซื้อหัวเทียนได้หลายสิบหัวเช่นกันครับ :'(
รถเบนซินฉีดตรงสมัยนี้ก็ใช้ปั้มคอมมอนเรล(แต่แรงดันต่ำกว่าดีเซล)และหัวฉีดเหมือนรถดีเซลนะครับ ส่วนนี้มันมีเหมือนกันผมเลยไม่เอามาคิด
เอ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่า ตัว 320i เป็นฉีดตรงแล้วหรือไม่ และหัวฉีดสำหรับเบนซินฉีดตรง เป็นเปียโซ่แบบดีเซลยุคนี้หรือปล่าว
แต่โดยทั่วๆไปที่ลองสังเกตดีเซลเดี๋ยวนี้มันดูแลไม่ถูกเลยครับ :'(
-
ดีเซลจุกจิกน้อยกว่าแต่พังทีรู้เรื่อง
-
ดีเซลจุกจิกน้อยกว่าแต่พังทีรู้เรื่อง
ตอบได้กระชับดีมากเลยครับ ชัดเจนจริงๆ
-
ขอบคุณทุกๆความเห็นเลยครับ
เป็นประโยชน์กับการตัดสินใจได้มากเลย
ไล่อ่านกระทู้ไปเรื่อยๆ เพิ่งทราบว่ามี 320d iconic
ราคานี้ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจสำหรับเครื่องดีเซลขึ้นไปอีก :)
-
โดยส่วนตัว ผมมองว่า 320i ตัวดีเซล กับ เบนซิน ไม่ได้มีอะไรได้เปรียบเสียเปรียบกันพิเศษในจุดที่เสี่ยงจะพังครับ
เทอร์โบมีเหมือนกัน หัวฉีดตรงแรงดันสูงเหมือนกัน เบนซินอาจจะแรงดันต่ำกว่านิด แต่เทอร์โบเบนซินเจอ EGT สูงกว่า
ถึงความซวย ก็พร้อมจะเจอได้คนละแบบอย่าง
ไล่ไปเรื่อย อาจจะพบสัจจะธรรมแบบผมครับ เลือกแบบที่ชอบดีกว่า
โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบลักษณะแรงบิดของเครื่องดีเซล ที่มาเร็ว มาสั้น เวลาเหยียบแล้วรู้สึกหมดเร็ว
และเบนซินเทอร์โบของ 320i รอบแรงบิดก็มาเร็วมากๆครับ แรงบิดสูงสุดอาจจะไม่เท่า แค่ยืนระยะได้ยาวกว่า
ปล. 320i เป็นฉีดตรงเทอร์โบ ตั้งแต่ก่อน LCI แล้วครับ