ข้อมูลประกอบของตลาดอื่นๆ ทั้ง Europe & China ประกอบด้วยตามนี้
https://evobsession.com/electric-car-sales/ถ้าติดตามข้อมูลจะพบว่าในยุโรปเหนือ จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจึง เห็นว่าสัดส่วนรถที่จดทะเบียนใหม่ในปี 2016
เป็นรถไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงมาก เช่น
Norway 29%
Netherlands 6.4%
Sweden 3.4%
ในขณะที่ France & UK มีเพียง 1.5%
เพียงแต่จำนวนประชาการใน 3 ประเทศแรกมีไม่มากคือราวๆ 5M,17M,10M ตามลำดับ
ในขณะที่จีนนะมีการเติบโตของรถไฟฟ้าใหม่ค่อนข้างเยอะมากคือในปี 2016 กว่า 350,000 คันแม้คิดเป็นเพียง 1.44% จากยอดขายรถ 24.38M คัน
เทียบกับ ยุโรปราวๆ 1.3% และ USA 0.8%
และปีนี้สำหรับในจีนน่าจะมีรถไฟฟ้าจดทะเบียนอย่างน้อย 450,000 คันแน่ๆ และถ้ารวมๆกับประเทศอื่นๆก็น่าจะรวมถึง 1 ล้านคัน หมายความว่าในปี 2017 นี้มีรถใหม่ที่เป็นรถไฟฟ้าน่าจะถึง 1%
แต่รถไฟฟ้าขณะนี้คงเหมาะกับบางพื้นที่เช่น จีน ยุโรป และบางรัฐในอเมริกาเท่านั้น สำหรับ BEV เพราะสถานีชารต์และเวลาที่ใช้ชาร์ต เพราะมีแท่นชาร์ตที่รองรับการชาร์ต Mode 3 และ 4 ในจำนวนไม่มากนัก
มีงานวิจัยที่คาดการณ์ว่าในจีน ณ สิ้นปีนี้น่าจะมีสถานีชาร์ตเกิน 500,000 สถานีและมีแท่นขาร์ตถึง 2 ล้านแท่น โดย 1 ใน 4 จะเป็นแท่นชาร์ต Mode 3 ขึ้นไปด้วย
แต่ผมคาดว่าปี 2020 ถ้าไม่มีอะไรสะดุด อาจเห็นยอดขายรถไฟฟ้าน่าถึง 3-4% ของยอดขายรถทั้งหมดแล้ว โดยมีประชากรมากมายในจีน และยุโรป เพราะว่ามีแท่นชาร์ตอยู่แพร่หลาย
แต่สำหรับเมืองไทย คงจะไม่ได้มีรถไฟฟ้าอะไรมากมายเพราะสิ้นปี 2018 เราน่าจะมีสถานีชาร์ตอย่างมากแค่ 2,000 แห่งเท่านั้นซึ่งน่าจะรองรับรถได้ไม่เกิน 10,000 คัน แต่ผมก็ว่าสิ้นปี 2018 ก็คงยังไม่มีมาตรการสนับสนุนคนซื้อรถไฟฟ้าอะไรพิเศษเพิ่มเติม เ่ช่นทำให้ รถอย่าง nissan leaf สามารถขายได้ในราคาไม่เกิน 1.2 ล้านนั้นคงจะยากอยู่ และรถไฟฟ้าที่วิ่งคงเป็นพวก phev มากกว่าพวก bev ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่า phev หรือ hev (ยกเว้น Range extender) ไม่ใช่รถที่น่าใช้ในแง่ของค่าใช้จ่ายในการใช้งาน เพราะมีถึง 2 ระบบซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการ maintenance สูงซึ่งไม่เหมาะสำหรับสังคมของบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถ ที่จะซื้อรถแต่ละคันต้องทำงานเกินปีหรือหลายปีทั้งนั้นเพื่อจะได้เงินมาซื้อรถ 1 คัน