นั่นไงๆ เริ่มคิดถึงความเป็นจริงแล้วใช่มั้ยครับ ที่ก่อนหน้านี้ใครๆ ก็คิดว่าเครื่องยนต์หมุนชิวๆ ที่รอบเดินเบา
ในมุมของงานวิศวกรรมคือ อัตราการดูดไฟฟ้าไปใช้ของมอเตอร์เพื่อการลากตัวรถให้วิ่งออกไปที่ความเร็วต่างๆ
ว่าเป็นเท่าไหร่เมื่อเทียบกันอัตราการปั่นไฟฟ้าได้ของเครื่องยนต์ แล้วมันก็จะผันตามมาเป็นอัตราการดึงน้ำมัน
ไปใช้ของเครื่องยนต์ด้วย ขนาดของแบตเตอรี่เป็นเพียง buffer เปรียบได้กับจนาดของแท็งค์น้ำในบ้านเราเท่านั้นเองครับ
ซึ่งถ้าอัตราการปั่นไฟของเครื่องยนต์มันน้อยกว่าความต้องการไฟมี่มอเตอร์จะดึงออกไปแล้วล่ะก็ นั่นเท่ากับว่า
อัตราเร่งหรือความเร็วของรถมันจะหล่นลงมาเท่ากับปริมาณไฟที่เครื่องยนต์ป้อนให้มอเตอร์เท่านั้นครับ
ซึ่งนั่นคือ 79 แรงม้า จากเดิมที่มอเตอร์มีกำลังอยู่ที่ 129 แรงม้า ดังนั้นมันจะอืดลงจริงๆ ถ้าแบตเตอรี่หมด
ผมคิดเล่นๆ นะ มอเตอร์ดึงไฟจากแบต มากกว่าที่เครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าแบตอยู่ 50 แรงม้า หรือ 36.7749 kW
แบตเตอรี่มีความจุ 1.5 kWh ดังนั้นมันจะรองรับการทำงานเต็มที่ของมอเตอร์ไฟฟ้าได้เป็นเวลา
1.5/36.7749 = 0.04 ชั่วโมง หรือ 147 วินาทีก่อนจะหมด
การเหยียบคันเร่งเต็มที่ต่อเนื่อง 147 วินาทีโดยไม่ถอนเลย น่าจะได้ความเร็วเกิน 200 หรือไม่ก็คือขนข้าวสารขึ้นภูเขา
อย่างแรกที่วิ่งแช่ 200 กว่า คงหาได้ยาก
แต่การขึ้นภูเขา อันนี้ผมว่าน่าห่วง นึกภาพกำลังขึ้นเขาแล้วกำลังลดลงนี่ ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจในระบบนี้อาจมีปัญหา
สรุป: ส่วนตัวผมคิดว่ามันเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป แต่อาจต้องคิดดีๆ ถ้าซื้อให้คนที่ไม่รู้เรื่องรถขับ แล้วมีเส้นทางขึ้นเขาครับ