กลับมาที่อังกฤษ ตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ ลีค ในฤดูกาล 1992/93 มาแทนที่ฟุตบอล ดิวิชั่น 1 เดิม ที่ซบเซาสุดจะทานทนหลังเหตุการณ์ Heysel Stadium ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ยูเวนตุส ในรอบชิงยูโรเปี้ยน คัพ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) เป็นต้นเหตุของวิกฤตทีมชาติอังกฤษ นั่นเอง
แรกเริ่มเดิมที การเปิดศักราชพรีเมียร์ ลีค ทำท่าจะไปได้สวย แต่มันก็มีเค้าลางบอกเหตุบางอย่างว่า ทีมชาติ อังกฤษจะพบกับความยากลำบากในการเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 นับตั้งแต่ปี 1966 จนบัดนี้ ก็ยังห่างไกลแชมป์เหลือเกิน เค้าลางที่ว่าก็คือการนำเข้านักเตะต่างชาติครับ
ผมเองไม่แน่ใจว่าทีมไหนเป็นคนเริ่มเทรนด์นี้ แต่เชลซี (ผมก็เป็นแฟนทีมนี้) รวมทั้งอาร์เซน่อล ได้เริ่มนำเข้าผู้จัดการทีมต่างชาติมาก่อนเลย มาแทนเกล็น ฮอดเดิ้ล ซึ่งจะไปคุมทีมชาติอังกฤษช่วงปี 1996 คนนั้นคือรุท กุลลิทชาวดัชท์ อดีตสามทหารเสือ ประจำเอซี มิลานยุครุ่งเรือง และอาร์แซน เวนเกอร์อดีตกุนซือโมนาโกมาคุมอาร์เซน่อลครับ
หลังจากกุลลิทเข้ามา ก็เริ่มดึงนักเตะจากกัลโช่ที่เริ่มเข้าช่วงโรยแต่เก๋า เช่นโซล่า วิอัลลี่ ดิมัตเตโอ กุส โปเยต์ เป็นต้น ซึ่งสเปอร์ส และ อาร์เซน่อลก็เริ่มนำเข้านักเตะต่างชาติเช่นกัน นิวคาสเซิ่ลก็เอากับเข้าด้วย ทีนี้เลยซื้อกันชิบหายวายป่วงกันเลยทีเดียว จนพรีเมียร์ ลีค ตีตื้นด้านความนิยมในโลกฟุตบอลครับ โดยหารู้ไม่ว่า ทีมชาติมันจะบรรลัยก็คราวนี้
แมนยูประสบความสำเร็จมาตลอดยุค 90 จนมาได้แชมป์ ucl ปี 1998/99 แบบโคตรปาฏิหารย์เหนือบาเยิร์น มิวนิค (อังกฤษเหนือเยอรมันแล้วเหรอ?) จะว่าแบบนั้นก็ได้ครับ แมนยูชุดนั้นใช้แกนหลักเป็นนักเตะอังกฤษและสหราชอาณาจักรเกือบทั้งทีม มีระบบเยาวชนที่ดี และไม่ยอมแพ้ สู้จนวินาทีสุดท้าย เป็นคีย์สำคัญในชัยชนะครั้งนั้น
เออ ผมลืมพูดถึงอย่างนึงคือคนอังกฤษขาดวินัยครับ พวกเค้าเป็นชนชาติที่ยังมีความเป็นศิลปินในตัว คล้ายๆ ประเทศสารขันฑ์ วงการเพลง หนัง ศิลปะของอังกฤษถึงไม่เป็นสองรองใครไงครับ แต่มันคงไม่ดีถ้ามีคนแบบนี้จำนวนมากในเรื่องธุรกิจที่เน้นความมั่นคง ยั่งยืน จริงมั๊ย?
แมนยูภายใต้เซอร์ อเล็กซ์ ยังคงคอนเซปต์เดิม คือเน้นปั้นดาวรุ่ง ไม่เน้นซุปตาร์ เห็นมั๊ยครับ มันคล้ายๆ ของเยอรมันนี่หน่า แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมแมนยูถึงต้องเปลี่ยนเจ้าของไปอยู่ในมือตระกูลเกลเซอร์ล่ะ
ก็เพราะความลุแก่อำนาจของ John Magnier และ J.P. McManus สองนักธุรกิจชาวไอริช (ไอร์แลนด์ผมจัดว่าเป็นชนชาติที่เกี่ยวเนื่องกับสหราชอาณาจักรครับ ถึงจะไม่โดยตรงเท่าไอร์แลนด์เหนือ แต่ก็มีความเกี่ยวเนื่องอยู่ดี) จะขับไล่ ลดทอนอำนาจเซอร์อเล็กซ์ จนเป็นเหตุให้มัลคอร์ม เกลเซอร์ นักธุรกิจชาวอเมริกันถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่เพียงผู้เดียวครับ และแมนยูก็ครองความยิ่งใหญ่มาจนหมดยุคเซอร์กันเลยทีเดียว แม้แฟนผีจะขนานนามตระกูลนี้ว่าปลิง 55
หลายท่านคงจำลีดส์ได้ช่วงปลายยุค 90 ถึงต้นยุค 2000 เมื่อก่อนเคยได้ชื่อว่าทีมพลังหนุ่มเฟี้ยวซ่าส์ สู้ไม่ถอย เกรียงไกรไปทั่วยุโรปเลยเชียวล่ะ แต่มาแพ้ภัยตัวเองที่บอร์ดบริหารนำทีมโดย Peter Ridsdale ที่ทะเยอทะยานเกินเหตุ ซื้อนักเตะเป็นว่าเล่น ถึงขนาดกู้มาซื้ออ่ะคุณ แล้วความซวยมาเยือน คือลีดส์ดันไปจบอันดับ 5 อดไปยุโรปถ้วยใหญ่ ก็ม่องสิครับ ทีนี้เลยต้องมานั่งขายนักเตะกินแล้วกินเล่า จนในที่สุดทีมก็ตกชั้น ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น จนบัดนี้ยังเลื่อนชั้นขึ้นมาไม่ได้
เชลซี ไม่พูดไม่ได้ 55 ในฐานะที่รวมนักเตะต่างชาติไว้ในทีมมากที่สุดในอังกฤษตลอดกาล แม้แต่อาร์เซน่อลว่าเยอะแล้วยังยอม ท่านอดีตประธานเคน เบทส์ คอยกว้านซื้อนักเตะสูงวัย ฝีเท้าค่อนข้างดีมาร่วมทีมอยู่เสมอ ซื้อจนทีมเป็นหนี้ แถมยังทะเยอทะยานจะสร้างโรงแรม ศูนย์ธุรกิจ บันเทิง ครบวงจรแบบที่เรอัล มาดริดทำ แต่นั่นประธานเค้าอภิมหารวย วิสัยทัศน์ไกล สโมสรก็ดังระดับตำนาน แบบนี้มันก็หนี้ท่วมเละเทะไง
เดชะบุญที่เชลซีจบอันดับ 4 โดยการเอาชนะลิเวอร์พูลนัดสุดท้าย แล้วได้ไปยุโรปถ้วยใหญ่ ทำให้สโมสรไม่ล้มละลาย มิเช่นนั้นก็คงจะตกชั้นตามลีดส์ไปในปี 2003/04 นั่นแหละ
การเทคโอเวอร์เชลซีของอภิมหาเศรษฐีรัสเซีย โรมัน อบราโมวิช ทำให้แกทุ่มดึงนักเตะสารพัดชาติ (คือเดิมแม่งก็สารพัดแล้ว) ด้วยทุนไม่อั้น เหมือนเครื่องผลิตแบงค์ จวบจนทุกวันนี้ นักเตะแกนหลักที่โรยรา ก็ถูกแทนที่ด้วยนักเตะที่ทุ่มซื้ออีกแล้ว (คือมึงจะไม่กะปั้นเลย ปั้นแล้วส่งออกไปให้เยอรมัน สเปนใช้สบาย เออดี เหมือนบริษัทรถอังกฤษเปี๊ยบ) แล้วไอระบบที่ว่าเนี่ย ส่งผลให้แทบทุกทีมในพรีเมียร์ ต้องซื้อนักเตะครับ เพราะไม่งั้นจะตามไม่ทัน
ที่มาของหายนะของทีมชาติ คือตรงนี้ครับ นักเตะอังกฤษฝีเท้าดีแจ้งเกิดไม่ได้ หรือมีก็เป็นแค่ตัวดาดๆ ทั่วไป เพราะไม่มีโอกาสพัฒนาฝีเท้านั่นเอง จะโทษใครไม่ได้จริงๆ ต้องโทษคนอังกฤษด้วยกันเองที่ปล่อยให้ต่างชาติชุกมือเปิบตีกินแบบนี้ ผมว่าพวกคุณก็ต้องรองบ่อนต่างชาติไปเรื่อยๆ ล่ะครับ ถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนอะไรซะบ้าง
วงอังกฤษดังๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่ยืดครับ อีโก้จัด ตีกันตายโหง แยกทางให้เห็นเรื่อยๆ
ลองมาวิเคราะห์ในสิ่งที่ผมนำเสนอ กับวงการรถยนต์อังกฤษ แล้วท่านจะเห็นความเหมือนในความแตกต่างครับ