อันติส แคมรี่ วีออส ยารีส วิ่งเต็มกทม. ไม่มีระบบ EGR อย่าไปอยู่ใกล้นะครับ
มังกรทอง รถโดยสาร รถแดง ไม่มี EGR คนก้ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เครื่องวิ่งกันเป็นล้าน กม.
ใครตอบผมได้บ้างครับว่าทำไมรถพวกนี้ไม่มี EGR แต่วิ่งเต็มกทม.
ผมยังไม่เคยเห็นค่ามลพิษที่เป็นเอกสารอ้างอิงได้เลย
ถ้ารัฐเข็มงวดจริงๆ ทำไม่นำเครื่องมือตรวจสอบนี้เข้ามาเป็นมาตรฐาน
ของการต่อภาษีรถแต่ละคันด้วยละครับ
ส่วนตัวผมมีดีเซล 3 คัน ไม่อุดสักคัน
ขอตอบในมุมของผู้ใช้เบนซินนะครับ โคโรน่า หน้ายักษ์ของผม จดปี 2533
ตอนไปตรวจสภาพรถ ก็ยังเคยถามที่อู่ว่าทำไมรถผมยังผ่าน เพราะไม่มีอุปกรณ์ไอเสียเลย เค้าก็ยื่นเอกสารให้ดูครับ
รถเบนซินที่จดปี 2536 ลงไป จะใช้ค่ามาตรฐานขั้นต่ำในการตรวจ ตรอ. คนละค่ากับมาตรฐานที่จะใช้กับรถปี 2537 ขึ้นไป
ซึ่งเทียบกันค่าต่อค่าแล้ว รถรุ่นเก่ากว่าที่ว่านี้จะใช้เกณฑ์ไอเสียเป็น 3 เท่าของรถรุ่นใหม่
เท่าที่จำค่าได้คือค่า CO ซึ่งจะต้องไม่เกิน 200 ppm สำหรับรถปี 37 ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 600 ppm สำหรับรถปี 36 ลงมา
การพัฒนามาตรฐานมลพิษไอเสีย ต้องบังคับกับรถที่ผลิตขึ้นแต่ละยุคสมัยให้สอดคล้องกันครับ
ถ้ารถสมัยใหม่พัฒนาขึ้น ถ้าไม่พัฒนากฎบังคับตามไป บ้านเมืองก็ไม่ต้องพัฒนา
แต่ถ้ากฎที่ออกมาบังคับย้อนหลังให้รถเก่าทุกคันในยุคนั้นไปติดแคต ติดอีจีอาร์ มันก็ไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้รถ
(มันเป็นตรรกะเดียวกับการที่ไม่ออกกฎหมายบังคับใช้ย้อนหลังครับ)
จึงใช้เกณฑ์สองมาตรฐานแบบที่กล่าวมานี่ล่ะครับ เพราะรถเก่าจะค่อยๆ หายไปจากถนนเอง
คิดว่ากรณีเดียวกันนี้ก็น่าจะเกิดกับดีเซลด้วย แต่ถ้ารถใหม่ๆ แล้วอุด พออายุอานามครบ 7 ปี ตรวจ ตรอ ไม่น่าผ่านครับนอกจากยัดเงิน
ถ้าต้องการหลักฐานผมจะไปค้นใบผลตรวจสภาพปีล่าสุดมาให้ดูครับ (ถ้าคุณตอบกลับมาว่าอยากเห็นนะ)
แล้วก็เครื่องเบนซินบางรุ่นก็มี EGR ครับ แต่จริงๆ มันไม่จำเป็นต้องมี เพราะเบนซินมีอัตราส่วนกำลังอัดต่ำ การเผาไหม้ไม่ร้อนเท่าดีเซล
NOx จะเกิดเฉพาะเมื่อการเผาไหม้ร้อนจัด ซึ่งเครื่องดีเซลที่เผาไหม้ร้อน พอมี EGR คอยยัดขยะเข้าไปก็จะช่วยให้ห้องเผาไหม้เย็นลง
NOx ก็จะลดลง แต่เบนซินซึ่งไม่ร้อนเท่า ไม่มี NOx อยู่แล้ว มีไอ้นี่ไปก็ไม่ค่อยช่วยครับ ตัวลดมลพิษสำคัญของเบนซินคือแคตอย่างเดียว