Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: YenChar ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2013, 12:17:21
-
ในเมื่อคนไทยเรา"ส่วนใหญ่" ยังคิด ยังยึดติด กับภาพลักษณ์
และตัดสินคนจากวัตถุที่ใช้
อยากทราบความเห็นจากทุกท่านครับว่า...
จากปัจจุบันที่ขับรถคันน้อยๆ จะอัพเกรดตัวเองขึ้นมาขับรถใหญ่ ภาพลักษณ์ดีๆบ้าง
มันมีค่าใช้จ่ายอะไรที่มากกว่ารถคันเล็กๆบ้าง? มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญมั้ยครับ
จาก
วีออส >> แคมรี่ (อาจจะรุ่น 2.0)
ซิตี้ >> แอคคอร์ด
มาร์ช >> เทียน่า
.................
ส่วนตัวผมยังไม่คิดจะทำแบบนี้ เพราะอายุแค่ย่าง 25 และยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่
แต่อยากทราบว่าเรื่องของ "ค่าใช้จ่าย" ที่เกิดขึ้น
ใครพอจะแชร์ประสบการณ์เหล่านี้ได้บ้างครับ??
ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เพื่อแลกมากับภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น มีส่วนต่างเท่าไหร่ ที่ไม่ใช่ค่าตัวรถ
ค่าบำรุงรักษา? อะไหล่สิ้นเปลือง? ยาง? แบต? ระบบไฟฟ้า?
ีรบกวนขอผู้รู้ ช่วยแชร์ประสบการณ์ทีนะครับ
-
ผมไม่สนใจครับ รถสะอาด พร้อมเดินทาง ใช้รถที่ไม่ทำให่เดือดร้อนด้านการเงิน
ใครจะมองอย่างไร? ไม่สนใจ ตอนเดือดร้อน เงินขาดมือ ลูกค้า หรือ ผู้ที่เราติดต่อเอาเงินมาช่วยเราหรือเปล่าครับ?
แต่ถ้ามีฐานะสมควรซื้อ ก็ซื้อได้เต็มที่ครับ จะยี่ห้อไหนในโลกถ้าไม่เดือดร้อน
เห็นบางคนหน้าใหญ่ สงสารครับ เดินออกจากบ้านไม่ได้ หน้าใหญ่ติดประตู กลับที่พักมา นั่งกินบะหมี่กึ่งฯ ด้วยความจำเป็น
-
ผมใช้ B, D segment, กระบะ, พร้อมๆกัน ค่าใช้จ่ายผมว่าก็ไม่แตกต่างนะ จะมีเเต่ค่าเชื้อเพลิงละ ที่ B segment จัดlpgไป ประหยัด ขับไปทำงานคุ้ม
มีคนถามผมว่า บ้าหรือป่าว เอาสามคันไปซื้อเบนซ์ ซื้อบีเอ็มดีกว่าป่าว ได้หน้าด้วย แต่สำหรับผมคิดว่า ใช้รถถูกประเภทมันก็ขับสบายดี city car ขับในเมือง d segment ขับออก ตจว กระบะขับเข้าสวนเข้าป่า ไปถนนสายเเย่ๆ
เรื่องความปลอดภัย การเดินทางรถเล็กผมว่ามันอันตรายนะ ขับทางไกลเครียด
ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ผมว่า ไม่จำเป็นต้องเเคร์ใครนะ ไร้สาระครับ
-
นานาจิตตังครับ อยู่ที่นิสัยและ Lifestyle เป็นคนชอบภาพลักษณ์แบบไหน
ถ้าเราเปนแบบไหน ต้องการเปนแบบไหนเราก้อทำได้ครับ แต่ทำแล้วต้องรับผิดชอบกับฟีดแบค
อยากได้หน้าก็ต้องรับสภาพกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ;D :D
ตัวผม เวลาติดต่อลูกค้าก็ไปกระบะสบายๆ ไปเท่ว พักผ่อน ก็ CLK, ตัวของเราค้าบ อย่าคิดเยอะเกิ้น
-
ผมเคยใช้ jazz แล้วข้ามมา Teana
บอกตามตรงค่าใช้จ่ายทั่วไปเพิ่มไม่มากแต่ที่มากคือค่าน้ำมันมากกว่า
แต่บอกตามตรงพอใช้ d-segment ให้ผมกลับไปใช้ b-segment ผมไม่เอาแน่ๆ
ไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์ แต่มันคือความสะดวก สบาย ขับทางไกลได้สบายไม่ต้องพักบ่อย เดินทางไกลใว้ใจได้ในย่านความเร็วสูง
และอีกหลายอย่างๆครับ ความแตกต่างสำหรับผมมันไม่ใช่ลักษณ์ แต่มันคือความปลอดภัย + สบายที่เพิ่มขึ้น
-
ลืมบอกว่า ค่าใช้จ่าย ถ้าเป็นยี่ห้อตลาด ต่างจากรถเล็กไม่มากครับ
-
ได้รับความสบายมากขึ้น ภาพลักษณ์ดีขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น
แต่ จ่ายค่าน้ำมันมากขึ้น ค่าบำรุงมากขึ้น ราคาตกมากขึ้น จ่ายเงินตอนซื้อมากขึ้น
ถ้างบไม่ใช่ปัญหา ก็ ดีกว่าครับ
-
ผมขับแคมรี่ ตั้งแต่อายุ 22 อ่ะครับ
มันไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณอายุเท่าไรหรอกครับ ลูกเศรษฐีอายุ 18 ขับลัมโบกินี่ ก็หลายคนครับ
เพื่อนผมคนนึงในคณะ สมัยเรียน มหาวิทยาลัย พอเข้าปี1 พ่อซื่อ SLK ให้ขับเลยครับ
ผมมองว่าประเด็นมันขึ้นอยู่กับ ความพร้อมของรายได้มากกว่าครับ
ส่วนตัวผมถ้าผมสามารถซื้อ ลัมโบกินี่ได้โดยชีวิตไม่เดือดร้อน ผมก็จะซื้อครับ
ค่าใช้จ่ายก็ไม่ต่างกันมากหรอกครับ จะมีแค่กินน้ำมันมากกว่าประมาณ 1-2พันบาทต่อเดือน
ส่วนค่าบำรุงรักษา ผมว่ามันก็พอๆกันแหละครับ อะไหล่ต่างกันก็ไม่เกินหลักร้อย รถญี่ปุ่นอะไหล่ไม่แพงอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ใช่พรีอุส
เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เช็คระยะ ราคาก็ต่างกันแค่ไม่กี่ร้อย
ไอ้ที่ต่างจริงๆก็คือ ราคาตอนซื้อนี่แหละครับ แล้วก็ค่าผ่อนต่อเดือนที่ต่างกันเยอะอยู่ ถ้าตรงนี้คุณไหว เรื่องค่าบำรุงรักษาไม่ใช่ประเด็นต้องนำมาคิดเลยครับ
แล้วถามว่ามันคุ้มไหมกับภาพลักษณ์ทีได้ ???
คือ คุณขับแคมรี่ มันไม่ได้เหนือกว่าวีออสแค่ภาพลักษณ์นะครับ
สมรรถนะก็ดีกว่า ,ปลอดภัยกว่า ,นั่งสบายกว่าเยอะ ,ขับดีกว่าเยอะ
ผมว่ามันก็คุ้มครับ
-
ผมสวนทางนะ
เมื่อก่อนขับ d-segment ตอนนี้กำลังรอรถ b-segment ที่จองไว้ประหยัดดี จอดง่าย ขับง่าย แต่ต้องขับสนุกนะครับ
รายได้เพิ่มขึ้นเยอะนะครับ แต่อยากขับรถเล็ก แต่งเต็มหน่อยนะครับ
จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่ที่การใช้ง่าย และสไตล์ของแต่ละคนนะครับ
-
อายุไม่สำคัญ เท่ากับ ความรับผิดชอบในการขับรถครับ อีกอย่าง ผู้ใหญ่เชื่อว่า รถใหญ่ ดูมั่นคงแข็งแรง ระบบความปลอดภัยสูง ดีกว่ารถเล็กๆ ดูบอบบางไม่แข็งแรง
ปล ผม อายุ 26 ขับ แคปติว่า ครับ
-
ภาพลักษณ์? ก็แค่รถญี่ปุ่น ไม่มีไครมองว่าเท่หรอกคับ
อยากให้มองที่ความนิ่งของรถ กับ ความสบายมากกว่า
D ดีกว่า B C เยอะมากนะ
แต่ก็อีกอะ บางคนบอกจอดยาก 555555 108เนอะ
-
เจ้าของกระทู้ สนใจรถตลาด เป็นคนขี้เบื่อไหมครับ ซื้อแพงกว่าB-seg ราคาต่อปีตกกว่าB-segนะครับ
D-segนอกจากค่าน้ำมันแล้ว ค่ายาง ค่าเบี้ยประกัน อะไหล่ส่วนใหญ่แพงกว่า คล่องตัวในเมืองน้อยกว่า
ไปซอยแคบๆขับยากกว่า จอดยากกว่า
อยากให้ดูเรื่องการใช้งานนะครับ ถ้าตรงความต้องการ คุ้มก็จัดไป
แต่ถ้าขับน้อยวิ่งในเมืองนั่ง1-2คนเป็นส่วนใหญ่ จ่ายแพงกว่าทำไมครับ
ภาพลักษณ์ ผมเป็นคนนึงที่คิดว่าสมัยนี้รุ่นรถยนต์มันวัดกันไม่ได้แล้วครับ
เพื่อนผมขับjazzไปทำธุระ ทำงาน แต่มันมีZ4กับ mini Sอยู่บ้านด้วยและไม่ค่อยขับเพราะหวง ซื้อเก็บ
เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดครับ ;)
-
ถ้าคิดว่าในอนาคตไม่มีปัญหาเรื่อง
ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นต่อกิโลเมตร
ก็เปลี่ยนได้เลยครับ
-
ผมใช้ B, D segment, กระบะ, พร้อมๆกัน ค่าใช้จ่ายผมว่าก็ไม่แตกต่างนะ จะมีเเต่ค่าเชื้อเพลิงละ ที่ B segment จัดlpgไป ประหยัด ขับไปทำงานคุ้ม
มีคนถามผมว่า บ้าหรือป่าว เอาสามคันไปซื้อเบนซ์ ซื้อบีเอ็มดีกว่าป่าว ได้หน้าด้วย แต่สำหรับผมคิดว่า ใช้รถถูกประเภทมันก็ขับสบายดี city car ขับในเมือง d segment ขับออก ตจว กระบะขับเข้าสวนเข้าป่า ไปถนนสายเเย่ๆ
เรื่องความปลอดภัย การเดินทางรถเล็กผมว่ามันอันตรายนะ ขับทางไกลเครียด
ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ผมว่า ไม่จำเป็นต้องเเคร์ใครนะ ไร้สาระครับ
แนวคิดเดียวกับผมครับ ใช้รถให้ถูกประเภท
-
ผมเริ่มใช้รถตั้งแต่ nissan sunny และเปลี่ยมาเร่ือย ตามเวลา ตอนนี้ใช้ w 212 เปรียบเทียบรถใหญ่กับรถเล็ก ก็คือ กว้างกว่า ขับแล้วมั่นใจกว่า นั่งนิ่มสบายกว่า (อันนี้ขึ้นกับรุ่นด้วยนะครับ) ส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ค่าตัวรถ ค่าเช้ือเพลิง ค่าประกัน ส่วนค่าอะไหล่ อาจต่างกันมากน้อยขึ้นกับยี่ห้อ
ถามเรื่องภาพลักษณ์ ผมไม่สนใจครับ ส่วนตัวใช้ เบนซ์เพราะ สบายกว่า ขับมั่นใจ ไม่เครียด รับกับค่าใช้จ่ายได้ แต่ไม่เคยจะต้องอวดใคร ไม่ต้องโชว์
ใครครับ เพราะตอนไปทำงานมีอีกคัน ของบริษัท เป็นประจำตำแหน่งแค่ c segment แต่มีที่จอดส่วนตัว ยามยกมือไหว้ มีคนล้างรถให้ มีคนกั้นถนนให้เวลาจะออก มีคนเปิดประตูรอส่ง รอถือกระเป๋าให้ เพราะเขารู้ว่าเป็นรถประจำตำแหน่ง วันไหนเอาเบนซ์ไป ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครบริการ ไปหาที่จอดเอาเอง สรุปขับ c segment หรูกว่า มีคนescort แต่ ขับแล้วเวียนหัว จะเป็นไมเกรน ขับเบนซ์ไม่มีคนescort แต่นิ่มสบายกว่า ดังนั้นภาพลักษณ์ สำหรับผม ไม่ได้อยู่ที่รถ แต่อยู่ที่ตัวเองครับ ว่าเราเป็นใคร วางตัวอย่างไร
-
ทุกครั้งที่เห็นช่องจอดรถแคบๆ ผมนึกถึง eco car ทุกครั้งเลย
-
แล้วแต่คน ส่วนผมพอได้สวิฟมา แอคคอดอีกคันก็ไม่เคยไปแลมันเลย ไม่ใช่มันเก่านะใหม่เอี่ยมๆนี่หล่ะ
-
ผมขยับเล็กลงฮะ :D
-
ผมก็เปลี่ยนจากวีออสเป็นแคมรี่ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
1 ค่าเชื้อเพลิงแพงขึ้นเดือนละ 4-5 พันบาท
2 ค่าประกันภัย เมื่อก่อน ปีละเก้าพัน ตอนนี้สองหมื่นกว่าๆ
3 ค่าล้างรถ และการขัดเคลือบ แต่ก่อนทำเองพอไหว ตอนนี้มันคันใหญ่กว่าเดิม ทำเองไม่ไหวครับ
4. ค่าจอดรถครับ แต่ก่อนหาที่จอดง่าย เข้าเยาราชก็หาที่จอดได้ ตอนนี้เข้าเยาวราชเมื่อไหร่ หาที่จอดจ่ายตังสถานเดียวครับ
-
ถ้ามีเงินก็จัดเลยครับ แต่ถ้าจะกัดฟันมาเพื่อภูมิฐาน ไม่ไหวครับ เดี๋ยวนี้เศรษฐกิจไม่ดี เอาที่คุ้มค่าที่สุดดีกว่าครับ
-
ส่วนตัวไม่ได้สนภาพลักษณ์ แต่เป็นความชอบมากกว่า และแน่นอน ผมว่า ทุกคนย่อมฝันหรืออยากได้รถยุโรป รถสปอร์ต
แต่บางครั้ง มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับยี่ห้อ หรือขนาดรถ แต่อยู่ที่ใจรักมากกว่า
ผมเริ่มจาก mitsu champ --> honda civic 3 คัน ขยับรุ่นมาเรื่อยๆ --> accord G7 --> accord G8 อันนี้ของตัวเอง
ของแฟน (ช่วยกันผ่อน) civic ตาโต --> civic fd --> CRV G3 --> BMW f30 (แย่งกันใช้)
Honda เป็นรถในดวงใจ เพราะชอบเซอวิส ผมไม่เคยสนใจญี่ปุ่นยี่ห้ออื่นเลย แต่ที่ขยับจาก civic เป็น accord เพราะความสบายในการขับ พร้อมกับนั่งได้เยอะหน่อย รถครอบครัว สบายๆ ส่วนแฟน จาก civic เป็น crv เพราะมีลูก พอลูกเริ่มโต ของก็น้อยลง ผมก็อยากให้เขาได้ขับรถดีๆ ไปส่งลูก ให้ลูกได้นั่งรถดีๆ ปลอดภัย ไม่ใช่ crv ไม่ปลอดภัย แต่ก็ต้องยอมรับ ยุโรป ผมมั่นใจกว่าญี่ปุ่น และ BMW เป็นรถในฝันมานาน พอจ่ายไหว ก็ซื้อ ซื้อผ่อน เพราะดอกเบี้ยรถ เป็นการยืมเงินที่ถูกที่สุดแล้ว เอาเงินก้อนไปทำอย่างอื่นครับ ซึ่งแน่นอน BMW ค่าเซอร์วิส แพงกว่า CRV แน่ๆ และคงมากด้วย แต่ก็มี BSI ซึ่งคงได้ใช่ประมาณ 4 ปี ก็คุ้มแล้วครับ
อยู่ที่ความชอบแหละ อย่าไปยึดติดความคิดคนอื่นเลยครับ เขาไม่ได้ช่วยเราผ่อน
ฝันอยากได้รุ่นไหน จ่ายไหว จ่ายเลยครับ
-
b ไป d มันไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์อย่างเดียวครับ ของบางอย่างมันอยู่ที่ความเหมาะสม และความพอใจ ซึ่งอาจจะตีราคาเป็นจำนวนเงินไม่ได้ ลองถามตัวเองดูครับว่าเหมาะสำหรับ d แล้วหรือเปล่า ...
-
ผมเป็นคนระดับกลางๆ เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง
เปลี่ยนจาก B (city) ยืมรถบ้านใช้
ไปเป็น SUV (CRV) ยืมรถพี่สาวใช้
แล้วตอนนี้มา C (Cruze) ดาวน์เอง ผ่อนเอง
ค่าใช้จ่ายที่เยอะขึ้นเดือนละไม่กี่พันจากการเติมน้ำมัน (เบนซิน) ถือว่าเยอะเหมือนกัน
คร่าวๆ ก็ประมาณ 1500-2000 พันบาท โดยคิดการวิ่งในเมือง ประมาณวันละ 50 กม.
เมื่อสิ้นปี ค่าประกันชั้น 1 ต่างกันระดับละประมาณ 10,000 บาท
B ประมาณ 14,000 บาท
SUV ประมาณ 32,000 บาท
C ประมาณ 24,000 บาท
เมื่อครบ 3 ปี ค่ายาง
B ขอบ 13 Bridgstone 1700 x 4 = 6,800 บาท
SUV ขอบ 17 9,500 x 4 = 38,000 บาท
C ขอบ 16 5,600 x 4 = 22,000 บาท
ค่าน้ำมันเครื่องต่างกันประมาณ 200 บาทต่อครั้งที่เปลี่ยนถ่าย เป็นค่าเมนทีแนนซ์
(เกรดเซมิ ถ่ายทุก 6 เดือน)
B ประมาณ 400 บาท
C ประมาณ 600 บาท
D ประมาณ 800 บาท
รวมแล้วใน 3 ปี จะมีค่าใช้จ่ายในการเมนทีแนนซ์+ประกัน ดังนี้
B = 6,800 (ยาง) + 400x2x3 (น้ำมันเครื่อง) + 14,000x3 (ประกัน) = 51,200 (3 ปี) (ไม่รวมค่าน้ำมัน)
C = 22,000 (ยาง) + 600x2x3 (น้ำมันเครื่อง) + 24,000x3 (ประกัน) = 97,600 (3 ปี) (ไม่รวมค่าน้ำมันที่จ่ายแพงกว่า B seg)
SUV = 38,000 (ยาง) + 800x2x3 (น้ำมันเครื่อง) + 32,000x3 (ประกัน) = 138,800 (3 ปี) (ไม่รวมค่าน้ำมันที่จ่ายแพงกว่า C seg)
สรุปคือต่างกันระดับละประมาณ 40,000 บาท (3 ปี)
คิดเป็นปีก็ต่างกันประมาณปีละ 13,000 บาท (1 ปี)
คิดเป็นเดือนก็ต่างกันเดือนละ 1,000 บาท (1 เดือน)
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณที่ต้องจ่ายต่อเดือนเมื่อรวมกับค่าน้ำมัน
B จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 2,500 (น้ำมัน) + 1,500 (ประกัน+เมนทีแนนซ์) = 4,000 บาทต่อเดือน
C จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 4,000 (น้ำมัน) + 2,800 (ประกัน+เมนทีแนนซ์) = 6,800 บาทต่อเดือน
SUV จะมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 5,000 (น้ำมัน) + 3,900 (ประกัน+เมนทีแนนซ์) = 8,900 บาทต่อเดือน
แพงหรือไม่ ??
ตังค์ในกระเป๋าของท่านเองจะตอบได้ครับ
ค่าใช้จ่ายเยอะขึ้นได้อะไรกลับมา คุ้มไม่คุ้มกดเครื่องคิดเลขและตอบคำถามในใจเอง
1. ความสะดวกสบายในการขับทางไกล
2. ความนิ่ง ไม่เหนื่อยล้า
3. ภาพลักษณ์
4. สัมภาระและเสียงบ่นของภรรยา ลูก พ่อตา แม่ยาย
-
ไม่เเปลกครับ คนเราพอขับ B-seg จนอยู่ตัว หรือการเงินดีขึ้น ย่อมต้องอยากได้รถใหญ่ขึ้นป็นธรรมดา
สำหรับผม ภาพลักษณมันก็เเค่ส่วนนึงครับ เเต่สิ่งที่ต้องการจริงๆ คือความมั่นใจเรื่องความปลอดถัย ยังไง D-seg น่าจะมี
มากกว่า เเล้วเรื่องความสะดวกสบาย ผมไม่ชอบรถที่เล็กๆเเลดูคับเเคบมากๆ จะไปไหนต้องเบียดเสียดกัน รถใหญ่นั่งได้
สบายขึ้นมันช่วยผ่อนคลายได้มากครับ
-
ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่เงินในกระเป๋าที่จะจ่าย ซื้อรถตามกำลังทรัพย์จะดีกว่าครับ
กัดฟัน อดออมเพื่อรถ ไม่คุ้มหรอกครับ
สำหรับผมเงินที่ซื้อรถเก๋งด้วยเงินส่วนตัวคือเงินทิ้งฟรีครับมูลค่าหาย หาเงินเข้ากระเป๋าสู้รถกระบะตอนเดียวราคา 500k ไม่ได้
ยกเว้นจะซื้อรถแบบ Fleet ซึ่งเป็นการซื้อโดยใช้ชื่อบริษัท เป็นการเช่าซื้อ ซึ่งนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้
แต่ถ้าซื้อแล้ว ไม่กระทบกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็ซื้อไปก็ได้ครับ
-
อย่าไปยึดติดภาพลักษณ์เลยครับ มันจะเหนื่อย เอาความชอบ เท่าที่กำลังเราไหวดีที่สุด อย่างของผมนี่ตามการใช้งานเลย
ออกจากงานประจำ ปี48 ออกดีแม็กแคป เอาไว้ขนของวิ่งงาน
-งานดีขึ้น 4x4 สี่ประตู ยังขนของอยู่ แต่สบายขึ้น ทุกวันยังใช้เวลาไปหาลูกค้า
-มีลูกคนแรก แคปติว่า ไปเที่ยวมาทั่ว
-เมื่อต้องเลือกระหว่างทำประกันกะออกรถ เพื่อหักค่าใช้จ่าย อีเก้าสิบ
-กะลังจะมีลูกอีกคน รถที่ใหญ่ขึ้น กะลังตัดสินใจ (เคยตั้งกระทู้ถามไปไม่กี่วัน)
รถทุกคันที่เคยใช้ก็ยังอยู่แต่เปลี่ยนหน้าที่ไป ยังมีรถในฝันอีกหลายคัน แต่อยู่ที่ ภรรยาจะยอมหรือป่าว
เอาที่เราชอบครับ ที่สำคัญที่เราจ่ายไหว ไม่ทุนรนทุรายมาก ฝันให้ไกล แล้วไปให้ไกลกว่าฝันครับ ผมออกดีแม็กแคป จัดเต็ม airbag abs รักษามาก เพราะคิดว่าคงเป็นคันเดียวในชีวิตที่จะมีได้ ปัจจุบันกลายเป็นรถส่งของ เละเทะเลย
ป.ล. ผมอายุ 34 ทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ รถผ่อนทุกคัน ไม่เคยซื้อสด 555 ยังเปรี้ยวได้อีกหลายปี ;D
-
ตอบแบบว่าเพิ่งเปลี่ยนมาสดๆร้อนๆเลย
จาก new city sv เป็น camry hv cd
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง (การขับขี่)
1. นิ่มสบายตรูดมากกกก(เด้งหน่อยๆตามสไตล์พี่โต)
2. แรงกว่าเห็นๆแบบไม่ต้องอะไรมาก แฟนผมที่ว่าไม่ค่อยรู้เรื่องรถ ยังบอกแรงจัง
3. ขับทางไกลมันแบบว่าชิลๆเลย ไปกลับระยองนี่สบายๆ น้ำมันหมดไป 2 ขีด
4. การเก็บเสียงนี่ก็หน้ามือหลังหลังมือ ไม่ถึงขนาดหน้ามือหลังเท้า แต่เงียบแบบลูกหลับได้ตลอดทาง
ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ
1. เปิดประตูลงรถแหมมมมม มันได้ฟิลต่างไปจริงๆ ใครจะว่าไม่สนภาพลักษณ์ แต่ มันเป็นไปเองจริงๆ(หน้าใหญ่ขึ้น)
- ลงรถแตะล็อครถ ขึ้นรถเปิดได้เลย ไม่ต้่องล้วงๆควักๆรีโมทแล้ว
- ขึ้นรถเบาะปรับตำแหน่งให้เองตามที่เราตั้งไว้กับรีโมทที่พกติดตัว
2. รู้สึกเลยว่าเราแต่งตัวดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว แบบว่าอยากให้มันเข้ากะรถน่ะ
3. เวลาเติมน้ำมัน/ครั้ง(ส่วนใหญ่เติมเต็มถังตลอด) จะเหงื่อแตกหน้าซีดพอควร เพราะเต็มถังเดิม 1000-1200 ตัวใหม่นี่ 2000-2200
แต่ คันเดิมเดือนนึงเติม 2 -3 ถัง คันใหม่น่าจะถังละเดือน
ถ้าถามว่าคุ้มไม๊ที่อัพขึ้น
- ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน คุ้มโคตรๆ เรื่องเดียวจริงๆ
ถึงจะเป็นหนี้ แต่แฮปปี้โคตรๆเลย
-
ขับ D ให้ผู้ใหญ่ท่านนั้งครับ ชอบที่สมถณะดีขึ้นแบบไม่ต้องสังเกต แต่ผมว่าคันมันใหญ่เกินไป
ไว้มีเงินเองคงไป Premium Compact แน่ๆ แต่ถ้าตอนนั้นมีลูกมีเมียแล้วอาจมีเปลี่ยนแผน
-
ถ้าไม่ทำธุรกิจ ต้องการภาพลักษณ์
ผมไม่รู้จะซื้อเจ้า D-seg หรือ Premium Compact ไปทำไม
สำหรับผม Sylphy ก็พแล้ว ไม่ก็ Civic HB ครับ ;)
-
ผมมีลูค้าอยู่ 1 ท่าน ออกรถเป็นหนี้ 3 ล้านบาท เหตุผลคือ ภรรยาเค๊าฝันไว้ว่าเกิดมาต้องเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต....
-
ผมว่าอยู่ที่ลักษณะการใช้งานด้วยครับ โดยส่วนตัวเป็นคนเท้าหนักเบา แล้วแต่อารมณ์ และสภาพจราจร
ขับ Honda City SV MC ในเมือง ทำได้ดีสุด 8 km/l
ขับ Honda City SV MC ต่างจังหวัด ทำได้ดีสุด 23 km/l
**ลมยาง หน้า/หลัง 35/33 ขับคนเดียว ไม่บ้าหอบของ
ค่าใช้จ่ายน้ำมัน ต่อเดือน เลยแตกต่างกัน
D-segment ผมว่าการจอดไม่ยากนะ ส่วนใหญ่หน้าจะมี กล้องหลัง/เซนเซอร์ มาให้ ส่วนที่จอด รถไซส์ไหนๆ ก็หายากพอกันแระ ถ้ามันไม่เพียงพอ
ส่วนตัวผม ถึงแม้จะขับ City แต่ก็ขับคันอื่นร่วมด้วย T6, Mighty X, Dragon Eye, Ranger 2007 ทุกคัน ไซส์ ก็ใกล้เคียงกับ D-segment เลยทำให้การขับรถอื่นๆกลายเป็นเรื่องง่ายหมด โดยเฉพาะเวลาจอด
เวลาผมกลับ ตจว ขับ City เหนื่อยเอาเรื่อง
แต่ถ้าขับ T6 ดีขึ้นกว่า City แถมระยะเวลาสั้นลงด้วย กรุงเทพ-ลำปาง 4-4.3 ชม. ทำได้ ไม่ต้องง้อรถเยอรมัน แถมเหนื่อยน้อยกว่า City แต่ก็คงไม่สบายเท่า D-segment
-
สำหรับผมภาพลักษณ์ผมเฉยๆนะ
แต่ขับ D อยู่จะเปลี่ยนรถไป B นี่คิดหนัก
ไม่ใช่ภาพลักษณ์ แต่เป็นความสะดวกสบายครับ
ถ้ามีได้อยากมีรถทุกประเภทครับ เพราะขับได้หมด ไม่ได้สนใจอะไร
อย่างขับในเมือง ชอบ eco car มากๆอะ ประหยัดดี ยอมแคบนิดหน่อย แต่สบายกระเป๋า
-
.
.
.
ผมไม่เคยอยากขับ D เลย เพราะมันทั้งใหญ่ ทั้งแก่ ดูเหมาะกับคนมีลูกเยอะ
แต่ผมส่วนใหญ่ขับกับแฟนแค่สองคน
เมื่อก่อนสมัยเรียนผมจะซื้อรถสองประตู
แม่บอกอย่าเลย แม่อยากนั่งด้วย เลยตามใจแม่เอา volvo 850 turbo มา
รู้สึกแก่มากตอนนั้น เพื่อนขับ e36 กันเกือบหมด (แต่ 850 มันแรงสุดๆ)
แล้วแม่ก็ไม่เห็นจะเคยมานั่ง เพราะแม่ผมท่านก็ชอบขับรถตัวเอง
หลังจากคันนั้นผมเลยตามใจตัวเองอย่างเดียว ไม่เผื่อแล้ว
เพราะใช้รถ 4-5 ปี มีคนมานั่งเบาะหลังไม่ถึง 10 ครั้ง ไม่รู้จะซื้อคันใหญ่ๆไปทำไม
เรื่องภาพลักษณ์ยิ่งแล้วใหญ่ มันมีแต่ภาพลักษณ์แก่ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
อยากได้ภาพลักษณ์แนะนำ Benz หรือ Bmw เลยครับ
-
Accord g8 ผมว่า ค่า maintainance ก้ไม่ได้ต่างกับรถเล็กอะไรมากมายนะ
แต่ถ้าอัพเป็นรถยุโรปสิ อันนี้แพงขึ้นเยอะ
-
ผมใช้ B, D segment, กระบะ, พร้อมๆกัน ค่าใช้จ่ายผมว่าก็ไม่แตกต่างนะ จะมีเเต่ค่าเชื้อเพลิงละ ที่ B segment จัดlpgไป ประหยัด ขับไปทำงานคุ้ม
มีคนถามผมว่า บ้าหรือป่าว เอาสามคันไปซื้อเบนซ์ ซื้อบีเอ็มดีกว่าป่าว ได้หน้าด้วย แต่สำหรับผมคิดว่า ใช้รถถูกประเภทมันก็ขับสบายดี city car ขับในเมือง d segment ขับออก ตจว กระบะขับเข้าสวนเข้าป่า ไปถนนสายเเย่ๆ
เรื่องความปลอดภัย การเดินทางรถเล็กผมว่ามันอันตรายนะ ขับทางไกลเครียด
ส่วนเรื่องภาพลักษณ์ผมว่า ไม่จำเป็นต้องเเคร์ใครนะ ไร้สาระครับ
เห็นด้วยมากๆครับ
-
ของผม
จาก nissan Sunny neo almera 1.8 >> tiida 5dr 1.6g >> Teana 2.5
ค่อยๆ อัพ ตอนนี้ให้ไปขับรถเล็กก็ไม่เอาแล้ว อัตราเร่งมันต่างกัน
แล้วก็ ภาพลักษณ์ต่างกันเยอะคับ เวลาไปห้างก็ต่างกันแล้วคับ
รถใหญ่ บางครั้งไปไหนก็หาที่จอดง่ายกว่ารถเล็กคับ
สบายกว่าด้วย เบาะนิ่มกว่า คนภายนอกจะมองว่าฐานะดีกว่า
ส่วนตัวผม บ้านผมใช้ BMW ทั้งบ้าน แต่ผมก็ชอบ teana เพราะคุ้มราคา
และก็เป็นรถญี่ปุ่น ซ่อมง่าย กว่ายุโรปเยอะคับ
แต่ต้องแลกกับค้าน้ำมันที่แพงขึ้น กับค่ารถแพงขึ้นแค่นั้นเอง
-
สมัยนี้ ผมว่าคนมองว่ารถบ่งบอกฐานะครับ ยิ่งขับรถแพง ยิ่งว่าเรารวย บางครั้งการบริการก็ต่างกันคนละระดับ
ผมเข้า โชว์รูมรถยนต์ ใน จ.ผม ผมจะสังเกตว่า ถ้าผมขับ Cefiro A33 เข้าไป รปภ. เซ็ลขายรถ จะบริการดีมาก ดูเสร็จก็เดินมาส่งถึงรถ แต่ถ้าวันใหนขับ DMAX เห้อ ไม่อยากจะพูดเลย ที่นี่ประเทศไทย :-\
-
ทำอะไรเพื่อเอาใจคนอื่นจะเหนื่อยตัวเราเองนะครับ
ปกติขับ BT50pro ยามให้เข้าบริษัท วันหนึ่งต้องไปส่งแฟนเลยไปคันเดียวกัน BM X6 ยามไม่ให้เข้าครับ
เพราะรถแฟนไม่มีสติกเกอร์ผ่านทางครับ
-
ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาก็จัดเลยครับ
คุณภาพการขับขี่ การโดยสาร ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด หน้ามือเป็นหลังมือเลย
อย่าว่าแต่เทียบปี 2012 ด้วยกันเลยครับ
ของผม Cefiro ปี 2000 (อายุ 13 ปี) กับ Altis ปี 2008 (อายุ 4 ปี)
รถต่างกัน 8 ปี แต่เชื่อมั้ย Cefiro ขับดีกว่า นั่งสบายกว่า
จะขายก็เสียดาย ขายตอนนี้ 2 แสน++ นิดหน่อย
จะหารถคุณภาพแบบนี้ ราคานี้ได้ที่ไหนอีก (มือ1 ซื้อมา 1.07 ล้่านเมื่อ 13 ปีที่แล้ว)
ข้อเสีย ระยะยาวซ่อมแพงกว่ามากๆครับเมื่อเทียบกับ B
ค่าน้ำมันแพงกว่า ติดแก๊สมาก็ประหยัดกว่า B ไม่มากด้วยซ้ำ
ราคาตกมาก (มูลค่ายิ่งแพง เวลาราคาลงก็ลงเยอะครับ)
สรุปแล้ว อยู่ที่เงินเลยล่ะครับ ถ้าพร้อม ไม่เดือดร้อน ทุกอย่างดีขึ้นอย่างรู้สึกได้ ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์
-
ผมว่ามันมีผลกับภาพลักษณ์จริงๆคับผมแต่งชุดเดียวกันแค่เมื่อวานกะวันนี้เมื่อวานขับBenzวันนี้ขับกระบะไปซื้อหมูปิ้งข้างถนนลงเบ้นมามีแต่คนมองแต่ผมเฉยๆนะผมคิดว่านี่แหละThailand only เมืองนอกเขาก้อเฉยๆนะคับยกเวันลงมาจากrollsroy
-
มันต่างกันทุกอย่างอ่า ภาพลักษณ์อ่าแน่ๆอยู่แล้วครับ ขนาดตำรวจมันยังจับกระบะมากกว่าเลยครับ
เหมือนใช้ Galaxy Y กับ Galaxy Note 2 อ่าครับ ยี่ห้อเดียวกันแท้ๆ แต่ภาพลักษณ์คนละเรื่อง คุณภาพและสเป็กก็คนละอย่าง แต่มันก็รับเข้า โทรออกได้เหมือนกัน เป้นแอนดรอยเหมือนกันด้วย
แต่พอใช้จริงๆมันก็ต่างกันเยอะ
อยู่ที่ความพอใจและกำลังของคุณ
ส่วนตัวผม ต่อให้ต้องออกมือสอง D-Seg ผมยังแฮปปี้กว่า B-Seg ครับ ทำใจไม่ได้จริงๆ อึดอัดเกินครับ
-
สำหรับผมนะครับ ความคิดที่ว่า ขับรถแพงขึ้นคือการ " อัพเกรด " ตัวเอง
มากกว่าการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป
มันก็ผิด (ในความคิดผม) ตั้งแต่เริ่มแล้วครับ และ้ถ้าเราทำอะไร แล้วมันบิดเบี้ยวตั้งแต่เริ่ม
ยังไงมันก็ไม่มีทางจบแบบถูกต้องได้แน่นอน
จริงอยู่ หลายท่านบอก อย่าโลกสวย คนเราก็ดูกันที่ภายนอกนั่นแหละ
แต่มันก็มาจากการที่เราไม่ยอมรับตัวเองด้วยส่วนนึง ถ้าเราเอง ยังติดอยู่กับกับดักตรงนั้น
วังวนแบบนี้ ไม่มีทางหลุดมาได้หรอกครับ และถ้าระหว่างการเดินทางนี้ ไปเจออุปสรรคติดขัดอะไรขึ้นมา
จะมานึกเสียดายเงินที่จ่ายไป หมดไป กับการเปลี่ยนรถ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเพราะสายไปแล้ว
ใช้เท่าที่จำเป็นแหละดีที่สุดครับ ถ้าเราต้องใช้รถใหญ่ขึ้น คันเก่าเล็กไป ก็เปลี่ยน ก็เท่านั้น
ถ้าคำนึงค่าเชื้อเพลิง ถ้ารถใช้คนเดียว ซื้อคันใหญ่มันกินเยอะกว่ากันแน่นอนครับ 50% เป็นอย่างน้อย เคยจ่ายเดือนละ 4000 ก็ต้องมี 6000 อย่างต่ำประมาณนี้
-
สำหรับผมใครๆก็อยากดูดี แต่บางคนทำให้ตัวเองเดือนร้อนมันก็ไม่ใช่เรื่องเพราะสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร จากที่เห็นมาน่ะครับ ถ้าไม่เดือดร้อนลุยเลยครับ รถซื้อแพงกว่ามักจะดีกว่าเสมอ(ราคาเสื่อมก็สูงกว่าเสมอ) :) ส่วนตัวผมพึ่งออก มาสด้า3 2.0 แต่บางวันเบื่อๆกลัวรถติด ก็นั่งรถตู้ไปทำงานไปกลับ40บาท(นานๆทีเดือนล่ะ1-2ครั้ง).
-
ผมอายุ 26 ขับ C-segment แล้วก็ B-segment
ทั้งสองคัน พ่อแม่ไม่ต้องออกเงินให้สักบาทครับ ยืนมาด้วยลำแข้งตัวเองตั้งแต่ 15 (ไม่เคยขอเงินพ่อแม่ใช้)
ทุกวันนี้ ผมมีแค่ 2 คัน ให้พ่อแม่ใช้คันนึง อีกคันนึงขับมาทำงาน แต่ผมภูมิใจที่สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ก็พอ
ปล.บ้านผมไม่ได้มีฐานะที่ดี เลยต้องช่วยตัวเองแต่เด็ก ๆ ๆครับ
ตอนนี้ก็กำลังผ่อนอยู่ครับ อีก 160,000 บาท หมดหนี้ครับ
ถ้าไม่คิดมากเลยภาพลักษณ์ ขับแบบไหนก็ได้ ตัวผมเองทำงานเป็น Manager Production แต่ขับ สามห่วงเก่า ๆ ไปทำงาน
แต่ลูกน้อง ขับป้ายแดง ครับ ;D ;D ;D
-
ตอนนี้ผมมี Teana 250XV sport Series อยู่ครับ
ถ้าให้เลือกได้ ผมจะเลือกเป็น
H1 Delux + Swift ครับ
H1 ใช้ขน ครอบครัวใหญ่ ประมาณ 7-8 คน + เด็ก 2 คน ใช้วันหยุดครับ
Swift ไว้ขับในเมือง เพราะแฟน เอาไว้รับส่งลูก ย่าไม่ออกจากบ้านเลยยกเว้นวันหยุด ส่วนปู่ พาเข้าวัดสัปดาห์ละ 3ครั้ง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีรถใหญ่
เพราะ Teana ในเมือง 6โล/ลิตร E20 ครับ
ในเงินที่เท่ากัน ลองดูอรรถประโยชน์ใช้สอยครับ
แต่ D-Seg มันนิ่มจิงๆนะ โคตรชอบ วิ่ง 160 สบายมาก ดีกว่า นั่งJAzz ที่ 120อีกครับ